ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 42 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 821 - 840 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 821 | รายงานผลการพิจารณาความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัย" | นร | 11/10/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นของและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรกำหนดนโยบาย การจัดสรรงบประมาณ และการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะการออกกฎหมายและวางมาตรการเพื่อสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้นำเรื่องของระบบการพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นวาระสำคัญในการกำหนดนโยบายของท้องถิ่นและจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ควรกำหนดนโยบายมาตรฐานเฉพาะสำหรับที่อยู่อาศัยและชุมชนในย่านที่อยู่อาศัยดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ มีคุณค่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และมีความหมายต่อชุมชนเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำที่เหมาะสมกับสภาพการณ์และบริบทเฉพาะชุมชน และมีความสอดคล้องกับกฎหมายข้อบังคับที่เป็นที่ยอมรับและสามารถปฏิบัติได้ทั้งในระดับท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๓. เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในชนบท ควรมีการส่งเสริมให้ประชาชนสร้างบ้านด้วยบล็อกประสานดินซีเมนต์ แทนบ้านไม้ ส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตบล็อกประสานภายในประเทศโดยใช้มาตรฐานการผลิตที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เป็นผู้กำหนด ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มของประชาชนในท้องถิ่นเพื่อผลิตบล็อกประสานดินซีเมนต์โดยผ่านกลไกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์บล็อกประสานและรับรองบล็อกประสานเป็นวัสดุก่อสร้างที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกับวัสดุก่อสร้างทั่วไป กำหนดนโยบายและส่งเสริมให้ธนาคารของรัฐสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับบ้านชนบทหลังละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ผ่อนชำระไม่เกินเดือนละ ๘๐๐ บาท (เพื่อไม่ให้ก่อหนี้มากเกินไป) จัดกรอบงบประมาณเพื่อพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยไปสู่โครงการบ้านมั่นคงเพิ่มขึ้น ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำกรอบงบประมาณเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ยากไร้ และผู้ไม่มีรายได้เพียงพอ และส่งเสริมการใช้นวัตกรรมอื่น ๆ ในการก่อสร้างบ้าน นอกเหนือจากบล็อก ประสาน เช่น ไม้ไผ่ ไม้ยางพารา ๔. เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในชุมชนแออัด ควรดำเนินมาตรการป้องกันการบุกรุกสร้างบ้านในพื้นที่สาธารณะด้วยการจัดทำผังเมืองและแสดงขอบเขตที่ชัดเจน และจัดทำประชาคมเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณะ พัฒนา และจัดสรรที่ดินในบริเวณใกล้เคียงที่เหมาะสในการสร้างที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างน้อย ควรส่งเสริมการลงทุนที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดให้เหมือนบ้านจัดสรร คือไม่เกินหน่วยละ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดการใช้พลังงานในการเดินทางด้วยรถยนต์จากชานเมืองสู่ใจกลางเมือง และควรส่งเสริมการลงทุนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างน้อยในหัวเมืองภูมิภาคให้เหมือนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล คือ ไม่เกินหลังละ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งอาคารชุดและบ้านจัดสรร
|
|||||||||||||||||||||
| 822 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องการร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และข้อมูลความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) รวมทั้งสิ้น ๓๐,๓๑๘ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือช่องทางเว็บไซต์ www.1111.go.th ช่องทางตู้ ปณ.๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์จำแนกตามประเภทเรื่องรวมทั้งสิ้น ๑๙,๙๕๓ เรื่อง โดยร้องทุกข์ในประเภทเรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือเหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียงดัง/กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากบ้านเรือนและผู้ประกอบการ และขอความช่วยเหลือเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน [ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด] รวมทั้งสิ้น ๖,๓๘๐ เรื่อง โดยหน่วยงานที่มีเรื่องร้องทุกข์ในความรับผิดชอบมากที่สุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการคลัง สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตาม อปท. และจังหวัด รวมทั้งสิ้น ๕,๒๘๙ เรื่อง โดยกรุงเทพมหานครมีเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด รองลงมาคือ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดสงขลา ๑.๕ ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งผ่านทางศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ ขอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งล่วงหน้าให้ชัดเจนและทั่วถึง การติดตั้งป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครบดบังทัศนวิสัยของผู้ใช้รถใช้ถนน การใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด ผู้มีสิทธิควรต้องลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเป็นรายครั้ง และไม่เห็นด้วยกับกรณีมีการติดตั้งป้ายรูปสัตว์ที่มีข้อความว่า “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” รวมทั้งการเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกากบาทที่ช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน (VOTE NO) เป็นต้น ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||
| 823 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินดำเนินการ ๑,๒๘๗,๐๐๔.๖๐ ล้านบาท แบ่งเป็น แผนการก่อหนี้ใหม่ ๔๖๙,๑๖๖.๗๖ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ ๖๔๐,๘๓๗.๘๔ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง ๑๗๗,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรบรรจุแผนการบริหารหนี้สาธารณะในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีวงเงินการก่อหนี้ค่อนข้างสูง เช่น กรุงเทพมหานคร และพัทยา ไว้ภายใต้กรอบวงเงินนี้ด้วย และควรพิจารณาทางเลือกในการกู้เงินสำหรับโครงการตามแผนการก่อหนี้ใหม่และความคุ้มค่าในการลงทุน รวมทั้งวิเคราะห์ศักยภาพการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ของหน่วยงานเจ้าของโครงการเพื่อลดภาระงบประมาณในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ หากมีการปรับแผนการบริหารหนี้สาธารณะในระหว่างปี ควรนำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรเป็นรายจ่ายเพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้แล้ว และผลการกู้เงินจริงเพื่อประกอบการพิจารณาปรับแผนฯ เพื่อให้การปรับแผนเป็นไปตามข้อเท็จจริงจากการดำเนินการและไม่กำหนดวงเงินกู้ที่เกินความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 824 | การรายงานความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ | พม | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน - ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดพิษณุโลก มีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน ๙ อำเภอ ๙๒ ตำบล ๘๔๒ หมู่บ้าน บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ จำนวน ๔๐,๘๕๙ ครัวเรือน ๑๒๒,๕๗๗ ราย มีผู้เสียชีวิต ๗ ราย พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ ๖๘๘,๘๓๗.๒๕ ไร่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ได้ดำเนินการจัดหาที่พักพิงชั่วคราว จำนวน ๑๙๗ ครัวเรือน มอบถุงยังชีพ จำนวน ๑๒๓,๗๐๙ ราย และเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท จำนวน ๒,๐๑๖ ราย เป็นเงิน ๑๐,๐๘๐,๐๐๐ บาท อยู่ระหว่างการพิจารณาช่วยเหลือ ๗,๒๒๑ ราย จ่ายค่าชดเชยพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ๖๕,๓๓๐.๗๕ ไร่ เป็นเงิน ๑๑๙.๖๙ ล้านบาท รวมทั้งการจัดทำบางระกำโมเดล เพื่อป้องกันและแก้ไขอย่างเป็นระบบทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว โดยดำเนินการปรับปรุงระบบผันน้ำยม - น่าน (Water way) โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ คลองผันน้ำสวรรคโลก - พิชัย พร้อมอาคาร งบประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท ขุดลอกคลองระบายน้ำ DR 2.8 และ DR 15.8 พร้อมปรับปรุงอาคาร งบประมาณ ๓๐ ล้านบาท และปรับปรุงประตูระบายน้ำบางแก้ว งบประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท ก่อสร้างแก้มลิง บึงตะเคร็ง งบประมาณ ๒๐๐ ล้านบาท และปรับปรุงแหล่งเก็บกักน้ำขนาดเล็ก ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัด ๒. จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน ๑๑ อำเภอ ๑๑๗ ตำบล ๑,๑๗๑ หมู่บ้าน บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ จำนวน ๙๐,๖๖๔ ครัวเรือน ๑๙๒,๐๓๕ ราย มีผู้เสียชีวิต ๕ ราย บ้านเรือนเสียหายบางส่วน จำนวน ๒ หลัง พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ ๗๘,๔๘๓ ไร่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ทางจังหวัดร่วมกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายการเมือง ได้จัดทีมสำรวจเยี่ยมครอบครัวผู้ประสบภัย ให้คำปรึกษาแนะนำและฟื้นฟูสภาพจิตใจ และการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยมอบถุงยังชีพ จำนวน ๒๕,๘๓๐ ราย และเงินสงเคราะห์ครอบครัว จำนวน ๕,๓๐๐ ราย ในพื้นที่ ๓๒ ตำบล นอกจากนี้ ได้เร่งรัดการก่อสร้างโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ๔ แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำก่อ ห้วยน้ำชุนใหญ่ ห้วยนา และคลองลำถง รวมทั้งขออนุมัติโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำแผนงานปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ จำนวน ๗ แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยเล็ง ห้วยท่าพล ห้วยน้ำชุนน้อย บ้านเสลี่ยงแห้ง ๓ ห้วยยาง บ้านนางั่ว ห้วยน้ำเฮี้ย และซับมะนาว รวมถึงจัดทำแผนการระบายน้ำและกำจัดสิ่งกีดขวางอย่างเป็นระบบ
|
|||||||||||||||||||||
| 825 | การตรวจเยี่ยมเพื่อติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดน่าน | กห | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจเยี่ยมเพื่อติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดน่าน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปผลการตรวจเยี่ยมได้ ดังนี้
๑. การตรวจติดตามสถานการณ์ทั่วไป ปัจจุบันสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดน่านคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และอยู่ระหว่างการฟื้นฟูสภาพความเสียหาย โดยจังหวัดน่านได้กำหนดยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาอุทกภัยโดยแบ่งพื้นที่เป็น ๓ ตอน ได้แก่ ตอนเหนือ ๗ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอบ่อเกลือ อำเภอสองแคว อำเภอทุ่งช้าง อำเภอเชียงกลาง อำเภอปัว และอำเภอท่าวังผา ใช้ยุทธศาสตร์การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ การวางระบบชะลอน้ำและการกักเก็บน้ำบางตอนไว้ ตอนกลาง ๕ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอแม่จริม อำเภอสันติสุข อำเภอบ้านหลวง และอำเภอภูเพียง ใช้ยุทธศาสตร์การระบายน้ำในพื้นที่เทศบาล การขุดสระ หนองน้ำ การยกขอบแนวกั้นน้ำ เหมืองฝาย และการจัดระบบน้ำสาขา และตอนใต้ ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเวียงสา อำเภอนาน้อย และอำเภอนาหมื่น ใช้ยุทธศาสตร์การระบายน้ำในแม่น้ำน่านให้ไหลไปยังเขื่อนสิริกิติ์โดยเร็ว ๒. การช่วยเหลือประชาชนของหน่วยทหาร ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ เป็นต้นมา ได้มีการช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่เกิดอุทกภัยในระลอกแรก โดยจัดกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และเครื่องมือต่าง ๆ ตามที่ได้แบ่งมอบพื้นที่รับผิดชอบในการขนย้ายสิ่งของหนีน้ำ โดยกองทัพภาคที่ ๓ สนับสนุนรถน้ำจัดทำน้ำดื่ม และกองบัญชาการช่วยรบที่ ๓ สนับสนุนรถครัวสนามจัดทำอาหารร้อนบรรจุกล่องแจกจ่ายในพื้นที่อำเภอเวียงสา และอำเภอท่าวังผา เมื่อน้ำลดลงได้ช่วยเหลือในการฟื้นฟู เก็บกวาดขยะ และสิ่งปฏิกูล โดยให้ความเร่งด่วนกับพระตำหนักธงน้อยของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับกองพลพัฒนาที่ ๓ และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๓๑ สนับสนุนการฟื้นฟูด้วยการซ่อมแซมถนนและตลิ่งที่พังทลายในพื้นที่อำเภอเวียงสา จนถึงปัจจุบัน ๓. ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สมควรได้รับการพิจารณาแก้ไขด้วยการบูรณาการทุกส่วนราชการ เพื่อให้สามารถป้องกันปัญหาอุทกภัยของจังหวัดน่านในระยะยาว ๓ ประการ มีดังนี้ ๓.๑ การใช้เงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดจะสามารถใช้ได้เมื่อเกิดภัยแล้ว และต้องประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ จึงทำให้การเตรียมการที่จะเผชิญกับอุทกภัยทำได้ไม่เต็มที่และไม่ทันเวลา ประกอบกับในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีหน่วยงานราชการที่สามารถคาดการณ์การเกิดอุทกภัยได้อย่างแม่นยำ จึงสมควรที่จะปรับปรุงระเบียบ และหลักเกณฑ์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถใช้งบประมาณจากเงินทดรองราชการในขั้นการป้องกัน เพื่อเตรียมการให้พร้อมก่อนเกิดภัย เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนได้ทันท่วงที ๓.๒ ปัจจุบันจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีการประสานแผนงานและโครงการในการบรรเทาอุทกภัยเพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสมควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณของตนเพื่อร่วมบูรณาการและลดข้อจำกัดด้านงบประมาณของทางจังหวัดในภาพรวม เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนได้ทันเวลา จึงสมควรให้กระทรวงมหาดไทยกำหนดแนวทางปฏิบัติระดับนโยบายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ในการบรรเทาภัยเยียวยาและชดเชยตามขีดความสามารถ ๓.๓ ปัญหาของเขื่อนธงน้อย ปัจจุบันเป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำไหลมากกว่าการใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยทางจังหวัดดำเนินการรวบรวมรายละเอียดเพื่อหาข้อสรุปและเสนอกระทรวงพลังงานทราบปัญหาต่อไป ส่วนการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ภูเขาควรได้รับการพัฒนาการอยู่รวมกันของคนกับป่า สำหรับการเพิ่มเติมฝายชะลอน้ำ การสร้างระบบเตือนภัยในพื้นที่ห่างไกล และการสร้างเส้นทางอพยพของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งทางจังหวัดน่านจะเสนอความต้องการงบประมาณจากรัฐบาลและขอรับการสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์จากจังหวัดทหารบกน่าน และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๓๑ สำนักงานพัฒนาภาค ๓ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 826 | รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี พ.ศ. 2552 | ปช | 20/09/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอ โดยสาระสำคัญของรายงานดังกล่าว ประกอบด้วยผลการปฏิบัติงานด้านปราบปรามการทุจริต ด้านป้องกันการทุจริต ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน และด้านบริหารจัดการองค์กร รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ รวม ๒ เรื่อง ดังนี้ ๑.๑ เรื่อง “คุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมือง” คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า ตามมาตรา ๓๐๔ บัญญัติให้ดำเนินการจัดทำประมวลจริยธรรมให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ โดยในส่วนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประเภทที่ ๑ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ได้จัดทำประมวลจริยธรรมของตนแล้วเสร็จ และได้ออกประกาศใช้บังคับแล้ว สำหรับของผู้ดำรงตำแหน่งประเภทที่ ๒ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่น ได้แก่ ผู้บริหารและสมาชิกสภาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทต่าง ๆ ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และท้องถิ่นที่มีลักษณะการปกครองแบบพิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ยังมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกเป็นจำนวนมากที่ยังมิได้จัดทำประมวลจริยธรรมของหน่วยงาน จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่รัฐบาลและรัฐสภาในฐานะผู้กำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติราชการของหน่วยงานของรัฐจะเร่งรัดให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวดำเนินการจัดทำประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฝ่ายบริหารและฝ่ายสภาหรือประมวลจริยธรรมของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเร็ว ๑.๒ เรื่อง “ปัญหาการทุจริตที่ดินของรัฐ” คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาด้านกฎหมายและระเบียบด้านนโยบาย ด้านการบริหารราชการ ด้านผู้มีอิทธิพลและอำนาจแฝง และด้านการบูรณาการกลไกภาคประชาสังคมในการป้องกันการทุจริตที่ดินของรัฐ เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตในการออกเอกสารสิทธิที่ดิน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อเสนอแนะเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมืองและเรื่องปัญหาการทุจริตที่ดินของรัฐ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 827 | วงเงินงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยขาดดุลจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๓๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กำหนดไว้ ๒,๑๖๙,๙๖๗.๕ ล้านบาท จำนวน ๑๖๐,๐๓๒.๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๔ โดยสาระสำคัญของงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๓๐,๐๐๐ ล้านบาท มีดังนี้ ๑.๑.๑ โครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๓๙,๖๕๓.๑ ล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๕๔,๐๐๘.๑ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๘๔,๔๕๐ ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๕๑,๘๘๘.๘ ล้านบาท ๑.๑.๒ รายได้สุทธิ จำนวน ๑,๙๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ งบประมาณขาดดุล จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ คิดเป็นร้อยละ ๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เทียบกับสัดส่วนร้อยละ ๓.๗ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ การกำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๘ ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๑.๓ การกำหนดแนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย การให้ความสำคัญในการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ การจัดลำดับความสำคัญของภารกิจที่จะเสนอของบประมาณและกำหนดเป้าหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็นและวงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด การให้กระทรวง/หน่วยงานพิจารณาทบทวนเพื่อชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับต่ำ หรือหมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและสถานการณ์ในปัจจุบัน การให้ความสำคัญกับการบูรณาการในการดำเนินภารกิจต่าง ๆ ทั้งในระดับกระทรวง/หน่วยงานและระหว่างกระทรวงเพื่อลดความซ้ำซ้อน การสนับสนุนงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับภารกิจของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่มีความพร้อม ๑.๔ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๒๒๓,๒๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับการจัดสรร จำนวน ๑๗๙,๙๐๗.๔ ล้านบาท เป็น จำนวน ๔๓,๒๙๒.๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๔.๑ ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ งบประมาณขาดดุล จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท นั้น ได้รวมวงเงินที่ต้องจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลเดิม จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาทไว้ด้วย จึงควรระบุข้อมูลให้ชัดเจน ๒.๒ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการกำหนดให้สนับสนุนงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ นั้น ให้สำนักงบประมาณประสานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการในการกำกับ ดูแล และติดตามการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสอดคล้องกับการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ๒.๓ ให้กระทรวงการคลังรับเรื่องการชำระดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ไปพิจารณาแนวทางการดำเนินการเรื่องนี้ร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 828 | รายงานการดำเนินการบริหารสถานการณ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กรณีอุทกภัย และโรค มือ เท้า ปาก | สธ | 30/08/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการดำเนินการบริหารสถานการณ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กรณีอุทกภัย และโรค มือ เท้า ปาก (Hand, foot and mouth disease) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการบริหารสถานการณ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กรณีอุทกภัย มีดังนี้ ๑.๑.๑ ให้สถานบริการดำเนินการ ๔ แผน คือ แผนป้องกันโรงพยาบาล แผนสำรองทรัพยากร แผนส่งต่อผู้ป่วย และแผนการปรับระบบบริการหากเกิดน้ำท่วม ๑.๑.๒ การสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์จากส่วนกลาง ยอดสะสม ยาชุดช่วยผู้ประสบภัย ๓๑๐,๕๐๐ ชุด ยาตำราหลวง ๒๐,๐๐๐ ชุด และยาแก้น้ำกัดเท้า จำนวน ๔๓,๐๐๐ ชุด เซรุ่มแก้พิษงู (งูเห่า ๑๐๐ หลอด งูแมวเซา ๑๐๐ หลอด งูเขียวหางไหม้ ๑๐๐ หลอด) ๑.๑.๓ การติดตามเฝ้าระวังในพื้นที่เห็นว่าควรแจ้งเตือนภัยสถานบริการสาธารณสุข ในระยะนี้โดยการโทรศัพท์ประสานกับสถานบริการสาธารณสุขของจังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงโดยตรง และการออกหนังสือแจ้งเวียนให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ระดับน้ำสูงขึ้นและป้องกันสถานบริการ หากมีแผนอยู่แล้วให้ทบทวนแผนป้องกันโรงพยาบาลให้พร้อมนำมาใช้งานและเฝ้าระวังระดับน้ำอย่างใกล้ชิด ๑.๑.๔ การเผยแพร่แนวทางการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยของโรงพยาบาลที่เคยประสบปัญหาและได้จัดทำแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ๑.๒ รายงานสถานการณ์โรค มือ เท้า ปาก (Hand, foot and mouth disease) โดยสรุปขณะนี้โรค มือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นโรคติดต่อในเด็กเล็ก กำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายประเทศในเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย คาดว่าปีนี้จะมีเด็กป่วยและเสียชีวิตมากกว่าปีก่อน ๆ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ประสานสั่งการ เร่งรัด การป้องกันและควบคุมโรคทั่วประเทศ โดยขอความร่วมมือจากหน่วยราชการและหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงศึกษาธิการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกำลังติดตามสถานการณ์เพื่อประสานสนับสนุนการป้องกันและควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขขอการสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรีในการมอบหมายกำชับ ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือและสนับสนุนการป้องกันและควบคุม เพื่อลดการป่วยและเสียชีวิตจากโรค มือ เท้า ปาก ของเด็กในประเทศไทย ให้ได้ผลดีที่สุด ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขแก่ประชาชนและผู้ป่วยในพื้นที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งได้ติดตามและเฝ้าระวังโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น น้ำกัดเท้า ไข้หวัด ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนัง และอาการปวดศรีษะ โดยเฉพาะโรค มือ เท้า ปาก ซึ่งได้ติดตามและเฝ้าระวังโรคนี้เป็นกรณีพิเศษ พร้อมทั้งได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย ๓. เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการติดตามและเฝ้าระวังโรคต่าง ๆ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขแก่ประชาชนและผู้ป่วยในพื้นที่ประสบอุทกภัยต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 829 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ 1/2554 | นร | 20/06/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (คณะกรรมการ กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการ กพอ. เสนอ โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม ๔ เรื่อง สรุปได้ ดังนี้
๑. ความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหามาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียงในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา (มกราคม ๒๕๕๒ - พฤษภาคม ๒๕๕๔) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๗ แผนงาน ๗๑ โครงการ การแก้ไขปัญหาการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (คณะกรรมการ ๔ ฝ่าย) เพื่อดำเนินการจัดทำแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฯ การแก้ไขปัญหาสุขภาพประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษ ปัญหาขาดแคลนน้ำประปา ปัญหาขยะ ปัญหาความไม่มั่นใจเรื่องคุณภาพอากาศ น้ำ และการลดมลพิษ รวมทั้งการเร่งรัดแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งมลพิษ อาทิ การกำหนดประเภทอุตสาหกรรม/กิจกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ การทบทวนนโยบายและมาตรการการส่งเสริมการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรม/กิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่มาบตาพุด และการพิจารณาปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอนุมัติ อนุญาต การลดและขจัดมลพิษ และการสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายสำหรับควบคุมสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) จากแหล่งกำเนิดที่ยังไม่มีมาตรฐานควบคุม เป็นต้น และความร่วมมือของภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหามาบตาพุด ประกอบด้วย การจัดทำแผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๖ ของภาคเอกชน การจัดสร้างสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเพิ่มเติมรวม ๔ สถานี และการจัดทำแนวป้องกัน (Protection Strip) ระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชน ๒. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาบตาพุด จากการติดตามสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมจากผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจาก ๙ สถานี พบสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ๓ ชนิด มีค่าเกินมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศในบางจุดตรวจวัด ส่วนการตรวจวัดคุณภาพน้ำและการแก้ไขปัญหาปนเปื้อนน้ำใต้ดิน ได้แก่ คลองสาธารณะ จำนวน ๓๘ จุด ครอบคลุมคลองสาธารณะ ๑๖ สาย คุณภาพน้ำยังคงอยู่ในระดับเสื่อมโทรม ๓. สถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดระยอง - ชลบุรี โดยปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางในพื้นที่ รวม ๑๗ แห่ง ณ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ คิดเป็นร้อยละ ๗๓.๙๓ ของความจุอ่างเก็บน้ำทั้งหมด ส่วนความก้าวหน้าโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างดำเนินงานรวมทั้งสิ้น ๖ โครงการ รวมปริมาณน้ำต้นทุนที่จะสามารถเพิ่มเข้ามาในระบบได้สูงสุดประมาณ ๒๓๕ - ๒๕๕ ล้าน ลบ.ม./ปี ๔. ความก้าวหน้าการจัดทำแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร ๖ แนวทาง ได้แก่ พัฒนากิจการที่เป็นมิตรต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่สิ่งแวดล้อม การส่งเสริมการยกระดับคุณภาพการศึกษาเฉพาะทาง การบริการสาธารณสุขเฉพาะโรค และคุณภาพชีวิต การพัฒนาสู่อุตสาหกรรมนิเวศ การพัฒนาขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานและจัดสรรการใช้ประโยชน์อย่างครบวงจร การวางผังเมืองอย่างมีหลักการและเหตุผลที่ชัดเจน และการบริหารจัดการ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมคณะกรรมการ กพอ. ที่เห็นควรมีแผนงานและงบประมาณที่ชัดเจนในการกำกับดูแลและแก้ไขปัญหา การผลักดันการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดการพัฒนาสู่เมืองอุตสาหกรรมนิเวศอย่างสมบูรณ์แบบ การจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพจังหวัดระยอง การปรับปรุงแนวทางการจัดสรรรายได้ให้ท้องถิ่น การพิจารณามาตรการชดเชยเพื่อเยียวยาเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดโรงงาน การกำหนดพื้นที่ชุมชนในอนาคตที่จะดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาวะที่ดี และการคุ้มครองพื้นที่ชายฝั่งทะเล เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงตามความเหมาะสมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 830 | รายงานประจำปี 2553 (คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) | นร | 14/06/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) โดยสาระสำคัญของรายงานฯ มีดังนี้
๑. ผลการปฏิบัติงานการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ประกอบด้วย ๑.๑ การกระจายอำนาจด้านภารกิจ และอำนาจหน้าที่ ได้แก่ การถ่ายโอนภารกิจตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยมีภารกิจที่ถ่ายโอนแล้วจำนวน ๕๗ งาน/กิจกรรม/โครงการ การดำเนินการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่ อปท. โดยในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๓ มีการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษา รวม ๔๗๕ แห่ง การกระจายอำนาจหน้าที่ด้านสาธารณสุขไปสู่ อปท. การทบทวนและจัดทำแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการขยายระยะเวลาการบังคับใช้แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) ๑.๒ การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ ได้แก่ การกำหนดสัดส่วนรายได้ของ อปท. ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาล การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีให้แก่ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจสำหรับการดำเนินงานตามแผนชุมชนและแผนพัฒนา การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปตามโครงการเงินอุดหนุนสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ อปท. ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และการประมาณการรายได้ให้แก่ อปท. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๓ การถ่ายโอนบุคลากรให้แก่ อปท. ได้แก่ การพิจารณาอัตรากำลังถ่ายโอนให้แก่ อปท. ตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการที่ดีของสถานสงเคราะห์คนชรา การถ่ายโอนบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขให้แก่ อปท. เป็นต้น ๑.๔ การดำเนินการแก้ไขกฎหมาย ได้แก่ การจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. รวม ๔ ฉบับ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) จำนวน ๓ ฉบับ การจัดทำประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒ ฉบับ และการจัดทำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ๑.๕ การติดตามประเมินผล ได้แก่ การตรวจติดตามสถานศึกษาที่ถ่ายโอนให้แก่ อปท. การติดตามผลการดำเนินการตามเงื่อนไขบังคับหลังผ่านเกณฑ์ประเมินความพร้อม และถ่ายโอนสถานศึกษาของ อปท. รวมทั้งการติดตามและประเมินผลการกระจายอำนาจ ๒. ผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ การพัฒนาและฝึกอบรมด้านต่าง ๆ และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
|
|||||||||||||||||||||
| 831 | รายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 2/2554 และครั้งที่ 3/2554 | นร | 14/06/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ บทบาทและภารกิจของกระทรวงมหาดไทย การบูรณาการการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ (Area Intergrated Development) การสนับสนุนการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ การเตรียมการรับภัยพิบัติ ความคืบหน้าและพิจารณาข้อดี ข้อเสียของกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจกฎหมายรายได้ท้องถิ่น กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาทุจริตกรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ และเรื่องคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ๒. รับทราบรายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ บทบาทและภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศ ความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน การดำเนินการเรื่องการปักปันเขตแดน และภารกิจการคุ้มครองช่วยเหลือคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศ เช่น กรณีประเทศอียิปต์ ประเทศลิเบีย และประเทศญี่ปุ่น
|
|||||||||||||||||||||
| 832 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการนครแม่สอด พ.ศ. .... | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการนครแม่สอด พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้พื้นที่ในส่วนของเทศบาลนครแม่สอด และเทศบาลตำบลท่าสายลวด จังหวัดตาก ซึ่งมีศักยภาพในการเป็นประตูเศรษฐกิจที่จะเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และสามารถพัฒนาให้เป็นฐานในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ได้จัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เพื่อให้สามารถจัดบริการสาธารณะที่มีคุณภาพแก่ประชาชนและรองรับการเจริญเติบโตของพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 833 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติรวม ๗ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในทางแพ่งเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (โอนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชไปรวมกับกรมป่าไม้) ๑.๗ ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันอังคารที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๓ ปีที่ ๔ ครั้งที่ ๒๘ (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษ วันพุธที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||
| 834 | แผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2555 - 2559) | อก | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่จัดทำเพื่อมุ่งสู่ความเป็นสากลของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แก้ไขปัญหาทั้งภายในและภายนอกวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังคงมีอยู่จากการพัฒนาที่ผ่านมา รวมทั้งขยายผลการดำเนินการในประเด็นที่มีความสำคัญต่อเนื่องจากแผนการส่งเสริมฯ ฉบับที่ ๑ และ ๒ ตลอดจนกำหนดแนวทางฟื้นฟูบรรเทาผลกระทบของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อรองรับเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมียุทธศาสตร์เพื่อรองรับการส่งเสริม ๔ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การสนับสนุนปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ยุทธศาสตร์การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยให้เติบโตอย่างสมดุลตามศักยภาพของพื้นที่ และยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยให้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ให้ใช้แผนดังกล่าวเป็นกรอบการดำเนินงานหลักที่ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และองค์การเอกชนที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการแปลงแผนลงสู่การปฏิบัติควรมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมและสร้างความเชื่อมโยงในทุกระดับของการปฏิบัติทั้งระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น โดยมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเกิดการบูรณาการและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนฯ หากมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นในแต่ละปีและสอดคล้องกับภารกิจ โดยการกำหนดเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ควรมีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมทุกหน่วยงาน และการกำหนดกลยุทธ์ควรเน้นความสำคัญของการสนับสนุนจากระดับนโยบายให้ชัดเจน รวมทั้งควรกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบในการนำแผนไปสู่การปฏิบัติให้ตรงตามภารกิจ เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 835 | แนวทางการปรับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น | มท | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล โดยให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาปรับเงินเดือนและค่าตอบแทนดังกล่าวไม่เกินร้อยละ ๒๐ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนดังกล่าวไม่เกินร้อยละ ๒๐ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินเพิ่ม เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร และกรรมการที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราเงินเดือนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และกรรมการของสภากรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงบัญชีเงินประจำตำแหน่งและเงินตอบแทนของประธานสภากรุงเทพมหานคร รองประธานสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ประธานสภาเขต และสมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และแก้ไขการลดเงินประจำตำแหน่งและเงินตอบแทนของประธานสภากรุงเทพมหานคร รองประธานสภากรุงเทพมหานคร หรือสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณีขาดการประชุมเกินหนึ่งในสี่ของจำนวนวันที่มีการประชุมในสมัยประชุมนั้น ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการปรับค่าตอบแทนดังกล่าว เห็นควรให้ใช้จ่ายเงินรายได้ของกรุงเทพมหานคร องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ การปรับเพิ่มค่าตอบแทนควรกำหนดเงื่อนไขให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งพิจารณารักษาสัดส่วนของงบลงทุนต่องบประมาณตามข้อบัญญัติหรือเทศบัญญัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และดำเนินการปรับลดรายจ่ายประจำที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานและพัฒนาการจัดเก็บรายได้ให้เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 836 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีโครงการบำบัดน้ำเสียปริมณฑลส่วนเหนือ ขั้นที่ 1 (คูคต-ประชาธิปัตย์) และโครงการบำบัดน้ำเสียอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ | ทส | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เรื่อง ขออนุมัติแผนงานโครงการบำบัดน้ำเสียปริมณฑลส่วนเหนือ ขั้นที่ ๑ (คูคต - ประชาธิปัตย์) และโครงการบำบัดน้ำเสียอ้อมน้อย - อ้อมใหญ่ ตามข้อเสนอของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การจัดการน้ำเสีย) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาทบทวนและจัดทำรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนผลการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ของโครงการให้เป็นปัจจุบัน ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องการบำบัดน้ำเสียกับชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งทั้งในระหว่างการก่อสร้างและระยะดำเนินการ การวางแผนการจัดเก็บค่าบริการให้ชัดเจนโดยอาจพิจารณาร่วมกับการประปาผู้จ่ายน้ำ เพื่อให้การดำเนินการในระยะยาวไม่เป็นภาระกับรัฐ การพิจารณานำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับไปใช้ประโยชน์โดยอาจขายเป็นน้ำสำหรับหล่อเย็นให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมบริเวณใกล้เคียง การวางแผนศึกษาการใช้ประโยชน์จากกากตะกอน (sludge) ที่เกิดจากการบำบัดน้ำเสียเพื่อให้เกิดการยอมรับจากชุมชนใกล้เคียงและลดปัญหาเรื่องกลิ่นจากการตกค้างของตะกอนไปพร้อมกัน การทบทวนผลการวิเคราะห์ผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจและด้านการเงินของโครงการให้เป็นปัจจุบัน นอกจากนี้ เห็นควรให้องค์การจัดการน้ำเสียจัดทำรายละเอียดภาพรวมการลงทุนและวงเงินลงทุนของทั้งสองโครงการ ปริมาณน้ำเสีย ปริมาณกากตะกอน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและผลตอบแทนโครงการด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และเร่งสร้างขีดความสามารถและความพร้อมของท้องถิ่นในการรับโอนระบบบำบัดน้ำเสียทั้งด้านเทคนิค การเดินระบบ การบำรุงรักษาระบบ รวมทั้งการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของหน่วยงานส่วนท้องถิ่นในการให้บริการสาธารณะของตนเองได้มากขึ้นและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
| 837 | การนำเสนอร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2559 ต่อคณะรัฐมนตรี | พม | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน และเป็นกรอบแนวทางในการติดตามประเมินผลการนำแผนไปสู่การปฏิบัติของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ โดยร่างแผนพัฒนาฯ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การสร้างภูมิคุ้มกันในการดำรงชีวิตของเด็กและเยาวชน ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การคุ้มครองและพัฒนาเด็กที่ต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษและเด็กพิเศษ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ส่งเสริมและสนับสนุนความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กและเยาวชน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาระบบบริหารจัดการในการคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เห็นควรแก้ไขสาระสำคัญของมาตรการย่อยในยุทธศาสตร์ที่ ๑ ความว่า “ทบทวนการเลื่อนชั้นเรียนโดยอัตโนมัติ พร้อมกับให้มีการใช้กระบวนการเยียวยา การสอนซ่อมเสริม (remedial teaching) เด็กที่มีปัญหาการเรียน อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้” เป็น “ส่งเสริมให้ใช้กระบวนการเยียวยา เช่น การสอนซ่อมเสริม (remedial teaching) หรือการจัดคลินิกภาษา เป็นต้น ให้กับเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการเรียน อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้”ส่วนการกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในท้องถิ่น เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๘๑ บัญญัติให้รัฐต้องให้ความเป็นอิสระแก่ อปท. ย่อมมีอำนาจหน้าที่โดยทั่วไปในการดูแลและจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น และย่อมมีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายการบริหาร การจัดบริการสาธารณะ การบริหารงานบุคคล การเงินการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ ดังนั้น หากคณะรัฐมนตรีอนุมัติร่างแผนฯ และประกาศบังคับใช้แล้ว สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพัฒนาเด็ก หรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดควรประสานและชี้แจงทำความเข้าใจกับ อปท. ให้คำนึงถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่ประชาชนได้รับเป็นหลักต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 838 | ขออนุมัติหลักการก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัด | กก | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัดให้ได้มาตรฐานระดับต่าง ๆ รวม ๙ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดชลบุรี ศรีสะเกษ อุดรธานี บึงกาฬ กระบี่ ยะลา แม่ฮ่องสอน ลำปาง และสุโขทัย เพื่อรองรับการฝึกซ้อม การแข่งขันกีฬาและการจัดกิจกรรมกีฬา ตั้งแต่ระดับจังหวัด ระดับภาค ระดับชาติ ไปจนถึงระดับนานาชาติ รวมทั้งให้บริการแก่ประชาชนได้ใช้สถานที่ในการออกกำลังกายและเล่นกีฬา ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและความเป็นไปได้ในการพิจารณาใช้สนามกีฬาที่มีอยู่แล้วในจังหวัดมาทดแทน เพื่อจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นในการก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัดให้เหมาะสม ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการเลือกสถานที่ก่อสร้างให้เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ทักษะด้านกีฬา นันทนาการ การบริหารจัดการให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยคำนึงถึงการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ตลอดจนการดูแลรักษาในระยะยาวเพื่อนำมาประกอบการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน รวมทั้งประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนในการสนับสนุนการก่อสร้างสนามกีฬาร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีมาตรการสนับสนุน เช่น มาตรการในการสร้างแรงจูงใจทางภาพลักษณ์ขององค์กร หรือมาตรการทางด้านภาษีเป็นการตอบแทน เป็นต้น ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งที่เป็นกิจกรรมเสริมของธุรกิจเอกชนเพื่อตอบแทนสังคม (CSR) เพื่อลดภาระด้านงบประมาณของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 839 | โครงการทศวรรษการผลิตและพัฒนากำลังคนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พ.ศ. 2555 - 2564 | สธ | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการทศวรรษการผลิตและพัฒนากำลังคนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔ โดยมีเป้าหมายการผลิตบุคลกรจำนวนมาก ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข (ทันตสาธารณสุข) นักวิชาการสาธารณสุข นักการแพทย์แผนไทย และพยาบาลเวชปฏิบัติ เพื่อปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. โดยที่โครงการฯ ตามข้อ ๑ เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้ระยะเวลาดำเนินการถึง ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) รวมทั้งจะใช้เงินงบประมาณจำนวนมาก จึงมอบให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการดำเนินงานของโครงการฯ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ และคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเกี่ยวกับการจัดระบบสนับสนุนในการทำงานที่เหมาะสมควบคู่กับการผลิตบุคลากรเพิ่มเพื่อสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรสามารถคงอยู่ในระบบและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดให้มีตำแหน่งข้าราชการรองรับ มีระบบสวัสดิการ และค่าตอบแทนที่เหมาะสม เป็นต้น การวางระบบความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career path) โดยเปิดโอกาสให้บุคลากรด้านสาธารณสุขทุกประเภทมีโอกาสพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง การประสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพและความพร้อมในการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการผลิตและพัฒนาบุคลากรโดยคำนึงถึงคนในพื้นที่เป็นหลัก รวมทั้งการทบทวนบทบาทภารกิจของ รพ.สต. เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับผิดชอบภารกิจด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสภาพ และการรักษาพยาบาลเบื้องต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 840 | ขออนุมัติจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอ | มท | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้มีการจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา แทนการจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอเพิ่มเติม และให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพในการพิจารณาคัดเลือกพื้นที่จังหวัดรวมถึงจำนวนจังหวัดที่เหมาะสมที่จะจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่ ไปดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการขออนุมัติอัตรากำลังของข้าราชการเพิ่มอำเภอละ ๓ อัตรา จะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖) ซึ่งมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐดังกล่าวได้กำหนดมาตรการปกติ โดยไม่ให้เพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ยกเว้นกรณีจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ โดยให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เน้นการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างเครือข่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมของประชาชนในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตลอดจนฝึกอบรมและฝึกปฏิบัติในการป้องกันบรรเทาสาธารณภัย การช่วยเหลือผู้ประสบภัยและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ให้ท้องถิ่น นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยควรมีบทบาทในการพัฒนาศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถตอบสนองวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการจัดการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ ตามกรอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ รวมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติระดับอำเภอที่ชัดเจน เพื่อให้การบูรณาการเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการจัดตั้งให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||
.....
