ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 43 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 841 - 860 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 841 | ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกรณีนายคัมภีร์ แก้วเจริญ ผู้ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (คณะกรรมการ ป.ป.ท.) ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ ได้ขอถอนตัวออกจากการพิจารณาให้ความเห็นชอบของวุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขานุการวุฒิสภาเสนอ และให้แจ้งกระทรวงยุติธรรมทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 842 | แนวทางการควบคุมการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ปี 2554 | กษ | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสาเหตุการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการควบคุมการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ปี ๒๕๕๔ โดยสรุป ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้จังหวัดที่มีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลดำเนินการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด และหน่วยงานในจังหวัดที่เกี่ยวข้องรณรงค์ประชาสัมพันธ์พื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงเพื่อลดปริมาณตัวแก่ของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลโดยวิธีกล โดยรัฐสนับสนุนอุปกรณ์ดักแสงไฟใน ๒๐ จังหวัด ๆ ละ ๑๐๐ ชุด รวมเป็น ๒,๐๐๐ ชุด ๆ ละ ๕,๐๐๐ บาท โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๑๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล จำนวน ๑๕,๐๐๐ ตัน ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายร้อยละ ๕๐ ไม่เกินรายละ ๑๐ ไร่ ๆ ละ ๑๐ กิโลกรัม (รายละไม่เกิน ๑๐๐ กิโลกรัม) โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๓๑๕ ล้านบาท ๑.๒.๓ จัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการทำงานเชิงรุกเพื่อเผยแพร่ความรู้ในการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล จำนวน ๕ หน่วย ๆ ละ ๔ ล้านบาท โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๒๐ ล้านบาท ๑.๒.๔ รณรงค์ เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อถ่ายทอดความรู้ คำแนะนำผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบกระจายสู่พื้นที่ที่มีการระบาด โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๒๕ ล้านบาท ๑.๒.๕ จัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน จำนวน ๓๐๐ ศูนย์ เพื่อเป็นศูนย์กลางการแก้ไขของชุมชนในการควบคุมการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอย่างทั่วถึง โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๑๕ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๘๕ ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามนัยข้อ ๑.๒ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการควบคุมและป้องกันการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล การวางแผนเชิงรุก การเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้ การรณรงค์และประชาสัมพัน์เกี่ยวกับการควบคุมและกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูข้าวอย่างถูกต้อง การสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาดเข้าร่วมโครงการจัดระบบการปลูกข้าวอย่างทั่วถึง และเร่งการดำเนินการประกันภัยพืชผลการเกษตรให้สามารถปฏิบัติเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๓๘๕ ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายละเอียดของแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินเพื่อขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 843 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 รวม 4 ฉบับ | วธ | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมอื่น ๆ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้จัดตั้งสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สภาวัฒนธรรมเขต สภาวัฒนธรรมแขวงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร สภาวัฒนธรรมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ สภาวัฒนธรรมเทศบาล และสภาวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยที่มาของกรรมการและสมาชิกของสภาวัฒนธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กรรมการและสมาชิกสภาของสภาวัฒนธรรมแต่ละระดับมาจากผู้แทนองค์กรเครือข่ายวัฒนธรรม ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา จำนวนกรรมการและสมาชิก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การประชุม การบริหารจัดการและการดำเนินงานของสภาวัฒนธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๓.๑ กำหนดคุณสมบัติและวิธีการได้มาของกรรมการและสมาชิกสภาวัฒนธรรมตำบล สมาชิกสภาวัฒนธรรมอำเภอ สมาชิกสภาวัฒนธรรมจังหวัด สมาชิกสภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และสมาชิกสภาวัฒนธรรมอื่น ๆ ๑.๓.๒ กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการสภาวัฒนธรรม ๑.๓.๓ กำหนดหลักเกณฑ์ในการประชุมของคณะกรรมการสภาวัฒนธรรม ๑.๓.๔ กำหนดหลักเกณฑ์ในการบริหารจัดการของคณะกรรมการสภาวัฒนธรรม ๑.๓.๕ กำหนดองค์ประกอบของเงินและทรัพย์สินของสภาวัฒนธรรม ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดสาขา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการคัดเลือก และประโยชน์ตอบแทนของศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๔.๑ กำหนดสาขาของศิลปินแห่งชาติ ๓ สาขา ได้แก่ สาขาทัศนศิลป์ สาขาศิลปะการแสดง และสาขาวรรณศิลป์ ๑.๔.๒ กำหนดคุณสมบัติของศิลปินแห่งชาติ ๑.๔.๓ กำหนดให้ศิลปินแห่งชาติต้องมีผลงานทางด้านศิลปะที่มีคุณค่าและมาตรฐานตามที่กำหนด ๑.๔.๔ กำหนดวิธีการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติ ๑.๔.๕ กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายประโยชน์ตอบแทนแก่ศิลปินแห่งชาติ ๒. เมื่อกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และกรุงเทพมหานคร ได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงทั้ง ๔ ฉบับ มายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ส่งความเห็นดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 844 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกและเพิ่มเติมมาตรา ๑๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยกำหนดให้มีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กรมประชาสงเคราะห์ และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ๑.๒ กำหนดให้โอนบรรดากิจการ อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ และอัตรากำลัง ให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างของการปรับปรุง ๑.๓ กำหนดให้แก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า กรมกิจการผู้สูงอายุเป็นส่วนราชการที่มีบทบาท ภารกิจหลักเกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย มาตรการ มาตรฐาน รวมถึงการส่งเสริมสนับสนุนการประสานความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นในการดำเนินงานตามนโยบายเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ซึ่งงานลักษณะดังกล่าวตามหลักการกำหนดชื่อส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๕ ควรกำหนดชื่อเป็น “สำนักงาน” และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการเรียกชื่อตำแหน่งระหว่างผู้อำนวยการซึ่งมีฐานะเทียบเท่าอธิบดีกับผู้อำนวยการกอง/ผู้อำนวยการสำนัก ในกรณีของหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่อเป็นสำนักงาน จึงเสนอให้ใช้ชื่อว่า “ผู้อำนวยการใหญ่” และให้หน่วยงานดังกล่าวเน้นงานเชิงนโยบาย กำหนดมาตรการ รูปแบบ แนวทาง การส่งเสริมศักยภาพและสวัสดิการของผู้สูงอายุ ในส่วนของสวัสดิการสังคมที่เป็นงานให้บริการ เช่น งานสงเคราะห์ผู้สูงอายุ เป็นต้น ควรดำเนินการโดยอาจใช้วิธีการโอนถ่ายหรือซื้อบริการจากภาคส่วนอื่น เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ชุมชน ภาคประชาสังคม สมาคม หรือมูลนิธิที่มีความพร้อม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 845 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ในแนวเขตพื้นที่ตามร่างประกาศดังกล่าวมีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมและเป็นผู้ดำเนินการตามแผนแม่บทของ อพท. และในการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมหรือพัฒนาใด ๆ ในเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ ควรเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ และพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ รวมทั้งการดำเนินงานที่สอดคล้องตามแผนแม่บทในการบริหารจัดการพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ตลอดจนการนำแนวคิดเมืองสร้างสรรค์เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในต่างประเทศมาใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ภายในขอบเขตพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์หรือสนับสนุนให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างชัดเจน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น กฎหมายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และพันธกรณีและหลักเกณฑ์ตามอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เช่น โครงการเมืองสุขภาพดี บนวิถีไทย (จังหวัดสุโขทัย) ของกระทรวงสาธารณสุข และโครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
| 846 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนครอบคลุม ๓ กลุ่มพื้นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวจังหวัดเลย ซึ่งประกอบด้วยอำเภอเมืองเลย อำเภอเชียงคาน อำเภอท่าลี่ อำเภอภูเรือ อำเภอด่านช้าย อำเภอนาแห้ว อำเภอภูกระดึง อำเภอหนองหิน อำเภอภูหลวง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลยบรรลุตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการพัฒนามาตรฐานคุณภาพการท่องเที่ยวของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ตั้งอยู่ในแนวเขตพื้นที่ตามร่างประกาศฯ มีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมและเป็นผู้ดำเนินการตามแผนแม่บทของ อพท. โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก อพท. และให้ อพท. ทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการกลุ่มพื้นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวของจังหวัดเลยกับจังหวัดในกลุ่มท่องเที่ยวเลียบฝั่งแม่น้ำโขง ๖ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี และการศึกษาแนวคิดเมืองสร้างสรรค์เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในต่างประเทศมาใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่พิเศษดังกล่าวโดยเชื่อมโยงกับกลุ่มท่องเที่ยวเลียบฝั่งแม่น้ำโขงให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างชัดเจน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ป่าและพันธุ์สัตว์ป่า รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าว เช่น โครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
| 847 | แผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ๑.๑ แผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง พร้อมขยายเขตพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงเพิ่มเติมให้ครอบคลุมองค์การบริหารส่วนตำบลนาจอมเทียน อีก ๑ แห่ง พื้นที่จำนวน ๒๑ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑๓,๑๒๕ ไร่ ซึ่งจะทำให้พื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงมีพื้นที่รวม ๙๔๙.๔๗ ตารางกิโลเมตร หรือ ๕๙๓,๔๑๘.๗๕ ไร่ โดยมีแผนงาน/โครงการและมูลค่าการลงทุนรวม ๑๕,๐๐๗.๓๖ ล้านบาท ๑.๒ กรอบวงเงินตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง จำนวนเงิน ๑๓,๕๐๗.๓๖ ล้านบาท ระยะเวลา ๑๐ ปี โดยให้องค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เป็นหน่วยงานประสานงานและขอรับจัดสรรงบประมาณ แล้วโอนงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบโครงการนำไปปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ ต่อไป ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี การกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในการถ่ายโอนหลังจากโครงการฯ สิ้นสุดลงแล้วเพื่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว การให้ความสำคัญกับศักยภาพในการรองรับของพื้นที่ (Carrying Capacity) ทั้งเฉพาะแหล่ง และในภาพรวมของพื้นที่ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและส่งเสริมแนวเชื่อมโยงระบบเส้นทางคมนาคมให้เกิดความร่มรื่น โดยปลูกต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง เพื่อความสวยงามและเป็นแนวเส้นทางสีเขียว (Green Corridors) การป้องกันการบุกรุกและการทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของแหล่งธรรมชาติซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศทั้งภายในและโดยรอบพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินโครงการตามแผนแม่บทฯ ควรจะต้องบูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เช่น โครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น โดยในส่วนของกรอบวงเงินลงทุนตามแผนแม่บทฯ จำนวน ๑๓๒ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๕,๐๐๗.๓๖ ล้านบาท ให้เมืองพัทยาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้เสนอขอตั้งงบประมาณและให้นับรวมอยู่ในสัดส่วนเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรเป็นรายได้ให้แก่ อปท. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 848 | ขออนุมัติโครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ | สธ | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการ กพฉ. เสนอ โดย กพฉ. ได้มีมติเห็นชอบโครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ และให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมติต่อไป ทั้งนี้ โครงสร้าง กลไกการจัดการฯ แบ่งได้เป็น ๓ ระดับ คือ ๑.๑ โครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินส่วนกลางหรือระดับชาติ มี กพฉ. ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติ ๑.๒ โครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินภูมิภาคหรือระดับจังหวัด มีคณะอนุกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัด ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้ กพฉ. ตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและแผนในการดำเนินงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในระดับจังหวัด ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมายจาก กพฉ. โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน สำหรับกรุงเทพมหานครซึ่งมีรูปแบบการปกครองพิเศษจึงกำหนดโครงสร้าง กลไกการจัดการฯ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบโดยมีคณะอนุกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานครเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้ กพฉ. ตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติฯ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและแผนในการดำเนินงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมายจาก กพฉ. โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครเป็นประธานอนุกรรมการ ๑.๓ โครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินส่วนท้องถิ่น เป็นการส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานและบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึงครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานส่วนกลางสนับสนุนและถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ฉุกเฉินที่ถูกต้องไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคีที่เกี่ยวข้องโดยตรง และควรพัฒนากลไกในระดับพื้นที่ให้เอื้อต่อการดำเนินงานภายใต้โครงการ กลไกการจัดการฯ ทุกระดับ ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบที่สนับสนุนต่อการพัฒนาระบบ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลในการตัดสินใจที่เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยปฏิบัติการ และการประชาสัมพันธ์โดยใช้สื่อที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 849 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดรายละเอียดและกระบวนการที่ประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิเข้าร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการตามมาตรา ๒๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติให้ประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 850 | รายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ประกอบด้วย ๙ ด้าน ได้แก่ ด้านการสอดส่องดูแลและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลฯ ด้านการดำเนินการเรื่องร้องเรียนของประชาชนที่มีต่อหน่วยงานของรัฐ ด้านการตอบข้อหารือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ด้านการดำเนินการเรื่องอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ด้านกฎหมาย ด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ด้านการพัฒนาระบบสารสนเทศข้อมูลข่าวสารปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ด้านการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ และด้านความร่วมมือทางวิชาการกับต่างประเทศ นอกจากนี้ คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ ได้กำหนดเป้าหมายการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังนี้ ๑.๑.๑ พัฒนาการให้บริการของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ ด้านการเยียวยารักษาสิทธิให้กับประชาชนตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ๑.๑.๒ โครงการเสริมสร้างความเชื่อมั่นของรัฐบาลด้านความโปร่งใสและโครงการจ้างพนักงานราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ๑.๑.๓ พัฒนาการดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ แบบเชิงรุก ๑.๑.๔ พัฒนาหน่วยงานต้นแบบในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการที่ถูกต้องครบถ้วนตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับหน่วยงานรัฐในระดับภูมิภาค ๑.๑.๕ การเพิ่มมาตรการในการออกตรวจแนะนำเครือข่ายการปฏิบัติงานศูนย์ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ๑.๑.๖ การดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาระบบสารสนเทศ ๑.๑.๗ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้สิทธิรับรู้ของประชาชนตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ๑.๑.๘ การติดตามเร่งรัดการตรากฎหมายคุ้มครองข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในเรื่องการนำข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๗ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงาน ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการและหน่วยงานของรัฐรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๗ และมาตรา ๙ เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของหน่วยงานควรจัดทำเป็นหัวข้อที่เด่นชัด และมีข้อความว่า “ข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐” เพื่อให้ประชาชนค้นหาได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น และเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้หน่วยงานราชการที่มีหน่วยงานประจำอยู่ในส่วนภูมิภาคจัดให้มีศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารประจำอยู่ ณ หน่วยงานนั้น ๆ นอกจากนี้ การรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งมีจำนวนเรื่องอุทธรณ์สูงสุดในรอบ ๑๓ ปี ควรจำแนกประเภทของเรื่องอุทธรณ์ว่ามีประเด็นการอุทธรณ์ในเรื่องใด โดยเฉพาะประเด็นที่มีการอุทธรณ์ลักษณะเดียวกับปีที่ผ่านมา เพื่อจะได้สามารถใช้เป็นข้อมูลในการไปเสริมสร้างความเข้าใจให้แก่หน่วยงานของรัฐและประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 851 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 8 การแก้ปัญหาวัยรุ่นไทยกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม | สช | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ มติ ๘ การแก้ปัญหาวัยรุ่นไทยกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติร่วมกับคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาจัดตั้งกลไกร่วมในการดำเนินการแปลงนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ และยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อมสู่แผนการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ครอบคลุมทุกระดับ รวมทั้งจัดทำมาตรการเร่งด่วนในการจัดการปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นแบบบูรณาการภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัดร่วมกับองค์กรภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ดำเนินงานพัฒนาการเรียนการสอนเพศศึกษา (sexuality education) จริยธรรมและศีลธรรม และจัดให้มีระบบรองรับการแก้ปัญหานักเรียน นักศึกษาที่ตั้งครรภ์ในระหว่างการศึกษา โดยจัดให้มีกระบวนการเรียนการสอนเพศศึกษารอบด้านที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ โดยเริ่มตั้งแต่ปฐมวัย และให้สถานศึกษาปรับกระบวนการเรียนการสอนสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ตั้งครรภ์ให้มีความยืดหยุ่น เพื่อให้โอกาสนักเรียน นักศึกษาที่ตั้งครรภ์ได้รับการศึกษาจนจบหลักสูตรโดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์ รวมทั้งให้สถานศึกษาร่วมกับหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบในการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบที่หลากหลายโดยคำนึงถึงสิทธิประโยชน์และการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 852 | รายงานการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2554 | กษ | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองประธานกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมคณะกรรมการ กปส. มีมติรับทราบผลการดำเนินงาน จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ผลการดำเนินงานของโครงการหลวง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ รายงานการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นที่สูงภาคเหนือ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นที่สูง ๑.๒ ที่ประชุมคณะกรรมการ กปส. มีมติเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้มูลนิธิโครงการหลวงขอตั้งงบประมาณประจำปีเพื่อดำเนินงานวิจัย งานพัฒนา และการตลาด ที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ เห็นชอบในหลักการแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวงและแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) โดยให้ฝ่ายเลขานุการนำแผนแม่บทฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ๑.๒.๓ เห็นชอบในหลักการแผนงานและงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวงและโครงการขยายผลโครงการหลวง โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาให้การสนับสนุนตามความเหมาะสมต่อไป ๑.๒.๔ เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงถนนในพื้นที่โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดตาก จำนวน ๙ เส้นทาง โดยให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) รับโครงการปรับปรุงเส้นทางดังกล่าวไว้ในแผนพัฒนาเพื่อความมั่นคงและจัดหางบประมาณให้กับหน่วยงานทหารในพื้นที่เป็นผู้ปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป และให้หน่วยงานที่ร่วมดำเนินงานภายใต้แผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงฯ ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานตามแผนแม่บทดังกล่าว ๑.๒.๕ ที่ประชุมคณะกรรมการ กปส. มีมติเรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาชุมชนในพื้นที่โครงการหลวง โดยให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนแผนงาน และงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกรมทางหลวงชนบท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำหรับปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่โครงการหลวงตามความเหมาะสม และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบว่า “โครงการพระราชดำริ” ที่ระบุในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๖ (ข้อ ๒.๑) หมายรวมถึงงานของมูลนิธิโครงการหลวงด้วย กับเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่โครงการหลวง ภายใต้คณะกรรมการ กปส. และให้ กฟภ.รวบรวมความจำเป็นโครงการก่อสร้างขยายระบบจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ภายในพื้นที่โครงการหลวง และโครงการขยายผลโครงการหลวง ทั้งที่ไม่เกินและเกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๒.๖ เห็นชอบในหลักข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ไทย - โคลอมเบีย (Technical Cooperation Agreement) ระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และ Accion Social สาธารณรัฐโคลอมเบีย และหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และ UNODC สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ๒. ให้เปลี่ยนชื่อข้อความตามหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ สวพส./๑๐๘๔ ลงวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๔ ข้อ ๒.๒.๕ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาชุมชนในพื้นที่โครงการหลวง ๒) มติคณะกรรมการ กปส. (๒) จากเดิม “...โครงการพระราชดำริ นั้น หมายรวมถึง งานของมูลนิธิโครงการหลวงด้วย” เป็น “...โครงการพระราชดำริ นั้น หมายรวมถึงงานโครงการหลวงด้วย” และให้เปลี่ยนข้อความดังกล่าวที่ปรากฏในข้ออื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการหลวงเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานให้มากขึ้น ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์ให้ อปท. ทั่วประเทศเข้ามาศึกษา ดูงาน เพื่อนำความรู้จากโครงการหลวงไปต่อยอดการพัฒนาในพื้นที่ อปท. แต่ละแห่งได้ นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการ กปส. พร้อมทั้งจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับการดำเนินงานตามแผนงานและงบประมาณภายใต้แผนแม่บทฯ ควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 853 | ข้อเสนอการตราพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... | สม | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การตราพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... สรุปได้ ดังนี้
๑. พระราชบัญญัติว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ ควรเป็นกฎหมายที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดการการชุมนุมสาธารณะ เว้นแต่เมื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนที่ยากต่อการบริหารราชการ จึงจะนำกฎหมายพิเศษมาบังคับใช้ แต่ต้องทำภายในระยะเวลาอันจำกัดเท่าที่จำเป็นแก่สถานการณ์ ๒. การตรากฎหมายมาใช้บังคับในเรื่องการชุมนุมสาธารณะ ควรกำหนดชื่อของกฎหมายที่แสดงความหมายให้ตรงกับเจตนารมณ์ที่จะมุ่งส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะของประชาชน ๓. อำนาจในการห้ามการชุมนุม การสั่งให้เลิกการชุมนุม หรือการคัดค้านการชุมนุม ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ มอบให้ฝ่ายบริหาร (ฝ่ายปกครอง) เป็นผู้ตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย และรับผิดชอบในการตัดสินใจดังกล่าว ดังนั้น เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่งห้ามหรือให้เลิกการชุมนุมสาธารณะ ผู้จัดการชุมนุมหรือผู้นำการชุมนุมควรมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อฝ่ายบริหารระดับสูงขึ้นไปเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ และเมื่อได้ดำเนินการตามขั้นตอนวิธีการในฝ่ายปกครองจนครบถ้วนแล้ว ไม่เป็นการตัดสิทธิของผู้จัดการชุมนุมหรือผู้นำการชุมนุมที่จะนำคดีไปสู่ศาลปกครองได้ต่อไป ๔. การชุมนุมสาธารณะควรบัญญัติให้ครอบคลุมถึงองค์การระหว่างประเทศ เช่น ที่ทำการขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งควรได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับสถานทูตหรือสถานกงสุลของรัฐต่างประเทศ ๕. การกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการจัดการเกี่ยวกับสถานที่ที่ใช้ชุมนุม โดยมีอำนาจหน้าที่อำนวยความสะดวก ดูแลรักษาความปลอดภัย และจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมให้ประชาชนร่วมชุมนุมสาธารณะ ควรกำหนดให้เป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่าเป็นการใช้ดุลพินิจจะจัดสถานที่หรือไม่ก็ได้ ๖. ผู้ที่ประสงค์จัดการชุมนุมสาธารณะ และการชุมนุมนั้นกระทบต่อความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ต้องให้มีหนังสือแจ้งการชุมนุมไม่น้อยกว่า ๗๒ ชั่วโมง การชุมนุมสาธารณะที่ไม่ได้แจ้งภายในระยะเวลาดังกล่าว ต้องขอผ่อนผันต่อผู้บัญชาการตำรวจนครบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด และต้องได้รับอนุญาตให้ผ่อนผันเสียก่อนจึงจะชุมนุมได้ การชุมชนโดยยังมิได้รับอนุญาตให้ถือว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ๗. อำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ควรกำหนดกรอบและขั้นตอนการควบคุมฝูงชน ซึ่งรวมถึงการใช้กำลังเพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติหรือเลิกการชุมนุมไว้ในพระราชบัญญัติฉบันนี้ ส่วนการจับกุม การค้น รวมทั้งกระทำต่อทรัพย์สินของผู้ชุมนุมโดยการยึดอายัดทรัพย์สิน ศาลต้องสั่งอนุญาตให้ออกหมายจับ หมายค้น ฯลฯ เสียก่อน ภายใต้ข้อสันนิษฐานตามกฎหมายที่เชื่อว่าผู้กระทำผิดจะหลบหนี หรือทรัพย์สินสำหรับใช้ในการกระทำความผิดจะถูกเคลื่อนย้ายหรือถูกทำลาย สำหรับบทกำหนดโทษจำคุกแก่ผู้จัดการชุมนุมสาธารณะกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้ การลงโทษควรเป็นโทษทางปกครอง (ปรับทางปกครอง) ไม่ใช่โทษทางอาญา (จำคุก) เพราะการชุมนุมเป็นสิทธิและเสรีภาพที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญ ผู้ที่กระทำความผิดไม่ใช่อาชญากร จึงไม่ควรกำหนดความผิดที่จะต้องรับโทษทางอาญาไว้ในกฎหมายฉบับนี้ ๘. กำหนดให้มีกลไกรองรับการชุมนุมสาธารณะที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปรับปรุงแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นการเฉพาะ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 854 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. กำหนดอัตราภาษีที่ดินจัดเก็บสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังนี้ ๑.๑ ไม่เกินร้อยละ ๐.๐๕ ของฐานภาษี สำหรับที่ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรม หรือที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรมและที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยมีพื้นที่ที่ใช้ประกอบเกษตรกรรมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของพื้นที่ทั้งหมด ๑.๒ ไม่เกินร้อยละ ๐.๑ ของฐานภาษี สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย หรือที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรมและที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยมีพื้นที่ที่ใช้ประกอบการเกษตรกรรมน้อยกว่าสามในสี่ของพื้นที่ทั้งหมด ๑.๓ ไม่เกินร้อยละ ๐.๕ ของฐานภาษี สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างนอกจากข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ๓. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการลดหย่อนภาษี โดยเกณฑ์ขนาดพื้นที่ไม่เกินห้าสิบตารางวาสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และไม่เกินห้าสิบตารางเมตรสำหรับห้องชุด และเกณฑ์ฐานภาษีไม่เกินหนึ่งล้านบาทสำหรับฐานภาษีที่คำนวณได้รวมกันของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งปลูกสร้าง หรือห้องชุด ๔. กำหนดให้มีการจัดสรรเงินภาษีที่จัดเก็บได้และนำส่งให้แก่ธนาคารที่ดิน เพื่อใช้ในกิจการตามวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์ และวิธีการ ตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งบัญญัติไว้ แต่ในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดตั้งธนาคารที่ดิน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสรรเงินภาษีที่จัดเก็บได้และนำส่งใหแก่สถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบันดังกล่าว โดยสถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ต้องแยกบัญชีสำหรับเงินดังกล่าวต่างหากจากการดำเนินกิจการอื่นด้วย และเมื่อสถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ยุบเลิกเนื่องจากมีการจัดตั้งธนาคารที่ดินแล้ว การนำส่งเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะสิ้นสุดลง และให้โอนเงินเท่าที่เหลืออยู่ให้แก่ธนาคารที่ดินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 855 | ความคืบหน้าการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตาม การช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัย | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) โดยที่ประชุม คชอ. ได้มีการพิจารณาการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติจากสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ในประเด็นสำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความคืบหน้าการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ข้อมูล ณ วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๔ มีข้อมูลจำนวนครัวเรือนที่จังหวัดต่าง ๆ ได้ส่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และผ่านการตรวจสอบความถูกต้องแล้ว จำนวนประมาณ ๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน คาดว่าจะเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยได้ตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ๑.๒ ความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังจากเหตุอุทกภัย ดินโคลนถล่ม วาตภัย และคลื่นเซาะชายฝั่งในพื้นที่ภาคใต้ ได้ดำเนินการสร้างบ้านให้แก่ผู้ประสบภัยในชุดแรก จำนวนทั้งสิ้น ๒๓๕ หลัง ประกอบด้วย จังหวัดนครศรีธรรมราช ๑๙ หลัง สุราษฎร์ธานี ๗๐ หลัง กระบี่ ๑๑๙ หลัง ตรัง ๒๒ หลัง และสงขลา ๕ หลัง โดยเป็นการสร้างในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ทุกราย เริ่มก่อสร้างในวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๔ โดยใช้แบบบ้านของมูลนิธิซิเมนต์ไทย ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างประมาณ ๕๓ ล้านบาท โดยใช้เงินกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ๑.๓ การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายจากดินถล่มและการพัฒนาที่ดินสำหรับการเกษตรในระยะต่อไป ที่ประชุม คชอ. มีมติให้ทุกจังหวัดที่ประสบภัย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำรวจพื้นที่ที่ประสบภัยว่ามีจำนวนเท่าใด และจำแนกพื้นที่ให้ชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิเท่าใด และเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานเท่าใด และส่งข้อมูลให้ คชอ. ภายในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๔ เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการสร้างบ้านต่อไป สำหรับพืชหลักในพื้นที่การเกษตรที่ประสบภัย ได้แก่ ปาล์ม ยางพารา และไม้ผล ให้กรมพัฒนาที่ดินประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการในบางส่วนก่อน ๑.๔ การแก้ไขปัญหาขยะ และสิ่งแวดล้อม ภายหลังอุทกภัยและดินถล่ม เนื่องจากปัญหาระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะต้องรอระดับน้ำลดลงสู่ภาวะปกติ จึงจะสามารถเข้าตรวจสอบความเสียหายและประมาณการค่าเสียหายได้ โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้งบประมาณของตนเองในการซ่อมแซมไปก่อน แต่หากงบประมาณไม่เพียงพอให้ขอรับการสนับสนุนจากกระทรวงมหาดไทย ๑.๕ การขออนุมัติวงเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๗๑๑,๘๒๒,๗๐๐ บาท เพื่อดำเนินการตามแผนงานซ่อมแซมและฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ในส่วนของฝาย อาคารบังคับน้ำ พนังกั้นน้ำ สถานีสูบน้ำ คลองส่งน้ำ และคันคลองที่ชำรุด ที่ประชุม คชอ. มีมติให้กรมชลประทานประสานในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณในเรื่องของเงินเหลือจ่ายก่อน รวมทั้งให้กรมชลประทานและฝ่ายเลขานุการ คชอ. ประสานกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเกี่ยวกับโครงการด้านชลประทานที่ได้รับความเสียหายซึ่งได้ถ่ายโอนให้ อปท. และต้องใช้งบประมาณเทคนิคในการซ่อมแซมฟื้นฟูจำนวนมากเกินกำลังความสามารถของ อปท. โดยให้กรมชลประทานเข้าดำเนินการแทน อปท. ได้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ๑.๖ ความคืบหน้าการฟื้นฟูเส้นทางคมนาคมระยะเร่งด่วน ที่ประชุม คชอ. ได้มีมติให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทจัดทำรายละเอียดเส้นทางคมนาคมที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูเสนอให้พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๑.๗ การให้ความช่วยเหลือด้วยการให้วงเงินสินเชื่อผู้ประกอบการ การประกันสังคม และการประกันภัย ที่ประชุม คชอ. ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคใต้ หอการค้าไทย ได้แก่ การให้รัฐบาลสนับสนุนเงินกู้เฉพาะกิจเพื่อฟื้นฟูสำหรับภาคธุรกิจผ่านธนาคารของรัฐโดยงดเว้นการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน การเร่งรัดให้บริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้ประสบภัยภายใน ๑ เดือน การปล่อยเงินกู้กับผู้ประกอบการและผู้ใช้แรงงานจากกองทุนประกันสังคม การจัดสรรเงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรรายย่อยในกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตซืน้ำที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน การงดเว้นการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น เช่น ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ภาษีป้าย เป็นต้น รวมทั้งการเก็บกู้และการกำจัดซากขยะอินทรีย์บริเวณอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒. ส่วนผู้ประสบภัย จำนวน ๕๙๙ ราย ที่มีปัญหาอุปสรรคในเรื่องที่ดินเดิมของผู้ประสบภัยเป็นพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรืออยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ และยังไม่มีข้อยุติในเรื่องที่ดิน ทำให้การสร้างบ้านให้แก่ผู้ประสบภัยยังไม่สามารถดำเนินการได้ นั้น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องที่ดินดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 856 | ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 4 ฉบับ | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันพุธที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งให้เสนอร่างกฎหมาย รวม ๔ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ๒. ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๓. ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ๔. ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 857 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำ พ.ศ. .... | คค | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้การปักหลักเขตควบคุมทางน้ำริมที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือที่ดินที่มีสิทธิครอบครอง ให้เจ้าหน้าที่ปักหลักเขตควบคุมทางน้ำคู่กับหลักเขตที่ดิน หรือปักชิดแนวเขตที่ดินและให้เจ้าหน้าที่ทำบันทึกไว้เป็นหลักฐานพร้อมแผนที่สังเขปแสดงขอบเขตการปักตามแบบที่กรมเจ้าท่ากำหนด ๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์การปักหลักเขตควบคุมทางน้ำริมที่ดินมือเปล่า การปักหลักเขตควบคุมทางน้ำริมที่ดินที่มีที่งอกริมตลิ่ง และการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำในกรณีที่ดินริมทางน้ำสาธารณะเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ กรณีที่ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงหรือขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ โดยให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือที่ดินที่มีสิทธิครอบครองตามข้อ ๒ มาใช้บังคับ ๑.๓ กำหนดให้กรณีที่ดินริมทางน้ำสาธารณะถูกน้ำกัดเซาะ ก่อนจะดำเนินการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำ ให้เจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนพิสูจน์สิทธิก่อน ในกรณีที่ตรวจสอบพบว่ายังคงมีการครอบครองหรือแสดงสิทธิหวงกันอยู่ ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำตามแนวกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือสิทธิครอบครองที่ดินนั้น โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือที่ดินที่มีสิทธิครอบครองตามข้อ ๒ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำควรกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการระวังเขต และการแจ้งสิทธิ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้าก่อนที่จะมีการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำเพื่อความโปร่งใสและเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมทั้งการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำที่เป็นพื้นที่ต่อเนื่องจากพื้นที่ป่าชายเลน ควรมีการพิจารณาวิธีปักหลักเขตให้ชัดเจน โดยก่อนการปักหลักเขตควบคุมทางน้ำควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อตรวจสอบแนวเขตที่ดินก่อนว่าอยู่ในเขตป่าชายเลนหรือไม่ นอกจากนี้ ในการกำหนดขอบเขตทางน้ำสาธารณะที่ติดกับที่ดินสาธารณประโยชน์ทั้งที่มีและไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงควรให้นายอำเภอร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ตรวจสอบก่อนการปักหลักเขต และยังคงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดินและระเบียบกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้องด้วย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 858 | การขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 ในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ ที่มีกระแสไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) | มท | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่องการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) เฉพาะการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่างๆ ที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังและหามาตรการป้องกัน แก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นให้มีผลกระทบน้อยที่สุด รวมทั้งควรดำเนินการติดตามการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในช่วงก่อน ระหว่างภายหลังการดำเนินการวางสายเคเบิลใต้น้ำอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยควรประสานกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของเกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง ในการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมร่วมกับชุมชนในพื้นที่ เพื่อกำหนดทิศทางและควบคุมการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจ ท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นภายหลังการพัฒนาโครงการฯ ในส่วนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคควรดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเล ตลอดจนเพื่อให้การดำเนินโครงการอยู่บนฐานของการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ไปพิจารณาด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 859 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สผ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกต ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจ ควรดำเนินการประเมินการรายได้ของรัฐบาลให้มีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง และปรับปรุงเกณฑ์การคำนวณเงินเฟ้อให้สามารถสะท้อนระดับราคาสินค้าและการบริการในตลาดได้อย่างเหมาะสม ๑.๒ รายจ่ายเพื่อการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ ควรมีการตรวจสอบข้อมูลเอกสารประกอบคำขอรับการสนับสนุนงบประมาณอย่างถูกต้องรอบคอบ และให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า รวมทั้งดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณให้ถูกต้องตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยไม่สามารถแบ่งการดำเนินโครงการเป็นโครงการย่อยได้ ๑.๓ รายจ่ายเป็นเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ควรจัดสรรงบประมาณให้ อปท. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนผู้สูงอายุและผู้พิการหรือทุพพลภาพให้ได้รับเบี้ยยังชีพอย่างครบถ้วน ๑.๔ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ควรพิจารณาเรื่องการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินก่อนครบกำหนดโดยวิเคราะห์ด้วยความรอบคอบและคำนึงถึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต เพื่อระมัดระวังมิให้เกิดการขาดทุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกต ดังนี้ ๒.๑ ปรับลดงบประมาณในร่างมาตรา ๔ ร่างมาตรา ๗ และร่างมาตรา ๑๐ โดยแก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดงบประมาณ รวมทั้งได้กำหนดแหล่งที่มาของรายได้เพื่อชดใช้จ่ายจ่ายที่ได้ใช้เงินคงคลังจ่ายไปก่อน ๒.๒ นโยบายและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ควรคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศต่างๆ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการจัดเก็บภาษีไม่เป็นไปตามเป้าหมาย การจัดสรรงบประมาณควรดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส และกำหนดมาตรการป้องกันมิให้เกิดการทุจริต ๒.๓ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำแนกตามรายการค่าใช้จ่าย ดังนี้ ๒.๓.๑ รายจ่ายเพื่อการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการร่วมกันในการกำหนดแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓.๒ รายจ่ายเพื่อเป็นเงินอุดหนุนให้ อปท. เพื่อจัดสรรเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยยังชีพผู้พิการหรือทุพพลภาพ ควรกำหนดแนวทางและมาตรการที่ชัดเจนในการตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินตามโครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุและโครงการสนับสนุนการเสริมสร้างสวัสดิการทางสังคมให้แก่ผู้พิการหรือทุพพลภาพเพื่อให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ๒.๓.๓ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ต้องมีการตรวจสอบเงินที่กระจัดกระจายในภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำเงินดังกล่าวมาใช้แทนการกู้เงินต่างประเทศ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 860 | การวิจัยเรื่องการศึกษามาตรการป้องกันเพื่อปรับปรุงกระบวนการใช้อำนาจเกินขอบเขตกรณีเจ้าพนักงานตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานการวิจัยเรื่องการศึกษามาตรการป้องกันเพื่อปรับปรุงกระบวนการใช้อำนาจเกินขอบเขต กรณีเจ้าพนักงานตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และข้อเสนอแนะเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานตำรวจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) โดยในส่วนของข้อเสนอแนะเร่งด่วน มีดังนี้ ๑.๑ เร่งแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ โดยนำแนวคิดและหลักการของคณะกรรมการพัฒนาระบบงานของตำรวจมาศึกษาและปรับใช้ โดยเฉพาะในส่วนที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานฯ ได้นำเสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ แล้วในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขตามที่เสนอ ๑.๒ สนับสนุนแนวคิดการกำหนดให้ข้าราชการตำรวจมีทั้งประเภทมียศ และไม่มียศ ของคณะกรรมการพัฒนาระบบงานฯ ๑.๓ ให้มีการศึกษาถึงข้อดี ข้อเสีย ของการเป็นตำรวจประเภทมียศ และไม่มียศ รวมถึงการพิจารณาโครงสร้างการทำงานของพนักงานสอบสวนว่า ควรอยู่ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป หรือควรแยกออกมาเป็นหน่วยงานอิสระ และพิจารณาปรับฐานเงินเดือนและค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับหน่วยงานอื่นในกระบวนการยุติธรรมด้วยกัน ๑.๔ สนับสนุนแนวคิดการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณารับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจ โดยนำแนวคิดและโครงสร้างที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานฯ ได้นำเสนอไว้แล้วมาพิจารณา ๑.๕ พิจารณาปรับอัตรากำลังข้าราชการตำรวจ โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจชั้นประทวนที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยและใกล้ชิดกับประชาชนในระดับสถานีตำรวจ ให้มีจำนวนที่เพียงพอ และสมดุลกับปริมาณงาน ๑.๖ กำหนดระยะเวลาการอยู่ในสถานีตำรวจหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ให้มีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนกำลัง โดยเฉพาะชั้นประทวนในสถานีตำรวจ ๑.๗ ปรับอัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจให้มีความเป็นอยู่ที่เหมาะสม สามารถดำรงชีวิตตนเองและครอบครัวในสังคมได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ๑.๘ สนับสนุนโครงการตำรวจบ้าน โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจน ทั้งแหล่งที่มาของงบประมาณ (เช่น งบประมาณบางส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) การกำหนดค่าตอบแทนของตำรวจบ้านให้เทียบเท่าอาสาสมัครของหน่วยงานราชการหน่วยงานอื่น อย่างไรก็ตาม แนวคิดตำรวจบ้านควรเน้นการป้องกัน การตรวจตราในพื้นที่ ไม่ควรเน้นการใช้อาวุธหรือการปราบปราม ๑.๙ สนับสนุนแนวคิดกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (restorative justice) ด้วยการให้ชุมชนมีบทบาทในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งจะช่วยลดภาระของคดีที่จะเข้าสู่พนักงานสอบสวน และกระบวนการยุติธรรมในภาพรวม ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับรายงานและข้อเสนอแนะไปพิจารณาในรายละเอียด โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นควรพิจารณาปรับปรุงการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจกรณีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในรูปแบบต่าง ๆ และพิจารณาแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามข้อเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยเฉพาะเรื่องที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานฯ ได้นำเสนอไว้แล้ว เช่น การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ การกำหนดให้ข้าราชการตำรวจมีทั้งประเภทมียศ และไม่มียศ และการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณารับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจ เพื่อให้ปัญหาดังกล่าว ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม รวมทั้งเห็นควรเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาในมิติด้านการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมของข้าราชการตำรวจควบคู่ไปกับการปรับปรุงระบบเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการให้เหมาะสมและได้มาตรฐานในระหว่างบุคคลภาครัฐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
