ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 28 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 541 - 560 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
541 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) | ดศ. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จำนวน ๒ คณะ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ มกราคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑. คณะกรรมการที่ปรึกษาวิชาการ ๒. คณะกรรมการสถิติประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
542 | ขออนุมัติการจัดทำเเละลงนามร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลเเห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเเห่งสหภาพเมียนมา เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย | คค. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล
สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย โดยร่างความตกลงฯ
มีสาระสำคัญ เป็นการกำหนดกรอบการดำเนินงานของเรือและบริษัทขนส่งทางเรือ
รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC เช่น (๑)
การร่วมมือเพื่อพัฒนาการค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างกัน (๒)
การกำหนดหลักปฏิบัติต่อเรือของประเทศภาคีเมื่อเข้าสู่น่านน้ำของตน (๓) การกำหนดให้มีขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐานเพื่อให้การดำเนินงานระหว่างประเทศภาคีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
(๔) การกำหนดเอกสารที่ภาคีความตกลงฯ ต้องให้การยอมรับ (๕)
การให้การช่วยเหลือแก่เรือและลูกเรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย (๖)
การดำเนินคดีทางแพ่งและทางอาญา และ (๗) การระงับข้อพิพาท เป็นต้น
โดยการดำเนินการตามร่างความตกลงจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายของไทย และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล
ระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
และราชอาณาจักรไทย และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
สำหรับการลงนามดังกล่าว โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำหนังสือไปยังสำนักเลขาธิการบิมสเทค
แจ้งการมีผลใช้บังคับของร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล
สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย
เมื่อกระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการต่างประเทศว่าได้ดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็น เพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลบังคับใช้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล
ระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ภายใต้ร่างความตกลงดังกล่าว ได้กำหนดถึงแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล
เช่น การป้องกันการสูญเสียสัตว์ทะเลหายาก การเฝ้าระวังมลพิษจากขยะทะเล
การรั่วไหลของน้ำมัน
การป้องกันชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่อาจมากับน้ำอับเฉาเรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเนื่องมาจากเชื้อเพลิงเรือ
เป็นต้น จึงอาจพิจารณาประเด็นดังกล่าวประกอบการดำเนินความร่วมมือในอนาคต และในกรณีที่การใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงทางทะเลภายใต้กรอบความตกลงข้างต้นในอนาคตมีความเสี่ยงหรือประสบปัญหาอันเกิดจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางทะเลไม่ว่าที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ฝ่ายไทยสามารถเสนอมาตรการและกลไกการประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบริหารสถานการณ์ข้างต้น
โดยอาศัยกลไกความร่วมมือสาขาความมั่นคงทางทะเล ได้แก่ Expert Group on
Maritime Security Cooperation in the Bay of Bengal อีกช่องทางหนึ่ง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
543 | ร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการศึกษาและวิจัยแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม | อว. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการศึกษาและวิจัยแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม (JOINT DECLARATION OF INTENT BETWEEN THE MINISTRY OF
HIGHER EDUCATION, SCIENCE, RESEARCH AND INNOVATION OF THE KINGDOM OF THAILAND
AND THE FEDERAL MINISTRY OF EDUCATION AND RESEARCH OF THE FEDERAL REPUBLIC OF
GERMANY ON COOPERATION IN THE FIELDS OF SCIENCE, RESEARCH AND INNOVATION) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ โดยร่างปฏิญญาร่วมฯ
จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมระหว่างไทยและเยอรมนีให้มีทิศทางและความสอดคล้องกับประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
โดยไม่จำกัดสาขาความร่วมมือ
ซึ่งหัวข้อในแต่ละสาขาความร่วมมือจะเป็นไปตามความสนใจร่วมกันของทั้งสองฝ่ายและจะกำหนดผ่านการประชุมและข้อตกลงในภายหลัง
โดยครอบคลุม ๑๐ กิจกรรม เช่น
การประกาศรับข้อเสนอร่วมกันสำหรับโครงการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี
การแลกเปลี่ยนข้อมูล วัสดุ และเอกสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
544 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) | นร.09 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
จำนวน ๔ คณะ เพื่อให้การพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายมีความต่อเนื่องทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนมากที่สุด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มกราคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ๒.
คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ๓.
คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วน บริษัท และองค์กรทางธุรกิจ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
545 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช | ศธ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเปลี่ยนแปลงรายการอาคารเรียนดังกล่าว
เป็น รายการอาคารเรียน ๓๒๔ ล./๕๕-ข (ในเขตแผ่นดินไหว) โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช
ตำบลหนองหงส์ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ๑ หลัง ในวงเงิน ๒๔,๘๙๙,๐๐๐ บาท
และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๗
เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๘
โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๕,๗๒๙,๔๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี
ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๒.๕/ว ๑๓๘ ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม
๒๕๖๖ ส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๙,๑๖๙,๖๐๐
บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๖๘ ทั้งนี้
การดำเนินการก่อสร้างรายการดังกล่าว
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย
ที่เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
546 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหารือทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศเเห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน | กต. | 09/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหารือทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน
และอนุมัติอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหรือทางการมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจานในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าโดยปัจจุบันไทยอยู่ระหว่างการเจรจาเปิดตลาดสินค้าทวิภาคีกับอาเซอร์ไบจานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก
(WTO) ของอาเซอร์ไบจาน
จึงอาจใช้เวทีดังกล่าวผลักดันประเด็นที่ไทยและสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจานมีผลประโยชน์ร่วมกัน
และในอนาคตอาจพิจารณาขยายประเด็นการหารือให้ครอบคลุมประเด็นความมั่นคงที่เป็นประโยชน์ร่วมกันหรือข้อห่วงกังวลของทั้งสองฝ่าย
เช่น ประเด็นการต่อต้านการก่อการร้ายและแนวคิดรุนแรงสุดโต่ง อาชญากรรมข้ามชาติ
ความมั่นคงทางไซเบอร์ เป็นต้น รวมทั้งควรวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
547 | การเร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ | นร. | 09/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง
และการประปาส่วนภูมิภาค ได้ผ่อนปรนให้ประชาชนผู้ได้รับทะเบียนบ้านชั่วคราวซึ่งออกให้กับที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างขึ้นในที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต
รวมถึงผู้ที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐสามารถขอใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาได้ในอัตราค่าบริการที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวในระยะยาว
ซึ่งบางส่วนไม่มีสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและน้ำประปาใช้มาเป็นเวลานานมากแล้ว จึงขอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(สคทช.) ดำเนินการ ดังนี้ ๑.
เร่งรัดการดำเนินการขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ เมษายน
๒๕๔๖ (เรื่อง
การออกเลขที่บ้านชั่วคราวให้กับผู้บุกรุกในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย)
รวมทั้งเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐมาก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติในวันนี้สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและน้ำประปาได้เป็นการชั่วคราวตามหลักสิทธิมนุษยชน
โดยให้ดำเนินการเรื่องนี้เป็นการนำร่องก่อนเฉพาะในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีและแม่ฮ่องสอน
และให้ สคทช. รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๑ เดือน ทั้งนี้
ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือกับ สคทช. ในการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นตามหน้าที่และอำนาจด้วย ๒.
เร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ภายใน ๑ ปี ทั้งนี้ ให้ สคทช.
รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
548 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐเฮลเลนิก | กต. | 09/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐเฮลเลนิก
และให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีเพื่อทบทวน
ขยาย และเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีตลอดจนและเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นภูมิภาคและประเด็นระหว่างประเทศที่สนใจร่วมกัน
เช่น ด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
โดยไทยและกรีชจะสลับกันจัดการหารือขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
โดยผู้แทนเข้าร่วมการหารือจะเป็นระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส และระดับรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐเฮลเลนิกในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยเห็นว่า
การจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐเฮลเลนิก
จะทำให้เกิดเวทีและช่องทางการติดต่อสื่อสารที่เป็นประโยชน์ในการผลักดันความร่วมมือระหว่างไทยและสาธารณรัฐเฮลเลนิกในด้านต่าง
ๆ รวมถึงเศรษฐกิจและการค้า ทั้งนี้
โดยที่ปัจจุบันไทยอยู่ระหว่างเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) กับสหภาพยุโรป
(European Union : EU) ไทยจึงอาจใช้กลไกการหรือทวิภาคีกับสาธารณรัฐเฮลเลนิก
ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เพื่อสนับสนุนการเจรจาความตกลงการค้าเสรีดังกล่าวโดยการผลักดันประเด็นที่ไทยและสาธารณรัฐเฮลเลนิกมีผลประโยชน์ร่วมกัน
โดยเห็นว่า การจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐเฮลเลนิก
จะทำให้เกิดเวทีและช่องทางการติดต่อสื่อสารที่เป็นประโยชน์ในการผลักดันความร่วมมือระหว่างไทยและสาธารณรัฐเฮลเลนิกในด้านต่าง
ๆ รวมถึงเศรษฐกิจและการค้า ทั้งนี้
โดยที่ปัจจุบันไทยอยู่ระหว่างเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade
Agreement : FTA) กับสหภาพยุโรป (European Union
: EU) ไทยจึงอาจใช้กลไกการหรือทวิภาคีกับสาธารณรัฐเฮลเลนิก
ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เพื่อสนับสนุนการเจรจาความตกลงการค้าเสรีดังกล่าวโดยการผลักดันประเด็นที่ไทยและสาธารณรัฐเฮลเลนิกมีผลประโยชน์ร่วมกัน
และกระทรวงการต่างประเทศต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
549 | ขออนุมัติการเพิ่มวงเงินในสัญญา รายการทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำเฮี้ย จังหวัดเพชรบูรณ์ | กษ. | 02/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมชลประทานเพิ่มวงเงินค่างานก่อสร้าง รายการทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำเฮี้ย
จังหวัดเพชรบูรณ์ จากวงเงินตามสัญญาที่แก้ไขเพิ่มติม จำนวน ๒๓๘,๕๕๕,๙๒๕.๓๘ บาท เป็นวงเงิน ๒๖๕,๑๙๕,๖๘๙.๖๖ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับวงเงินงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาดังกล่าว จำนวน ๒๖,๖๓๙,๗๖๔.๒๘ บาท เห็นควรให้กรมชลประทานพิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน เพื่อมาดำเนินการเป็นลำดับแรก
โดยให้จัดทำแผนรายละเอียดการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้กรมชลประทานปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
550 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร. | 02/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน
สรุปได้ ดังนี้ ๑) สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ รวมทั้งสิ้น
๕๗,๓๙๙
เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ ๕๑,๒๐๔ เรื่อง
คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๒๑ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนมากที่สุด (๕,๑๙๘ เรื่อง) ๒)
การประมวลผลและวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
มีสถิติเรื่องร้องทุกข์ ๕๗,๓๙๙ เรื่อง น้อยกว่าปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๑๐,๕๒๐ เรื่อง (มีเรื่องร้องทุกข์ ๖๗,๙๑๙ เรื่อง) โดยประเด็นที่ประชาชนยื่นเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ เสียงรบกวน/สั่นสะเทือน
(๔,๘๙๓ เรื่อง) ๓) ข้อจำกัด
ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ เช่น
กรณีปัญหาเสียงดังรบกวนเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานและกฎหมายหลายฉบับ
เจ้าหน้าที่ใช้วิธีการไกล่เกลี่ยมากกว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัญหายังคงเกิดขึ้นซ้ำ และ ๔) ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน
เช่น ควรกำหนดให้หน่วยงานระดับกระทรวงเชื่อมโยงฐานข้อมูลเรื่องร้องทุกข์กับศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล
๑๑๑๑ ให้ครบถ้วนภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดรูปแบบ/แนวทาง/กระบวนงาน/ขั้นตอนในการระงับเหตุหรือการแก้ไขปัญหาเสียงดังรบกวนของสถานบันเทิงใน
๔ พื้นที่ท่องเที่ยวนำร่อง (กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ และภูเก็ต)
และรายงานให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีทราบผลการดำเนินการทุกไตรมาส ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงยุติธรรม เช่น หน่วยงานภาครัฐต้องให้ความสนใจในการรับฟังความคิดเห็นหรือข้อมูลดังกล่าว
และใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลเรื่องราวร้องทุกข์เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย
แผนงาน โครงการและแนวทางดำเนินการเพื่อตอบสนองให้ตรงตามความต้องการของประชาชน ๒) การอนุญาตตั้งสถานบริการ/สถานบันเทิง
หน่วยงานอนุญาตควรพิจารณาพื้นที่โดยรอบสถานที่ตั้งอย่างเคร่งครัดตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติสถานบริการ
พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อป้องกันการร้องทุกข์กรณีที่เกิดขึ้นใหม่ ๓) การต่อใบอนุญาตประกอบกิจการ
นอกจากการพิจารณาสภาพพื้นที่ปัจจุบันโดยรอบสถานที่ตั้งแล้ว ควรนำปัญหาการร้องทุกข์เรื่องเสียง
และการร้องเรียนเรื่องอื่น
รวมถึงความสามารถในการแก้ไขปรับปรุงของสถานบริการ/สถานบันเทิง
มาประกอบการพิจารณาให้อนุญาต
เพื่อป้องกันการร้องทุกข์ซ้ำจากผู้ได้รับผลกระทบรายเดิม
และเป็นการลดภาระงานของหน่วยงานกำกับดูแล และ ๔) ควรกำชับการแจ้งผลความคืบหน้าหรือความสำเร็จในการดำเนินการให้ผู้ร้องทราบเป็นระยะ
ๆ ในช่องทางที่สะดวกและรวดเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนในปีต่อไป
ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาจากเรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็นของประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณากำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ชัดเจน
เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่สำคัญ (KPIs) ของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
551 | ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ (ร่างพระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย พ.ศ. ....) | นร 05 | 02/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า เมื่อสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติให้คณะรัฐมนตรีรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปพิจารณาก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติรับหลักการแล้ว
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาดำเนินการ
โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเชิญผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม
ที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาร่วมพิจารณาโดยด่วนให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาที่ขอรับมา
ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรทราบด้วย
และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเชิญผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาด้วย
เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีความสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
552 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2566 (Memorandum of Understanding on the Cooperation on Projects of the Mekong - Lancang Cooperation Special Fund 2023) | อว. | 02/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ (Memorandum of Understanding on
the Cooperation on Projects of the Mekong-Lancang Cooperation Special Fund 2023) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในด้านต่าง
ๆ เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ การจัดการทรัพยากรน้ำ สุขภาพ ระบบขนส่งการท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ขี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรวิเคราะห์และประเมินผลจากการดำเนินโครงการตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
553 | การขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ | นร. | 02/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปรับปรุงพัฒนาระบบ National Single Window รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบขั้นตอนการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ
และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ให้มีความง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of
Doing Business) รวมถึงอำนวยความสะดวกทางการค้าผ่านการใช้ระบu
National Single Window ได้อย่างเต็มศักยภาพและเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว
(One Stop Service) นั้น ขอให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นให้แล้วเสร็จและครบวงจร
และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข ให้ความร่วมมือและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจโดยเร็ว
เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย
รวมทั้งเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
554 | ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) | พณ. | 02/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบบัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า (Product-Specific Rules of Origin : PSRs) ในพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์
ฉบับปี ๒๐๒๒ (Harmonized
System 2022 : HS 2022) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย
(Thailand-Australia
Free Trade Agreement : TAFTA) และการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
เพื่อดำเนินการแก้ไขภาคผนวก ๔.๑ (เรื่องกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า) ของความตกลง TAFTA และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังดำเนินกระบวนการภายในเพื่อให้บัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
TAFTA เริ่มมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเข้าลักษณะตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสาม โดยจะเข้าข่ายตามมาตรา
๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ กระทรวงพาณิชย์จะต้องพิจารณาและแจ้งยืนยันประเด็นดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย
และควรประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ตรงกันในการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
TAFTA ต่อผู้ผลิต ผู้ประกอบการ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
เพื่อลดปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนหรือปรับเปลี่ยนบัญชีถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย
ฉบับปี ๒๐๒๒ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
555 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ | กต. | 02/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ
และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามที่ได้รับมอบหมาย
รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้สามารถเริ่มใช้ความตกลงฯ ในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๗ โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญให้ยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยและผู้ถือหนังสือเดินทางกึ่งราชการและหนังสือเดินทางธรรมดาของสาธารณรัฐประชาชนจีนในการเดินทางเข้า-ออกหรือผ่านดินแดนของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
สำหรับการพำนักแต่ละครั้งระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน และรวมระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน
ภายในช่วงเวลา ๑๘๐ วันใด ๆ ยกเว้นกรณีการพำนักถาวร การทำงาน การศึกษา
กิจกรรมด้านสื่อ หรือกิจกรรมอื่น ๆ
ที่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตล่วงหน้า จากหน่วยงานที่รับผิดชอบของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
ทั้งนี้ ภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่ายสามารถระงับใช้ความตกลงฯ เป็นการชั่วคราว
ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยสาธารณะ
และสาธารณสุขรวมทั้งสามารถแก้ไขและยกเลิกความตกลงฯ
โดยแจ้งอีกฝ่ายล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูต ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
556 | การยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co - operation and Development: OECD) | นร.11 สศช | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบร่างหนังสือแสดงเจตจำนงของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(Organisation for Economic Co-operation and
Development : OECD) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวอย่างเป็นทางการของประเทศไทยในการขอเข้าสู่กระบวนการภาคยานุวัติเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิก
OECD แบบเต็มรูปแบบ
โดยระบุเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับ OECD ที่มีมาอย่างยาวนาน
เช่น การเรียนรู้และปรับตัวของประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ OECD การเข้าเป็นภาคีตราสารทางกฎหมายของ OECD เป็นต้น
รวมถึงการดำเนินการของประเทศไทยเพื่อเข้าเป็นสมาชิก OECD และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ
รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานประสานหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการเข้าเป็นสมาชิก
OECD ของประเทศไทย
และมอบหมายหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบตามตารางห่วงโซ่คุณค่าเงื่อนไขการเข้าเป็นสมาชิก
OECD ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอคดล้องกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน
Framework for the Consideration of Prospective Members รวมถึงการดำเนินการอื่นใดที่จะช่วยขจัดอุปสรรคและสนับสนุนกระบวนการเข้าสู่การเป็นสมาชิก
OECD ของประเทศทไยในอนาคต ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ
ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาวางแผนการดำเนินการภายหลังประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก
OECD ในอนาคต
เพื่อให้การมีส่วนร่วมของประเทศไทยใน OECD และการนำมาตรฐานต่าง
ๆ มาปฏิบัติใช้ในประเทศมีความยั่งยืน เช่น
การพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติและคณะอนุกรรมการเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้อง
การกำหนดแผนการดำเนินการตามระยะ (ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว) แผนสนับสนุนด้านวิชาการและการวิเคราะห์ข้อมูล
และแผนการบริหารจัดการ เป็นต้น สำหรับภาระงบประมาณที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว
ให้ใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ไปพลางก่อน และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
557 | การจัดทำร่างแก้ไขข้อตกลงระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งฝรั่งเศส (AFD) ว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงาน AFD ในประเทศไทย | กต. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างแก้ไขข้อตกลงระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งฝรั่งเศส
(Agence Francaise de Developpement : AFD) ว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงาน AFD ในประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๖๖ (ค.ศ. ๒๐๒๓) และให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่างแก้ไขข้อตกลงฯ
โดยร่างแก้ไขข้อตกลงฯ
เป็นการปรับแก้และเพิ่มเติมข้อความในข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงาน AFD พ.ศ. ๒๕๔๙ (ค.ศ. ๒๐๐๖) เช่น (๑) ปรับแก้ข้อบทที่ ๒ วรรค ๑
เพื่อเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ต่างชาติของสำนักงาน AFD ประเทศไทยจากเดิม
๖ คน เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน ๑๑ คน และ (๒) เพิ่มวรรคที่ ๗ ในข้อบทที่ ๒
เพื่อรองรับการเข้ามาดำเนินงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาของ Expertise
France (EF) ในประเทศไทย เป็นต้น โดยร่างแก้ไขข้อตกลงฯ
จะถูกผนวกเข้ากับและเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงฯ พ.ศ. ๒๕๔๙
และมีผลใช้บังคับในวันที่มีการลงนาม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแก้ไขข้อตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
558 | การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย นมและครีม ปี 2566 เพิ่มเติม | กษ. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย
นมและครีม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม ปริมาณ ๑๐,๐๓๑.๕๕ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ มติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม
ในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๖
และเนื่องจากการขอโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม เป็นการพิจารณาจัดสรรให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
จึงให้ยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และเห็นชอบในการเปิดตลาดนำเข้านมและครีม
ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม ปริมาณ ๗๐๐.๑๘ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๒๐
มติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๒
กันยายน ๒๕๖๖ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นผู้บริหารการจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย
นมและครีม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติมดังกล่าว ให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
โดยต้องนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ และต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปริมาณน้ำนมดิบของไทย เพื่อไม่ให้การเปิดตลาดนำเข้าดังกล่าว
ส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงโคนมของไทย ทั้งนี้ การเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มเติมดังกล่าว
สอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ที่ไทยผูกพันไว้ การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยนมและครีม ปี ๒๕๖๖
เพิ่มเติม ต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร และควรให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในระยะยาว
โดยนำข้อมูลพยากรณ์อุปสงค์และอุปทานของน้ำนมดิบภายในประเทศมาวางแผนการจัดสรรโควตานำเข้าสินค้าในกลุ่มนมและผลิตภัณฑ์นมให้มีความถูกต้อง
เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการและไม่กระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศ
ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการวางแผนธุรกิจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนมของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
และผู้บริโภคภายในประเทศเป็นผู้บริหารการจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย นมและครีม
ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม
ให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
ทั้งนี้ การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยนมและครีม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม
ต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง
ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม)
ที่ให้ทบทวนแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรโคนมให้เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืนต่อไป เช่น
การลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตน้ำนมโค การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับอุตสาหกรรมนมและผลิตภัณฑ์นมของไทย
การจูงใจให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมเพื่อการส่งออกนำน้ำนมดิบจากเกษตรกรโคนมในประเทศมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตทดแทนการนำเข้า
๓.
ให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมโคนมและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภายในประเทศจากการยกเลิกโควตาภาษีสินค้าเกษตรทั้งหมดตามความตกลงต่าง
ๆ เช่น ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์
(TNZCEP) ในปี ๒๕๖๘ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
559 | การเปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา และการปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ กรุงอันตานานาริโว สาธารณรัฐมาดากัสการ์ เป็นการถาวร | กต. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศปิดสถานกงสุลใหญ่
ณ กรุงอันตานานาริโว สาธารณรัฐมาดากัสการ์ เป็นการถาวร และอนุมัติในหลักการให้เปิดสถานกงสุลใหญ่
ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม ๘
จังหวัดของราชอาณาจักรกัมพูชา ประกอบด้วย (๑) จังหวัดเสียมราฐ (๒) จังหวัดพระตะบอง
(๓) จังหวัดไพลิน (๔) จังหวัดบันทายมีชัย (๕) จังหวัดอุดรมีชัย (๖)
จังหวัดพระวิหาร (๗) จังหวัดสตึงแตรง และ (๘) จังหวัดโพธิสัตว์ รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการในรายละเอียดการเปิดสถานกงสุลใหญ่
ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ ขอให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๘/๒๐๗๗ ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๖) สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่าควรกำหนดอัตรากำลังภายใต้กรอบอัตรากำลังที่มีอยู่เดิม
เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาวต่อไป ควรดำเนินการบริหารอัตรากำลังในภาพรวมตามความจำเป็นของภารกิจ
โดยคำนึงถึงหลักการและแนวทางการบริหารจัดการอัตรากำลังตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
กำหนดไว้ในมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่
๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖ ด้วย และในประเด็นเรื่องการกำหนดตัวชี้วัดของการจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่
ณ เมืองเสียมราฐเพื่อสะท้อนผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าในการจัดตั้งหน่วยงาน กระทรวงการต่างประเทศควรจัดเก็บสถิติข้อมูลและปริมาณงานในภารกิจแต่ละด้าน
เพื่อกำหนดตัวชี้วัดเชิงกระบวนการทำงานในระยะ ๑-๒ ปี และตัวชี้วัดเชิงผลลัพธ์ในระยะ
๓-๕ ปี ข้างหน้า โดยการจัดเก็บสถิติข้อมูลของสถานกงสุลใหญ่ ณ
เมืองเสียมราฐควรแยกออกจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ
เพื่อให้มีข้อมูลที่ชัดเจน
ใช้ประกอบการประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของหน่วยงานที่มีการจัดตั้งขึ้นใหม่
ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
560 | การปรับเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย | กต. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ มกราคม ๒๕๒๘ (เรื่อง การเปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ เจดดาห์) โดยปรับให้สถานกงสุลใหญ่
ณ เมืองเจดดาห์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย จากเดิม
มีเขตกงสุลครอบคลุมเฉพาะเมืองเจดดาห์ เป็น มีเขตกงสุลครอบคลุมมณฑลมักกะฮ์
มณฑลมะดีนะฮ์ มณฑลอัลบาฮะฮ์ มณฑลอะซีร และมณฑลญาซาน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|