ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 11378 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
401 | ร่างกรอบความร่วมมือด้านการศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการกักกัน ภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT - GT) | กค. | 27/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการจัดทำร่างกรอบความร่วมมือด้านการศุลกากร
การตรวจคนเข้าเมือง และการกักกัน ภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย
อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) ที่จะมีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๓๐ ภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมลงนามในร่างกรอบความร่วมมือฯ ในการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๓๐ ภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ซึ่งกำหนดจะจัดขึ้นในดือนกันยายน
๒๕๖๗ ณ รัฐยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย โดยร่างกรอบความร่วมมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจทำให้เกิดการริเริ่มการดำเนินการด้านในระดับอนุภูมิภาคและการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน
เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการกักกัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่ากระทรวงการคลัง
จำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลประสิทธิภาพของการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือด้านการศุลกากร
การตรวจคนเข้าเมือง และการกักกันดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
402 | แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 - 2570 | กษ. | 20/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำและให้เป็นวาระแห่งชาติ
โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง)
ดำเนินการตามความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ
ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่จะต้องรีบดำเนินการเพื่อจำกัดขอบเขตการระบาดของปลาหมอคางดำให้ได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๐
ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอในครั้งนี้ เป็นแผนที่มีระยะเวลาดำเนินการถึงปี พ.ศ.
๒๕๗๐ ดังนั้น ในชั้นนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
จึงเห็นควรพิจารณาจำกัดขนาดของแผนปฏิบัติการฯ
และระยะเวลาการดำเนินการให้สั้นลงเหลือเท่าที่จำเป็นเร่งด่วนก่อน
และเมื่อมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้ว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) เสนอแผนปฏิบัติการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๑๔/๔๗๘๐
ลงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาดในกิจกรรมที่
๑ การกำจัดในแหล่งน้ำธรรมชาติด้วยเครื่องมือประมงที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องประสานความร่วมมือกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบ เพื่อดำเนินการกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติที่อยู่ในบริเวณพื้นที่คุ้มครอง
เช่น อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าชายเลนอนุรักษ์
อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา
รวมทั้งพิจารณาถึงการป้องกันและควบคุมเส้นทางการแพร่ระบาดด้วย เป็นต้น การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำในกิจกรรมที่
๑
ควรพิจารณาดำเนินการประเมินความปลอดภัยทางชีวภาพหรือการประเมินผลกระทบอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการปล่อยปลาที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สู่สิ่งแวดล้อม
และควรดำเนินการปล่อยปลาดังกล่าวในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ควรเพิ่มการจัดทำเกณฑ์การประเมินมูลค่าความเสียหายต่อความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำธรรมชาติด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เรื่อง แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ ๓ ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน...
เพื่อให้สามารถนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้โดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
403 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงเกษตรแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน | กษ. | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย
กับกระทรวงเกษตรแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน (Memorandum
of Understanding between the Ministry of Agriculture and Cooperatives of the
Kingdom of Thailand and the Ministry of Agriculture of the Republic of
Kazakhstan of Agricultural Cooperation) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและส่งเสริมการค้าและการถ่ายทอดเทคโนโลยี
การแลกเปลี่ยนข้อมูลความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และทางวิชาการในสาขาเกษตร ซึ่งมีขอบเขตความร่วมมือ
เช่น การพัฒนาด้านการเกษตร การพัฒนากลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร
การส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร เป็นต้น โดยจะร่วมมือกันในรูปแบบ เช่น
แลกเปลี่ยนนักวิชาการ นักวิจัย ฝึกอบรม/สัมมนา/ศึกษาดูงาน
ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
404 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนฉลุง จังหวัดสตูล พ.ศ. .... | มท. | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนฉลุง จังหวัดสตูล พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการวางและจัดทำผังเมืองรวมชุมชนฉลุง จังหวัดสตูล
ซึ่งเป็นผังเมืองรวมชุมชนเปิดใหม่ มีพื้นที่วางผังประมาณ ๑๓๑.๘๒ ตารางกิโลเมตร
ครอบคลุมพื้นที่ตำบลฉลุง ตำบลเกตรี และตำบลบ้านควน อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา
การดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน
การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแก้ไขชื่อเขตห้ามล่าสัตว์ป่าในแผนที่และแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จำแนกประเภทท้ายประกาศฯ
ตามความความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วดำเนินการต่อได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ
หรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
405 | การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 9 | กต. | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง
- ล้านช้าง ครั้งที่ ๙ จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ๑. ร่างแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง
-ล้านช้าง ครั้งที่ ๙ มีสาระสำคัญเป็นการทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการของกรอบความร่วมมือ
MLC และแสดงเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมความร่วมมือใน
๓ เสา และ ๕ สาขาความร่วมมือหลัก และความร่วมมือด้านอื่น ๆ ๒. ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยข้อริเริ่มอากาศสะอาดแม่โขง
- ล้านช้าง มีสาระสำคัญเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ MLC ในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ
และส่งเสริมบทบาทของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานท้องถิ่นของประเทศสมาชิกกรอบ MLC ๓. ร่างข้อริเริ่มว่าด้วยการกระชับความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำล้านช้าง
- แม่โขง มีสาระสำคัญเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพระหว่างประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ
MLC ๔.
ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน
ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง มีสาระสำคัญเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน
สนับสนุนการดำเนินการภายใต้กลไกที่มีอยู่ของกรอบความร่วมมือ MLC และกลไกอื่น ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ตามที่ประเทศสมาชิกมีฉันทามติ
ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๙ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
และรวบรวมผลการปรับแก้ร่างเอกสารดังกล่าวและเอกสารผลลัพธ์ความตกลงระหว่างประเทศของกรอบความร่วมมืออื่น
ๆ พร้อมทั้งผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน
โดยให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เห็นว่าไม่มีข้อขัดข้องต่อร่างแถลงการณ์ฯ
เนื่องจากเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานด้านความมั่นคง
และแก้ไขปัญหาอาชญากรรมผ่านแม่น้ำข้ามพรมแดน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
406 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ | พณ. | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจไทย
- คาซัคสถาน และอนุมัติการลงนามในร่างความตกลงฯ
โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม
โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย สำหรับการลงนามดังกล่าว โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ
อำนวยความสะดวก และยกระดับความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกัน
และหารือร่วมกันเพื่อจัดทำโครงการความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ เช่น
อาหารและการเกษตร เครื่องจักรกล อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
และเศรษฐกิจสีเขียว เป็นต้น รวมถึงจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าเพื่อกำกับดูแลและติดตามการดำเนินการตามความตกลงฯ
โดยจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา ๕ ปี และจะขยายเวลาโดยอัตโนมัติต่อไปอีกทุก ๕ ปี
เว้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแสดงเจตจำนงเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูตอย่างน้อย ๖ เดือน
ก่อนการยกเลิกความตกลงฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงการต่างประเทศ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมีการติดตามปัญหาความไม่สงบภายในประเทศและนโยบายด้านต่างประเทศของสาธารณรัฐคาซัคสถานอย่างใกล้ชิด
พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ความอ่อนไหวที่สุ่มเสี่ยงจะกระทบต่อการค้าระหว่างกัน
การลงทุนของผู้ประกอบการไทยในสาธารณรัฐคาซัคสถาน
ตลอดจนการดำเนินการให้เป็นตามความตกลงฯ
เพื่อให้สามารถเตรียมความพร้อมและจัดทำมาตรการรองรับได้อย่างเหมาะสมทันต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
407 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการซ่อมแซมอาคารชลประทานที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากอุทกภัย ปี พ.ศ. 2567 | กษ. | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน
ใช้จ่ายงประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๘๖๗,๘๑๒,๐๐๐ บาท
เพื่อดำเนินโครงการซ่อมแซมอาคารชลประทานที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากอุทกภัย ปี
พ.ศ. ๒๕๖๗ รวม ๒๒๗ รายการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๗/๘๗๑๖
ลงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๗) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมชลประทานควรจัดส่งรายการตามแผนงานโครงการดังกล่าวให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ตรวจสอบเพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนของโครงการที่หน่วยงานอื่น ๆ ได้ขอรับจัดสรรงบประมาณไปแล้ว
พร้อมทั้งจัดทำแผนการใช้งบประมาณให้สามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิภาพ
ความคุ้มค่า และประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เห็นควรจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ตรวจสอบความซ้ำซ้อนของแผนงาน/โครงการ และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการ ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และให้รายงานผลการดำเนินงานโครงการดังกล่าวให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
เพื่อเป็นข้อมูลในการรายงานผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) เสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
408 | ร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ 3 ปี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (ค.ศ. 2024-2026) | กต. | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบต่อร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ ๓ ปี
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง
- ล้านช้าง (ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๖) และให้เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของประเทศไทยในกรอบความร่วมมือแม่โขง
- ล้านช้าง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายมีหนังสือแจ้งให้การรับรองร่างแผนดำเนินการร่วมฯ
ตามที่ประเทศสมาชิกมีฉันทามติ โดยร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ ๓ ปีฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตเพื่อส่งเสริม
การพัฒนาด้านอุตสาหกรรม และการเสริมสร้างผลิตภาพการผลิต ที่นำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมและความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ
๓ ปีฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศ ควรประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานของไทยรับทราบอย่างทั่วถึง
เพื่อให้การดำเนินงานตามร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ ๓ ปีฯ
เกิดประโยชน์และมีผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลจากการร่วมรับรองร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ ๓ ปีฯ รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับด้วย ๒.
การจัดทำความร่วมมือหรือการขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง
- ล้านช้างในเรื่องใด ๆ
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดความจำเป็นเหมาะสม
และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างรอบคอบและรอบด้านตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ (เรือง การขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ) อย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
409 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน และการส่งเสริมความมั่นคงด้านน้ำอุปโภคบริโภค | นร.14 | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายใต้กรอบวงเงิน
๙,๑๘๗.๔๔๖๒ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน
และการส่งเสริมความมั่นคงด้านน้ำอุปโภคบริโภค จำนวน ๓,๐๓๒
รายการ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๗/๘๖๙๘ ลงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๗) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ และให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์และสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
และให้เร่งรัดดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๗
โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
410 | ผลการประชุมสมัชชากองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ครั้งที่ 7 และการรับรองข้อเสนอโครงการที่เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน Global Biodiversity Framework Fund (GBFF) | ทส. | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
รับทราบผลการประชุมสมัชชากองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF
Assembly) ครั้งที่ ๗ ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ สิงหาคม
๒๕๖๖ ณ นครแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา โดยผลการประชุม GEF Assembly ครั้งที่ ๗ มีสาระสำคัญ เช่น
ที่ประชุมให้การรับรองข้อมติเรื่องการจัดตั้งกองทุน Global Biodiversity
Framework Fund (GBFF) เพื่อเป็นกลไกทางการเงินสนับสนุนการดำเนินงานตามเป้าหมายของกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก
โดยประเทศแคนาดาจะบริจาคเงินเข้ากองทุน GBFF จำนวน ๒๐๐
ล้านดอลลาร์แคนาดา และสหราชอาณาจักรจะบริจาคเงินเข้ากองทุน GBFF จำนวน ๑๐ ล้านปอนด์สเตอร์ลิง นอกจากนี้ ธนาคารโลก (World Bank) ในฐานะผู้จัดการดูแล (Trustee) ของกองทุน GBFF
จะเร่งจัดตั้งและระดมเงินเข้ากองทุนดังกล่าว ในเดือนมกราคม ๒๕๖๗
เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบข้อเสนอโครงการที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุน GBFF ๑.๒
มอบหมายให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปฏิบัติหน้าที่หน่วยงานกลางประสานการดำเนินงานของกองทุน
GBFF ของประเทศไทย มีอำนาจในการพิจารณาให้การรับรองข้อเสนอโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุน
GBFF ๑.๓
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุน GBFF นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการลงนามในข้อตกลงทางการเงินสำหรับกรณีที่โครงการได้รับอนุมัติสนับสนุนทางการเงินจากกองทุน
GBFF และมีข้อผูกพันทางการเงินที่เป็นตัวเงิน (In
Cash) ร่วมสนับสนุนในการดำเนินโครงการ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย
รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบเกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุน
รวมทั้งควรมีการสื่อสารและประสานงานให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงช่องทางระดมทุน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
การขอรับการสนับสนุนจากกองทุน GBFF ในเรื่องใด ๆ
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียด
ความจำเป็นเหมาะสม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างรอบคอบและรอบด้าน
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ (เรื่อง การขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ)
อย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
411 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการของจังหวัดสืบเนื่องจากการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรี (จังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดราชบุรี) | นร.04 | 06/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัด
จำนวน ๗ โครงการ ภายในกรอบวงเงิน ๑๗๐,๙๒๔,๐๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการของจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน ๓ โครงการ ภายในวงเงิน
๑๓๕,๐๒๔,๐๐๐ บาท และจังหวัดราชบุรี จำนวน
๔ โครงการ ภายในวงเงิน ๓๕,๙๐๐,๐๐๐ บาท
โดยให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ทั้งนี้ ให้จังหวัดจัดทำโครงการและรายละเอียดต่าง ๆ
เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณ
ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งให้จังหวัดนำโครงการบรรจุในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้จังหวัดกาฬสินธุ์
จังหวัดราชบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน
และผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวจะสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนให้กับประชาชนซึ่งตรงตามความต้องการและบริบทของพื้นที่
ตลอดจนเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ ทั้งมิติการค้า
การลงทุนและการท่องเที่ยวในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ การดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย
ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ขั้นตอนและแนวทาง การปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงความถูกต้อง โปร่งใส และประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
412 | การจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน AHA Centre | มท. | 06/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน AHA Centre ในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๖๘
เป็นจำนวน ๙๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ ๓.๓ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่า สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อสมทบเข้ากองทุน AHA Centre ในปึงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เห็นควรให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่ได้รับจัดสรรแล้ว สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
413 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม | กห. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๖๗๐,๐๕๘,๔๐๐ บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสร้างอาคารที่พักอาศัย ครอบครัวนายทหารชั้นประทวน
พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกผู้มีสิทธิได้รับอาคารที่พักอาศัยดังกล่าวอย่างเหมาะสม
โปร่งใส เป็นธรรม และการดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตกระทรวงกลาโหมอาจพิจารณาจัดหาโครงการก่อสร้างที่พักอาศัยของการเคหะแห่งชาติที่ประสบปัญหาในการจัดจำหน่ายเนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมา
และตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของกำลังพลมากเกินความจำเป็น
ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
414 | การพิจารณารับรองวัคคาทอลิก ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิค พ.ศ. 2564 | วธ. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองวัดคาทอลิก จำนวน ๕๖
วัด เป็นวัดคาทอลิกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงศึกษาธิการไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง
ครบถ้วนถ้วนต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่ากรณีพื้นที่ที่ตั้งวัดคาทอลิกอยู่ในเขตพื้นที่ป่าไม้จะต้องขออนุญาตและได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ตามระเบียบ
กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการ เห็นว่าควรให้มีรั้วแสดงขอบเขตของวัดคาทอลิกและโรงเรียนในระบบ
ซึ่งสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนออกจากกันอย่างชัดเจน โดยขนาดที่ดินที่เป็นที่ตั้งโรงเรียนที่เหลืออยู่จะต้องเป็นไปตามกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ
ฯ
พร้อมทั้งให้โรงเรียนในระบบดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้งและขอเปลี่ยนแปลงขนาดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนในระบบต่อผู้อนุญาตที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี หรือดำเนินการอย่างอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนกำหนดต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
415 | การเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีขององค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian-African Legal Consultative Organization: AALCO) สมัยที่ 62 | กต. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีขององค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา
(Asian - African Legal Consultative Organization : AALCO) สมัยที่ ๖๒ ของประเทศไทย และเห็นชอบในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอำนวยความสะดวกในการรักษาความปลอดภัยสถานที่ประชุมและผู้แทนระดับรัฐมนตรีที่เดินทางมาเข้าร่วมการประชุม
การจัดการจราจรในพื้นที่โดยรอบ
รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราและการเข้าออกเมืองแก่ผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย
ประกอบกับการเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปี AALCO สมัยที่ ๖๒
ของกระทรวงการต่างประเทศถือเป็นการดำเนินการที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน
และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายการเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีของ
AALCO สมัยที่ ๖๒
ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่ได้รับจัดสรรรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวไว้แล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
416 | ร่างหนังสือรับรองความรับผิดชอบในการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกา | กห. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างหนังสือรับรองความรับผิดชอบในการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาก่อนการลงนาม
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ลงนามในหนังสือรับรองฯ
โดยหนังสือรับรองฯ มีสาระสำคัญเพื่อยืนยันที่จะใช้ยุทโธปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และจะไม่ใช้ยุทโธปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
ในการขัดขวางการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสหรัฐฯ ในพื้นที่ความขัดแย้ง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือรับรองความรับผิดชอบในการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
417 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือ เอ ๐ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย | คค. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรือ
เอ ๐ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป จะทำให้เกิดความต่อเนื่องในการให้บริการสาธารณะและหากมีการบอกเลิกสัญญาอาจนำมาสู่ข้อพิจารณาจนทำให้บริการสาธารณะหยุดลงและส่งผลกระทบต่อประชาชนได้
ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมาย ตามที่คณะกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุน
บริหารและประกอบการท่าเทียบเรือ เอ ๐ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเคร่งครัดต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย
เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรือ ซี ๐
ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒
แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามนัยของมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ เพื่อเสนอตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
418 | การดำเนินการเกี่ยวกับการเปิด การขยายเวลา และการปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน | นร.08 | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิด
การขยายเวลา และการปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้ ๑)
รับทราบการเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท)
อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยใช้สำนักงานชั่วคราวไปพลางก่อน ๒)
รับทราบการปรับเวลาเปิดทำการจุดผ่านแดนถาวรภูดู่ อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์
จากเดิมเวลา ๐๖.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ของทุกวัน เป็น ๘.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. ของทุกวัน ๓)
รับทราบการขยายเวลาเปิด - ปิด จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
เป็นเวลา ๐๗.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ๔) รับทราบการปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านปากห้วย ตำบลหนองผือ
อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ๕) การดำเนินการใด ๆ บริเวณพื้นที่ชายแดน
จะต้องระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อความมั่นคง
โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม
๒๕๔๒ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ อย่างเคร่งครัด และ ๖)
ให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงแจ้งให้จังหวัดและส่วนราชการในพื้นที่รับทราบและถือปฏิบัติโดยทั่วกัน ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
รวมถึงการเตรียมอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ให้มีความเหมาะสม
เพื่อให้สามารถรองรับการปฏิบัติงาน ณ จุดผ่านแดนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรให้มีการจัดตั้งเป็นด่านอาหารและยาในพื้นที่ที่ไม่มีด่านอาหารและยาตั้งอยู่
และควรขอรับการจัดสรรบุคลากรเพิ่มเติมเพื่อประจำด่านฯ ดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
419 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 57 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต. | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๗ ฉบับ ได้แก่ ๑) ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๗ ๒) ร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน - สหราชอาณาจักร : การเสริมสร้างความเชื่อมโยงเพื่ออนาคตที่เจริญรุ่งเรืองและยั่งยืน
๓) ร่างแถลงการณ์ร่วมของ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน -
จีนว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ๔)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและรัสเซีย เฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ ๒๐
ปี
ของการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของรัสเซีย
๕)
ร่างแถลงการณ์ของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิกว่าด้วยเพิ่มพูนความร่วมมือระดับภูมิภาคด้านความปลอดภัยของเรือโดยสาร ๖)
ร่างหนังสือให้ความยินยอมต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย และ ๗)
ร่างหนังสือให้ความยินยอมต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยราชรัฐลักเซมเบิร์ก โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๕ ฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจาในการส่งเสริมความร่วมมือและต่อยอดการดำเนินงานในด้านต่าง
ๆ
โดยมิได้มีการใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
กรณีดังกล่าวจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามในร่างหนังสือฯ
ทั้ง ๒ ฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแสดงความยินยอมฝ่ายเดียวของประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนเกี่ยวกับการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มิใช่การทำหนังสือสัญญาขึ้นใหม่ประเทศสมาชิกอาเซียน
กรณีจึงดังกล่าวไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
420 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ | รง. | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงแรงงานและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลี
ด้านการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ และให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อรักษากรอบความร่วมมือที่ชัดเจนระหว่างทั้งสองฝ่าย
และเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในกระบวนการจัดส่งและรับคนงานจากไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี
โดยกำหนดบทบัญญัติสำหรับทั้งสองฝ่ายเพื่อปฏิบัติตามเกี่ยวกับการจัดส่งแรงงานภายใต้ระบบ
EPS ตามกฎหมายการจ้างงานแรงงานต่างชาติ
และอื่น ๆ ในสาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
|