ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 27 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 521 - 540 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
521 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน
๒๕๖๖ เรื่อง
การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน
(กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ซึ่งแจ้งว่าไม่มีมติคณะรัฐมนตรีในความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชนที่จะต้องยืนยันการคงอยู่ต่อไป
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
522 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) | ดศ. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน
๒๕๖๖ การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน
(กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ซึ่งแจ้งว่าไม่มีมติคณะรัฐมนตรีในความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชนที่จะต้องยืนยันการคงอยู่ต่อไป
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
523 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน (กระทรวงพาณิชย์) | พณ. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน
๒๕๖๖ การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน
(กระทรวงพาณิชย์) ซึ่งแจ้งว่าไม่มีมติคณะรัฐมนตรีในความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชนที่จะต้องยืนยันการคงอยู่ต่อไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
524 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน (สำนักงาน ก.พ.) | นร.10 | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ กันยายน ๒๕๖๖ การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน
(สำนักงาน ก.พ.) ซึ่งแจ้งว่าไม่มีมติคณะรัฐมนตรีในความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชนที่จะต้องยืนยันการคงอยู่ต่อไป
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
525 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล | ดศ. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล
และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นกรอบการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล
และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันระหว่างรัฐบาลไทย
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
526 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา | คค. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจ (Full
Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวด้วย และมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งเป็นหนังสือผ่านช่องทางทางการทูตถึงการดำเนินการตามกระบวนการเสร็จสิ้นเพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับ โดยร่างความตกลงฯ
จัดทำขึ้นระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
เพื่อใช้แทนที่และยกเลิกความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลศรีลังกา
ที่ลงนามเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ โดยมีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
ดังนั้น ร่างความตกลงฯ จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
527 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 4 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ดศ. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล
ครั้งที่ ๔ (The 4th ASEAN Digital Ministers’
Meeting : The 4th ADGMIN) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
ประกอบด้วย เอกสารจะมีการลงนาม จำนวน ๑ ฉบับ และเอกสารที่จะรับรอง จำนวน ๑๑ ฉบับ
รวมจำนวน ๑๒ ฉบับ ซึ่งเป็นเอกสารแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินโครงการและกิจกรรมความร่วมมือด้านดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียนอย่างแข็งขันและต่อเนื่อง
สนับสนุนการดำเนินงานด้านการปรับเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล
การสร้างระบบนิเวศด้านดิจิทัลในอาเซียนให้มีความพร้อมทั้งในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
การลดช่องว่างทางดิจิทัล การส่งผ่านข้อมูลระหว่างกัน
และกรอบแนวทางการกำกับดูแลที่เหมาะสมกับบริบทของอาเซียนที่มีความแตกต่างด้านการพัฒนา
เพื่อสามารถรับมือกับความท้าทายของโลกไซเบอร์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม
และเป็นการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทอาเซียนด้านดิจิทัล ค.ศ. ๒๐๒๕
อย่างเป็นรูปธรรม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
หรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมาย
ร่วมลงนามในร่างเอกสารที่จะมีการลงนาม จำนวน ๑ ฉบับ และเอกสารที่จะรับรอง จำนวน ๑๑
ฉบับ รวมจำนวน ๑๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรพิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ตามขั้นตอนต่อไป
รวมทั้งพิจารณาแนวทางการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเฉพาะด้าน อาทิ
รถยนต์ไร้คนขับ และความปลอดภัยบนโลกอินเทอร์เน็ต
เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องได้อย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
528 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศในนามของประเทศสมาชิกยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง กับสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงว่าด้วยการสนับสนุนสำนักงานเลขาธิการชั่วคราว ACMECS | กต. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศในนามของประเทศสมาชิกยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง
กับสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงว่าด้วยการสนับสนุนสำนักงานเลขาธิการชั่วคราว
ACMECS และให้ผู้แทนที่กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและขับเคลื่อนสำนักงานเลขาธิการชั่วคราวฯ
ซึ่งกำหนดขอบเขตความร่วมมือตามภารกิจหลักของสำนักงานเลขาธิการชั่วคราวฯ รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้แก่สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงเพื่อการสนับสนุนและบริการแก่สำนักงานเลขาธิการชั่วคราวฯ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
529 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | สพร. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗๙,๒๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาและให้บริการระบบการสื่อสารแบบรวมศูนย์
ตามที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เสนอ
และให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาและให้บริการระบบสื่อสารแบบรวมศูนย์
ให้พิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มค่า
และผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้งบประมาณอย่างรอบคอบ
รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
530 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กต. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศหรือผู้แทนที่กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างความบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศ
กับองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ มีสาระสำคัญเป็นการดำเนินความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนบุคลากร และการส่งเสริมมิตรภาพระหว่างสองประเทศ
โดยฝ่ายจีนจะจัดให้มีการดำเนินการด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านการฝึกอบรม
มอบทุนการศึกษา และจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ส่วนฝ่ายไทยจะรับผิดชอบการจัดส่งข้อเสนอสำหรับความร่วมมือที่ครอบคลุมถึงรูปแบบการฝึกอบรม
สาขา และระยะเวลาดำเนินงาน ตลอดจนการคัดเลือกผู้สมัครเข้ารับการอบรม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงบประมาณที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานของไทยรับทราบอย่างทั่วถึง
เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากบันทึกความเข้าใจฯ
ที่ครอบคลุมและเป็นรูปธรรมมากที่สุด
และหากมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
531 | การขอก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของกระทรวงมหาดไทย | มท. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงมหาดไทย
จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกับกองทัพบก
ในการจัดหาอากาศยานปีกหมุน (Helicopter) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสาธารณภัย (ระยะที่ ๔) จำนวน ๑ ลำ (๒)
โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค
สาขาสมุทรสาคร-นครปฐม ระยะที่ ๑ ส่วนที่ ๑-๒ อำเภอเมืองสมุทรสาคร-กระทุ่มแบน-บ้านแพ้ว
จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอเมืองนครปฐม นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม อำเภอโพธาราม-บางแพ
จังหวัดราชบุรี (๓) โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค สาขาเกาะสมุย
ระยะที่ ๒ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี (๔) โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน
กรุงเทพมหานคร และศูนย์สำรวจและเฝ้าระวังชายฝั่ง วงเงินรวมทั้งสิ้น ๕,๖๑๘.๗๖ ล้านบาท และให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ
ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการดังกล่าว
โดยมีคุณลักษณะเฉพาะ ประมาณการหรือผลการสอบราคา รายละเอียดแบบรูปรายการ
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด
การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งให้นำความเห็นของคณะอนุกรรมการบูรณาการด้านการจัดการการกัดเซาะชายฝั่งทะเล
ที่พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของโครงการด้านการกัดเซาะชายฝั่งทะเล มาประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
532 | ขออนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป กระทรวงยุติธรรม | ยธ. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ในการดำเนินโครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ
ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ และโครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดยโสธร
พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ตำบลสำราญ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ของกระทรวงยุติธรรม
ทั้งนี้
ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับสำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมคุ้มค่าของราคาก่อสร้างของทั้ง
๒ เรือนจำ โดยคำนึงถึงความจำเป็น ประโยชน์ใช้สอย และสอดคล้องกับขนาดของเรือนจำ
รวมทั้งให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงบประมาณ เช่น กรณีพื้นที่ดำเนินโครงการอยู่ในเขตพื้นที่ป่าไม้
ขอให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนเข้าดำเนินการในพื้นที่
ให้กระทรวงยุติธรรมจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการก่อสร้างเรือนจำ
จำนวน ๒ โครงการ ดังกล่าว โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้าง
สถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการ
รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมตามความจำเป็นเร่งด่วน
ศักยภาพในการดำเนินการ สถานะการเงินการคลังของประเทศ และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณฯ ตามข้อ
๑ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุนและรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด
ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างรายได้และโอกาสให้แก่ประชาชน
การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการภาครัฐหรืออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
และการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
แล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนและกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
533 | รายงานความก้าวหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ OKMD: OKMD National Knowledge Center (Ratchadamnoen Center 1 และ 2) และเสนอขอความเห็นชอบการเช่าพื้นที่อาคารกองสลากเดิมและอาคารว่างที่อยู่ติดกันเพื่อดำเนินโครงการฯ | นร.04 | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความก้าวหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ OKMD : OKMD National Knowledge Center (Ratchadamnoen Center ๑ และ ๒) และให้สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้
(องค์การมหาชน) ดำเนินการเช่าที่ดินแปลงหมายเลข ๖ เนื้อที่ ๒,๐๓๕.๕o ตารางวา และเช่าอาคารและที่ดินด้านหลัง
พื้นที่ใช้สอย ๖,๓๖๗.๔๖ ตารางเมตร จากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
เพื่อดำเนินโครงการฯ เป็นระยะเวลา ๓๐ ปี มีวงเงินค่าเช่ารวมจำนวนทั้งสิ้น ๓,๔๐๗.๐๕๕ ล้านบาท โดยจะแบ่งชำระค่าเช่าออกเป็น ๓๓ งวด ประกอบด้วย
ระยะเวลาการก่อสร้างและปรับปรุง ๓ ปี และระยะเวลาการเช่า ๓๐ ปี
ตามเงื่อนไขการชำระค่าเช่าตามที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์กำหนด ตามที่สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้
(องค์การมหาชน) เสนอ ๒.
อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)
และให้สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
รวมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้โครงการเกิดผลสำเร็จอย่างยั่งยืน จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และแผนการจัดหารายได้เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงตามสัญญา
หากสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)
มีเงินรายได้เพียงพอควรนำมาสมทบ เพื่อเป็นค่าเช่าพื้นที่ดังกล่าว
และให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวช้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า
ความจำเป็นและความเหมาะสม ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ
และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย และ
ควรกำหนดแนวทางและแผนการจัดหารายได้ในระยะยาวพร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
อาทิ การพัฒนารูปแบบทางธุรกิจใหม่ ๆ สำหรับการจัดหารายได้ขององค์การเพิ่มเติม
เพื่อนำมามีส่วนร่วมจ่ายและช่วยลดการพึ่งพิงภาระด้านงบประมาณของภาครัฐในระยะยาวต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
534 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ | มท. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า
(จากแหล่งน้ำลำตะคองมายังโรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า) งบประมาณ ๑,๙๙๕.๔๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า
ความประหยัด ภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย และให้กระทรวงมหาดไทย
โดยเทศบาลนครนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณฯ ตามข้อ
๑ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุนและรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด
ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างรายได้และโอกาสให้แก่ประชาชน
การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการภาครัฐหรืออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
และการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
แล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนและกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
535 | การดำเนินการตามพิธีการทางการทูต | นร. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การจัดทำความตกลงระหว่างประเทศทุกประเภท
ทั้งในระดับรัฐบาลและระดับหน่วยงานเป็นไปอย่างเหมาะสม ถูกต้องตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับพิธีการและประเพณีปฏิบัติทางการทูต
ในแต่ละกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดหัวหน้าคณะผู้แทน ผู้ลงนาม และสักขีพยาน
จึงขอให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่ประสงค์จะทำความตกลงระหว่างประเทศทุกประเภทดังกล่าว
หารือกับกระทรวงการต่างประเทศให้ถูกต้อง ชัดเจน ก่อนดำเนินการใด ๆ
รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
536 | ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม | อว. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โครงการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ภูเก็ต (พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๑)
ในวงเงินงบประมาณ ๓,๑๔๐,๓๑๓,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๑) และโครงการผลิตนักฉุกเฉินการแพทย์ด้วยการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา
ระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๒ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในวงเงินงบประมาณ ๒,๙๘๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด พิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงานของรัฐที่ขอรับจัดสรรงบประมาณ
ฐานะเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานของรัฐที่สามารถใช้จ่ายได้
รวมตลอดถึงรายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้
และความสามารถในการใช้จ่าย และการก่อหนี้ผูกพันของหน่วยงานของรัฐภายในปีงบประมาณนั้น
รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน
ศักยภาพในการดำเนินการตลอดจนสถานะการเงินการคลังของประเทศ
และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
537 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี - ไทย ครั้งที่ 1 | กต. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี
- ไทย ครั้งที่ ๑ ประกอบด้วย ร่างข้อริเริ่มความร่วมมือ
(Initiative Card) จำนวน ๗๘ ฉบับ ร่างบันทึกผลการประชุมของการประชุมคณะกรรมการร่วม ๕ คณะ
จำนวน ๕ ฉบับ และร่างบันทึกผลการประชุมของการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี - ไทย
ครั้งที่ ๑ จำนวน ๑ ฉบับ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศในฐานะประธานคณะกรรมการด้านการเมืองและการกงสุล
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะประธานคณะกรรมการด้านความมั่นคงและการทหาร
ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในฐานะประธานคณะกรรมการด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจและการค้า และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในฐานะประธานคณะกรรมการด้านการลงทุน
ภายใต้สภาความร่วมมือซาอุดี - ไทย หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกผลการประชุมของการประชุมคณะกรรมการร่วมภายใต้สภาความร่วมมือฯ
อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกผลการประชุมของการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี
- ไทย ครั้งที่ ๑ ซึ่งมีกำหนดจัดในวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ที่ประเทศไทย เห็นชอบให้ประธานคณะกรรมการฝ่ายไทยภายใต้สภาความร่วมมือฯ
มีอำนาจหน้าที่ในดำเนินการทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อน การติดตาม
และการรายงานผลการดำเนินการภายใต้คณะกรรมการที่กำกับดูแล
เพื่อให้ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภาความร่วมมือฯ
โดยเฉพาะร่างข้อริเริ่มความร่วมมือ (Initiative Card) มีผลในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม
โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ มีสาระสำคัญเน้นย้ำความร่วมมือและการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกันในทุกมิติ
โดยที่ประชุมจะรับรองร่างผลการประชุมซึ่งระบุข้อริเริ่มความร่วมมือ
(initiative Card) ด้านต่าง ๆ ซึ่งคณะกรรมการภายใต้สภาความร่วมมือฯ เห็นชอบแล้ว ได้แก่ การเมืองและการกงสุล ความมั่นคงและการทหาร
วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เศรษฐกิจและการค้า และการลงทุน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
538 | การดูแลรักษาความปลอดภัยในสถานที่ราชการ | นร. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง การปรับปรุง แก้ไข
หรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดเวรรักษาการณ์ประจำสถานที่ราชการ)
กำหนดให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดให้มีเวรรักษาการณ์ประจำสถานที่ราชการหรือหน่วยงานนอกเวลาราชการและในวันหยุดราชการ
นั้น
พบว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมามีครูและบุคลากรทางการศึกษาเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการที่ต้องมาปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง
ประกอบกับปัจจุบันมีบุคคลและเครื่องมือต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยของสถานที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐแทนได้
เช่น การใช้พนักงานรักษาความปลอดภัย การจ้างเอกชนให้บริการดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย
การติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด นอกจากนี้
การให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาอยู่เวรรักษาการณ์ในสถานศึกษายังอาจเป็นการกำหนดหน้าที่ที่เพิ่มความเสี่ยงให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น จึงเห็นควรดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สถานศึกษาในสังกัด
รวมทั้งกระทรวงอื่น ๆ ที่มีสถานศึกษาในสังกัด เช่น กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงมหาดไทย ตลอดจนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง การปรับปรุง แก้ไข
หรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดเวรรักษาการณ์ประจำสถานที่ราชการ)
และมอบหมายกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (หน่วยงานในสังกัดในแต่ละพื้นที่)
ประสานกับสถานศึกษาในพื้นที่แต่ละแห่ง
เพื่อจัดเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสถานศึกษาดังกล่าวทั้งในเวลาราชการและนอกเวลาราชการตามความจำเป็นและเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
539 | โครงการสำคัญเพื่อการพัฒนาของจังหวัดระนอง | นร. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(จังหวัดระนอง กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต และสตูล)
รวมทั้งการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗
และได้หารือกับภาคส่วนต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาของจังหวัดให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่
และสามารถรองรับธุรกิจการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น
ทำให้จำเป็นต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมขนส่งให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น
จึงขอให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ
แล้วเสร็จโดยเร็ว ดังนี้ ๑. โครงการปรับปรุงถนนและระบบสาธารณูปโภค
พร้อมปรับภูมิทัศน์ถนนจัดสรรพัฒนา ตำบลบางริ้น อำเภอเมืองระนอง
จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นสายสำคัญที่เชื่อมทางหลวงหมายเลข ๔ เข้าสู่ตัวเมืองระนอง
รวมทั้งเป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปสู่ท่าเรือระนอง-เกาะสองด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
540 | ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ระนอง ภูก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และสตูล) เมื่อวันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2567 | นร.11 สศช | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(ระนอง ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และสตูล) เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และเห็นชอบตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้แจงเพิ่มเติมว่า
โดยที่โครงการยกระดับและพัฒนาศักยภาพระบบการแพทย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
ของจังหวัดกระบี่ เป็นโครงการที่มีระยะเวลาดำเนินการเกินกว่า ๑ ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙-๒๕๗๐ ดังนั้น
จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด
จำนวน ๑๓ โครงการ วงเงินรวม ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
และให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำโครงการดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไป ๓.
เห็นชอบในหลักการโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน จำนวน ๕ โครงการ วงเงินรวม ๒๐๒,๐๙๙,๐๐๐ บาท [(๑)
โครงการปรับปรุงและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานถนนท่องเที่ยวชุมชนเกาะยาวใหญ่ เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ของท้องถิ่น
อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (๒) โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำ ถนนนาเกาะ-บางโจ
ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต (๓)
โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้อนุรักษ์ฟื้นฟูพะยูนและสัตว์ทะเลหายากจังหวัดตรัง
ระยะที่ ๒ จังหวัดตรัง (๔) โครงการปรับปรุงท่าเรือระนอง-เกาะสอง
เพื่อการท่องเที่ยวและการสัญจร ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง และ (๕)
โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชุมชน จังหวัดสตูล]
โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องตามข้อ ๒
และ ๓
จัดทำรายละเอียดโครงการและประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบต่อไป
ในส่วนของโครงการยกระดับและพัฒนาศักยภาพระบบการแพทย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
จังหวัดกระบี่ วงเงิน ๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท
เป็นโครงการที่มีระยะเวลาดำเนินการเกินกว่า ๑ ปี
ให้หน่วยรับงบประมาณเจ้าของโครงการจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชนในส่วนที่เหลือเพื่อบรรจุไว้ในแผนการปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๕. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔
ธันวาคม ๒๕๖๖ [เรื่อง
ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๑ (หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย หนองคาย และบึงกาฬ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๖ และเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๖] โดยให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดจัดทำโครงการตามความจำเป็น
เหมาะสม และลำดับความสำคัญเร่งด่วนของแต่ละจังหวัด
เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำโครงการดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไปด้วย
|