ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
401 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีการถอนข้อสงวนข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก | พม. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
กรณีการถอนข้อสงวนข้อ ๒๒ ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รวบรวมความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งได้ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ
ซี่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่ได้รับมอบหมายจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙
มกราคม ๒๕๖๗
เป็นกรรมการเข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในเรื่องดังกล่าวด้วยแล้ว
เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ โดยมีผลสรุปในภาพรวมว่า เห็นชอบการถอนข้อสงวนข้อ
๒๒ ของอนุสัญญาฯ ของประเทศไทย ส่วนการกำหนดความหมายของ
“เด็กผู้ลี้ภัยและเด็กผู้แสวงหาที่พักพิง”
ในกรอบกฎหมายและนโยบายของประเทศไทยไม่ได้จำกัดสิทธิของเด็กกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในการได้รับความคุ้มครองตามข้อ
๒๒ ของอนุสัญญาฯ โดยได้มีมาตรการที่เหมาะสมในการรองรับเด็กแต่ละกลุ่ม
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
402 | การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ | นร. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ไปแล้วนั้น เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้โดยเร็ว
อันจะส่งผลดีโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง
รวมทั้งมีส่วนทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มสูงขึ้นด้วย จึงขอให้ทุกส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณฯ ในความรับผิดชอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบลงทุนให้แล้วเสร็จโดยด่วน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้รอบคอบ
ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
403 | การเร่งรัดดำเนินการปรับผังเมืองและการกำหนดเขตท้องที่ (Zoning) | นร. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาทบทวนการวางผังเมืองในจังหวัดต่าง
ๆ (รวมทั้งกรุงเทพมหานครให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการขยายตัวของเมือง
รวมถึงให้พิจารณาดำเนินการเพื่อยกระดับเมืองรองต่าง ๆ ให้มีความพร้อมรองรับการขยายตัวของเมืองและการลงทุนในพื้นที่ด้วย
นั้น เพื่อให้การวางผังเมืองและการกำหนดเขตท้องที่ (Zoning) ในจังหวัดต่าง ๆ
มีความสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปและรองรับมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยส่งเสริมและดึงดูดให้เกิดการลงทุนทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
จึงขอให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นให้แล้วเสร็จโดยด่วน
โดยให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญและความเป็นไปได้ในการปรับผังเมืองในจังหวัดหลักต่าง
ๆ ก่อนเป็นลำดับแรก แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง
เหมาะสม เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
404 | โครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND | กค. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติโครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาล
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงการคลัง [ธนาคารออมสิน
และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)]
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรดำเนินการตามแผนและใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญ
รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้บรรจุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ตลอดจนขอให้ดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
และควรมีแนวทางในการชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐให้เป็นไปตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบฐานข้อมูล SMEs เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการใช้กลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อรายย่อย
(Risk-Based Pricing) เพื่อให้ต้นทุนทางการเงินสะท้อนตามความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละราย ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับเพิ่มกลุ่มเป้าหมายของโครงการสินเชื่อ
IGNITE THAILAND ให้ครอบคลุมถึงวิสาหกิจรายย่อย (Micro SMEs) สถาบันเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนด้วย
รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล) เสนอความเห็นเพิ่มเติมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
405 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการมอบหมายหน่วยงานให้ปฏิบัติหน้าที่หน่วยประสานงานหลัก (National Designated Authority : NDA) ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund : GCF) | ทส. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการมอบหมายหน่วยงานให้ปฏิบัติหน้าที่หน่วยประสานงานหลัก
(National Designated Authority : NDA) ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว
(Green Climate Fund : GCF) ดังนี้ ๑)
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ เรื่อง
สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สมัยที่ ๒๐ และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๐ ณ กรุงลิมา
สาธารณรัฐเปรู จากเดิม “สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลาง (National Focal Point) ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป็นหน่วยประสานงานหลัก ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว” เป็น “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป็นหน่วยประสานงานหลักของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว” และ ๒) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ เรื่อง การแต่งตั้งผู้มีอำนาจ (Designated Authority) สำหรับกองทุน Green Climate Fund ของประเทศไทย
จากเดิม “มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เป็นผู้จัดทำกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนรูปแบบวิธีการอื่น ๆ
ที่จำเป็นต้องกำหนดหรือบัญญัติขึ้นภายในประเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งเป็นผู้พิจารณาโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่ต้องการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนภูมิอากาศสีเขียวให้ถูกต้องตามระเบียบราชการต่อไป”
เป็น “มอบหมายกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้จัดทำกฎหมาย
กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนรูปแบบวิธีการอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องกำหนดหรือบัญญัติขึ้นภายในประเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งเป็นผู้พิจารณโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่ต้องการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนภูมิอากาศสีเขียวให้ถูกต้องตามระเบียบราชการต่อไป”
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
406 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓
เมษายน ๒๕๖๗ สำหรับการดำเนินการโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาล
ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
โดยสามารถกระจายไปทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึงระดับฐานรากเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต
สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ
และเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยและข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรพิจารณาจัดการกับความเสี่ยงทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าควบคู่ไปด้วย
โดยเฉพาะหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยภาครัฐที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและต้นทุนการระดมทุนของภาครัฐและเอกชน
อีกทั้งควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้รัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม
รวมถึงดำเนินนโยบายภาษีที่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้รัฐบาลเท่าที่จำเป็น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
407 | การขับเคลื่อนความร่วมมือและการเข้าเป็นภาคีความตกลงในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) | กต. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการเข้าร่วมกิจกรรมระดับผู้นำกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก
และการรับรองถ้อยแถลงระดับผู้นำฯ ๒. เห็นชอบต่อร่างความตกลงว่าด้วยกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง (Agreement on the Indo-Pacific Economic
Framework for Prosperity) ร่างความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
(Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity
Agreement Relating to a Clean Economy) และร่างความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
(Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity
Agreement Relating to a Fair Economy) ๓. เห็นชอบการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงฯ
ข้างต้นทั้ง ๓ ฉบับ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างความตกลงฯ
ข้างต้น ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้แทนดังกล่าวลงนามร่างความตกลงฯ ๔.
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความตกลงฯ ข้างต้นทั้ง
๓ ฉบับมีผลใช้บังคับกับประเทศไทย ๕.
มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารของความตกลงฯ ข้างต้นทั้ง
๓ ฉบับ เพื่อมอบให้กับผู้เก็บรักษา (Depositary)
ความตกลงฯ ต่อไป
เมื่อฝ่ายไทยได้ดำเนินกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
เสร็จสิ้นแล้ว โดยผลการประชุมและการเข้าร่วมกิจกรรมระดับผู้นำ IPEF เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
รับทราบการจัดทำข้อริเริ่มและการดำเนินโครงการความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมที่สำคัญ
เช่น และการจัดตั้งกองทุน IPEF Catalytic Capital Fund เป็นต้น
และการรับรองถ้อยแถลงระดับผู้นำ IPEF มีสาระสำคัญ เช่น
การลงนามร่างความตกลงสำหรับเสาความร่วมมือทั้ง ๔ เสา และการแสวงหาความร่วมมือเพิ่มเติมที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกัน
เช่น กลไกความร่วมมือด้านพลังงานและเทคโนโลยี เป็นต้น และต่อมาไทยและสหรัฐอเมริกา
ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับรัฐมนตรี IPEF ผ่านระบบทางไกล
(๑๔ มีนาคม ๒๕๖๗) ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบว่า จะมีการประชุมระดับรัฐมนตรี
IPEF ณ สิงคโปร์
ระหว่างวันที่ ๕ - ๖ มิถุนายน ๒๕๖๗ และจะมีการรับรองร่างความตกลงฯ จำนวน ๓ ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นไปตามกรอบการเจรจาฯ
ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว (๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ และ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๖)
แล้ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว
รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์ การดำเนินงานให้ภาคเอกชน
ประชาสังคมและสาธารณชนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการดำเนินงานของประเทศไทยภายใต้กรอบ
IPEF ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
408 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกฎหมายและยุติธรรมระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย | ยธ. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกฎหมายและยุติธรรมระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยมีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในมิติความร่วมมือด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
เช่น การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูล และความเชี่ยวชาญ การจัดการประชุม และการฝึกอบรมทางวิชาการ
ตลอดจนการประชุมเชิงปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับกิจการด้านกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
409 | การขอใช้งบประมาณคงเหลือจากการจ่ายค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย สำหรับงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร 5 หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) | พน. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕
หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) จำนวน ๗ รายการ โดยใช้งบประมาณจำนวน ๘๒,๕๘๔,๐๐๐ บาท
จากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในหลักการไว้แล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๗๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งแบ่งออกเป็นค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย อพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน จำนวน
๒,๑๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท
และค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร จำนวน ๘๓๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท
โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยคาดว่าจะมีค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย เกิดขึ้นจริง
จำนวน ๑,๗๑๙,๐๓๙,๐๐๐
บาท คงเหลือจำนวน ๔๑๘,๙๖๑,๐๐๐ บาท
ซึ่งงบประมาณคงเหลือดังกล่าวครอบคลุมและเพียงพอกับการจ่ายค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว และกรณีในอนาคตหากงบประมาณการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร
๕ หมู่บ้าน ไม่เพียงพอ เห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาอนุมัติการใช้งบประมาณคงเหลือจากงบประมาณค่ารื้อย้าย/ค่าชขดเชย
ดังกล่าว เพื่อใช้สำหรับงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕
หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) เป็นรายกรณีตามความจำเป็น โดยไม่กระทบต่องบประมาณที่ได้รับอนุมัติในหลักการไว้แล้ว
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน
(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด โดยในระยะต่อไป
กรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างสาธารณูปโภคเพิ่มเติมนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ตามที่ได้รับอนุมัติไว้
เห็นควรให้เป็นหน้าที่หน่วยงานรับผิดชอบพิจารณาขอรับจัดสรรจากแหล่งเงินงบประมาณ
กองทุนพัฒนาไฟฟ้า หรือแหล่งเงินอื่นตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
410 | แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.14 | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ และใช้พิจารณาในการจัดทำงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามความนัยมาตรา
๑๗ (๒) แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยแผนปฏิบัติการฯ จะแบ่งโครงการ/กิจกรรมออกเป็น
๕ ด้าน ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี ได้แก่ ด้านที่ ๑
การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค ด้านที่ ๒ การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต ด้านที่ ๓
การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย ด้านที่ ๔ การอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ และด้านที่
๕ การบริหารจัดการ ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
รวมทั้งควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างยั่งยืน สำนักงบประมาณ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้ง่ายงบประมาณ
ตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ภายในปีงบประมาณ
ที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
เป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาค และยืนยันความพร้อมเกี่ยวกับรายละเอียด
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ/กิจกรรมให้ถูกต้อง ครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ศักยภาพ และความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณ
ความคุ้มค่า ความประหยัด เป้าหมาย
และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ควรจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ
ให้สอดคล้องกับกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับจัดสรรในแต่ละปีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
411 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร.01 | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่..)
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
ในฐานะประธานกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
โดยส่งความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรด้วย
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
ในฐานะประธานกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ เสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
412 | ร่างกฎกระทรวง ออกตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยแบบพินัยกรรม ตามมาตรา 1672 | มท. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยแบบพินัยกรรม
ตามมาตรา ๑๖๗๒ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และวิธีการในการทำพินัยกรรม
แก้ไขถ้อยคำการใช้ภาษาให้มีความสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน
เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และยกระดับการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนทั่วไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรกำหนดให้นายอำเภอเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลหลักฐานการตายโดยไม่ต้องให้ผู้มีสิทธิรับพินัยกรรมนำหลักฐานการตายของผู้ทำมาแสดง
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
และการแก้ไขอัตราค่าธรรมเนียมการทำพินัยกรรมควรจะสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๔ เรื่อง
หลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับประชาชนมากเกินไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
413 | การมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรีและกลั่นกรองเรื่องก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี | นร.05 | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายจักรพงษ์ แสงมณี)
เป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรีที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายจักรพงษ์ แสงมณี)
เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองเรื่องดังต่อไปนี้ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๑
เรื่องการดำเนินคดีในศาลปกครองในกรณีที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องในคดีปกครอง ๒.๒
เรื่องการดำเนินคดีในศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
414 | การเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของประเทศไทย | กต. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างหนังสือแสดงความประสงค์ของประเทศไทยในการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี
เป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงความประสงค์ฯ
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานประสานหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของประเทศไทย โดยร่างหนังสือแสดงความประสงค์ฯ
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS
เพื่อขอเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสมาชิกกลุ่ม BRICS ต่อไป ดังนั้น
ร่างหนังสือแสดงความประสงค์ดังกล่าวจึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศควรพิจารณาให้รอบด้านในการสมัครเข้าสมาชิก BRICS โดยต้องอยู่บนหลักการดำเนินการทางการทูตอย่างสมดุลที่ยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแสดงความประสงค์ของประเทศไทยในการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
415 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี (๑๓ กันยายน ๒๕๖๖) เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
416 | แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ จำนวน ๓,๔๘๐,๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๓,๓๖๑,๗๓๐.๕๙๒๙ ล้านบาท ใช้จ่ายหรือก่อหนี้แล้วเป็นจำนวน ๒,๐๖๖,๖๙๖.๗๑๒๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๑.๔๘
ของงบประมาณที่จัดสรร ทำให้มีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
คงเหลือสำหรับใช้จ่ายในระยะเวลา ๕ เดือนข้างหน้าไม่มากนัก
ประกอบกับการจัดทำพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายจะทำให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวต้องหยุดชะงักและชะลอตัวลงอีกครั้งหนึ่ง
เนื่องจากทุกหน่วยงานจะต้องชะลอการเบิกจ่าย การโอน หรือเปลี่ยนแปล่งเงินจัดสรรทุกกรณีไว้จนกว่ากระบวนการพิจารณาการโอนงบประมาณจะแล้วเสร็จ
ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ ๒ เดือน
รวมทั้งการจัดทำพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไม่ได้มีผลเป็นการเพิ่มปริมาณเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ดังนั้น การจัดทำพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
จึงเป็นวิธีการบริหารจัดการงบประมาณที่เหมาะสมเพื่อดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลที่จะเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
โดยสามารถกระจายไปทุกพื้นที่ ให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึงระดับฐานรากเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต
สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ และเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศต่อไป ๑.๒
แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ ได้จัดทำขึ้นโดยมีการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง
โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว
ซึ่งในกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ เพิ่มเติมต่อจากนี้ไป
สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. เห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่าในการกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ สำนักงบประมาณจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามที่กฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกำหนด
รวมทั้งดำเนินการตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเงินระหว่างปีงบประมาณ
โดยไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป
รวมทั้งระบุที่มาของเงินที่จะใช้จ่ายตามงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีให้มีความชัดเจน
โดยพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน ผลประโยชน์
และผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังอย่างครบถ้วนด้วย ทั้งนี้
ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
417 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ทส. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้วาฬสีน้ำเงิน (Balaenoptera musculus) และนกชนหิน หรือนกหิน (Buceros
vigil หรือ Rhinoplax vigil) เป็นสัตว์ป่าสงวน
เพิ่มเติม จากที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.
๒๕๖๒ ตามลำดับ และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงชนิดสัตว์ป่าคุ้มครองตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. ๒๕๖๒ รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
มีผลใช้บังคับไปพร้อมกัน ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรพิจารณาแจ้งเรื่องการปรับปรุงสถานะความคุ้มครองสัตว์ป่าตามกฎหมายของประเทศไทยให้ประเทศภาคีอนุสัญญา
CITES รับทราบ
เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย
ทั้งยังเป็นการแสดงบทบาทที่แข็งขันของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
418 | โครงการแพลตฟอร์มการชำระเงิน (Payment Platform) | สพร. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน) เป็นผู้ดำเนินโครงการแพลตฟอร์มการชำระเงิน (Payment Platform) โดยให้หน่วยงานรัฐและสถาบันการเงินร่วมมือกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน)
ในการสนับสนุนข้อมูลและร่วมกำหนดแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระยะต่อไป
ตามที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดจากการดำเนินโครงการแพลตฟอร์มการชำระเงิน (Payment
Platform) ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เห็นควรคำนึงถึงความสอดคล้องได้มาตรฐานเดียวกับบริการระบบชำระเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ความโปร่งใสในการบริหารจัดการการชำระเงินของรัฐ และมาตรการดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ
เพื่อให้ระบบแพลตฟอร์มบริการได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ
รองรับประชาชนใช้งานพร้อมกันได้จำนวนมากรวมถึงรองรับมาตรการอื่น ๆ
ของรัฐในการช่วยเหลือประชาชน ทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแกร่ง
และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน นำไปสู่การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นควรมีการกำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมให้บริการ
โดยคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ศักยภาพของหน่วยงาน ความพร้อมและทักษะของบุคลากรของหน่วยงาน
กรอบระยะเวลาในการดำเนินโครงการ รวมถึงแพลตฟอร์มการชำระเงิน
หรือบริการที่เกี่ยวข้องที่ได้รับการพัฒนา หรือให้บริการโดยสถาบันการเงินของภาครัฐ
เพื่อลดภาระงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
419 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงอุตสาหกรรม) | อก. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓ คณะ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า ๒. คณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
420 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงมหาดไทย) | มท. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
จำนวน ๗ คณะ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการพิจารณาตั้งกิ่งอำเภอและอำเภอ ๒. คณะกรรมการอำนวยการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเศรษฐกิจแบบพอเพียงเฉลิมพระเกียรติ ๓. คณะกรรมการพิจารณาอนุญาตให้ดูดทราย ๔. คคณะกรรมการพิจารณาให้สัญชาติไทยและให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย ๕. คณะกรรมการพิจารณาเรื่องการขอเปลี่ยนแปลงชื่อจังหวัด
อำเภอ และตำบล หมู่บ้าน หรือสถานที่ราชการอื่น ๆ ๖. คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย
คณะที่ ๑
|