ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 48 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 941 - 960 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 941 | การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2553 | มท | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการและ
ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศ กาลสงกรานต์ ปี 2553 ของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน โดยแผนดังกล่าวประกอบด้วย 1. ช่วงเวลาในการดำเนินการรณรงค์ ระหว่างวันที่ 12-18 เมษายน 2553 รวม 7 วัน 2. เป้าหมายการดำเนินการ เพื่อลดจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ (admit) ให้ลดลงร้อยละ 5 3. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (เน้นหนัก) ให้หน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการเน้นหนัก 8 มาตรการ คือ (1) มาตรการ ด้านการบริหารจัดการ (2) มาตรการด้านการป้องปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย (3) มาตรการด้านสังคมและชุมชน (4) มาตรการด้านการตรวจสอบความปลอดภัยของถนนและรถยนต์ (5) มาตรการด้านการช่วยเหลือ กู้ชีพ กู้ภัย (6) มาตรการด้านการจราจรและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง (7) มาตรการด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ สร้างความตระหนัก และ (8) มาตรการด้านการรายงานผลและวิเคราะห์ข้อมูล 4. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน กำหนดเป็น 2 ช่วง ดังนี้ 4.1 ระยะที่ 1 ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ 1-11 เมษายน 2553 ให้จังหวัดเตรียมความพร้อม และดำเนินงานในภารกิจต่าง ๆ ได้แก่ จัดประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด วาง แนวทางในการดำเนินงาน ตลอดจนจัดทำแผนการดำเนินงานในภาพรวมของจังหวัดเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้าน การปฏิบัติและงบประมาณ วางแผนการจัดตั้งจุดตรวจและจุดบริการ เป็นต้น 4.2 ระยะที่ 2 ช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ 12-18 เมษายน 2553 ดำเนินการตามมาตรการ เน้นหนัก ตั้งจุดตรวจร่วมเพื่อบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดกฎหมายจราจร โดยให้มีการเข้มงวดจับกุมดำเนินคดี ขั้นสูงสุดในคดีความผิด 3ม. 2ข. 1ร. เป็นต้น 5. แผนการดำเนินงาน แบ่งเป็น 4 แผนงาน ดังนี้ 5.1 จัดตั้งศูนย์อำนวยการ/ศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2553 ในส่วนกลาง ระดับจังหวัด และอำเภอ 5.2 ตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจร่วมบนถนนสายหลัก สายรอง และถนนในเขตชุมชน/หมู่บ้าน 5.3 ตั้งจุดสกัดประจำหมู่บ้าน ชุมชน 5.4 จัดตั้งหน่วยสนับสนุนและบริการประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 942 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ดังนี้ 1.1 จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย 1.1.1 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสระ แก้ว จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัด ตาก จังหวัดน่าน จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดลพบุรี - ขอปรับกิจกรรมและงบประมาณของโครงการเพื่อความเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพต่อ การดำเนินงาน - ขอแก้ไขรายการซ้ำซ้อนกับรายการที่หน่วยงานอื่นได้รับจัดสรรแล้ว โดยโครงการจังหวัด และกลุ่มจังหวัดซึ่งมีรายการซ้ำซ้อน ให้นำโครงการลำดับที่ 2 ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่ม จังหวัดปี 2553 มาดำเนินการแทน - ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการบันทึกข้อมูลให้ถูกต้อง รวมทั้งปรับปรุงรายละเอียดงบ ประมาณรายจ่ายให้ถูกต้องตามหลักการจำแนกประเภทรายจ่าย - ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการให้สอดคล้องกับการดำเนินการจริง - ขอเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนใน วงเงินเดิม - ขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่ดำเนินการให้ตรงกับข้อเท็จจริงตามทะเบียนภูมิศาสตร์ 1.1.2 จังหวัดนนทบุรี ขอปรับลดเป้าหมายการดำเนินการจากการขุดลอกคลอง อำเภอเมือง 15 สาย เป็น 10 สาย และขอเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในการขุดคลองอำเภอบางกรวย จาก 3 สาย เป็น 45 สาย 1.1.3 จังหวัดตราด (รายการจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล) ขอเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในการดำเนิน การภายใต้วงเงินเดิม และขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดข้อมูลให้ถูกต้องตามหลักการจำแนกประเภทรายจ่าย 1.1.4 จังหวัดสุราษฎร์ธานี (รายการส่งเสริมพัฒนาหมู่บ้านท่องเที่ยว OVC เมืองคนดี) ขอเปลี่ยน แปลงรายละเอียดข้อมูลให้ถูกต้องตามหลักการจำแนกประเภทรายจ่าย 1.2 กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบก ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการครุภัณฑ์ เพื่อให้ตรงกับคุณ ลักษณะเฉพาะที่กองทัพบกกำหนด และให้ตรงกับความต้องการของหน่วยงานที่จะใช้งาน 1.3 กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง ขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่การดำเนินการ เนื่องจากรายการเดิม เป็นการก่อสร้างที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 1.4 กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ขอเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการให้ เป็นไปตามสภาพปัญหาในพื้นที่ความมั่นคงปลอดภัยทางวิศวกรรมและความต้องการของท้องถิ่น 1.5 กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ขอแก้ไขจำนวนอัตราที่จัด สรรให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต่าง ๆ ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง 2. รับทราบการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานดำเนินโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือเกาะสีชัง 2 แห่ง พร้อมเรือขน ถ่ายนักท่องเที่ยว ของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ เป็น ไปตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 943 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2551 | นร | 23/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและ
ความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2551 สรุปได้ดังนี้ 1. ข้อมูลประชากรผู้สูงอายุ ในปี พ.ศ. 2551 มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุ (ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป) 7.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11.1 ของประชากรทั้งหมด ประชากรอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไปมีจำนวนเพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุหญิงมี แนวโน้มอายุยืนกว่าผู้สูงอายุชาย 2. สถานการณ์ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ ในปี พ.ศ. 2551 ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ร้อยละ 57.7 มีปัญหาการ มองเห็น ปัญหาการได้ยินสูงขึ้นแบบทวีคูณ ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุง่าย กรณีพลัดตกหกล้มสูงถึงร้อยละ 40.4 มีผู้สูงอายุที่พิการ ร้อยละ 15.3 สำหรับโรคของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ความผิดปกติของต่อมไร้ ท่อ และโรคเบาหวาน ตามลำดับ 3. การดูแลและสวัสดิการของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุร้อยละ 90 ยังคงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากสมาชิกของ ตนเอง รวมทั้งยังมีการดูแลและสวัสดิการผู้สูงอายุโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสาธารณประโยชน์ 4. การทำงาน รายได้ และการออมของผู้สูงอายุ การทำงานของประชากร พ.ศ. 2551 พบผู้สูงอายุที่ทำ งานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 37.3 ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรม แต่การทำงานนอกภาคเกษตรกรรม ก็เพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุร้อยละ 62.0 ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง และมีสัดส่วนการเป็นลูกจ้างเอกชนเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 13.3 ผู้สูงอายุมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น แต่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยลดลง นอกจากนี้ แรงงานผู้สูงอายุนอกระบบ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 91.4 แนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุที่ยากจนลดลงเหลือ 1.19 ล้านคน ส่วนสถานการณ์การออม พบ ว่าสัดส่วนการออมส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นจากเดิมแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยการออมเพื่อวัยสูงอายุมีทั้งแบบบังคับ และแบบ สมัครใจ เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น 5. การเข้าถึงข้อมูลการศึกษา การเรียนรู้ตลอดชีวิต ผู้สูงอายุฟังวิทยุลดลง แต่นิยมชมโทรทัศน์เพิ่มขึ้นต่อ เนื่อง โดยรายการที่นิยมส่วนใหญ่ คือ ข่าว รองลงมา คือ บันเทิง ในปี พ.ศ. 2551 ผู้สูงอายุศึกษาต่อในสถาบันอุดม ศึกษา จำนวน 2,950 คน เพิ่มขึ้นจากเดิม เข้ารับการศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐาน 13,501 คน และเข้าศึกษาตาม อัธยาศัยในหลักสูตรอาชีพระยะสั้น 148,941 คน โดยสนใจการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคม/ชุมชน 6. ศักยภาพของผู้สูงอายุ ในปี พ.ศ. 2551 มีผู้สูงอายุที่มีศักยภาพในด้านต่าง ๆ คือ ด้านการบริหาร มีผู้ สูงอายุที่ทำงานการเมือง คณะกรรมการระดับชาติ ระดับภูมิภาค ระดับท้องถิ่น ด้านการมีส่วนร่วมทางสังคม ด้าน การอนุรักษ์และถ่ายทอดภูมิปัญญา 7. สถานการณ์เด่นผู้สูงอายุไทย ปี พ.ศ. 2551 ได้แก่ การสรรหาผู้สูงอายุแห่งชาติประจำปี พ.ศ. 2551 การสร้างระบบการติดตามและประเมินผลแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) และสถานการณ์ผู้ สูงอายุในรอบปี พ.ศ. 2551 เป็นต้น 8. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 8.1 ให้ความสำคัญกับการจัดระบบและช่วยเหลือการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุ พร้อมทั้งดูแลและจัดสิ่ง แวดล้อมในครอบครัว และสถานที่สาธารณะให้เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุ การจัดทำมาตรฐานการดูแลของสถานบริการ และผู้ดูแลเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่เหมาะสม 8.2 มีการผลิตสื่อทั้งประเภทเนื้อหาและรูปแบบที่ผู้สูงอายุนิยมและเพิ่มช่องทางด้านสื่อโทรทัศน์ โดย เฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้ดู และการสอดแทรกสาระที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ อาทิ ด้านสุขภาพ เป็นต้น 8.3 เร่งจัดตั้งระบบบำนาญชราภาพที่มาจากการออมส่วนบุคคล ร่วมกับการจัดสวัสดิการจากรัฐ เพื่อ เป็นหลักประกันสำหรับผู้สูงอายุในอนาคต 8.4 ผลักดันให้แผนผู้สูงอายุแห่งชาตินำไปสู่การแปลงแผน เพื่อการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ การมีส่วนร่วมของทุกหน่วยงานโดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีบทบาทเป็นเจ้าภาพในการนำแผนไปสู่ การปฏิบัติ โดยเฉพาะการส่งเสริมอาชีพและรายได้ของผู้สูงอายุ และส่งเสริมกระบวนการภาคประชาสังคม โดยมี หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นผู้สนับสนุนองค์ความรู้และทรัพยากรต่าง ๆ ร่วมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 944 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | ศธ | 23/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมใน
การจัดการการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญ คือ 1. กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขประกอบเกณฑ์การประเมินความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น 2. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความประสงค์จะจัดการการอาชีวศึกษายื่นคำขอต่อสำนัก งานล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามร้อยวันก่อนวันเริ่มต้นปีการศึกษาที่จะเปิดทำการสอน 3. กำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการเพื่อทำการประเมินเพื่อทำหน้าที่ประเมินความพร้อมในการจัด การการอาชีวศึกษาและแจ้งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 945 | ร่างแผนหลักการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553 - 2557 | มท | 16/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่ง ชาติ (กปอ.) เสนอ ดังนี้ 1.1 ร่างแผนหลักการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 ซึ่งได้กำหนดวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหน่วยงานรับผิดชอบ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการกับอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีระบบมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รวมทั้งมีวัฒนธรรมความปลอดภัยในวิถีชีวิตเพื่อลดความ สูญเสียทั้งในด้านชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการ ป้องกันอุบัติภัย ยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยี ยุทธศาสตร์การเฝ้าระวังและเตือนภัย ยุทธศาสตร์การสร้างการ มีส่วนร่วมของภาคีต่าง ๆ ยุทธศาสตร์การบังคับและปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ และยุทธศาสตร์การ บริหารจัดการ 1.2 ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นผู้ประสานงานในการจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับแผน หลักการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 2. ให้ กปอ. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสน เทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ โดยให้ภาคประชาชน เอกชน องค์การสาธารณกุศล และสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ ทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงอุบัติภัยต่าง ๆ และให้สังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและแนวทางการป้องกัน รวมทั้งรัฐบาลและองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น (อปท.) สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ และให้จัดตั้งเครือข่ายประชาชนในพื้นที่ ของแต่ละจังหวัดเพื่อรณรงค์ป้องกันอุบัติภัยอย่างต่อเนื่อง มีการประกวดและมอบรางวัลแก่จังหวัดที่เกิดอุบัติภัยน้อย ที่สุด เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการป้องกันมิให้เกิดอุบัติภัยในจังหวัด ส่วนยุทธศาสตร์การสร้างการมีส่วนร่วมของภาคี ต่าง ๆ ซึ่งเพิ่มบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของ อปท. นั้น ต้องพิจารณาถึงศักยภาพและสถานะทางการคลังของ ท้องถิ่นเป็นหลัก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 946 | การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้างและผู้ประกอบอาชีพอื่น | มท | 16/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้ใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อจ่ายคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ ประกอบอาชีพงานก่อสร้างที่ได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 และวัน 2 ธันวา คม 2551 กรณีผิดสัญญาที่ได้นำส่งเป็นเงินรายได้แผ่นดินแล้ว จำนวน 641 โครงการ จำนวนเงิน 123,324,148 บาท ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจ่ายคืนให้แก่ผู้รับจ้างต่อไป 1.2 การเบิกจ่ายเงินงบกลาง ฯ ให้เบิกจ่ายได้เมื่อกรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบการขอคืนเงินค่าปรับและ ได้อนุมัติให้ถอนคืนเงินค่าปรับได้ 2. ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง และให้รับความ เห็นของกระทรวงการคลัง ที่ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเบิกจ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณี ฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ หากกรมส่งเสริมการปกครองท้อง ถิ่นเบิกจ่ายเงินรายการดังกล่าวไม่แล้วเสร็จกระทรวงการคลังจะไม่อนุมัติให้กันเงินงบประมาณที่คงเหลือไว้เบิกเหลื่อม ปี ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 947 | แต่งตั้งกรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในคณะกรรมการการอาชีวศึกษาแทนตำแหน่งที่ว่าง (นายอำนาจ เต็มสงสัย) | ศธ | 16/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอำนาจ เต็มสงสัย เป็นกรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แทนนายสายัณห์ มีแสง ที่ถึงแก่กรรม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดย ให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (16 กุมภาพันธ์ 2553) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 948 | การนำเสนอวาระเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ปี 2553 ต่อคณะรัฐมนตรี | พม | 02/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบวาระเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2553 เพื่อขับเคลื่อนประเด็นจังหวัดน่าอยู่สำหรับ เด็กและเยาวชน และกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์เสนอ ดังนี้ 1.1 รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทยจะเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์จังหวัดน่าอยู่สำหรับเด็ก และเยาวชนให้เกิดผลอย่างทั่วถึงและเป็นรูปธรรม โดยมีตัวชี้วัดการดำเนินงานที่ชัดเจน 7 ด้าน ได้แก่ ด้านความปลอด ภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้านสุขภาพอนามัย ด้านครอบครัวอบอุ่น ด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้านการมีส่วนร่วม ด้าน การคุ้มครองสิทธิเด็ก และด้านความปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยง 1.2 จัดให้มีสภาพแวดล้อมที่ดีต่อเด็กและเยาวชน ตามตัวชี้วัดจังหวัดน่าอยู่ และกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับ เด็กและเยาวชน โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาบรรจุเรื่องนี้ไว้ในแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับท้อง ถิ่น รวมทั้งจัดสรรงบประมาณดำเนินการ และรายงานผลความก้าวหน้าเป็นระยะทุกปี 1.3 รัฐบาลโดยกระทรวงด้านสังคม ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะบูรณาการการจัดกิจกรรมและดำเนินการในประเด็นจังหวัดน่าอยู่และกิจกรรมสร้างสรรค์ สำหรับเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง โดยขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายให้การสนับสนุนข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ คำ ปรึกษาแนะนำในเชิงสร้างสรรค์ ทรัพยากร รวมทั้งพื้นที่ และให้สอดคล้องกับความต้องการ รวมทั้งเกิดจากการมีส่วน ร่วมของเด็กและเยาวชน 2. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงวัฒนธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ 2.1 ให้มีการส่งเสริม สนับสนุน และเผยแพร่กิจกรรมกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็น กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน 2.2 เร่งสร้างประชาคมเด็กและเยาวชนให้มีการรวมตัวพร้อมทั้งจัดเวทีการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในกิจ การแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในกิจกรรมกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อพัฒนากลุ่มเด็กและเยาวชน ด้วยกันเอง 2.3 จัดให้มีกิจกรรมที่เด็กและเยาวชนสนใจ 2.4 เสนอการใช้กิจกรรมกีฬา นันทนาการ เพื่อการบำบัดรักษาหรือเยียวยาเด็กและเยาวชนที่มีปัญหา ในด้านต่าง ๆ และหรือเด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส เด็กพิการ และทุพพลภาพ 2.5 ให้ความเสมอภาคแก่เด็ก เยาวชนผู้ด้อยโอกาส เด็กพิการและทุพพลภาพในการรับบริการกิจกรรม กีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างทั่วถึง 2.6 จัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ด้านกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาที่เหมาะสมกับเด็กและเยาว ชนอย่างยั่งยืน 2.7 การพัฒนาเด็กและเยาวชน ควรจัดเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะความปลอดภัยจากการเข้า ร่วมกิจกรรมกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬา |
|||||||||||||||||||||||||||
| 949 | การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 | นร | 26/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอขอขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน รวมทั้งการจัดตั้งองค์การมหาชนหรือหน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหารและหน่วยบริการ รูปแบบพิเศษเพิ่มใหม่ชั่วคราว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งได้สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2552 โดยขยายระยะเวลาออกไปอีกตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2553 ยกเว้นกรณีดังต่อไปนี้ 1.1 การจัดตั้งหน่วยงานตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติ 1.2 การจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน เพื่อรับผิดชอบงานตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐ บาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดำเนินการ 1.3 การยกฐานะส่วนราชการภายในกรมซึ่งมีการปรับปรุงงานให้มีคุณภาพสูงขึ้น โดยไม่มีผลทำให้ค่าใช้ จ่ายเพิ่มขึ้น 1.4 การยุบ รวม โอน หน่วยงานภายในส่วนราชการ/จังหวัดเดียวกัน หรือส่วนราชการในกระทรวงเดียว กันหรือต่างกระทรวง หรือระหว่างจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยไม่มีผลทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 1.5 การถ่ายโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ซึ่งส่งผลให้ต้องมีการปรับปรุงหน่วยงานใหม่ 1.6 ทั้งนี้ ในการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน หรือปรับปรุงหน่วยงานใหม่ ตามข้อ 1.1- 1.5 ส่วนราชการต้องดำเนินการตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้กำหนดไว้ในแต่ละเรื่องด้วย 2. สำหรับกรณีการเปลี่ยนแปลงชื่อหน่วยงานเดิมให้สามารถดำเนินการได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 950 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 26/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ 1.1 นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 1.2 แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 1.3 การจัดสรรงบประมาณให้กับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 1.4 การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2. เห็นชอบปรับปรุงประมาณการรายได้สุทธิ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จากเดิม จำนวน 1,542,650 ล้านบาท เป็น จำนวน 1,522,000 ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 951 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2552 | ทส | 26/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยา
กรน้ำแห่งชาติเสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2552 สรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการจัดงานวันน้ำโลก ในภาคต่าง ๆ ทั้ง 4 ภาค ใช้ชื่อโครงการ "คุณภาพน้ำ คุณภาพชีวิต : ความท้าทาย และโอกาส" เนื่องในสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำแห่งชาติและวันน้ำโลก และให้แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการเพื่อช่วยในการจัดงาน โดยรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของกรรมการไปพิจารณาดำเนินการด้วย 2. ที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วย งานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. .... และรวบรวมความคิดเห็นนำเสนอ ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อเสนอไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 3. ที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ รวบรวมจำนวนหมู่บ้านที่ยังไม่มีระบบประปา พร้อมทั้งให้จัดลำดับ ความสำคัญที่ต้องดำเนินการเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นข้อ มูลในการพิจารณา ทั้งนี้ หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดที่ไม่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับระบบประปาหมู่บ้าน ได้ ให้เสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจ ฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบให้หน่วยงานที่มีความพร้อมเข้ามาสนับ สนุนการดำเนินการ และหากไม่มีงบประมาณดำเนินการจะได้พิจารณาหาแหล่งงบประมาณ 4. ที่ประชุมมีมติรับทราบเกี่ยวกับโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และมอบ ให้กรมชลประทานรับไปศึกษาเพิ่มเติมและพิจารณาว่าจะสามารถนำโครงการดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการดำเนิน การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบได้อย่างไร พร้อมทั้งนำเสนอเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระ ยาทั้งระบบของกรมชลประทานในการประชุมครั้งต่อไป 5. ที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานสรุปการเกิดอุทกภัยในปี พ.ศ. 2552 และผลการดำเนินงานของคณะ อนุกรรมการติดตามสถานการณ์น้ำ และเตรียมความพร้อมด้านอุทกภัย 6. ที่ประชุมมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 253/2552 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 เรื่องแต่งตั้งผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่ง ชาติเพิ่มเติม 7. ที่ประชุมมีมติรับทราบมติคณะรัฐมนตรีและการดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากร น้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2552 และให้กระทรวงมหาดไทยติดตามการดำเนินการของแต่ละจังหวัดในเรื่องห้ามไม่ให้ มีการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ชุ่มน้ำ และตรวจสอบการดำเนินการก่อสร้างอาคารวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย ราชภัฏในพื้นที่ชุ่มน้ำจังหวัดพิษณุโลก 8. ที่ประชุมมีมติรับทราบและเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ นำเสนอเรื่องที่หน่วยงานต่าง ๆ ขอความ เห็นจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติในระหว่างที่ไม่มีการประชุม ให้เสนอประธานกรรมการ ฯ พิจารณา สั่งการหรือให้ความเห็น และนำมาเสนอคณะกรรมการ ฯ ทราบในการประชุมครั้งต่อไป 9. ที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานรายละเอียดโครงการผันน้ำจากพื้นที่จังหวัดจันทบุรีไปยังแหล่งเก็บกัก น้ำจังหวัดระยอง โดยให้กรมชลประทานดำเนินการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ครอบ คลุมเพิ่มเติมทั้งลุ่มน้ำก่อนดำเนินการก่อสร้างโครงการ 10. ที่ประชุมมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางและหลัก เกณฑ์การนำน้ำในแหล่งน้ำสาธารณะไปใช้ 11. ที่ประชุมมีมติรับทราบผลการดำเนินงานจัดประชุมของคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการอนุรักษ์ฟื้น ฟูแหล่งน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อหาแนวทางการปรับปรุงฟื้นฟูบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร และให้ประธานอนุกรรมการอนุ รักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำติดตามการดำเนินงานมานำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป 12. ที่ประชุมมีมติรับทราบผลการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการจัดสรรน้ำสำหรับภาคการใช้น้ำด้าน ต่าง ๆ 13. ที่ประชุมมีมติมอบให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ รับไปพิจารณาการจัดทำตราสัญลักษณ์ของคณะกรรมการ ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 952 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2552 | ทส | 26/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติการประชุมคณะกรรม
การสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2552 โดยมีเรื่องที่สำคัญรวม 9 เรื่อง ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนวทางการสนับสนุนงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร ด้านการจัดการน้ำเสียชุมชนและการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน 2. โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกและถมทะเลระยะที่ 1 บริเวณปากคลองปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูล 3. โครงการทางพิเศษสุวรรณภูมิ (โครงการ M1) 4. โครงการก่อสร้างท่าอากาศยานพังงา ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา 5. โครงการเหมืองแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ทุ่งสง) จำกัด คำขอประทานบัตรที่ 1/2548 ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอประทานบัตรที่ 2/2548 ถึง 19 /2548 รวม 19 แปลง ตั้งอยู่ที่ตำบลที่วัง ตำบลชะมาย และตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 6. การกำหนดมาตรฐานค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในบรรยากาศโดยทั่วไป 7. มาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียซึ่งมีสาร 1,2-ไดคลอโรอีเทนและสารไวนิลคลอไรด์จาก อุตสาหกรรมเคมี 8. มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน 9. การแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่มาบตาพุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 953 | รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการศูนย์รวมน้ำใจชาวไทยช่วยผู้ประสบภัยเฮติ และขอความเห็นชอบให้ส่วนราชการทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมบริจาคเงินสมทบช่วยเหลือผู้ประสบภัยเฮติ | นร | 26/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) ประธานกรรม
การอำนวยการศูนย์รวมน้ำใจชาวไทยช่วยผู้ประสบภัยเฮติเสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการอำนวยการศูนย์รวมน้ำใจชาวไทยช่วยผู้ประสบภัยเฮติ โดยคณะกรรมการอำนวยการ ฯ ได้จัดประชุมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2553 สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ 1.1 รับทราบรายงานการส่งมอบเงินบริจาคของรัฐบาล จำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทาง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเม็กซิโกซิตี้ ได้มอบเงินดังกล่าวให้แก่เอกอัครราชทูตเฮติประจำประเทศเม็กซิโกแล้วโดยเงิน ดังกล่าวจะถูกนำไปจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นเพื่อจัดส่งจากกรุงเม็กซิโกซิตี้ไปยังเฮติ 1.2 เห็นชอบแนวทางการจัดส่งข้าวสาร จำนวน 20,000 ตัน เพื่อไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวเฮติ 1.3 รับทราบศักยภาพและความพร้อมของกระทรวงสาธารณสุข ในการจัดส่งทีมแพทย์และ พยาบาลไปยังสาธารณรัฐเฮติ โดยระยะเร่งด่วน เห็นควรจัดส่งทีมแพทย์และพยาบาลของไทยเข้าร่วมปฏิบัติการ ในสาธารณรัฐเฮติร่วมกับทีมแพทย์ของเม็กซิโก และระยะต่อไป เห็นควรจัดส่งทีมแพทย์และพยาบาลเข้าไปปฏิบัติ การให้ความช่วยเหลือชาวเฮติภายใต้กรอบขององค์การสหประชาชาติทันทีที่องค์การ ฯ มีความพร้อมและร้องขอ 1.4 เห็นควรขอความร่วมมือไปยังรัฐวิสาหกิจ จังหวัด และภาคเอกชน 3 สมาคมให้เปิด ศูนย์รับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวเฮติ สำหรับเงินบริจาคที่รัฐบาลได้รับเปิดผ่านทางศูนย์รับบริจาคทำ เนียบรัฐบาล และบัญชีของธนาคารกรุงไทย เห็นควรส่งมอบไปยังรัฐบาลและประชาชนชาวเฮติผ่านทางองค์การ สหประชาชาติ 1.5 เห็นควรมอบบุคคลระดับรัฐมนตรีไปเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีที่องค์การสหประชาชาติมี กำหนดจะจัดขึ้นเพื่อพิจารณาแผนการให้ความช่วยเหลือบูรณะฟื้นฟูสาธารณรัฐเฮติ 1.6 ให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันพิจารณาจัดทำแผน และเตรียมความ พร้อมในการจัดส่งหน่วยทหารช่างเพื่อเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับองค์การสหประชาชาติในระยะต่อไป 2. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามมติที่ประชุม ฯ ครั้งที่ 1/2553 และให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการอำนวยการ ฯ โดยให้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้การดำเนินการเป็นเอกภาพและสอดคล้องในแนวทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 954 | สรุปผลการประชุมการประสานงานด้านนิติบัญญัติ | นร | 19/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบสรุปผลการประชุมการประสานงานด้านนิติบัญญัติ วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2553 โดยที่ ประชุมได้พิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 23 ปีที่ 3 ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญทั่วไป) วัน พฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2553 2. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างกฎหมายที่ต้องดำเนินการตามรัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ในสมัยประชุมสามัญทั่วไปนี้ และให้พิจารณา ด้วยว่ากฎหมายว่าด้วยสิทธิชุมชน กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมโดยองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น กฎหมายเกี่ยวกับผู้ไต่สวนอิสระ และกฎหมายว่าด้วยการติดตามการทำงานของภาครัฐ รวม 4 ฉบับ เป็นกฎหมายที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 955 | การดำเนินการตามแผนพัฒนาการเมือง | นร | 12/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 กันยายน
2550 อนุมัติให้ใช้แผนพัฒนาการเมืองและให้สภาพัฒนาการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการ เมือง พ.ศ. .... เป็นองค์กรหลักในการดำเนินการตามแผนพัฒนาการเมือง และให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วย งานของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่กำหนดไว้ในแผน ฯ ดำเนินการตามกลยุทธ์ของแผนพัฒนาการเมือง ต่อมาได้มี การตราพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเมือง พ.ศ. 2551 ซึ่งกำหนดให้สภาพัฒนาการเมืองมีอำนาจหน้าที่ติดตาม สอดส่องและประสานงานกับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคประชา สังคม และองค์การต่างประเทศ หรือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการนำแผน ฯ ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผล สัมฤทธิ์อย่างเคร่งครัด จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 956 | รายงานการรับ - จ่ายเงินนอกงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2551 - 2552 | กษ | 12/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอรายงานการรับ-จ่ายเงินนอก
งบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2552 ของกรมประมง และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิ สภาต่อไป ดังนี้ 1. ประเภทเงินบริจาค/อุดหนุน มีรายรับรวม 48,348.06 บาท มีรายจ่ายรวม 48,348.00 บาทมีเงินคงเหลือหลังหักภาระผูกพันรวม 21,266.00 บาท รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น 21,266.06 บาท 2. ประเภทเงินบูรณะทรัพย์สิน มีรายรับรวม 159,074.44 บาท มีรายจ่ายรวม 251,588.84 บาท รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น 530,371.92 บาท 3. ประเภทเงินรายได้จากการดำเนินงาน มีรายรับรวม 15,758,818.32 บาท มีรายจ่ายรวม 21,697,508.80 บาท มีเงินคงเหลือหลังหักภาระผูกพัน 12,353,450.61 บาท รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น 12,353,450.61 บาท 4. ประเภทเงินประกันสัญญา/เงินมัดจำ มีรายรับรวม 8,456,010.13 บาท มีรายจ่ายรวม 5,550,101.80 บาท มีเงินคงเหลือทั้งสิ้น 14,381,779.79 บาท 5. ประเภทเงินกู้ มีรายรับรวม 4,567,479.17 บาท มีรายจ่ายรวม 4,567,479.17 บาท รวม เงินคงเหลือทั้งสิ้น 133,058.85 บาท 6. ประเภทเงินสินบนรางวัล มีรายรับรวม 5,740,150 บาท มีรายจ่ายรวม 5,840,706 บาท รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น 176,500 บาท 7. ประเภทเงินฝากต่าง ๆ มีรายรับ 23,765,559.30 บาท มีรายจ่าย 23,743,979.33 บาท มีเงินคงเหลือทั้งสิ้น 4,045,510.23 บาท 8. ประเภทเงินรับฝากเพื่อรอจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)/ถอนคืน มีรายรับ รวม 5,113,155.03 บาท มีรายจ่ายรวม 5,177,257.33 บาท มีเงินคงเหลือทั้งสิ้นรวม 1,336,309.34 บาท 9. ประเภทเงินทุนหมุนเวียน มีสินทรัพย์หมุนเวียนรวม 74,455,369.53 บาท มีทรัพย์สินไม่ หมุนเวียนรวม 16,681,978.10 บาท มีสินทรัพย์รวม 91,137,347.63 บาท มีหนี้สินหมุนเวียนรวม 6,989,009.81 บาท มีหนี้สินไม่หมุนเวียนรวม 5,956,573.03 บาท มีหนี้สินรวม 12,945,582.84 บาท มีสินทรัพย์หมุนเวียน 78,191,764.79 บาท 10. ประเภทเงินทุนหมุนเวียน มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 66,856,729.89 บาท มีรายได้ สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวม 2,813,556.32 บาท มีรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ รวม 2,814,041.32 บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 957 | ร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมค่าธรรมเนียม และภาษีประจำปีที่ค้างชำระของหน่วยงานราชการ) รวม 2 ฉบับ | คค | 05/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ จำนวน 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ
พิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อน เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้ 1. ร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ 1.1 กำหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีให้แก่รถของส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ เฉพาะรถที่มิได้ใช้ในทางการค้าหรือหากำไร 1.2 กำหนดให้บรรดาค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีของรถของหน่วยงานตามมาตรา 9 (3) แห่ง พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่ค้างชำระไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับให้เป็นอันระงับไป 2. ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ 2.1 กำหนดมิให้นำมาตรา 23 มาใช้บังคับแก่การขนส่งส่วนบุคคลซึ่งหน่วยงานของรัฐ มหาวิทยาลัย และสถาบันอุดมศึกษา วัด มัสยิด มิซซัง มูลนิธิ สภากาชาดไทยและสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถาน พยาบาล เป็นผู้ประกอบการขนส่ง แต่ผู้ประกอบการขนส่งต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอื่นแห่งพระราชบัญญัตินี้ เสมือนดังเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลทุกประการ 2.2 กำหนดให้รถที่ใช้ในการขนส่งส่วนบุคคลของส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ องค์การมหาชน หน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนด ในกฎกระทรวง วัด มัสยิด มิซซัง มูลนิธิ และสภากาชาดไทย ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี 2.3 กำหนดให้บรรดาภาษีประจำปีของรถของหน่วยงานตามมาตรา 88 แห่งพระราชบัญญัติการขน ส่งทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ค้างชำระไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้เป็น อันระงับไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 958 | รายงานผลการเตรียมความพร้อมของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 29/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการเตรียมความพร้อม
ของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โดย ก.ธ.จ. จะปฏิบัติภารกิจการ ตรวจสอบและติดตามงาน/โครงการตามแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ แผนปฏิบัติราชการประจำ ปีของจังหวัด และการใช้จ่ายงบประมาณของจังหวัด งบประมาณของกระทรวงและกรมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัด รวมทั้ง งบอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนรับฟังข้อคิดเห็น ปัญหาข้อร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับการ ดำเนินการหรือการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ/เจ้าหน้าที่ของรัฐ สำหรับแผนที่จะสนับสนุนการดำเนินงาน ของ ก.ธ.จ. ในช่วงต่อไป เช่น การศึกษาวิจัยกำหนดกรอบทิศทางในการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานตามอำนาจหน้า ที่ของ ก.ธ.จ. และกำหนดตัวชี้วัดการปฏิบัติงานที่ชัดเจน การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับบทบาทและอำนาจหน้าที่ของ ก.ธ.จ. เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบเกี่ยวกับกลไกการตรวจสอบภาคประชาชนตามระเบียบ ฯ เพื่อให้การปฏิบัติ งานของ ก.ธ.จ. มีความคล่องตัวและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการประสานความร่วมมือระหว่าง ก.ธ.จ. กับ องค์กรตรวจสอบและองค์กรติดตามประเมินผลอื่นๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลและการบริหารกิจการบ้าน เมืองที่ดีมีอยู่ในระบบการบริหารของทุกหน่วยงานของรัฐ ทุกจังหวัด เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 959 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (วงเงิน 149,999.8371 ล้านบาท) | กค | 29/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติ การไทยเข้มแข็ง 2555 (วงเงิน 149,999.8371 ล้านบาท) ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบ ประมาณภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 100.00 ของวงเงินตามแผนที่ได้รับอนุมัติ ให้ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 1.2 ให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินให้แล้วเสร็จภายในวัน ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 ทั้งนี้ สำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้ รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 เมษายน 2553 1.3 ให้หน่วยงานที่ได้รับเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ บันทึกข้อมูลแผนงาน งวด งานและงวดเงินตามระบบที่กระทรวงการคลังกำหนด และรายงานผลความก้าวหน้าตามแผนงาน งวดงาน และงวดเงินที่สอดคล้องกับความสำเร็จของงานในแต่ละเดือน ไตรมาส เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามเร่งรัด การใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ 1.4 ให้นำอัตราการเบิกจ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ ตามเป้าหมายที่คณะ รัฐมนตรีกำหนดเป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราชการของหน่วยงาน 1.5 ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดที่ได้รับเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติ การ ฯ ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด 2. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานและเร่งรัดให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำการบันทึก ข้อมูลการดำเนินงานในระดับพื้นที่และจัดทำแผนปฏิบัติงานเพื่อให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติแผนและ จัดสรรงบประมาณโครงการ ฯ ตามขั้นตอนต่อไปโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 960 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... | พม | 22/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... ที่ปรับปรุงแก้ไขจากร่างของสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ที่แก้ไขปรับปรุงมีดังนี้ 1.1 ร่างมาตรา 6 แก้ไขเป็น "ให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการมีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบในการ สงเคราะห์และควบคุมคนขอทานตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งเสนอนโยบายแผนงานและมาตรการในการควบคุม สงเคราะห์ และคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้ซึ่งขอทาน และแนวทางการจัดการกับผู้หาประโยชน์จากผู้ซึ่งขอทานโดยมิ ชอบด้วยกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรี" (ตัดอำนาจในการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลเกี่ยวกับการสง เคราะเห์และการควบคุมการขอทานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ออก) 1.2 เพิ่มเติมร่างมาตรา 7 กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งตัวผู้ขอทานและเป็นคนชราภาพ หรือคน วิกลจริต พิการ หรือเป็นคนมีโรค ซึ่งไม่สามารถประกอบอาชีพและไม่มีทางเลี้ยงชีพและไม่มีญาติมิตรอุปการะ ไป ยังสถานสงเคราะห์ 1.3 เพิ่มเติมร่างมาตรา 8 กำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนด เงื่อนไข หรือวางระเบียบเกี่ยวกับการแสดงหรือการละเล่นของวณิพกหรือนักแสดงสาธารณะ 2. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ ไขปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติ ฯ ควรพิจารณาทั้งระบบ เช่น ชื่อร่างพระราชบัญญัติ "ควบคุมการขอทาน" อาจเป็น การสะท้อนสภาพปัญหาของสังคมไทยที่น่าจะไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมุ่งประสงค์จะคุ้มครองสวัสดิการผู้ด้อยโอกาส สงเคราะห์คนชรา ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพให้มีคุณภาพ ชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ และพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับวณิพกหรือนักแสดงสาธารณะที่มีหน้าที่ต้องแจ้ง ต่อพนักงานท้องถิ่นในกรณีที่จะเล่น หรือแสดงในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และข้อสังเกตกระทรวง แรงงาน สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ เกี่ยวกับบทบัญญัติให้อำนาจอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ของกฎหมาย เช่น มาตรา 9 ซึ่งกำหนดให้มีอำนาจในการควบคุมผู้ที่ถูกส่งตัวมาที่สถานสงเคราะห์ และสั่งให้ทำ การงานในสถานสงเคราะห์หรือสถานที่อื่นได้ นั้น ควรกำหนดให้มีการตรากฎหมายลำดับรองเพื่อกำหนดหลัก เกณฑ์การใช้อำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบของส่วนราชการไว้ในบทบัญญัติดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ควรเพิ่ม เติมเนื้อหาในส่วนของหน้าที่ของ อปท. ตามที่กำหนดในแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ไว้ในร่างกฎหมายนี้ด้วย ไปประกอบการพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
