ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 45 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 881 - 900 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 881 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2554 | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการพิจารณาผลการศึกษาเบื้องต้นศักยภาพในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่มาบตาพุด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการ รศก. ดังนี้ ๒.๑ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการ รศก. ไปประกอบการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ ให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดประเภทอุตสาหกรรม/กิจกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ โดยเฉพาะสารอินทรีย์ระเหยง่ายให้แล้วเสร็จภายใน ๒ สัปดาห์ ๒.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) พิจารณาทบทวนนโยบายและมาตรการการส่งเสริมการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรม/กิจกรรมประเภทต่าง ๆ ในพื้นที่มาบตาพุด ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะต้องส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม/กิจกรรมใหม่ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ หรืออุตสาหกรรม/กิจกรรมเดิมที่ใช้เทคโนโลยีในการลดมลพิษโดยเฉพาะสารอินทรีย์ระเหยง่าย ๒.๑.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอนุมัติ อนุญาต การลดและขจัดมลพิษ และสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายสำหรับควบคุมสารอินทรีย์ระเหยง่ายจากแหล่งกำเนิดที่ยังไม่มีมาตรฐานควบคุม ๒.๑.๔ ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ จังหวัดระยอง เพื่อศึกษาศักยภาพและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมพื้นที่จังหวัดระยอง และเสนอแนะแนวทางเลือกที่เหมาะสมบนพื้นฐานการยอมรับของประชาชนและศักยภาพการรองรับของพื้นที่ ๒.๒ ให้มีศูนย์อำนวยการระดับพื้นที่ ซึ่งประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเป็นประธาน ผู้แทนระดับสูงที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาอุตสาหกรรมในมาบตาพุดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติงานประจำที่ศูนย์อำนวยการระดับพื้นที่ อย่างน้อย ๓ ปี เพื่อทำหน้าที่ (๑) ควบคุมให้มีการดำเนินการตามมาตรการควบคุมมลพิษอย่างเข้มงวด (๒) กำกับให้โรงงาน/กิจการทุกประเภทมีการปฏิบัติตามมาตรการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม [Environmental Impact Assessment (EIA)] กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด (๓) สนับสนุนให้เกิดเครือข่ายระหว่างชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นักวิชาการและภาครัฐ เพื่อเฝ้าระวังมลพิษ (๔) ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานให้ทุกภาคส่วนทราบ (๕) แก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษทางอากาศและทางน้ำ รวมถึงปัญหาด้านสาธารณสุขและการศึกษา และรายงานต่อคณะอนุกรรมการติดตามรายงานผลการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อดำเนินการติดตามแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงมหาดไทยจัดทำรายละเอียดของอำนาจหน้าที่และการจัดตั้งศูนย์อำนวยการฯ และนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ รศก. พิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 882 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม โดยได้มีการพิจารณาทบทวนรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อคัดเลือกโครงการหรือรายการที่เป็นงบลงทุนตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความเสียหายและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ จำนวน ๙,๙๐๐ ล้านบาท รวมทั้งการกำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและโครงสร้างแผนงานเพื่อรองรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ และแผนงานฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ ทั้งนี้ รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๘๔,๑๔๒.๖ ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายเป็นเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๕,๙๕๗.๔ ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยยังชีพผู้พิการหรือทุพพลภาพ และงบประมาณรายจ่ายสำหรับส่วนราชการในการฟื้นฟูความเสียหายและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ จำนวน ๙,๙๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... พร้อมเอกสารงบประมาณ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินงานและระยะเวลาที่ได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับข้อพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ แล้ว ๑.๔ คำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานนั้น ๆ ๒. ให้นำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 883 | การแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ตามแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | ทก | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ตามแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สัญญาร่วมลงทุนจัดตั้งโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงตามเส้นทางรถไฟ ระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท คอม - ลิงค์ จำกัด ได้แก่ การแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม/การจัดทำข้อตกลงแนบท้ายสัญญา (จำนวน ๒ ครั้ง) ๑.๑.๑ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๑ เรื่อง เปลี่ยนแปลงที่อยู่ในการส่งหนังสือ หรือคำบอกกล่าว และการแก้ไขปรับปรุงจุดเชื่อมโยงระบบของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อลดความหนาแน่นของปริมาณ Traffic (เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖) ๑.๑.๒ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๒ เรื่อง การติดตั้งวงจรเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงระบบเคเบิลใยแก้วนำแสงตามเส้นทางรถไฟภายในท้องถิ่น และการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณส่วนแบ่งรายได้เฉพาะส่วนท้องถิ่น (เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๔) ๑.๒ สัญญาร่วมลงทุนสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับบริษัท จัสมิน ซับมารีน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ได้แก่ การแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม/การจัดทำข้อตกลงแนบท้ายสัญญา (ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๔ และสัญญาร่วมดำเนินการฯ) ๑.๒.๑ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๑ เรื่อง ย้ายจุดเชื่อมโยง และจุดขึ้นฝั่ง สำหรับวงจรท้องถิ่น (เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๗) ๑.๒.๒ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๔ เรื่อง การปรับปรุงโครงข่าย จาก ๔ ระดับ เป็น ๒ ระดับ เพื่อให้มีวงจรใช้งานเพิ่มขึ้น (เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๕) ๑.๒.๓ การจัดทำสัญญาร่วมดำเนินการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำฝั่งทะเลด้านตะวันออก (เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๗) ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ที่เห็นควรให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เตรียมความพร้อมในการรับมอบทรัพย์สิน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่กำหนดในสัญญา และเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและแผนการให้บริการในระยะต่อไป เพื่อให้การบริการโครงข่ายมีความต่อเนื่อง และให้รัฐวิสาหกิจที่ทำสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัทเอกชนปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถติดตามกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามสัญญา โดยเฉพาะการตรวจสอบส่งมอบทรัพย์สินและการแบ่งผลประโยชน์ให้แก่ภาครัฐ เพื่อดำเนินงานเป็นไปตามสัญญา ทั้งนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินโครงการหรือแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเสนอคณะกรรมการประสานงานตามมาตรา ๒๒ พิจารณา หากคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยจะต้องรายงานต่อรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดตามมาตรา ๒๓ (๒) และหากการแก้ไขดังกล่าวมีผลเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการหรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของรัฐ รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดก็ชอบที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว หน่วยงานเจ้าของโครงการจึงจะลงนามแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 884 | ขออนุมัติใช้ประโยชน์ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และขอกันเขตพื้นที่ออกจากพื้นที่ป่า เพื่อการอนุรักษ์ เพื่อการทำเหมืองหินอุตสาหกรรม | อก | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ใช้ประโยชน์ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมบริเวณเขาหนองโอ่ง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี โดยให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๘ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดชั้นของป่าต้นน้ำลำธารและการทำเหมืองในพื้นที่ป่าปิด) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการให้ผู้ได้รับอนุญาตประทานบัตรจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาตามขั้นตอนก่อนดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรจัดให้มีกระบวนการรับฟังความเห็นของราษฎรในพื้นที่ และความเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการพิจารณาเพื่อประโยชน์ในการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดไว้ และเป็นสื่อกลางในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการใช้ประโยชน์ในพื้นที่กับประชาชน รวมทั้งปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และให้มีกองทุนสุขภาพอนามัยในช่วงการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อประกันความเสี่ยงสุขภาพของพนักงานและราษฎรบริเวณใกล้เคียง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๒. กรณีการขออนุมัติใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ๑ บีอาร์ บริเวณเขาคลองโกน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาทบทวนและตรวจสอบข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศิลปากร อีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 885 | การดำเนินงานโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ปี 2553 | มท | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง เงินค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ที่ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการเกี่ยวกับขั้นตอนการจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตามขั้นตอนเดิม โดยจังหวัดโอนเงินไปให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จากนั้น อบจ. โอนให้สาธารณสุขจังหวัด เพื่อจะได้จัดสรรให้ อสม. ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ปี ๒๕๕๓ โดยไม่รวมอยู่ในงบประมาณที่อยู่ในสัดส่วนของเงินอุดหนุนที่รัฐต้องจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 886 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 กันยายน 2553 [เรื่อง การยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย] | กษ | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน จากองค์กรส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) สรุปได้ ดังนี้
๑. อ.ส.ค. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ และวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ให้กับกรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนสำหรับภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๓ และก่อนปิดภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๓ ซึ่งปฏิบัติไปตามแนวทางการปฏิบัติเดิม เนื่องจากได้ดำเนินการจัดซื้อไปก่อนแล้ว ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้ชี้แจงว่า กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีโดยจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนจาก อ.ส.ค. ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ส่วนการจัดซื้อก่อนวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เป็นดุลยพินิจของหน่วยงานจัดซื้อที่จะปฏิบัติตามแนวทางเดิมได้ โดยให้ อ.ส.ค. แจ้งความจำนงพร้อมข้อมูลประกอบการพิจารณาให้ชัดเจนว่าประสงค์จะขอผ่อนผันสำหรับการจัดซื้อจำนวนกี่ครั้ง และแต่ละครั้งมีวงเงินเท่าใด ๒. คณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนได้พิจารณาตามข้อ ๑ และมีมติให้กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความประสงค์จะขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีจัดส่งข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาของกรมบัญชีกลางให้ อ.ส.ค. ดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 887 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๘๐,๐๐๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๗ ๒. แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้กำหนดแนวทางโดยสรุป ดังนี้ ๒.๑ สนับสนุนการเข้าสู่งบประมาณดุล โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้และวางแผนการลดค่าใช้จ่าย ส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) รวมทั้งบริหารจัดการเงินนอกงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒.๒ ให้ความสำคัญต่อการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ๒.๓ จัดลำดับความสำคัญของภารกิจที่จะเสนอของบประมาณ โดยคำนึงถึงความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณ ๒.๔ วิเคราะห์ความจำเป็นเร่งด่วน ความสำคัญ ความคุ้มค่า และจำนวนผู้ได้รับประโยชน์ ๒.๕ สนับสนุนงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับภารกิจของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่มีความพร้อม และสอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ของประเทศ ๓. การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒๐๐,๔๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับการจัดสรร ๑๗๓,๙๕๐ ล้านบาท เป็นจำนวน ๒๖,๔๕๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 888 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา ที่จังหวัดยะลา | อก | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา ที่จังหวัดยะลา ตามคำขอที่ ๑/๒๕๔๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกี่ยวกับการนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๑๒๓๓๗/๑๕๒๗๒) ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๓/๒๕๕๒ (ประทานบัตรที่ ๓๑๕๓๐/๑๕๒๓๖) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตั้งอยู่ที่ตำบลลิดล อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านโครงการเหมืองแร่ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วไว้ ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๒ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 889 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้กรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่นอย่างน้อยต้องมีผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนึ่งคน ผู้แทนสมาชิกสภาเทศบาลหนึ่งคน และผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนึ่งคนหรือสองคนแล้วแต่กรณี ๑.๒ กำหนดวิธีการสรรหากรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่น การจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกและบัญชีรายชื่อสำรอง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการก่อนครบวาระ ๑.๓ กำหนดบทเฉพาะกาล ให้กรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่นปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะครบวาระ และกรณียังไม่มีบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำเนินการสรรหาภายใน ๖๐ วัน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มผู้แทนสมาชิกสภาเมืองพัทยา เป็นกรรมการในคณะกรรมการธรรมาธิบาลจังหวัดชลบุรี และแก้ไขถ้อยคำในร่างระเบียบฯ จากคำว่า “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนจังหวัด” เป็น “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด “และคำว่า “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนตำบล” เป็น “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล” และเพิ่มผู้แทนสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรูปแบบการปกครองลักษณะพิเศษ และปรับปรุงข้ออื่น ๆ ให้สอดคล้องกับที่ปรับปรุงแก้ไขดังกล่าวด้วย รวมทั้งเพิ่มเติมข้อความว่า “ไม่เป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ” ไว้ในระเบียบฯ ข้อ ๘ (๑๐) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 890 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กศส. เสนอ โดยที่ประชุม ฯ ได้มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตามข้อเสนอของกรมทรัพย์สินทางปัญญา และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้มีการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้ไขคำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” และให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (สศส.) อีกตำแหน่งหนึ่ง จนกว่าจะมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ที่ได้แก้ไขแล้ว และให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๓ รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กบศส.) โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เป็นประธานกรรมการเพื่อทำหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป รวมทั้งออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงานของ สศส. ๑.๔ รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเห็นชอบรูปแบบองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยให้จัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใน สศช. และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธาน ๑.๕ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๖ รับทราบแนวทางการบริหารจัดการ สศส. ๒. เห็นชอบในหลักการตามผลการพิจารณาและมติของ กศส. ในเรื่อง การขอแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้คำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพื่อให้ครอบคลุมถึงข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในกระทรวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อเปิดกว้างสำหรับการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ และให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบฯ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย ดังกล่าว ควรต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติมบทนิยามในข้อ ๓ คำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพิ่มเติมขึ้นด้วย เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติ ประกอบกับตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีการกำหนดนิยามคำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ไว้ถึง ๑๖ ประเภท จึงเห็นควรกำหนดบทนิยามดังกล่าวเพื่อให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่และการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 891 | แนวทางการบริหารการคลังในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2554 | กค | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอผลการคาดการณ์การจัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคาดว่าจะจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิจำนวน ๑,๗๗๐,๐๐๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๓ สูงกว่าที่จัดเก็บได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ไม่รวมรายได้พิเศษ (๑,๖๔๗,๓๒๕ ล้านบาท) จำนวน ๑๒๒,๖๗๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗.๔ โดยคาดว่าการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจจะสูงกว่าประมาณการ ภาษีที่คาดว่าจะจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และอากรขาเข้า ๒. เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพิ่มเติม (งบกลางปี) เพื่อชดใช้เงินคงคลังที่ได้มีการใช้ไปในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๘๔,๑๔๒.๕๖ ล้านบาท จัดสรรเพิ่มเติมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านบาท และจัดสรรเป็นงบประมาณช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ จำนวนประมาณ ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งหมดไม่เกิน ๑๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย รับไปพิจารณารายละเอียดของงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้สำนักงบประมาณนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 892 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. .... | ทส | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. .... ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖ ได้ตรวจพิจารณา และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. กำหนดบทนิยาม “การเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพ” “หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมาย” “หน่วยงานของรัฐที่ครอบครองทรัพยากรชีวภาพ” “ชุมชนท้องถิ่น” “หนังสืออนุญาต” และ “ข้อตกลง” ๒. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมายและหน่วยงานของรัฐที่ครอบครองทรัพยากรชีวภาพซึ่งมิได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพไว้โดยเฉพาะ จะอนุญาตให้มีการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพได้ เมื่อได้รับคำขอรับหนังสืออนุญาตเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพตามแบบที่คณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) กำหนด ๓. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับคำขอ ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารหรือหลักฐานและรายละเอียดต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ ๔. กำหนดให้ในกรณีที่การเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพใดมีแหล่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใด ให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับคำขอสอบถามความเห็นจาก อปท. นั้น และให้ อปท. นั้นมีหน้าที่ให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาคำขอรับหนังสืออนุญาต ๕. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับคำขอรับหนังสืออนุญาตพิจารณาคำขอรับหนังสืออนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วันนับแต่วันที่ได้รับคำขอรับหนังสืออนุญาต หรือนับแต่วันที่ได้รับเอกสารหรือหลักฐานและรายละเอียดต่าง ๆ ถูกต้องครบถ้วน แล้วแต่กรณี ๖. กำหนดให้ข้อตกลงต้องระบุถึงความตกลงระหว่างหน่วยงานของรัฐที่ได้ออกหนังสืออนุญาตกับผู้ได้รับหนังสืออนุญาตเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย สิทธิและประโยชน์ตอบแทนในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพไม่ว่าจะคำนวณเป็นเงินได้หรือไม่ ที่หน่วยงานของรัฐ ผู้ได้รับอนุญาต และชุมชนท้องถิ่นพึงจะได้รับ ค่าภาษีอากร และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามกฎหมาย ๗. กำหนดเนื้อหาในข้อตกลงที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพาณิชย์ และข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพาณิชย์ ๘. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ออกหนังสืออนุญาตต้องทำความตกลงกับผู้ได้รับหนังสืออนุญาตเกี่ยวกับการรายงานความก้าวหน้าในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพตามข้อตกลงตามระยะเวลาที่จะตกลงกัน แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๓ เดือนต่อหนึ่งครั้ง และการรายงานผลการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพเมื่อหนังสืออนุญาตสิ้นผล ๙. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ออกหนังสืออนุญาตมีหน้าที่ตรวจสอบ ติดตาม และกำกับดูแล ให้ผู้ได้รับหนังสืออนุญาตปฏิบัติตามข้อตกลงโดยเคร่งครัด และรายงานความก้าวหน้าในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพตามข้อตกลงให้ กอช. ทราบตามระยะเวลาที่ กอช. กำหนด รวมทั้งรายงานผลการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพให้ กอช. ทราบ เมือหนังสืออนุญาตสิ้นผล
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 893 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 10/2553 | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่อง ความก้าวหน้าของเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) และความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ตรวจสอบความชัดเจนของข้อกฎหมายที่รองรับหรือให้อำนาจการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) สำหรับการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเสนอวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดสรรเงินกู้ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ โครงการที่ได้ดำเนินการและเบิกจ่ายแล้ว ติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการในด้านผลลัพธ์หรือผลสำเร็จของโครงการตามดัชนีชี้วัดที่กำหนดไว้ ๑.๒.๒ โครงการที่ยังไม่ได้ขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และโครงการที่ยังไม่เริ่มดำเนินการควรพิจารณายกเลิกโครงการและนำเงินมาใช้ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งมีความเร่งด่วนก่อน ๑.๒.๓ โครงการที่ขอขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการออกไปเกินกว่าปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ควรตรวจสอบว่าโครงการดังกล่าวได้มีการผูกพันสัญญาไว้แล้วหรือไม่ หากยังไม่มีการผูกพันสัญญาควรพิจารณานำเงินมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งมีความเร่งด่วนก่อน และหากเป็นโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูงควรพิจารณาทางเลือกในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนหรือจัดสรรงบประมาณดำเนินการจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต วงเงิน ๒,๖๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบการปรับปรุงชื่อโครงการที่หน่วยงานเสนอเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ อนุมัติไว้แล้ว ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๓.๑ จาก “โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๘๖๓ รายการ” เป็น “โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย” ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๔๒๗.๒๓ ล้านบาท ๓.๒ จาก “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย ๙๘ รายการ” เป็น “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย” ของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๒๑๙.๙๕ ล้านบาท ๓.๓ จาก “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย ๙๘ รายการ (ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสำนักงานบ้านพักข้าราชการ)” เป็น “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย (ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสำนักงานบ้านพักข้าราชการ)” ของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๑๔.๔๖ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 894 | แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียน นักศึกษา ขององค์กรหลักกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | ศธ | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนนักศึกษา ขององค์กรหลักกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒๐ หน่วยงาน ดังนี้
๑. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ๒. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๓. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ๔. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ๕. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ๖. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ๗. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี กองบัญชาการตำรวจนครบาล ๘. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ๙. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ๑๐. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑๑. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม ๑๒. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ๑๓. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมประชาสัมพันธ์ ๑๔. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กองบังคับการปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๑๕ แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ๑๖. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กระทรวงแรงงาน ๑๗. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ๑๘. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ๑๙. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๒๐. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 895 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2554 | มท | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ช่วงเวลาการดำเนินการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓-๔ มกราคม ๒๕๕๔ รวม ๗ วัน โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงาน เน้นหนักในมาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านการแพทย์ฉุกเฉินและการกู้ชีพ ๒. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน กำหนดเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑-๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นการเตรียมความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติและงบประมาณเพื่อดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ในส่วนกลาง จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓-๔ มกราคม ๒๕๕๔ โดยจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ระดับจังหวัด และอำเภอ และศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การตั้งจุดสกัดตรวจ/ด่านตรวจร่วมแบบบูรณาการ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน และการจัดตั้งหน่วยสนับสนุน และบริการประชาชน ระดับพื้นที่ ๓. แผนการดำเนินการในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ๓.๑ แผนงานที่ ๑ การจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ และศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ๓.๒ แผนงานที่ ๒ การจัดตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจร่วมบนเส้นทางสายหลักและสายรอง ๓.๓ แผนงานที่ ๓ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน ๓.๔ แผนงานที่ ๔ การตั้งหน่วยสนับสนุนและบริการประชาชนระดับพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 896 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น | กค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น และผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบล ในการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ ๑๕-๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อลดช่องว่างให้สอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ดังนั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จะไม่มีการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมทั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาลอีก สำหรับข้อเสนอการปรับเงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น และลูกจ้างองค์การบริหารส่วนตำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทอื่นเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ ๕ นั้น หากมีการดำเนินการในโอกาสต่อไป ให้ปรับค่าตอบแทนเฉพาะในส่วนของข้าราชการประจำและพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างเท่านั้น ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 897 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ...." | สสป | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ....” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ๑.๑ บัญญัติรายละเอียดด้านวิสัยทัศน์ของระบบการศึกษาปกติ การศึกษาทางเลือกทั้งหมด และทางออกของชุมชนชนบทที่ขาดโอกาสและแนวทางปฏิบัติ ๑.๒ เพิ่มเป้าหมายให้การศึกษาวิทยาลัยชุมชนเพื่อการศึกษาพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ เพิ่มเติมเจตนารมณ์และหลักการสำคัญ อาทิ การให้ความสำคัญกับการเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญาควบคู่ไปกับการจัดการศึกษาตลอดชีวิต การกำหนดให้สถาบันให้ความสำคัญในประด็นการมีส่วนร่วมของชุมชน การบริการการศึกษาตลอดชีวิต การต่อยอดการพัฒนาของชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ การกำหนดแนวทางและวิธีการปฏิบัติในการรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับบทบาทและหน้าที่ของสถาบันเป็นสำคัญ เป็นต้น ๒. ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาลัยชุมชน ๒.๑ เร่งรัดการประกาศใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยชุมชนให้สอดคล้องตามปรัชญาและความมุ่งหมายของการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ๒.๒ ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินการวิทยาลัยชุมชนให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการและพัฒนาทางวิชาการ ๒.๓ ให้ชุมชน สถาบันการศึกษา และองค์กรภาคเอกชน มีการศึกษาและกำหนดแนวทางการจัดทำมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนเป็นการเฉพาะ ๒.๔ สนับสนุนในการส่งเสริมการเชื่อมโยงและประสานการส่งเสริมและให้การสนับสนุนในการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน ระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานส่วนท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชน ๓.๑ ให้ความสำคัญกับโครงสร้าง เนื้อหาและหลักสูตรของวิทยาลัยชุมชนที่ไม่เน้นแนวคิด เพื่อนำไปสู่การศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ๓.๒ ส่งเสริมและกำหนดแนวทางการพัฒนาเนื้อหาและหลักสูตรระยะสั้นและหลักสูตรวิชาชีพให้สามารถเทียบเคียงกับการศึกษาในระบบโดยเฉพาะองค์ความรู้ของชุมชนแต่ละท้องถิ่นให้เป็นเนื้อหาวิชาหลัก ๓.๓ ส่งเสริมให้ชุมชน องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีส่วนร่วมสำคัญในการปรับปรุงหลักสูตรและเนื้อหาวิชาการ ๓.๔ พัฒนาและส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา และส่งเสริมค้นหาศักยภาพของชุมชนด้วยการสนับสนุนสวัสดิการค่าตอบแทนเพิ่มเติม ๔. ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและการจัดการศึกษาของชุมชนและท้องถิ่น ๔.๑ ส่งเสริมการค้นหาศักยภาพของชุมชนและท้องถิ่นโดยมีวิทยาลัยชุมชนเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ๔.๒ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาตามความต้องการของชุมชนและท้องถิ่นโดยเฉพาะการพัฒนาวิชาชีพและการพัฒนาและอนุรักษ์องค์ความรู้ ๔.๓ ส่งเสริมขีดความสามารถของชุมชนและท้องถิ่นให้มีความโดดเด่นและเป็นแหล่งเรียนรู้ของสังคม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 898 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล | มท | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การเพิ่มค่าคอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่จะต้องมีการปรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ และบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลที่จะใช้ในการดำเนินการโครงการพัฒนาต่าง ๆ ในท้องถิ่นหรือไม่ เพียงใด แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรอผลการพิจารณาตามข้อ ๑ ก่อนดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 899 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการที่กระทรวงมหาดไทยจะเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลและบุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบล ขอให้พิจารณาเปรียบเทียบกับค่าตอบแทนของบุคลากรกลุ่มอื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย เนื่องจากมีการยึดโยงกันเป็นระบบ โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปจัดทำข้อมูลรายละเอียดและเปรียบเทียบค่าตอบแทนของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขต กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และบุคลากรส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 900 | การกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย และขอความเห็นชอบในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียในเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย | ทส | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้เขตจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดเพชรบุรีซึ่งเป็นพื้นที่ที่องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว เป็นเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียตามนัยแห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย พ.ศ. ๒๕๓๘ มาตรา ๓ ๑.๒ ให้ อจน. ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาออกแบบรายละเอียด ก่อสร้าง และบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียในเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย ๑.๓ ให้ อจน. เข้าดำเนินการลงทุนตามนัยแห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย พ.ศ. ๒๕๓๘ มาตรา ๓๐(๑) เพื่อริเริ่มโครงการหรือกิจการต่อเนื่องที่เกี่ยวกับการจัดการน้ำเสีย ๑.๔ การใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงาน ให้ อจน. ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้ อจน. ปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ให้ อจน. ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ตามความจำเป็นเร่งด่วนและความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามเงื่อนไขของการบริหารจัดการ ๓. ให้ อจน. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเตรียมความพร้อมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียได้ในระยะยาวต่อไป รวมทั้งการเจรจาทำข้อตกลงร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีส่วนรับผิดชอบในการบริหารจัดการต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
