ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 23 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 441 - 460 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
441 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลของสุลต่านและยัง ดี-เปอร์ตวน แห่งบูรไนดารุสซาลาม | กก. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
และรัฐบาลของสุลต่านและยัง ดี-เปอร์ตวน แห่งบรูไนดารุสซาลาม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
และรัฐบาลของสุลต่านและยัง ดี-เปอร์ตวน แห่งบรูในดารุสซาลาม โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญ เช่น ย่อหน้าที่ ๑ ระบุวัตถุประสงค์ในการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ
เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการท่องเที่ยว และสนับสนุนความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ
โดยอยู่ภายใต้กฎหมาย ข้อบังคับ และนโยบายระดับชาติที่เกี่ยวข้อง ย่อหน้าที่ ๒
ระบุขอบเขตความร่วมมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน อาทิ
การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยวตามรูปแบบที่มีศักยภาพ
การอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
การยกระดับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และบุคลากร วิชาชีพด้านการท่องเที่ยว
รวมถึงการประสานงานเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงด้านการบินระหว่างสองประเทศ การประสานระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการท่องเที่ยว
การสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมการท่องเที่ยว การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้านการท่องเที่ยว
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรเร่งผลักดันให้เกิดการดำเนินงานร่วมกันระหว่างประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะการดำเนินงานตามแนวทางมาตรฐานการท่องเที่ยวสะอาด (Clean Tourism) ที่สามารถพัฒนาให้เป็นจุดแข็งของประเทศ
เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มมุสลิมทั้งประเทศบรูไนดารุสซาลาม และประเทศอื่น
ๆ ในภูมิภาค ให้เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายในการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น และใช้ความร่วมมือให้เป็นโอกาสในการพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวในรูปแบบที่สนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นหุ้นส่วน (Partnership) กับการจัดการด้านการท่องเที่ยวของภาครัฐ
เพื่อให้ประเทศไทยได้เรียนรู้แนวทางการพัฒนากิจกรรมด้านการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่
ๆ ที่ประเทศบรูไนดารุสซาลามได้มีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเป็นทางเลือกที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ตามบริบทและความเหมาะสมในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
442 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการ | กต. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการ
(Agreement between the Government
of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of
Bangladesh on Visa Exemption for Holders of Official Passports) และให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายปานปรีย์ พหิทธานุกร)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทนให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว และให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยร่างความตกลงฯ
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางราชการของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า
เดินทางออกจาก เดินทางผ่าน
และพำนักอยู่ชั่วคราวในดินแดนของรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน
นับจากวันที่เดินทางเข้า โดยบุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่เข้ารับการจ้างงานใด ๆ
ไม่ทำธุรกิจส่วนตัว หรือกิจการส่วนตัวอื่นใดในดินแดนของอีกฝ่าย ทั้งนี้
ระยะเวลาพำนักนั้นจะได้รับการขยายไปจนสิ้นสุดวาระการแต่งตั้งของบุคคลเหล่านั้น
เมื่อมีคำร้องขอของกระทรวงการต่างประเทศหรือสถานเอกอัครราชทูตของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งแจงเหตุผลและประโยซน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรติดตามประเมินผลและสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานตามความตกลงดังกล่าวให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบ
และเห็นควรให้ความเห็นชอบให้ผู้แทนที่กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงดังกล่าว
โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๗
ที่ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะทำความตกลงระหว่างประเทศทุกประเภทดำเนินการให้ถูกต้อง
ชัดเจน และปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
443 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการบินพลเรือนและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ | กก. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการบินพลเรือนและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยมีสาระสำคัญเป็นการมุ่งพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยและบังกลาเทศ
เพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ
โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวระหว่างกัน เช่น
การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนา การพัฒนาการท่องเที่ยว และบริการรูปแบบใหม่
การพัฒนาบุคลากร และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางสถิติด้านการท่องเที่ยว
โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเพื่อติดตามและให้คำแนะนำการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับนี้ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๙๐๗/๑๐๒ ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗) ที่เห็นควรสนับสนุนรูปแบบการท่องเที่ยวที่เป็นจุดแข็งของประเทศและสอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวบังกลาเทศ
ด้วยการผนวกรวมวัฒนธรรม ความเชื่อ และศรัทธา
สำหรับใช้เป็นเรื่องราวที่มีความน่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสติดตาม
และเกิดความหลงใหลในเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปรับทราบกรอบความร่วมมือในวงกว้าง
รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกัน
โดยมุ่งเน้นให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาความร่วมมือทั้งสองประเทศให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ตลอดจนติดตามประเมินผลความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวดังกล่าว
เพื่อนำไปสู่การขยายความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ต่อไป และเห็นว่าในย่อหน้าที่ ๔
ของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่กำหนดว่า “ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในสาขาดังต่อไปนี้”
โดยข้อ (เอช) กำหนดว่า “การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนา จิตวิญญาณ และความเชื่อ
และการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวชาวพุทธ ระหว่างสองประเทศ
และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรมทางศาสนาพุทธ”
นั้น อาจมีประเด็นว่าเหตุใด จึงระบุเพียงชาวพุทธหรือวัฒนธรรมทางศาสนาพุทธ
จึงเห็นว่า ในข้อนี้อาจเขียนในลักษณะกว้างทำนองเดียวกับข้อ (ไอ) ที่กำหนดว่า “การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
และสุขภาพ” โดยข้อ (เอช) อาจแก้ไขเป็นเพียง “การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม/มรดกทางวัฒนธรรม”
เนื่องจากความหมายของวัฒนธรรมมีความหมายครอบคลุมในทุกด้านอยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
444 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงไฟฟ้า พลังงาน และทรัพยากรแร่สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ (Memorandum of Understanding Between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Power, Energy and Mineral Resources of the People's Republic of Bangladesh on Energy Cooperation) | พน. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงไฟฟ้า
พลังงาน และทรัพยากรแร่สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ (Memorandum
of Understanding Between the Ministry of Energy of the Kingdom of
Thailand and the Ministry of Power, Energy and Mineral Resources of the
People’s Republic of Bangladesh on Energy Cooperation) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงไฟฟ้า
พลังงาน และทรัพยากรแร่สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญที่มุ่งเน้นการผลักดันกิจกรรม/โครงการความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทยและบังกลาเทศ
โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนแนวนโยบายและองค์ความรู้ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาพลังงานที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจร่วมกัน
นอกจากนี้ กิจกรรมภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ยังช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจและการร่วมลงทุนในโครงการด้านพลังงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
และการจัดหาพลังงานสะอาดร่วมกับฝ่ายบังกลาเทศ ซึ่งมีความสอดคล้องกับทิศทางและนโยบายการพัฒนาภาคพลังงานของไทยที่มุ่งเน้นส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและผลักดันการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงพลังงาน (สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรพิจารณาค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน หรืองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ แล้วแต่กรณี
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
445 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ณ กรุงเทพมหานคร และการขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ณ จังหวัดภูเก็ต (นางสาวกันยารัตน์ กัลยาวรัตน์) | กต. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน
๒๕๒๑ (เรื่อง
รัฐบาลไอซ์แลนด์ขอตั้งสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไอซ์แลนด์ประจำกรุงเทพมหานคร
และเสนอชื่อนาย Jorgen Albert Hage สัญชาติเดนมาร์ก
ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไอซ์แลนด์ประจำกรุงเทพมหานคร)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ (เรื่อง การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ประจำกรุงเทพมหานคร
และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ณ กรุงเทพมหานคร
คนใหม่) เฉพาะในส่วนการกำหนดเขตกงสุล จากเดิมที่มีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย เป็น
มีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย ยกเว้นจังหวัดภูเก็ต ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช
นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สงขลา สุราษฎร์ธานี ตรัง และยะลา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
446 | การรักษาความสะอาดในทุกพื้นที่่ | นร. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ (เรื่อง ขอความร่วมมือในการรักษาความสะอาดในพื้นที่สาธารณะ)
มอบหมายให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินมาตรการรักษาความสะอาดในพื้นที่สาธารณะต่าง
ๆ ในความรับผิดชอบให้ทั่วถึงและต่อเนื่อง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ นั้น
เพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่
จึงขอกำชับให้ทุกส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัด
โดยในส่วนของพื้นที่สาธารณะและแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ขอให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
รวมทั้งกรุงเทพมหานครเร่งดำเนินการให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันด้วย
รวมทั้งขอเชิญชวนให้องค์กร หน่วยงานภาคเอกชน
และประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันทำความสะอาดที่ทำการ ห้างร้าน บ้านเรือนที่อยู่อาศัย เพื่อให้ทุกพื้นที่มีทัศนียภาพที่สวยงามและเป็นระเบียบเรียบร้อย
ทั้งนี้ ขอให้ทหารจากเหล่าทัพต่าง ๆ ร่วมมือกับประชาชนในการดำเนินงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
447 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตหรือใบรับรอง และการออกใบอนุญาตหรือใบรับรองให้นำเข้า หรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่า พ.ศ. .... | ทส. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตหรือใบรับรอง
และการออกใบอนุญาตหรือใบรับรองให้นำเข้า หรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า
หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้นำเข้าหรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่า
ซากสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าที่เป็นสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง
สัตว์ป่าคุ้มครองที่เพาะพันธุ์ได้ และสัตว์ป่าควบคุม รวมทั้งการขอรับใบรับรองและการออกใบรับรองเพื่อการดำเนินการดังกล่าว
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรดำเนินการให้สอดคล้องตามมาตรา ๙ และมาตรา
๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕
และควรเร่งดำเนินการตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนและเผยแพร่ตามช่องทางที่กำหนด
รวมถึงในเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (www.info.go.th) ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
448 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2550 เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร | กค. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร) ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ตรงตามเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
โดยไม่กระทบต่อฐานะทางการเงินของ ธ.ก.ส. และมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน
รวมถึงป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ ธ.ก.ส. โดยให้ถือใช้ข้อความตามที่ปรับปรุงแล้ว
แทนข้อความเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธ.ก.ส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ
เช่น ๑)
ควรสื่อสารทำความเข้าใจกับลูกหนี้เกี่ยวกับวิธีการดำเนินคดีที่เปลี่ยนแปลงไป ๒)
ควรกำหนดแผนบริหารจัดการหรือมาตรการจัดการหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยหรือเบี้ยปรับหรือผลกระทบในด้านอื่น
ๆ ที่เป็นภาระแก่เกษตรกรเกินสมควร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้กระทรวงการคลังร่วมกับ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยกับลูกหนี้เกษตรกรที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(Non-Performing
Loans : NPLs) ซึ่งยังไม่ได้ถูกดำเนินคดีให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของลูกหนี้แต่ละรายเพื่อให้เกษตรกรกลุ่มนี้ยังคงมีศักยภาพในการชำระหนี้ได้ต่อไปโดยไม่ถูกดำเนินคดีด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
449 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา | กต. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา
โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทนให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า
เดินทางออกจาก เดินทางผ่านและพำนักอยู่ชั่วคราวในดินแดนของรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน นับจากวันที่เดินทางเข้า โดยระยะเวลาพำนักสะสมรวมกันจะต้องไม่เกิน
๙๐ วันภายในแต่ละช่วงเวลา ๑๘๐ วัน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาดำเนินมาตรการในการคัดกรองนักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถานอย่างเข้มงวด
รวมถึงติดตามและประเมินผลกระทบทางด้านความมั่นคงจากชาวคาซัคสถานเป็นระยะ
เนื่องจากในห้วงที่ผ่านมาพบความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มก่อการร้ายท้องถิ่นในคาซัคสถานกับกลุ่มก่อการร้ายสากล
จึงมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มดังกล่าวอาจแสวงประโยชน์จากการยกเว้นการตรวจลงตรา
โดยใช้ไทยเป็นทางผ่านหรือเป็นพื้นที่หลบซ่อน (safe heaven)
และให้กระทรวงการต่างประเทศสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงผลประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
450 | การกำหนดกระบวนการรับรองสินค้าเกษตรที่ปลอดการเผา | นร. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ (เรื่อง แนวทางเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ
โดยเฉพาะฝุ่นละออง PM2.5) มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการลดหรือห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านที่พิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา
และต่อมาได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง การแก้ปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นละออง
PM2.5 ที่เกิดจากการเผา)
มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องนี้ตามกระบวนการของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและรวดเร็ว
รวมทั้งไม่ให้ขัดต่อข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) นั้น โดยที่ปัจจุบันยังคงมีปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นละออง
PM2.5 ที่เกิดจากการเผาอยู่อย่างต่อเนื่อง
จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
โดยให้ดำเนินมาตรการภายในประเทศและมาตรการนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านที่พิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผาอย่างเท่าเทียมกัน
และไม่เลือกปฏิบัติ (ตามหลักการ National Treatment ของ WTO) ทั้งนี้
ให้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งเจรจาทำความตกลงประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดกระบวนการรับรองสินค้าเกษตรที่ปลอดการเผาให้ชัดเจนและเป็นที่รับรู้ร่วมกันเพื่อรองรับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวข้างต้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
451 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet | กค. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ (เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล
กรณีการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท
ผ่าน Digital Wallet) ตามที่คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน
๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet เสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital
Wallet เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์
๒๕๖๗ (เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล
กรณีการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet) โดยให้คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท
ผ่าน Digital Wallet สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวมแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน
๒ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
452 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | สปสช. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณสำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ภายในวงเงิน ๒๓๕,๘๔๒,๘๐๐,๙๐๐ บาท สำหรับงบประมาณบริหารงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
วงเงิน ๒,๒๓๘,๘๓๖,๒๐๐ บาท นั้น ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ตามความจำเป็น
เหมาะสม ประหยัดและสอดคล้องกับภารกิจการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการและบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
ในด้านบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
บริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน
บริการสาธารณสุขร่วมกับกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด
และบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
สำหรับการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรครายบุคคลและครอบครัว ตามมาตรา ๑๘ (๑๔)
แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ และควบคุมดูแลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้บริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นไปตามการมอบหมายดังกล่าว
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย
และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น จัดทำตัวชี้วัดการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
(P&P) ในกลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เช่น ข้าราชการและบุคคลในครอบครัว ผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม เป็นต้น
และให้มีการรายงานผลทุกครั้งที่เสนอขอรับงบประมาณจากคณะรัฐมนตรี การค้นหาประชาชนผู้ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้
เช่น คนไร้ที่พึ่ง คนไร้บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น
โดยอาจขอความร่วมมือกับหน่วยงาน
ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเครือข่ายระบบสุขภาพให้แก่ประชาชนคนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างครอบคลุม
สอดรับกับการได้รับสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะก่อให้เกิดความครอบคลุมแก่ประชากรทุกกลุ่ม
และนำไปสู่ความเข้มแข็งของการได้รับการคุ้มครองสิทธิและมีหลักประกันทางสังคมที่เพิ่มขึ้น
และให้ดำเนินการตามนัยมาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข
ตลอดจนปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
453 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน (กระทรวงการคลัง) | กค. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. ดังนี้ ๑.
ให้คงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง
แนวทางการดำเนินการสำหรับผู้ลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี
๒๕๖๕ ที่ไม่สามารถติดตามคู่สมรสได้) ไว้ ๒.
ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ [เรื่อง มาตรการอำนวยความสะดวกและลดภาระแก่ประชาชน
(การไม่เรียกสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้จากประชาชน)]
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
454 | ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง อัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | สธ. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง
อัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์
และร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง
อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ
หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ
หรือการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ
องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ
หรือการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ รวม ๒ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าในส่วนของร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ
หน่วยงานของรัฐ
หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ
การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์
พ.ศ. .... ที่มีการตัดข้อความ “การขึ้นบัญชีมีอายุ ๓ ปี” ในหมายเหตุ
ในบัญชีแนบร่างประกาศฯ
หากแต่การตัดข้อความก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาครัฐหรือผู้เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม
กรมปศุสัตว์ ก็ควรอนุมัติในหลักการร่างประกาศทั้ง ๒ ฉบับ และในการพิจารณากำหนดอัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดและอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดกระทรวงสาธารณสุขควรถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๔ เรื่อง หลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการ โดยต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนในการดำเนินการของรัฐ
ภาระที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชน และปัจจัยอื่น ๆ ตามที่กำหนดในหลักเกณฑ์ดังกล่าว
ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
455 | การปรับเขตกงสุลของกงสุลกิตติมศักดิ์และสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานครให้ครอบคลุมประเทศไทย การขอเลื่อนฐานะกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวเป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำประเทศไทย และการขอยกฐานะสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวเป็นสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำประเทศไทย | กต. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๖
(เรื่อง ขออนุมัติเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานคร)
โดยปรับให้เขตกงสุลของกงสุลกิตติมศักดิ์และสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานคร
จากเดิม มีเขตกงสุลครอบคลุมกรุงเทพมหานคร เป็น มีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย ๒. เลื่อนฐานะ นายจักร จามิกรณ์
กงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานคร เป็น กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำประเทศไทย ๓.
ยกฐานะสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานคร เป็น
สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำประเทศไทย
โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
456 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงคมนาคม) | คค. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๖ คณะ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓ เมษายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อประสานงานกับองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ๒. คณะกรรมการร่วมถาวรไทย-มาเลเซีย
ว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายผ่านแดนมาเลเซียไปยังสิงคโปร์ ๓. คณะกรรมการผู้แทนรัฐบาลเพื่อพิจารณาทำความตกลงเกี่ยวกับการขนส่งทางบกกับรัฐบาลต่างประเทศเป็นประจำ ๔. คณะกรรมการแทนรัฐบาลเพื่อพิจารณาทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศกับรัฐบาลต่างประเทศ ๕. คณะกรรมการอำนวยความสะดวกการขนส่งแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
457 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเฮติ | กต. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเฮติ
(ข้อมติ UNSC) ที่
๒๖๙๙ (ค.ศ. ๒๐๒๓) เกี่ยวกับสาธารณรัฐเฮติเพิ่มเติมจากข้อมติ UNSC ที่ ๒๖๕๓ (ค.ศ. ๒๐๒๒) จนกว่า UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเฮติ
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อมีการรับรองข้อมติที่เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเฮติต่อไป
และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษต่อสาธารณรัฐเฮติและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งแจ้งผลให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าการดำเนินการตามข้อมติ UNSC ที่ ๒๖๙๙ (ค.ศ. ๒๐๒๓) จะต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในของไทย
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานตามข้อมติฯ ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วน
ได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
458 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เพื่อทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ .... รวม 2 ฉบับ | กษ. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง
การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา
ลาว เมียนมา เวียดนาม หรือสัญชาติอื่น
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนดมาขึ้นทะเบียนและยื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือ
กรณีที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน (Seabook เล่มสีเหลือง) ได้ตลอดทั้งปี และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
เพื่อทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา
ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งระยะเวลาในการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง
แต่ไม่ได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรให้สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
เพื่อขอรับหนังสือคนประจำเรือ กรณีที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน
เมื่อคนต่างด้าวดังกล่าวได้รับการต่ออายุหนังสือคนประจำเรือแล้ว
ให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราว โดยมีระยะเวลาตามอายุหนังสือคนประจำเรือ ทั้งนี้
เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคประมงทะเลและขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน
ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนการกำหนดนิยามของคำว่า “ใบอนุญาตทำงาน” ในร่างข้อ ๓
ของร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฯ จากเดิม “ใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
และให้หมายความรวมถึงการอนุญาตทำงานเอกสารอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวด้วย”
เป็น “ใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
และให้หมายความรวมถึงเอกสาร หรือหนังสือรับรองว่าได้รับอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว”
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. มอบหมายให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการประมงทะเล
เพื่อพื้นฟูการประมงทะเลและอุตสาหกรรมการประมงพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเลให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรพิจารณาซักซ้อมความเข้าใจ
รายละเอียดการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป และควรพิจารณาจัดทำแผนความต้องการแรงงานประมงร่วมกันระหว่างประเทศไทยและประเทศต้นทาง
พร้อมทั้งจัดทำแผนสำรองเพื่อรองรับในกรณีประเทศต้นทางไม่สามารถจัดส่งแรงงานให้ได้
เพื่อให้การบริหารจัดการแรงงานประมงสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ
และเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคประมงได้ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
459 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน | อว. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ
ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน
และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อมุ่งส่งเสริมความร่วมมือที่ให้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน (China National Space Administration - CNSA) ในการพัฒนาสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ
โดยครอบคลุมทั้งด้านการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และการทำวิจัยในสาขาที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
460 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ | อว. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ (Memorandum of Understanding between the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation of the Kingdom of Thailand and China National Space Administration on Cooperation in the Exploration and Use of Outer Space for Peaceful Purposes) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อวางรากฐานสำหรับการพัฒนาและดำเนินความร่วมมือที่ก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ โดยมีสาระสำคัญในการพัฒนาอย่างสันติในสาขาวิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีอวกาศ และการประยุกต์ใช้อวกาศเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ รวมถึงเพื่อกระชับความร่วมมือไทย-จีนในด้านอวกาศอย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรพิจารณาปรับแก้ถ้อยคำบางประการในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|