ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 24 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 461 - 480 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
461 | แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand's National Adaptation Plan : NAP) | ทส. | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
(Thailand’s National Adaptation Plan : NAP) และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดส่งแผนการปรับตัวฯ
ต่อสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยแผ่นแม่บทรองรับการปรับตัวฯ มีสาระสำคัญเป็นกรอบแนวทางระยะยาวของประเทศที่ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกด้าน
ได้แก่ ๑) การลดก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการเติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำลง ๒)
การปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ ๓)
การสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย
และความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เช่น ควรพิจารณาจัดการทบทวนแผน NAP เป็นระยะเพื่อประเมินผลการดำเนินงาน
ความเสี่ยงและความเปราะบางต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในรายสาขาและคนกลุ่มต่าง
ๆ เพื่อปรับปรุงแนวทางการดำเนินงาน ประเภทหรือรูปแบบความร่วมมือ
รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศที่ประสงค์จะขอรับการสนับสนุน เพื่อให้แผน NAP
สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ หากมีประเด็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในแผน
NAP ให้คำนึงถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องตลอดจนผลประโยชน์และบริบทของประเทศเป็นสำคัญ
ควรพิจารณาการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการตามแผน NAP ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายต่อไป ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
462 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | ทส. | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม
ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย
อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน
จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง
ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้
ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
ที่เห็นควรกำหนดข้อยกเว้นไม่นำหลักเกณฑ์ในร่างประกาศดังกล่าวมาบังคับแก่การใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์ในราชการของกองทัพเรือเช่นเดียวกับที่ได้มีกำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน
ตำบลบ้านน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี
เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๖๕ ในข้อ ๕ วรรคท้าย ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
463 | ร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้านระหว่างสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิกฝ่ายหนึ่งกับราชอาณาจักรไทยอีกฝ่ายหนึ่ง (Framework Agreement on Comprehensive Partnership and Cooperation between the European Union and its Member States, of the one part, and the Kingdom of Thailand, of the other part) | กต. | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้านระหว่างสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิกฝ่ายหนึ่งกับราชอาณาจักรไทยอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้มีการลงนามแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๖ ธันวาคม ๒๕๖๕ โดยร่างกรอบความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแผนความร่วมมืออย่างรอบด้าน
อีกทั้งมีการกำหนดกลไกระงับข้อพิพาทที่มีความเกี่ยวข้องกับความตกลงเฉพาะอื่น ๆ
ระหว่างสองฝ่าย ซึ่งรวมถึงความตกลงการค้าเสรีที่จะมีการจัดทำขึ้นในอนาคต โดยมีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ให้คู่ภาคีต้องปฏิบัติ
และมีการใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และร่างกรอบความตกลงฯ มีเนื้อหาครอบคลุมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน
โดยให้มีการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนส่งเสริมให้มีการแข่งขันทางการค้า
และส่งเสริมการเข้าสู่ตลาดการค้าบริการซึ่งกันและกัน
อีกทั้งได้กำหนดกลไกระงับข้อพิพาทที่เชื่อมโยงไปถึงความตกลงการค้าเสรีที่จะจัดทำขึ้นในอนาคต
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ส่งร่างกรอบความตกลงฯ ดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และพิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับการดำเนินการไปพลางก่อน (provisional application)
ตามร่างกรอบความตกลงฯ ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (เรื่อง
แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
464 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) | สคก. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี
ดังนี้ ๑.
มติคณะรัฐมนตรีที่เข้าข่ายการอำนวยความสะดวกและการให้บริการประชาชนรวมถึงการอนุมัติ
อนุญาตแก่ภาคเอกชนตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๓ กันยายน ๒๕๖๖) จำนวน ๑ เรื่อง [มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ เรื่อง มาตรการอำนวยความสะดวกและลดภาระแก่ประชาชน
(การไม่เรียกสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้จากประชาชน)]
ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงาน ก.พ.ร. โดยไม่จำเป็นต้องยืนยันการคงอยู่ของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเนื่องจากบัญญัติไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
465 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน (กระทรวงพลังงาน) | พน. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓
กันยายน ๒๕๖๖ (เรื่อง
การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน)
ซึ่งแจ้งว่าไม่มีมติคณะรัฐมนตรีในความรับผิดชอบที่จะต้องยืนยันการคงอยู่ต่อไป
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
466 | ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จำนวน 2 ฉบับ | รง. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
จำนวน ๒ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑
ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง
มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจในเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดให้ลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจมีวันหยุดพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีและการกำหนดเพิ่มจำนวนวันลาเพื่อคลอดบุตร ๑.๒ ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าร่างประกาศดังกล่าวเป็นการดำเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และการจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นใดของพนักงานรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ควรคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม ตลอดจนสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งกำหนดมาตรฐานเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงแนวทางดังกล่าว เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
467 | ร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ด้านความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์และบริษัทไชน่า ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น | พณ. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ด้านความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์และบริษัทไชน่า
ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านโอกาสทางการค้าและการลงทุนในประเทศไทยและจีนรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าสู่ตลาดของผลิตภัณฑ์หรือการขยายธุรกิจของบริษัทไชน่า
ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น ในประเทศไทย การส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าไทยในสถานีบริการน้ำมันบริษัทไชน่า
ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น การสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจต่าง ๆ เช่น
การสัมมนาการประชุม การจับคู่ธุรกิจ งานแสดงสินค้า การจัดคณะผู้แทนการค้า ฯลฯ
รวมทั้งแสวงหา ส่งเสริม และพัฒนาโอกาสในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด
(หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่ อส ๐๐๐๖/๔๓๒๖ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม
๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งให้ข้อมูล/ความรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบ
หลักเกณฑ์เงื่อนไข ขั้นตอนที่เกี่ยวกับการส่งออก และการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้า/สิทธิบัตรซึ่งรวมถึงการบังคับใช้สิทธิและความคุ้มครอง
ตลอดจนให้คำปรึกษาแนะนำและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้าร่วมโครงการฯ
ให้สามารถจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า/สิทธิบัตรในประเทศจีน ก่อนการเข้าไปทำการตลาด
เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิ และควรดำเนินการติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจากการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ
ดังกล่าวเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
468 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา | กต. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกลไกความร่วมมือทวิภาคีที่เป็นรูปธรรมเพื่อกระชับความสัมพันธ์
ขยายความร่วมมือ และส่งเสริมความเข้าใจร่วมกัน
ตลอดจนทบทวนและแลกเปลี่ยนมุมมองในมิติความสัมพันธ์ทวิภาคี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๗
ที่ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะทำความตกลงระหว่างประเทศทุกประเภทดำเนินการให้ถูกต้อง ชัดเจน
และปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และในกรณีที่ต้องมีการปรับแก้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อผลประโยชน์ของไทย
เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
โดยให้รวบรวมผลการปรับแก้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
กับผลการปรับแก้เอกสารผลลัพธ์ความตกลงระหว่างประเทศของกรอบความร่วมมืออื่น ๆ
พร้อมทั้งผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
469 | ขออนุมัติงบประมาณอุดหนุนค่าอาหารกลางวันของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา | ศธ. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการอนุมัติงบประมาณอุดหนุนค่าอาหารกลางวันของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๑-๓ ของโรงเรียนขยายโอกาส
สำหรับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และกรุงเทพมหานคร
ระยะเวลา ๒๐๐ วัน/ปีการศึกษา ให้มีผลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
โดยใช้อัตราตามขนาดของโรงเรียนเช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน
๒๕๖๕ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดยในกรณีที่เป็นโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอน
ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓
ขอให้คำนวณจำนวนนักเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนของทั้งโรงเรียนเพื่อกำหนดเป็นขนาดของโรงเรียน
ในการประมาณการค่าอาหารกลางวันดังกล่าว ทั้งนี้
ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงการนำเงินนอกงบประมาณมาสมทบ
ตลอดจนมีการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการงบประมาณที่มีอยู่อย่างเพียงพอและเกิดประโยชน์สูงสุด
ให้สอดคล้องกับขนาดของโรงเรียนและจำนวนนักเรียนอย่างเหมาะสมและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในทุกมิติในการสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว
รวมถึงการกำหนดมาตรการ กลไกและกระบวนการติดตามประเมินผลให้มีความชัดเจน
โปร่งใสและตรวจสอบได้ เกิดผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงสาธารณสุขและกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ที่เห็นควรให้ความสำคัญและกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าว ให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ในอนาคตอาจมีการพิจารณาปรับเพิ่มงบประมาณอุดหนุนค่าอาหารกลางวันของเด็กนักเรียนให้มีความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ
เพื่อให้เด็กนักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีความหลากหลาย เหมาะสม
และมีคุณค่าครบถ้วนตามหลักโภชนาการ รวมถึงลดความกังวลของผู้ปกครองที่มีรายได้น้อยให้ได้มีโอกาสที่เท่าเทียมในระบบการศึกษา
และเด็กนักเรียนได้รับการพัฒนาศักยภาพตามช่วงวัยอย่างเหมาะสมต่อไป ควรพิจารณาแนวทางในการส่งเสริมให้เกิดการระดมทรัพยากรและความร่วมมือจากภาคส่วนอื่น
ๆ
โดยเฉพาะการนำรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อมมาสนับสนุนและสมทบการดำเนินการ
ผ่านการหารือและปรับปรุงข้อกฎหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบติดตามประเมินผลลัพธ์การดำเนินการที่สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางภาวะโภชนาการของนักเรียนเพื่อประโยชน์ต่อการวิเคราะห์และจัดสรรเงินอุดหนุนในระยะต่อไป
ควรให้หน่วยงานต้นสังกัดของโรงเรียนขยายโอกาส
ติดตามการจัดอาหารกลางวันที่มีคุณภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการให้เพียงพอตาม “มาตรฐานอาหารกลางวันโรงเรียนไทย”
และควรทำการประเมินภาวะโภชนาการที่ถูกต้องให้กับนักเรียนขยายโอกาส
เพื่อที่จะนำผลการประเมินงานดังกล่าวไปปรับปรุงพัฒนาในโอกาสต่อไป และติดตามพัฒนาการทางร่างกายและการเรียนรู้ของนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
เพื่อเป็นมาตรการป้องกันภาวะทุพโภชนาการและความเสี่ยงอื่น ๆ
รวมทั้งป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
470 | ขอความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนในการร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 10th Meeting of the Advisory Committee | ทส. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนการร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
10th Meeting of the Advisory Committee โดยมอบหมายให้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full powers) ให้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความรับผิดชอบของประเทศเจ้าภาพและสำนักงานเลขาธิการ
CMS เช่น (๑) สำนักงานเลขาธิการ CMS จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดประชุม
(๒) ไทยในฐานะเจ้าภาพ จะอำนวยความสะดวกในการดำเนินการขอรับการตรวจลงตรา (visa)
สำหรับผู้เข้าร่วมประชุม และให้ความคุ้มครองและรับผิดชอบด้านเอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้เข้าร่วมประชุมตามอนุสัญญาว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของสหประชาชาติ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนในการร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
10th Meeting of the Advisory Committee ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าหากมีค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้น
ให้พิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรก
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
471 | ร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-ลาว เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ครั้งที่ 4 | มท. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-ลาว
เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (Joint Committee for Management on Mekong River and Heung
River : JCMH) ครั้งที่ ๔ และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกการประชุมฯ
โดยร่างบันทึกการประชุมฯ มีประเด็นที่สำคัญคือ
การปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนดมาตรฐานด้านเทคนิคการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง
และข้อกำหนดทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการดูดทรายตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ปัจจุบันยังคงพบปัญหาความไม่ชัดเจนของเขตแดนร่องน้ำลึกของแม่น้ำโขงระหว่างไทยและ
สปป.ลาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในแม่น้ำโขง เช่น
การเปลี่ยนแปลงของเกาะหรือดอนในแม่น้ำโขง การขยายตัวของชุมชนตามแนวชายแดน
การสร้างท่าเทียบเรือและตลิ่ง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางหรือกลไกในการบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างคณะกรรมการ/คณะกรรมาธิการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแม่น้ำโขงและพื้นที่เกี่ยวเนื่องร่วมกับ สปป.ลาว
และประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การกำหนดนโยบายและการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายไทยเป็นไปอย่างมีเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
472 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐเช็กว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคนิคทางทหาร | กห. | 19/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐเช็กว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคนิคทางทหาร
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อสนับสนุนความร่วมมือด้านเทคนิคทางทหารระหว่างกัน
โดยสอดคล้องกับศักยภาพของผู้เข้าร่วมแต่ละฝ่าย และหลักการของความเสมอภาค
ต่างตอบแทน
และผลประโยชน์ร่วมกันโดยไม่ก่อให้เกิดสิทธิและพันธะภายใต้กฎหมายภายในและระหว่างประเทศ
และจะถูกนำไปปฏิบัติโดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในและระเบียบของแต่ละประเทศ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐเช็กว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคนิคทางทหารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นว่าการจัดทำแผนปฏิบัติงานควรให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมและการฝึกเพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์รวมทั้งความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง
ๆ โดยควรมีการติดตามผลการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม
และในระยะต่อไปอาจพิจารณาความร่วมมือทางทหารและทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์
อากาศและอวกาศ ปัญญาประดิษฐ์ในบริบทความมั่นคง (Artificial Intelligence) ที่มีผลต่อการรบและการป้องกันประเทศรวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
473 | ร่างแผนการความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร (Thailand-UK Strategic Partnership Roadmap) | กต. | 19/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแผนการความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร
(Thailand-UK Strategic
Partnership Roadmap) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นผู้ลงนามในร่างแผนฯ โดยร่างแผนฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของทั้งสองประเทศในการประกาศยกระดับความสัมพันธ์ไทย-สหราชอาณาจักรสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างเป็นทางการ
เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนความร่วมมือในสาขาที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน
ซึ่งครอบคลุมมิติรอบด้าน เช่น เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน การเมือง ความมั่นคง
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงาน เศรษฐกิจสีเขียว เกษตรกรรม ความสัมพันธ์ระดับประชาชน
และการศึกษา รวมทั้ง วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม
อันจะเป็นกรอบแนวทางสำคัญสำหรับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานอื่น ๆ ของไทยในการดำเนินความร่วมมือกับสหราชอาณาจักรในอนาคต ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนการความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ประเด็นการเมือง รัฐสภา และพหุภาคี
ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมเสถียรภาพและสันติภาพในระดับภูมิภาคและประชาคมระหว่างประเทศท่ามกลางการแข่งขันและความขัดแย้งระหว่างประเทศในทางภูมิรัฐศาสตร์
ภูมิเศรษฐศาสตร์ และสนับสนุนการส่งเสริมการมีระบบพหุภาคี กรณีที่ต้องมีการปรับแก้ร่างแผนการฯ
เพื่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
โดยให้รวบรวมผลการปรับแก้ร่างแผนการดังกล่าวกับผลการปรับแก้เอกสารผลลัพธ์ความตกลงระหว่างประเทศของกรอบความร่วมมืออื่น
ๆ พร้อมทั้งผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน
ทั้งนี้
กระทรวงการต่างประเทศควรสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
474 | ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (พะเยา เชียงราย น่าน และแพร่) เมื่อวันพุธที่ 6 มีนาคม 2567 และวันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2567 | นร.11 สศช | 19/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน
๒ (พะเยา เชียงราย น่าน และแพร่) เมื่อวันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๗ และวันจันทร์ที่ ๑๘
มีนาคม ๒๕๖๗ ๑.๒
เห็นชอบในหลักการโครงการของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด จำนวน ๙ โครงการ กรอบวงเงิน
๑๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
โดยให้กลุ่มจังหวัดและจังหวัดขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของวงเงินโครงการ สำหรับโครงการเชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ
(Chiang Rai Wellness City) วงเงิน
๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองเก่าแพร่ วงเงิน
๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับไปหารือกับสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติม
และนำเสนอในการประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในโอกาสแรก
รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำโครงการมาบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไป ๑.๓ เห็นชอบในหลักการของโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน
(กรอ.กลุ่มจังหวัด) จำนวน ๔ โครงการ กรอบวงเงิน ๑๔๕,๘๘๐,๐๐๐ บาท
โดยให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการ
โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ
สำหรับ ๔ โครงการที่อยู่ในคำขอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ได้แก่
(๑) โครงการปรับปรุงซ่อมแซมผิวถนน สาย บ้านฝั่งหมิ่น บ้านนาก้า อำเภอเวียงสา
จังหวัดน่าน วงเงิน ๙,๘๕๘,๐๐๐ บาท (๒) โครงการปรับปรุงซ่อมแซมผิวถนน สาย บ้านเด่น
บ้านห้วยลี่ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน วงเงิน ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท (๓)
โครงการปรับปรุงซ่อมแซมถนน สาย บ้านนาก้อ-บ้านสบกอน ๒ อำเภอปัว อำเภอเชียงแสน
จังหวัดน่าน วงเงิน ๙,๙๐๒,๐๐๐ บาท และ (๔) โครงการปรับปรุงซ่อมแซมถนน สาย บ้านตอน
บ้านป่าต้าง อำเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน วงเงิน ๖,๑๑๒,๐๐๐ บาท วงเงินรวม ๓๔,๘๗๒,๐๐๐
บาท ขอให้พิจารณาเป็นโครงการที่มีลำดับความสำคัญสูง รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำโครงการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไป ๑.๔ มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน
(กรอ.กลุ่มจังหวัด) ในส่วนที่เหลือจำนวน ๗๔ โครงการ
เพื่อบรรจุไว้ในแผนการปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๑.๕
มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน
(กรอ.กลุ่มจังหวัด) ในส่วนที่เหลือจำนวน ๗๔ โครงการ
เพื่อบรรจุไว้ในแผนการปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๑.๕
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอ โดยขอให้เร่งรัดผลักดันโครงการที่สำคัญเพื่อยกระดับกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน
๒ (พะเยา เชียงราย แพร่ และน่าน) ให้เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง
ส่งเสริมการค้า
การลงทุนเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่
ประกอบด้วย (๑) ด้านการค้า การลงทุน เศรษฐกิจชายแดน จำนวน ๒ เรื่อง (๒)
ด้านคุณภาพชีวิต จำนวน ๒ เรื่อง และ (๓) ด้านอื่น ๆ จำนวน ๒ เรื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๑.๖
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามข้อ ๑.๒-๑.๕
และรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒.
ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) เร่งประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช)
เกี่ยวกับการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำ
เพื่อให้สามารถปรับปรุงและขยายสายทางตั้งแต่บริเวณสามแยกอนามัยถึงแนวเขตพรมแดนไทย
เป็นขนาด ๔ ช่องทางจราจร ระยะทาง ๒ กิโลเมตร
เพื่อรองรับการเชื่อมโยงระหว่างจุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา
และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
475 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 14 ตอน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพิ่มเติม โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 10 ตอน ของกรมทางหลวง | คค. | 19/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมทางหลวงเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน ๑๔
ตอน วงเงินรวม ๑,๗๔๐,๙๘๘,๒๐๔ บาท ตามปริมาณงานและวงเงินค่างานจริง
ซึ่งไม่เกินกรอบวงเงินที่สำนักงบประมาณได้พิจารณาให้ความเห็นชอบไว้แล้ว
เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๕ และอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
จำนวน ๑๐ ตอน ตามนัย ข้อ ๗ (๓) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยการดำเนินการจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุและกรมบัญชีกลาง ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
รวมทั้งข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น เมื่อกรมทางหลวงได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณแล้ว
กรมทางหลวงจะต้องดำเนินการแก้ไขสัญญาให้เป็นไปตามหลักการของระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓๖ ให้ถูกต้อง ให้กรมทางหลวงพิจารณาถอดบทเรียนจากกรณีความล่าช้าของการก่อสร้างโครงการฯ
โดยเฉพาะความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารจัดการโครงการ พร้อมทั้งติดตามและตรวจสอบผลการดำเนินโครงการว่าสอดคล้องกับผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการที่บริษัทที่ปรึกษาศึกษาไว้หรือไม่
โดยในกรณีที่พบว่าผลการดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ
อันเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของบริษัทที่ปรึกษา ให้กรมทางหลวงรายงานผลการประเมินดังกล่าวให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
เพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมกับบริษัทดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
476 | ขออนุมัติและขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน (ภาคใต้) | พม. | 12/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน
(ภาคใต้) โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ๑๔ จังหวัด ๑๕๑ อำเภอในภาคใต้
ผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลในชุมชนจำนวน ๑,๖๑๙,๕๒๙ คน วงเงินงบประมาณ ๑๖๓,๒๓๑,๐๐๐ บาท รวมทั้งขอให้พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พศ. ๒๕๖๑
และมอบหมายรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับแผนงานบูรณาการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย
และหน่วยงานเจ้าภาพแผนงานบูรณาการดังกล่าวพิจารณาภาพรวมในการส่งเสริม
สนับสนุนบริบาล และคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน รวมทั้งพิจารณาอัตราค่าใช้จ่าย
กรอบระยะเวลาดำเนินโครงการ ตลอดจนพิจารณาขั้นตอน วิธีการ กลุ่มเป้าหมาย
โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นเท่าที่จำเป็นและเหมาะสม
สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศต่อไป ทั้งนี้
ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
กรมกิจการผู้สูงอายุได้รับการเสนอตั้งงบประมาณโครงการดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๘,๘๕๐,๐๐๐ บาท ในลักษณะโครงการนำร่อง
จึงควรให้มีการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงาน
หากมีความจำเป็นต้องดำเนินการในระยะต่อไป
ก็ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้แผนงานบูรณาการดังกล่าว
ตามภารกิจ ความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานดำเนินการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ควรพิจารณาบูรณาการความร่วมมือและการใช้จ่ายงบประมาณกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมสนับสนุนการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุซึ่งจะเกิดประโยชน์ให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
และจะทำให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ควรพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๖ ที่ให้มีการพิจารณาภาพรวมในการส่งเสริม
สนับสนุนบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน
โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ที่ได้มีการเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ในการดำเนินการด้วยแล้ว
เพื่อยกระดับการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
477 | มาตรการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | ปปท. | 12/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ (เรื่อง มาตรการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตแบบบูรณาการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
478 | การเสนอร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารเพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล | นร. | 12/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
ขอให้รัฐมนตรีทุกท่านเร่งรัดให้ส่วนราชการในความรับผิดชอบดำเนินการเสนอร่างกฎหมายต่าง
ๆ เพื่อให้มีกฎหมายใหม่หรือเป็นการแก้ไข ปรับปรุง
หรือยกเลิกกฎหมายเดิมให้เหมาะสมและเป็นปัจจุบัน และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ทั้งนี้
ให้ตรวจสอบและพิจารณาความจำเป็นของร่างกฎหมายซึ่งเสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งและบรรจุในระเบียบวาระของสภาผู้แทนราษฎรด้วย
หากพิจารณาแล้วเห็นว่าร่างกฎหมายใดมีความจำเป็นต้องตราขึ้นขอให้เร่งรัดเสนอร่างกฎหมายเรื่องนั้นต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนเพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้พิจารณาและส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาและเสนอสภาผู้แทนราษฎรเป็นร่างกฎหมายฉบับของคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในคราวเดียวกันด้วย
แต่หากพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายดังกล่าวก็ขอให้แจ้งประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรทราบโดยเร็วต่อไปด้วย
ดังนั้น
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการเสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
จึงขอกำชับให้รัฐมนตรียึดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
479 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2566 | นร.11 สศช | 12/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ เห็นชอบ
และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
กรณีโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙)
สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ โดส (AstraZeneca) ปี พ.ศ. ๒๕๖๕
โดยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการวัคซีน AstraZeneca ที่ยังไม่ได้รับการส่งมอบจำนวน
๑๙.๐๗๔๔ ล้านโดส เป็นการจัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปหรือแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาว (Long-acting
antibody : LAAB) รุ่นใหม่ จำนวน ๓๖,๐๐๐ โดส
ส่งผลให้กรอบวงเงินโครงการฯ ลดลงจาก๑๘,๓๘๒.๕๖๔๓ ล้านบาท เป็น
๑๓,๖๓๔.๘๗๑๒ ล้านบาท หรือลดลงจำนวน ๔,๗๔๗.๕๙๓๑
ล้านบาท (๒) มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขกำกับให้กรมควบคุมโรค เร่งประสานกับบริษัท AstraZenecaฯ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียน
เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้ภายในเดือนมีนาคม
๒๕๖๗ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ LAAB ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(๓) อนุมัติให้จังหวัดกระบี่
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการปรับภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยวหาดอ่าวนางและหาดนพรัตน์ธารา
ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ วงเงิน ๕.๔๐๐๐ ล้านบาท จากเดิมสิ้นสุดเดือนธันวาคม
๒๕๖๕ เป็นเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ โดยขอแก้ไขข้อเสนอเกี่ยวกับระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการดังกล่าว
จากเดิม “สิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๖” เป็น “สิ้นสุดเดือนเมษายน ๒๕๖๗” (๔) มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
เร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบ eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโดยเร็ว
และ (๕) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๙ (๑ สิงหาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖)
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และที่เสนอเพิ่มเติม ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิดและกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ.
๒๕๖๔ ข้อ ๒๑ และ ๒๒ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน
๓ เดือน นับจากวันที่สิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม
๒๕๖๖ เพื่อให้การบริหารจัดการ เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
และกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
480 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... | มท. | 12/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลหนองวัวซอ และตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินการคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายและมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนหนองวัวซอให้เป็นชุมชนเกษตรกรรม
การค้า การบริการทางสังคม ส่งเสริมและพัฒนาที่อยู่อาศัย และพาณิชยกรรมให้สอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชน
อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ศาสนสถานที่มีคุณค่าทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม และประวัติศาสตร์
รวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|