ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
481 | การพิจารณาทบทวนความจำเป็น เหมาะสมของประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | นร. | 12/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์
เทพสุทิน) ในฐานะประธานกรรมการเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล
รายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
มอบหมายให้ส่วนราชการพิจารณาทบทวนความจำเป็น เหมาะสมของประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่สามารถยกเลิกได้โดยการตราพระราชบัญญัติกลางยกเลิก
และเสนอความเห็นไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ภายใน ๑๔ วัน
เพื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะได้พิจารณาและเสนอผลการพิจารณาไปยังคณะกรรมการเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป
นั้น โดยที่ระยะเวลาดังกล่าวใกล้จะครบกำหนดแล้ว (ภายในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๗) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับความเห็นส่วนราชการเพียงบางหน่วยงาน
ดังนั้น จึงเห็นควรให้ส่วนราชการเร่งรัดการพิจารณาเสนอความเห็นในเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
482 | ขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง การออกเลขที่บ้านชั่วคราวให้กับผู้บุกรุกในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย) | นร.09 | 12/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘
เมษายน ๒๕๔๖ (เรื่อง
การออกเลขที่บ้านชั่วคราวให้กับผู้บุกรุกในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย)
ในข้อ ๒.๒ ที่กำหนดว่า “...
กรณีประชาชนผู้ได้รับทะเบียนบ้านชั่วคราวมาขออนุญาตใช้บริการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ
จะอนุญาตได้ต่อเมื่อได้รับคำยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่บ้านในทะเบียนบ้านชั่วคราวนั้น
ๆ ตั้งอยู่ ...”
เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิในที่ดินว่าเป็นของรัฐหรือเอกชน
โดยอยู่มาก่อนวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๗ ให้สามารถขอใช้สาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและน้ำประปาได้เป็นการชั่วคราวตามหลักสิทธิมนุษยชน
โดยให้ดำเนินการนำร่องในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีและแม่ฮ่องสอน
แล้วขยายไปในพื้นที่อื่นที่มีปัญหาเดียวกัน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติร่วมกับกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต
รวมถึงผู้ที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิสามารถเข้าถึงไฟฟ้าและน้ำประปาได้เป็นการชั่วคราวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ มกราคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
การเร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ)
ให้แล้วเสร็จโดยด่วน และนำเสนอคณะรัฐนตรีต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาถึงการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด
เพื่อให้การบริหารจัดการที่ดินของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป กรณีประชาชนผู้ได้รับทะเบียนบ้านชั่วคราวในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
มาขออนุญาตใช้บริการต่าง ๆ
จะอนุญาตได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย
ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของการรถไฟแห่งประเทศไทย และคำนึงถึงความสอดคล้องตามแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗o เพื่อป้องกันไม่ให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้าและสามารถดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
ควรมีมาตรการในการให้การสนับสนุน กรณีหน่วยงานของรัฐมีความจำเป็นต้องผลักดันผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ของหน่วยงานของรัฐด้วย
กรณีมีพื้นที่ดำเนินการเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการจัดบริการสาธารณูปโภคอยู่ในเขตพื้นที่ป่า
ขอให้ประสานกับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่เพื่อตรวจสอบและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
483 | ขอความเห็นชอบปฏิญญาว่าด้วยการเร่งรัดและเสริมสร้างความเข้มแข็งในการรับมือระดับโลกต่อภัยคุกคามยาเสพติดสังเคราะห์ และขอความเห็นชอบการเข้าร่วมเป็นสมาชิกแนวร่วมในการรับมือภัยคุกคามจากยาเสพติดสังเคราะห์ระดับโลก | ยธ. | 12/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติในสารัตถะของปฏิญญาว่าด้วยการเร่งรัดและเสริมสร้างความเข้มแข็งในการรับมือระดับโลกต่อภัยคุกคามยาเสพติดสังเคราะห์
(Ministerial Declaration
on Accelerating and Strengthening the Global Response to
Synthetic Drugs) และให้ประเทศไทยโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมร่วมรับรองปฏิญญาดังกล่าว
รวมทั้งเห็นชอบต่อการเข้าร่วมเป็นสมาชิกแนวร่วมในการรับมือภัยคุกคามจากยาเสพติดสังเคราะห์ระดับโลก
(Global Coalition to Address Synthetic Drug Threats) ของกระทรวงยุติธรรมในนามของประเทศไทย
โดยมีสำนักงาน ป.ป.ส. เป็นหน่วยดำเนินการ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ
แจ้งผลการพิจารณาการร่วมรับรองปฏิญญาฯ และการเข้าร่วมเป็นเป็นสมาชิกแนวร่วมฯ
ของประเทศไทย ต่อกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรมยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๖ กันยายน ๒๕๖๖ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี)
ในประเด็นการเสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดระยะเวลาของเรื่องนั้น
ๆ อย่างน้อย ๑๕ วัน โดยเรื่องนี้เป็นกรณีเร่งด่วน
จึงขอส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอย่างน้อย ๗ วัน
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรพิจารณาขยายการขับเคลื่อนเพิ่มเติมตามความเหมาะสมในมิติของการบูรณาการด้านเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลสากลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
ประกอบกับการบูรณาการด้านงบประมาณที่จะสนับสนุนการดำเนินการร่วมกับประเทศสมาชิกแนวร่วมฯ
ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพการบริหารและพัฒนาภายในประเทศ
ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นคงของชาติยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
484 | มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars) | กค. | 12/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการของมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ
(Classic Cars) เป็นการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars) ซึ่งคาดว่าจะมีศักยภาพในการขยายตัว โดยการใช้ทุนวัฒนธรรมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับงานศิลปะและรถยนต์โบราณ
(Classic Cars) เช่น ภาคการท่องเที่ยว แฟชั่น
การออกแบบอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงวัฒนธรรม ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ให้เหมาะสม ถูกต้อง รอบคอบ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ
ด้วย ดังนี้ ๑.๑
ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะโดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมงานศิลปะจากศิลปินชาวไทย
รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการส่งออกงานศิลปะที่ผลิตโดยศิลปินชาวไทยไปยังต่างประเทศด้วย
เพื่อสนับสนุนงานศิลปะและช่วยสร้างรายได้ให้แก่ศิลปินชาวไทย ๑.๒
หารือร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การดำเนินมาตรการลดหรือยกเว้นอากรขาเข้างานศิลปะเป็นไปอย่างมีเอกภาพและต่อเนื่องกัน ๑.๓
ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดคำนิยาม
หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะสำหรับรถยนต์โบราณ (Classic Cars) ให้เหมาะสมชัดเจน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างแท้จริง ๑.๔
ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานเกี่ยวกับการใช้งาน
รวมทั้งมาตรการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพเครื่องยนต์ของรถยนต์โบราณ (Classic Cars) โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการปล่อยมลพิษทางอากาศด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
485 | ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงการเจรจาทวิภาคีว่าด้วยสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพและการคุ้มครองชนิดพันธ์ุ | ทส. | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างหนังสือแสดงเจตจำนงการเจรจาทวิภาคีว่าด้วยสิ่งแวดล้อม
ความหลากหลายทางชีวภาพและการคุ้มครองชนิดพันธุ์ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างหนังสือแสดงเจตจำนงการเจรจาทวิภาคีว่าด้วยสิ่งแวดล้อม
ความหลากหลายทางชีวภาพและการคุ้มครองชนิดพันธุ์ โดยร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ เป็นการกำหนดกรอบการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเกี่ยวกับการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพและชนิดพันธุ์ในอนาคต
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ
รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือและบูรณาการเชิงนโยบายระหว่างไทยและฝรั่งเศส
และสนับสนุนให้เกิดโครงการความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมโดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะดำเนินงานร่วมกันใน
๒ ประเด็น ได้แก่ (๑) ความหลากหลายทางชีวภาพกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ
(๒) การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรมความร่วมมือต่าง ๆ
เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ การเยี่ยมเยือนของทั้งเจ้าหน้าที่ระดับต่าง
ๆ การจัดประชุมหรือสัมมนาร่วมกัน เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ควรดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้สามารถดำเนินการสนับสนุนความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และเพื่อให้สามารถนำความรู้จากการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน ไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแสดงเจตจำนงการเจรจาทวิภาคีว่าด้วยสิ่งแวดล้อม
ความหลากหลายทางชีวภาพและการคุ้มครองชนิดพันธุ์ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒. ในส่วนของการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ต่าง ๆ
ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศส
ภายใต้หนังสือแสดงเจตจำนงการเจรจาทวิภาคีว่าด้วยสิ่งแวดล้อมความหลากหลายทางชีวภาพและการคุ้มครองชนิดพันธุ์
นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาดำเนินการตามความจำเป็น
เหมาะสม คุ้มค่าและละเอียดรอบคอบ ตลอดจนคำนึงถึงผลกระทบในด้านต่าง ๆ
ที่อาจเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจากการที่ต่างประเทศหรือหน่วยงานระหว่างประเทศได้ทราบข้อมูล
ข่าวสาร หรือองค์ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ของประเทศไทยและนำไปใช้ประโยชน์
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ (เรื่อง
การขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ) อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
486 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงาน ก.พ.) | นร.10 | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒ คณะ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓ มีนาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.
คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
487 | การแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของหน่วยงานของรัฐทับซ้อนกัน | นร. | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ปัญหาแนวเขตที่ดินของส่วนราชการทับซ้อนกันเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
โดยเฉพาะประชาชนที่พักอาศัยและเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่เกี่ยวเนื่องกับแนวเขตที่ดินดังกล่าว
ดังนั้น จึงขอกำชับให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องเร่งประสานหารือกันและดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในทุกพื้นที่ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว
โดยให้เร่งดำเนินการในพื้นที่ที่มีปัญหาหรือข้อพิพาทให้แล้วเสร็จเป็นลำดับแรก ทั้งในส่วนของพื้นที่ชายแดน
พื้นที่รอยต่อกับอุทยานแห่งชาติ และที่ดิน ส.ป.ก. โดยให้ใช้หลักวิทยาศาสตร์และแผนที่ทหาร
(มาตราส่วน ๑ : ๕๐๐๐) เป็นบรรทัดฐาน ทั้งนี้
ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
488 | ร่างตราสารว่าด้วยการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (Instrument of Extension of the Memorandum of Understanding on the ASEAN Power Grid: IOE of APG MOU) | พน. | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างตราสารว่าด้วยการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
(Instrument of Extension of
the Memorandum of Understanding on the ASEAN Power Grid : IOE of APG MOU) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นผู้ลงนามในตราสารว่าด้วยการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ลงนามตราสารดังกล่าวข้างต้น
โดยร่างตราสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ของบันทึกความเข้าใจฯ
ออกไปเป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๘
เพื่อสนับสนุนกลไกการดำเนินงานของการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
ให้สามารถยกระดับการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และการส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน
โดยเปิดโอกาสให้มีการแบ่งปันทรัพยากรของภูมิภาค
ด้วยการส่งพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างตราสารว่าด้วยการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และให้กระทรวงพลังงาน (สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงพลังงาน
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานพิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
489 | การเร่งรัดกระบวนการอนุมัติ อนุญาตเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย | นร. | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๓ มกราคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ) มอบหมายให้คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิต) กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)
สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปรับปรุงข้อกฎหมายและกฎระเบียบ
รวมทั้งกระบวนการขอใบอนุญาตต่าง ๆ
ที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจให้แล้วเสร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว นั้น
โดยที่ได้รับการร้องขอให้เร่งรัดการดำเนินการในเรื่องนี้จากทูตานุทูตหลายประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีเอกชนของต่างประเทศจะเข้ามาร่วมลงทุนประกอบการอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ในประเทศไทย
จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดกระบวนการพิจารณาอนุมัติ
อนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น
เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
490 | ขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | ทส. | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๗๒,๖๕๕,๓๕๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เพื่อลดฝุ่นละออง PM2.5 โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ของกรมป่าไม้ เป็นเงิน
๑๐๙,๙๔๖,๖๕๐ บาท และของกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นเงิน ๑๖๒,๗๐๘,๗๐๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๗/๓๕๗๕ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๗) โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอน
สำหรับค่าใช้จ่ายโครงการจัดหาระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อรับมือสถานการณ์ฝุ่นละออง
ขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน ในพื้นที่ ๑๗ จังหวัดภาคเหนือ แบบครบวงจร เห็นควรให้กรมควบคุมมลพิษพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไปโดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
ความประหยัด ความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ ให้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับติดตามการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน
เพื่อลดฝุ่นละออง PM2.5 โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ของกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง
การจ้างแรงงานในพื้นที่ การกำหนดจุดจัดตั้งและการปฏิบัติงานของจุดเฝ้าระวัง
และการดำเนินกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า
เพื่อให้สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการฯ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
รวมทั้งเพื่อป้องกันปัญหาข้อร้องเรียนการทุจริตอันอาจเกิดขึ้นในภายหลังด้วย ๒.๒
ให้นำเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมของหน่วยงานของรัฐซึ่งมีการปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
(update) อย่างต่อเนื่อง
รวมถึงข้อมูลการเกิดจุดความร้อน (hotspots) ในอดีต มาใช้ประกอบการวิเคราะห์
เพื่อกำหนดจุดเฝ้าระวังไฟป่าให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริง รวมทั้งจัดทีมระงับไฟป่าตามจุดที่มีความเสี่ยงสูง
เพื่อให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่เกิดไฟป่าได้โดยเร็วที่สุด ๒.๓
ให้เพิ่มเติมตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ (KPIs) ของโครงการฯ ให้เหมาะสม ชัดเจน และเป็นการดำเนินการในเชิงรุกมากขึ้น เช่น
กำหนดให้จำนวนจุดความร้อน/ไฟป่าในพื้นที่โครงการฯ ลดลงมากกว่าร้อยละ ๕๐ เมื่อเทียบกับก่อนดำเนินโครงการฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
491 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายรุจ ธรรมมงคล ฯลฯ จำนวน 8 ราย) | กต. | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๘ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๗
ซึ่งอยู่ระหว่างการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ตำแหน่งที่ว่าง
และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. นายรุจ ธรรมมงคล ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเม็กซิโก สหรัฐเม็กซิโก ๒. นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการกงสุล ๓. นางสาวศศิริทธิ์ ตันกุลรัตน์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเอเชียใต้
ตะวันออกกลางและแอฟริกา ๔. นายจักรกฤดิ กระจายวงศ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพิธีการทูต ๕. นายพลพงศ์ วังแพน ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอาเซียน ๖. นายวัฒนวิทย์ คชเสนี ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ๗. นางสาวกษมา สืบวิเศษ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๘. นายภูบดี ลออเงิน ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
492 | การปรับวันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับวันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เดิม ปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ (มติคณะรัฐมนตรี ๑๔
พฤศจิกายน ๒๕๖๖) เป็น มติคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ.
๒๕๖๗ (๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗) ซึ่งจะมีการพิจารณาอนุมัติงบประมาณ จากเดิมวันที่ ๓-๔
เมษายน ๒๕๖๗ เป็นวันที่ ๒๐-๒๑ มีนาคม ๒๕๖๗ สภาผู้แทนราษฎร
พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ วาระที่ ๒-๓ วันที่ ๙-๑๐ เมษายน ๒๕๖๗
เป็นวันที่ ๒๕-๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗ วุฒิสภา พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ และวันที่
๑๗ เมษายน ๒๕๖๗ เป็นวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๗ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
นำร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ขึ้นทูลเกล้าฯ
ถวายเพื่อประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
493 | การเสนอร่างแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย วาระปี 2566 - 2570 และร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทยวาระปี 2566 - 2570 | รง. | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย
(Decent Work Country Program :
DWCP) (ร่างแผนงาน DWCP) วาระปี ๒๕๖๖-๒๕๗๐ และร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย
วาระปี ๒๕๖๖-๒๕๗๐ และให้ปลัดกระทรวงแรงงานหรือผู้แทน
เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย
วาระปี ๒๕๖๖-๒๕๗๐ ในฐานะรัฐบาลไทยร่วมกับผู้แทนองค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง
และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ โดยร่างแผน DWCP วาระปี ๒๕๖๖-๒๕๗๐
เป็นกรอบความร่วมมือที่มีประเด็นสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่ (๑) อนาคต (Future) พัฒนาตลาดแรงงานไทยให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (๒) เข้าถึง (Reach)
รับรองการคุ้มครองทางสังคมและงานที่มีคุณค่าที่ครอบคลุมสำหรับทุกคน
และ (๓) เชื่อมต่อ (Connect) เสริมความแข็งแกร่งในการจัดการข้อมูล
การสื่อสาร และศักยภาพของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมงานที่มีคุณค่า
และร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อพัฒนาตลาดแรงงานไทยให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุมและเพียงพอสำหรับแรงงานทุกคน
รวมทั้งยึดถือประเด็นสำคัญ ๓ ประการ ตามแผนงาน DWCP ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย
วาระปี ๒๕๖๖-๒๕๗๐
และร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย
วาระปี ๒๕๖๖-๒๕๗๐ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่เห็นว่าหากมีภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว
ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ในโอกาสแรกก่อนสำหรับปีงบประมาณต่อ ๆ ไป และเห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามภารกิจความจำเป็นและเหมาะสม
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป และควรเพิ่มเติมในส่วนของ “การพัฒนา”
ที่เน้นการพัฒนาทุนมนุษย์และทุนทางสังคมเชิงพื้นที่ ซึ่งจะทำให้แผนงานฯ ฉบับนี้
มีความสมบูรณ์และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ.
๒๕๖๖-๒๕๗๐) พร้อมทั้งตอบประเด็นสำคัญของแผนงานฯ ฉบับนี้ ในประเด็นความสำคัญที่ ๑
อนาคต (Future) พัฒนาตลาดแรงงานไทยให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
และประเด็นความสำคัญที่ ๒ เข้าถึง (Reach) รับรองการคุ้มครองทางสังคมและงานที่มีคุณค่าที่ครอบคลุมสำหรับทุกคน ควรสร้างแนวทางการแปลงแผนงานฯ ฉบับนี้
ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรสร้างแนวทางการแปลงแผนงานฯ เพื่อคุ้มครอง
“แรงงานแพลตฟอร์ม” ซึ่งปัจจุบันยังขาดทั้งกฎหมายและคำนิยามที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของผู้ใช้แรงงานแพลตฟอร์ม
ทำให้ขาดอำนาจในการต่อรอง กฎหมาย และกองทุนให้ความคุ้มครองแรงงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
494 | มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ | นร. | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการรายงานภาพรวมการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ณ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ของสำนักงบประมาณ พบว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนในภาพรวมมีจำนวนต่ำกว่าที่วางแผนไว้เกือบหนึ่งหมื่นล้านบาท
ซึ่งการลงทุนของภาครัฐเป็นมาตรการสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้โดยตรง
ดังนั้น
จึงขอให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและการเบิกจ่ายเงินทั้งในส่วนของเงินงบประมาณและเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
495 | ร่างพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - ฮ่องกง (First Protocol to Amend ASEAN – Hong Kong, China Free Trade Agreement) | พณ. | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง
(ASEAN-Hong Kong, China Free
Trade Agreement : AHKFTA) บทที่ ๓ (เรื่อง
กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อรองรับการนำบัญชีสินค้าที่ใช้กฎเฉพาะรายสินค้า (Product
Specific Rules : PSRs) ที่เจรจาใหม่ในระบบฮาร์โมไนซ์
๒๐๒๒ (HS 2022) มาบังคับใช้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง
เมื่อลงนามแล้วให้ส่งพิธีสารดังกล่าว
ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ (เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ๓.
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ทั้งนี้
หากมีการแก้ไขถ้อยคำในร่างพิธีสารดังกล่าวที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้พิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง
มีผลใช้บังคับ ๖๐ วัน หลังจากวันที่ภาคีทั้งหมดได้แจ้งเลขาธิการอาเซียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าได้ดำเนินตามกระบวนการทางกฎหมายภายในที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของพิธีสารดังกล่าวแล้วเสร็จ ๕.
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการนำส่งสัตยาบันสารของพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง
ให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบันพิธีสารดังกล่าว เมื่อรัฐสภามีมติเห็นชอบพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง
แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
496 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายสุริยา จินดาวงษ์ และนายเชิดชาย ใช้ไววิทย์) | กต. | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๗
ซึ่งอยู่ระหว่างการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามลำดับ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. นายสุริยา จินดาวงษ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
497 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) | ทส. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
จำนวน ๕ คณะ ดังนี้ (๑) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ
(คปป.) (๒) คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (๓) คณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ฝ่ายไทย (๔) คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการถ้ำแห่งชาติ และ (๕)
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
498 | มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการบริหารราชการหรือข้าราชการ ตามมาตรา 13 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 | นร.05 | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑. ให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน
๒๕๖๒ (เรื่อง ขอความร่วมมือในการมาตอบกระทู้ถามในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร) โดยให้แก้ไขในส่วนของวันที่กำหนดให้มีระเบียบวาระกระทู้ถามในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
จาก ทุกวันพุธ เป็น ทุกวันพฤหัสบดี เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๖ ได้กำหนดให้ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณากระทู้ถามทุกวันพฤหัสบดี ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม
๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ) เนื่องจากมีกฎหมายกำหนดไว้แล้ว
ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
499 | ขออนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 : จัดหาอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย (Anywhere Anytime) | ศธ. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ ๒ :
จัดหาอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย (Anywhere Anytime) ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้
ให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖
มกราคม ๒๕๖๗ (เรื่อง การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘)
ในการเสนอเรื่องนี้ ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณในข้อ ๑
ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุนและรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด
ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างรายได้และโอกาสให้แก่ประชาชน การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐหรืออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
และการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในด้านต่าง ๆ
เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนแล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนและกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ต่อไป ๓. ในการดำเนินโครงการนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ต่าง
ๆ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ
ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณ
มีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำแผนการดำเนินการ
และยืนยันความพร้อมของรายการดังกล่าว โดยกำหนดวัตถุประสงค์และสาระสำคัญของรายการ
รายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะประมาณการราคาหรือผลการสอบราคา
สถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการให้ชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณา ตลอดจนควรกำหนดให้มีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
รวมถึงการดำเนินการตามกฎหมาย ควรมีการกำหนดผลสัมฤทธิ์ของโครงการในภาพรวม
พร้อมทั้งมีการกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนผลลัพธ์ และผลกระทบ
รวมถึงมีการกำหนดแนวทางการติดตามและประเมินผลของโครงการเป็นระยะเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ในแต่ละช่วง
เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ (๑)
ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนรายละเอียดของสถาปัตยกรรมของระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของโครงการฯ
ให้เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดหาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อให้การพัฒนาระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
มีความคุ้มค่า ไม่เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนและเป็นไปตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง (๒) จัดทำแผนและขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการฯ
และจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมต่าง ๆ
โดยให้ความสำคัญกับการจัดทำนวัตกรรมสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์เป็นลำดับแรก
ซึ่งควรวิเคราะห์และประเมินระดับคุณภาพของสื่อการเรียนรู้ที่มีอยู่ภายใต้ดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้แห่งชาติ
(National Digital Learning Platform :
NDLP) รวมถึงพิจารณาเลือกใช้สื่อการเรียนรู้คุณภาพสูงจากดิจิทัลแพลตฟอร์มอื่นร่วมด้วย (๓) กำหนดเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนที่มีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาดำเนินโครงการ
๕ ปี ได้ โดยต้องสามารถปรับเปลี่ยนอุปกรณ์การเรียนการสอนของโครงการฯ ให้ทันสมัย เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง
รวมทั้งให้พิจารณารายละเอียดของการเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอนให้รอบคอบและเหมาะสมด้วย (๔)
กำหนดกลุ่มเป้าหมายของโรงเรียนที่จะดำเนินการในระยะแรก
โดยให้ความสำคัญกับการกระจายอุปกรณ์การเรียนการสอน เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษา
ลดความเหลื่อมล้ำของการเรียนการสอนและเป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมในการดำเนินการ
เพื่อปิดช่องว่างการเรียนรู้และเร่งยกระดับการศึกษาของประเทศในภาพรวมให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
500 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย ครั้งที่ 10 | กต. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย
ครั้งที่ ๑๐ (10th Joint Commission for
Bilateral Cooperation between Thailand-India) และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารผลลัพธ์ฯ
ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอินเดีย โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศดำเนินการร่วมกัน
และประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะผลักดันให้เกิดความคืบหน้า
เพื่อประโยชน์ของการดำเนินความสัมพันธ์
โดยประเด็นหลักที่จะหยิบยกขึ้นหารือในที่ประชุม ได้แก่
ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ ความเชื่อมโยง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษา สาธารณสุข การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนของภาคประชาชน
และประเด็นสถานการณ์ในภูมิภาค ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|