ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 29 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 561 - 580 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
561 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 10 | กค. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ (เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะที่ ๑๐) ในส่วนของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มอีก
๓,๒๕๐ ล้านบาท
จากเดิม วงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็น
วงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ๕๓,๒๕๐ ล้านบาท
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
(บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทย เช่นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง
(บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) พิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายในการจัดสรรวงเงินค้ำประกันสินเชื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ
โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือก่อนเป็นลำดับแรก
เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (Small and
Medium Enterprises : SMEs) ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง
ขนาดย่อม และขนาดย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises :
MSMES) ผู้ประกอบการธุรกิจในพื้นที่เมืองรอง
เพื่อส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันให้สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
562 | การเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) วาระปี 2567-2571 | นร.11 สศช | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอชื่อนางสาวดวงฤทัย สุรศักดิ์จินดา เป็นผู้แทนประเทศไทยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงาน IMT-GT
(Centre for IMT-GT Subregional Cooperation : CIMT) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนงบประมาณรายจ่าย โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
563 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับการเช่ายานพาหนะประจำตำแหน่ง จำนวน 3 คัน และยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 | นร.04 | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
เพื่อดำเนินการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
จำนวน ๓ คัน ระยะเวลา ๕๗ เดือน (ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๗-ตุลาคม ๒๕๗๑) วงเงินทั้งสิ้น
จำนวน ๑๒,๕๐๕,๘๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑,๗๕๕,๒๐๐
บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๐,๗๕๐,๖๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘-พ.ศ. ๒๕๗๒ ซึ่งไม่เกินกว่าอัตราค่าเช่าที่กรมบัญชีกลางกำหนด
โดยให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับวงเงินตามสัญญาตามขั้นตอนต่อไป
และยกเว้นการปฏิบัติการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ และวันที่ ๑
พฤษภาคม ๒๕๕๕ ในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการน้อยกว่า ๕ ปี เป็นกรณีเฉพาะราย
ซึ่งเป็นระยะเวลาน้อยกว่าที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ทั้งนี้ เห็นควรให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ เรื่อง การสนับสนุนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ตามความจำเป็นและเหมาะสมในโอกาสแรก
และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม สอดคล้องกับเงื่อนเวลาของภารกิจดังกล่าว
และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
564 | การจัดตั้งมูลนิธิฝนหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ | กษ. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีติเห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มกราคม ๒๕๑๘ เรื่อง กองทุนฝนหลวง
และรับทราบการพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งเป็นมูลนิธิฝนหลวง
ในพระบรมราชูปถัมภ์ ต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
565 | การให้สัตยาบันต่อพิธีสารมอนทรีออล ฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี (Kigali Amendment) | อก. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้สัตยาบันต่อพิธีสารมอนทรีออล
ฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี (Kigali Amendment)
ซึ่งเป็นสนธิสัญญาสากลที่กำหนดขึ้นเพื่อควบคุม ยับยั้ง
และรณรงค์ให้ลดการผลิตและการใช้สารทำลายชั้นโอโซน
เพื่อรักษาชั้นบรรยากาศโอโซนที่ถูกทำลายจากการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนเหล่านี้
ได้แก่ สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbons : CFCs) สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Hydrochlorofluorocabons : HCFCs) สารฮาลอน (Halons) และสารเมทิลโบรไมด์ (Methyl
Bromide : CH3Br) และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้สัตยาบันต่อพิธีสารมอนทรีออลฯ
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพิธีสารฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ผลกระทบจากการให้สัตยาบันต่อพิธีสารมอนทรีออลฯ
แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวตามข้อตกลง
พร้อมทั้งควรเร่งดำเนินการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถลดการใช้สาร HFCs และสารควบคุมอื่น ๆ ภายใต้พิธีสารมอนทรีออลฯ
อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบของผู้ประกอบการจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตในกรณีใช้สารอื่นทดแทน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
566 | ร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กห. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ฉบับปี ๒๕๖๖ โดยร่างความตกลงฯ ฉบับปี ๒๕๖๖ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายร่วมกันอย่างใกล้ชิด
ในด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างสองประเทศ เช่น ความร่วมมือด้านความมั่นคง
การป้องกันรักษาชายแดน การรักษาความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อย
โดยสอดคล้องกับระเบียบและกฎหมายของแต่ละประเทศ
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างความตกลงฯ
ฉบับปี ๒๕๖๖ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ร่วมลงนามในร่างความตกลงฯ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินการโดยใช้กลไกความร่วมมือภายใต้ร่างความตกลงฯ
ดังกล่าว ทั้งในระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติ ให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ รวมถึงควรติดตามประเมินผลการดำเนินงาน
และสื่อสารให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงผลลัพธ์และประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการดำเนินการดังกล่าวด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
567 | ขอยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่่โครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ | ยธ. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการใช้พื้นที่โครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ของกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๖,๕๔๑ ตารางเมตร ประกอบด้วย (๑) สำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
พื้นที่ชั้น ๘ จำนวน ๑,๖๙๑ ตารางเมตร และพื้นที่ชั้น ๙ จำนวน
๔,๓๕๗ ตารางเมตร รวมจำนวน ๖,๐๔๘
ตารางเมตร และ (๒) กรมบังคับคดี พื้นที่ชั้น ๙ จำนวน ๔๙๓ ตารางเมตร ตั้งแต่วันที่
๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ เรื่อง
หลักเกณฑ์การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ
ในส่วนที่กำหนดให้หน่วยงานจะต้องแจ้งให้กรมธนารักษ์ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย ๑ ปี
ในประเด็นการขอยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ
ให้แก่กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
และกรมบังคับคดี)
เฉพาะกรณีการขอยกเลิกการใช้พื้นที่โครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ บริเวณชั้น ๘-๙ จำนวน ๖,๕๔๑
ตารางเมตร ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ หนังสือเวียน และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
568 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2535 (เรื่อง แนวทางการจัดระบบบริหารการพัฒนาแหล่งน้ำ) ในส่วนที่กำหนดว่า "ระบบท่อส่งน้ำต่าง ๆ ควรจะมีผู้รับผิดชอบรายเดียวในการพัฒนาระบบให้เป็นท่อส่งน้ำสายหลัก (Trunk Transmission Main) และการดำเนินการบริหาร/จัดการ (Operate) เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้ค้าส่ง (Wholeseller) ในการซื้อน้ำจากอ่างเก็บน้ำของกรมชลประทานและขายน้ำดิบให้กับระบบจำหน่ายต่าง ๆ" | กษ. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔
กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ (เรื่อง แนวทางการจัดระบบบริหารการพัฒนาแหล่งน้ำ)
ในส่วนที่กำหนดว่า “ระบบท่อส่งน้ำต่าง ๆ
ควรจะมีผู้รับผิดชอบรายเดียวในการพัฒนาระบบให้เป็นท่อส่งน้ำสายหลัก (Trunk Transmission Main) และการดำเนินการบริหาร/จัดการ
(Operate) เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้ค้าส่ง (Wholeseller)
ในการซื้อน้ำจากอ่างเก็บน้ำของกรมชลประทานและขายน้ำดิบให้กับระบบจำหน่ายต่าง
ๆ” ไปเพื่อดำเนินการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ
ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
569 | การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยจำนวนมาก | นร. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยจำนวนมาก
(High Season) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้แก่ประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม
ประเทศไทยจำเป็นจะต้องจูงใจและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวในการตัดสินใจเดินทางมาประเทศไทย
รวมทั้งดำรงภาพลักษณ์ที่ถูกต้อง ชัดเจน ในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย จึงขอมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับไปประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(คปภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดให้มีการประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยให้ครอบคลุมทั้งในกรณีเสียชีวิตและกรณีประสบอุบัติเหตุ
โดยพิจารณากำหนดเงื่อนไข อัตราเงินชดเชย
และระยะเวลาในการคุ้มครองที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจัดให้มีระบบบริการสาธารณสุขและประกันสุขภาพ
(Universal Healthcare)
สำหรับนักท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ งบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น
ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของหน่วยงานก่อนเป็นลำดับแรก
โดยหากไม่สามารถปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้หรือมีงบประมาณไม่เพียงพอ
และมีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ก็ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำกับให้มีการบูรณาการและประสานการทำงานร่วมกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และสถานีตำรวจในท้องที่ต่าง ๆ ในการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่เดินทางเข้าประเทศและเดินทางกลับ
โดยต้องมีความพร้อมในการตอบสนองและเผชิญเหตุได้อย่างรวดเร็วเมื่อได้รับแจ้งเหตุ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะอาดของสถานที่ท่องเที่ยวต่าง
ๆ ในความรับผิดซอบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของห้องน้ำสาธารณะ
ป้ายบอกทาง จุดจอดรถ จุดทิ้งขยะ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับรองรับผู้สูงอายุ เด็ก
และคนพิการ ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดประชุมและมอบนโยบายให้แก่สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในต่างประเทศทุกแห่งเพื่อเร่งรัดการทำงานเชิงรุก
โดยเฉพาะการดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ทราบถึงมาตรการในการดูแลนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
รวมทั้งขอความร่วมมือสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม
และร้านอาหารในการเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทย
นอกจากนี้
ให้แต่ละสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในต่างประเทศเตรียมความพร้อมและกำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการติดตามข่าวสารและชี้แจงตอบโต้ข่าวปลอม
(Fake News) ในประเด็นต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ให้ถูกต้อง รวดเร็ว และเท่าทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ๕. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งประสานผู้ประกอบการ(Operators) ทุกราย เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติทราบถึงช่องทางการติดต่อ
เพื่อขอทราบข้อมูลข่าวสารหรือขอรับความช่วยเหลือที่จำเป็นเร่งด่วนตั้งแต่เดินทางถึงประเทศไทยให้ชัดเจนและทั่วถึง
เช่น ศูนย์บริการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ๑๖๗๒ (Tourist Hotline 1672) ช่องทางการรับแจ้งเหตุของนักท่องเที่ยว
สายด่วน ๑๑๕๕ เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
570 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 | นร.13 | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้ (๑) เรื่องเพื่อทราบ
จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑) รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายฯ
ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง
แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายฯ มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๖
โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒) รับทราบความคืบหน้าของการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
๓) รับทราบการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในราชการตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔, ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ และ ๑๖ ตุลาคม
๒๕๖๖) และ ๔) รับทราบมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า และ (๒)
เรื่องเพื่อพิจารณา รวม ๕ เรื่อง ได้แก่ ๑) การแก้ไขหลักเกณฑ์ภายใต้มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
(EV3) ๒) มาตรการ EV3.5 คณะกรรมการนโยบายฯ
ได้พิจารณามาตรการ EV3.5 เพื่อให้มีผลใช้บังคับในช่วงปี ๒๕๖๗-๒๕๗๐
โดยครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่ง รถกระบะและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
รวมถึงสิทธิประโยชน์สำหรับรถยนต์แต่ละประเภทด้วย ๓) สนับสนุนงบประมาณสำหรับมาตรการ
EV3 ในส่วนที่ขาด และ EV3.5 ๔) การขยายเวลาสิทธิประโยชน์ภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล
(ECO Car) และ ๕) การปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญสำหรับรถยนต์นั่งในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรี
(Free Zone) : คณะกรรมการนโยบายฯ
ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่เห็นควรกำหนดเป้าหมายในการสนับสนุน
Eco Car ที่ชัดเจน
โดยหลังจากขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยซน์ด้านภาษีสรรพสามิตในครั้งนี้แล้ว
ควรใช้อัตราภาษีตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสินค้ารถยนต์ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
๑ มกราคม ๒๕๖๙ เป็นต้นไป หากมีการดำเนินกิจกรรม มาตรการ
หรือโครงการที่อาจก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต
รวมทั้งการยกเว้นหรือการลดภาษีอากรใด ๆ
หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐต่อไป สำหรับงบประมาณในการดำเนินการตามมาตรการการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว
สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙
ให้กรมสรรพสามิต ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต
โครงการการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ งบเงินอุดหนุน
เงินอุดหนุนทั่วไป รายการเงินอุดหนุนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์
จำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเงินอุดหนุนตามมาตรการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๐
เห็นควรให้กรมสรรพสามิตเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
และควรพิจารณากำหนดแผนงานในส่วนของการดำเนินการตาม “มาตรการเพื่อพัฒนารถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล
(ECO Car) และรถกระบะในระยะต่อไป
ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดรับกับแนวทางการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ”
ให้ชัดเจนต่อไปโดยเร็ว นอกจากเรื่องการส่งเสริมการผลิต และประเด็นการพัฒนารถยนต์ ECO
Car และรถกระบะ รวมถึงเป้าหมายการแก้ไขปัญหา PM 2.5 และการมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon neutrality ในขณะเดียวกัน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
571 | มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน | พน. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า
ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการที่ดำเนินการในช่วงเดือนกันยายน
๒๕๖๖-ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๖
เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการพื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
ให้กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
เร่งรัดดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ความพร้อม และความสามารถทางการเงินของภาครัฐ รวมถึงปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
รวมทั้งเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ควรติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้สามารถบริหารจัดการราคาพลังงานของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อไป
และควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางในการพัฒนาแหล่งพลังงานอื่นเพื่อใช้ทดแทน
Fossil Fuel เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประชุม
COP 28 อันจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่พึ่งพา Fossil Fuel อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. เห็นชอบการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน
๓๐๐ หน่วยต่อเดือน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
572 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (รายการค่าเช่ารถยนต์และค่าเช่าทรัพย์สินของกระทรวงสาธารณสุข) | สธ. | 12/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๗๒ เพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์ ๑๖๓ คัน
และค่าเช่าทรัพย์สิน ๑ แห่ง วงเงินงบประมาณ ๒๓๐,๐๕๒,๕๐๐ บาท เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเร่งด่วน
ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้
ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวน ๔๕,๗๖๐,๓๐๐ บาท รายการค่าเช่ารถยนต์ ๑๖๓ คัน และรายการค่าเช่าทรัพย์สิน ๑ แห่ง ดังกล่าวข้างต้น
เห็นควรให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณให้สอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๒/๒๔
ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๖ และหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๗๑๒/๖๖
ลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖) และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ
ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
573 | การขอรับความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาแห่งสมาพันธรัฐสวิส ร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน เพื่อดำเนินความร่วมมือในโครงการลดปัญหาความยากจนโดยการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย การพัฒนาทักษะแรงงาน และการยกระดับโอกาสการเข้าถึงการจ้างงานในประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา และไทย ระยะที่ 2 | กต. | 12/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาแห่งสมาพันธรัฐสวิส
ร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน
เพื่อดำเนินความร่วมมือในโครงการลดปัญหาความยากจนโดยการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย การพัฒนาทักษะแรงงาน
และการยกระดับโอกาสการเข้าถึงการจ้างงานในประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เมียนมา และไทย ระยะที่ ๒ และอนุมัติให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงข้างต้น
โดยร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แรงงานข้ามชาติจากกัมพูชา
สปป.ลาว และเมียนมาในประเทศไทยตลอดจนแรงงานข้ามชาติที่เดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม
ได้รับการจ้างงานอย่างเหมาะสมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาแห่งสมาพันธรัฐสวิส
ร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน
เพื่อดำเนินความร่วมมือในโครงการลดปัญหาความยากจนโดยการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย
การพัฒนาทักษะแรงงาน และการยกระดับโอกาสการเข้าถึงการจ้างงานในประเทศกัมพูชา
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา และไทย ระยะที่ ๒
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการความร่วมมือดังกล่าว
ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนงบประมาณรายจ่าย โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรงบประมาณ แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
574 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการเยียวยาแรงงานไทยจากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอิสราเอล ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | รง. | 12/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงแรงงานใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ภายในกรอบวงเงิน ๗๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเยียวยาแรงงานไทยจากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอิสราเอล
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มค่า
และผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ
รวมทั้งปฏิบัติตามเงื่อนไขและขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๘/๖๙๐๐ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖) ที่เห็นควรดำเนินการกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณตามโครงการเยียวยาดังกล่าวให้เป็นไปอย่างรัดกุม
พร้อมทั้งเร่งรัดการสื่อสารให้แรงงานกลุ่มเป้าหมายทราบถึงสิทธิและช่องทางการเยียวยาและการช่วยเหลือทั้งทางด้านการจัดหางานและเพิ่มพูนทักษะที่ดำเนินอยู่
เพื่อให้แรงงานสามารถกลับเข้าสู่การจ้างงานและการประกอบอาชีพทั้งในต่างประเทศอันจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐในระยะยาว
ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
575 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 04/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ประกอบด้วย โครงสร้างยุทธศาสตร์การจัดสรรงบฯ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามยุทธศาสตร์ชาติ
๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง (๒)
ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (๓) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
(๔) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม (๕)
ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๖)
ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ
ประกอบด้วย รายจ่ายเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
ทั้งนี้
ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่เห็นว่าในการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อไป
ควรมีการเพิ่มเติมเป้าหมายและตัวชี้วัดของนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ
(พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) ที่สามารถประเมินและวัดผลสัมฤทธิ์ของนโยบายการจัดสรรงบประมาณ
ที่เป็นประเด็นการดำเนินการเร่งด่วน
รวมทั้งการเพิ่มเติมการเชื่อมโยงเป้าหมายและตัวชี้วัดของนโยบายและแผนฯ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
ในระบบการจัดการงบประมาณอิเล็กทรอนิกส์ (e-Budgeting) ของสำนักงบประมาณ
เพื่อให้การจัดทำงบประมาณสามารถบรรลุเป้าหมายในการขับเคลื่อนภารกิจงานความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
พ.ศ. ๒๕๖๘ ประเด็นแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ
ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับกรอบการจัดสรรงบประมาณประจำปี และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ควรเพิ่มประเด็นแนวทางบูรณาการด้านที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ในยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
เพื่อให้เร่งรัดการขับเคลื่อนภารกิจงาน “การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ (One
Map)” และ “การจัดที่ดินทำกิน” ให้เป็นภารกิจพิเศษ (Agenda
Base) รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินเพื่อความยั่งยืน
ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
576 | โครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 | อก. | 04/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงเพิ่มเติมว่า การจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยตามโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น
PM2.5
สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) เนื่องจากเป็นการจ่ายเงินตามหลักการ De minimis (การอุดหนุนขั้นต่ำไม่เกินร้อยละ
๑๐ ของมูลค่าผลผลิตรวมในแต่ละปีของพืชชนิดนั้น) ของ WTO ซึ่งเป็นการอุดหนุนภายในที่มีผลต่อการบิดเบือนการค้าน้อยหรืออาจไม่มีผลต่อการบิดเบือนเลย ๒.
อนุมัติในหลักการโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น ควรมีมาตรการหรือแนวทางรองรับเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน
และหาแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเก็บเกี่ยวอ้อยให้ได้คุณภาพดียิ่งขึ้น
เพื่อลดภาระงบประมาณรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ควรกำกับติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ให้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด หน่วยงานผู้รับผิดชอบควรมีกลไกและแนวทางการแก้ปัญหาการเผาพื้นที่ไร่อ้อยของเกษตรกรเพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศในระยะยาว
และพิจารณาหาแหล่งเงินที่เหมาะสมอื่นจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล
เพื่อให้สามารถลดภาระงบประมาณในอนาคตของภาครัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
577 | ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย หนองคาย และบึงกาฬ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2566 และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2566 | นร.11 สศช | 04/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๑ (หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย หนองคาย และบึงกาฬ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๖ และเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๖ มอบหมายให้สำนักงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาความพร้อมและความคุ้มค่าของการลงทุน
จัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน
รวมทั้งความเหมาะสมของแหล่งงบประมาณในการดำเนินการตามขั้นตอน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
โดยกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยในส่วนของข้อเสนอโครงการของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๑ ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอดังกล่าวของแต่ละจังหวัดเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ตามความจำเป็น เหมาะสม และลำดับความสำคัญเร่งด่วนของแต่ละจังหวัด
ภายในกรอบวงเงินรวมจังหวัดละไม่เกิน ๖๐ ล้านบาท ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำหรับข้อเสนอที่มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาแนวทางการเพิ่มจำนวนด่านการนำเข้ามันสำปะหลังเพิ่มเติม
เพื่อให้มีปริมาณวัตถุดิบเพียงพอต่ออุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง นั้น
ขอให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงความจำเป็น เหมาะสม
และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในประเทศเป็นสำคัญด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้จังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑
(หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย หนองคาย และบึงกาฬ)
แต่ละจังหวัดเร่งพิจารณาจัดทำข้อเสนอโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่
ตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ ต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
578 | มาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย | กค. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย
มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้จากการใช้จ่ายในประเทศและจากต่างประเทศ
ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม
เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ สถานบันเทิง โรงแรมที่พัก ผู้ให้บริการขนส่ง
สายการบิน เป็นต้น ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ในระยะเวลาอันสั้นและสร้างงานให้กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากรณีการยกเลิกการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า
รวมถึงการยกเว้นอากรของที่ซื้อจากร้านค้าปลอดอากรสำหรับผู้โดยสารขาเข้า
เพื่อส่งเสริมการบริโภคและการใช้สินค้าภายในประเทศ ควรพิจารณาเงื่อนไขของสินค้าประเภทต่าง
ๆ ในการยกเลิกให้เหมาะสม โดยเน้นการสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยและสนับสนุนชุมชนเป็นหลัก
เพื่อกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างทั่วถึง และควรมีการประเมินผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบหลังการดำเนินมาตรการ
เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป ในการดำเนินการขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัดต่อไป ควรมีการดำเนินการการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างและอัตราภาษีสรรพสามิตฯ
ทั้งระบบให้ครอบคลุมในทุกมิติเพื่อให้สามารถนำผลการศึกษาไปพัฒนาการจัดเก็บภาษีของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรบูรณาการประเด็นการศึกษามาตรการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
579 | รายงานผลการศึกษาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 (เรื่อง การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) | นร.10 | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานผลการศึกษาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม
๒๕๖๖ (เรื่อง
การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่เห็นว่าในส่วนของการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบราชการ
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนควรพิจารณาให้มีการปรับระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรภาครัฐที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถและศักยภาพในการปฏิบัติงานที่จะทำให้ภารกิจของหน่วยงานบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
เพื่อให้การจ่ายค่าตอบแทนสะท้อนถึงผลการปฏิบัติงานที่แท้จริง (Performance Based
Pay) และยังจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบราชการในระยะยาว ควรให้ความสำคัญกับมาตรการหรือแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐที่จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่กับการปรับอัตราเงินเดือน
โดยให้หน่วยงานจัดทำแผนและดำเนินการตาม Digital Transformation Plan เพื่อยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐที่ต้องปรับปรุงกระบวนงานและวิธีการทำงานเพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ทันสมัยด้วยนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีดิจิทัล
ควรเร่งเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูลด้านกำลังคนภาครัฐขององค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลทุกประเภท
และหน่วยงานหรือคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์
ทบทวน กำหนดแนวทางการปฏิรูประบบราชการในภาพรวม
หรือจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านกำลังคนและงบประมาณด้านบุคลากรภาครัฐของประเทศได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
580 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
ดังนี้ ๑. การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒.
การขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง
การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ที่กำหนดให้รายการรายจ่ายลงทุนที่จะขอผูกพันข้ามปีงบประมาณทุกรายการต้องได้รับจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีแรกเป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๒๐ ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้นของรายจ่ายลงทุนนั้น ๆ
โดยไม่รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด ๓.
ให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗
ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปรับฟังความคิดเห็นให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๗๗ วรรคสอง
|