ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 105 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 2081 - 2100 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2081 | ขอสิทธิกำลังพลให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติงานในกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุข จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 30/08/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6.2 (เดิม)
(ฝ่ายกฎหมาย ระบบราชการ และประชาสัมพันธ์) ที่มีมติเห็นควรให้ส่งเรื่องการขอสิทธิกำลังพลให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติ งานกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชาย แดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) เสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่อง จากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับไปพิจารณาในภาพรวมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ. และกระทรวงมหาดไทย อาทิเช่น ความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่า การสร้างขวัญกำลังใจและการให้ราง วัลตอบแทนแก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องสำคัญและมีความจำเป็นในสถานการณ์ ปัจจุบัน แต่โดยที่การพิจารณาให้ได้รับสิทธิประโยชน์ ตามที่ กอ.สสส.จชต. เสนอ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลาย หน่วยงาน และจะต้องพิจารณาในบริบทที่แตกต่างกันดังนี้ การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ให้สำนัก เลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของระเบียบว่าด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่เกี่ยวข้อง การบรรจุ ทายาทเข้ารับราชการ เนื่องจากเรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการเยียว ยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงควรนำผลการพิจารณา ของคณะกรรมการชุดนี้มาประกอบการพิจารณา การเข้าศึกษา/อบรมในหลักสูตรต่าง ๆ ควรสนับสนุนให้ผู้ที่ ปฏิบัติงานในพื้นที่ดังกล่าวสมัครเข้ารับการอบรมในหลักสูตรนักบริหารระดับสูง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ สำนักงาน ก.พ. ได้ และการปรับย้ายและการเลื่อนตำแหน่ง เป็นดุลยพินิจและอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการ ที่จะพิจารณาดำเนินการ ซึ่งในกรณีการพิจารณาให้ได้รับความก้าวหน้าในตำแหน่งซึ่งอยู่ในพื้นที่เห็นควรสนับ สนุนให้ข้าราชการที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ และมีคุณสมบัติครบให้ดำรงตำแหน่งเป็นอันดับแรก สำหรับการเลื่อน ตำแหน่ง ก.พ. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือข้าราชการและลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชาย แดนภาคใต้ให้นับระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลาทวีคูณ เพื่อเอื้อประโยชน์ในการนับรวมเป็น ระยะเวลาขั้นต่ำที่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2082 | ให้ชะลอการจ่ายเงินชดเชย (กรณีโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) | นร | 23/08/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยเห็นว่า ตาม
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2548 อนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง วงเงิน 719,792,622.75 บาท เพื่อเป็นค่าทดแทนเพิ่มเติมให้แก่ราษฎรกรณีโครงการ พัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นั้น โดยที่ได้มีข้อวิพากษ์วิจารณ์และท้วงติง ประกอบกับเรื่อง นี้ได้มีการทบทวนเปลี่ยนแปลงผลการพิจารณาหลายครั้ง นอกจากนี้ ยังมีข้อร้องเรียนกล่าวหาว่ามีผู้เรียกรับ ผลประโยชน์จากการที่จะจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวในปี พ.ศ. 2542 จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชะลอการ ดำเนินการจ่ายเงินชดเชย ฯ ไว้ก่อน และให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดให้เกิดความรอบคอบ โปร่งใส และ เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ตั้งคณะกรรมการสอบกรณีมีผู้ร้องเรียนว่ามีผู้เรียกรับผลประโยชน์ ด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2083 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการค่าใช่จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (23,400 ล้านบาท) | นร | 02/08/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานคณะกรรมการพิจารณาค่าใช้จ่าย
เพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (59,000 ล้านบาท) เสนอ ดังนี้ รับทราบโครงการที่เสนอขอใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการค่าใช้ จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ รวม 2 โครงการ วงเงินทั้งสิ้น 43,936,600 บาท ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพ การแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ประกอบด้วย โครงการบูรณะและปรับปรุงทางหลวงเพื่อรอง รับนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี และโครงการวางผังเมืองและผังเฉพาะชุมชนชายแดน และอนุมัติโครงการที่สมควรเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง ราย การค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ รวม 3 โครงการ วงเงินทั้งสิ้น 431,400,000 บาท ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริม สร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ประกอบด้วย โครงการจัดหาน้ำให้นิคมอุตสา หกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี โครงการปรับปรุงทัศนียภาพบึงทุ่งสร้าง จังหวัดขอนแก่น และโครง การก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมเทศบาลเมืองแม่สอด ระยะที่ 1 จังหวัดตาก ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินโครง การเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาล ให้หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายการดัง กล่าวกันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี จนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2548 เรื่อง การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ (รายจ่ายลงทุน) ประจำปี พ.ศ. 2548 และการเตรียมการสำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2549 และให้รัฐมนตรีผู้กำกับ ดูแล ติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติวงเงินดังกล่าวด้วย สำหรับโครงการบูรณะและปรับ ปรุงทางหลวงเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี และโครงการจัดหาน้ำให้นิคม อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี ซึ่งยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเจ้าสังกัด แต่เนื่องจาก เป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วน ให้อนุมัติเป็นกรณีพิเศษและให้ส่วนราชการขอทำความตกลงกับสำนักงบประ มาณตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2084 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การแก้ไขปัญหาการจัดการที่ดินทำกินของเกษตรกร" | นร | 19/07/2548 | |||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของสำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ
ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดที่ดินทำกินของเกษตรกร และรับ ทราบความเห็นผลการพิจารณาของศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติที่เห็นชอบต่อความ เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับมาตรการในการพัฒนาและการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน การจัดระบบการถือครองที่ดินให้เกิดความเป็นธรรม โดยการตรากฎหมายกำหนดสิทธิการถือครองที่ดิน สำหรับบุคคลทั่วไปและนิติบุคคล รวมทั้งการจัดตั้งธนาคารที่ดิน และการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ไปดำเนินการ และรายงานผล ให้ศูนย์อำนวยการ ฯ ทราบทุก 3 เดือน และให้ศูนย์อำนวยการ ฯ รายงานสภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ด้วย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 7 ธันวาคม 2547 |
||||||||||||||||||||||||
2085 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองศูนย์กลางการบินสุวรรณภูมิ | นร | 19/07/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองศูนย์กลางการบินสุวรรณภูมิ และตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสภาที่ ปรึกษา ฯ ดังนี้ ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 : การพัฒนาให้เมืองศูนย์กลางการบินสุวรรณภูมิเป็นเมืองน่าอยู่ กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าว ส่วนประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 : การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ดำเนินการแล้ว อยู่ระหว่างทำการ ศึกษาโครงการ ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3 : การบริหารจัดการที่ดีมีประสิทธิภาพ อยู่ระหว่างดำเนินโครง การศึกษาแผน ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประเด็นยุทธ ศาสตร์ที่ 4 : การใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานกรุงเทพ (สนามบินดอนเมือง) อย่างเต็มที่ กระทรวงคมนา คมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นควรมีการใช้ประโยชน์ให้มีความคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของ ประเทศ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้ สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็น ระบบ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2086 | การพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2548 | รง | 19/07/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้าง
ขั้นต่ำ ปี พ.ศ. 2548 ของคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 16 ซึ่งได้มีการพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี พ.ศ. 2548 ที่ได้มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548 โดยนำข้อมูลตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดใน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาพิจารณา และความเห็นของผู้แทนนายจ้าง ลูกจ้าง และ หน่วยงานภาครัฐ และได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับปรุงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี พ.ศ. 2548 ใหม่ โดยให้มีผลใช้ บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2548 ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 5) ลงวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548
|
||||||||||||||||||||||||
2087 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การขอยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีผู้มีรายได้ได้รับสวัสดิการ | นร | 12/07/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การขอยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีผู้มีรายได้ ได้รับสวัสดิการ โดยมีข้อเสนอแนะว่า รัฐบาลควรยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้สำหรับสวัสดิการที่นายจ้างจัด ให้ลูกจ้าง โดยไม่ต้องนำรายได้จากสวัสดิการอื่น อาทิเช่น เงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรของลูกจ้าง การจัดรถ รับส่งลูกจ้าง บำเหน็จ บำนาญ เงินสะสม และเงินชดเชยที่จ่ายครั้งเดียวเมื่อออกจากงาน เบี้ยประกันชีวิต และ เบี้ยประกันสุขภาพลูกจ้าง และการจัดการศึกษาและฝึกอบรมในโรงงาน เป็นต้น มาประเมินเป็นรายได้ในการ เสียภาษี รวมทั้งรัฐบาลควรเร่งออกกฎหมายว่าด้วยสวัสดิการลูกจ้างโดยเร็ว เพื่อส่งเสริมให้นายจ้างจัดสวัสดิ การแก่ลูกจ้างเพิ่มขึ้น และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการคลัง ดังนี้ กรณีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้ตามข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เนื่องจากสวัสดิการที่นาย จ้างจัดให้แก่ลูกจ้างในแต่ละสถานประกอบการมีความไม่เท่าเทียมกัน หากกำหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาจะก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบและไม่เป็นธรรมในการเสียภาษีของลูกจ้าง ประกอบกับ กระทรวงการคลังได้มีการบรรเทาภาระภาษีเงินได้ให้แก่ผู้มีเงินได้ หรือลูกจ้าง โดยสามารถนำค่าลดหย่อน ประเภทต่าง ๆ มาหักในการคำนวณภาษีเงินได้ และยังได้กำหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้สุทธิเพิ่มขึ้นจาก 80,000 บาทแรก เป็น 100,000 บาทแรก ซึ่งทำให้ผู้มีเงินได้มีภาระภาษีลด ลงอีกเป็นจำนวนคนละ 1,000 บาทต่อปี หากลูกจ้างซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย และมีรายได้ไม่เกินเดือน ละ 15,833 บาท จะไม่มีภาระในการเสียภาษีแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่ให้มีการออกกฎหมายว่าด้วยสวัสดิการ ลูกจ้างเพื่อส่งเสริมให้นายจ้างจัดสวัสดิการแก่ลูกจ้างเพิ่มขึ้น นั้น ตามข้อกฎหมายปัจจุบันได้มีการให้สิทธิ ประโยชน์เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานไว้ในระดับหนึ่งที่เหมาะสมแล้ว หากให้มีการยกเว้นเงินได้จากสวัสดิการ ตามข้อเสนอ นอกจากจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการเสียภาษีระหว่างลูกจ้างแล้ว ยังไม่เป็นตามวัตถุ ประสงค์หลักในการเก็บภาษีของรัฐ เพื่อการกระจายรายได้อีกด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2088 | ความเห็นผลการพิจารณาและผลการดำเนินงานต่อความเห็นและข้อเสนอของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง รูปแบบและปัจจัยในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนด้วยศักยภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน | สสป | 28/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง รูปแบบและปัจจัยในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนด้วยศักย ภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีข้อเสนอแนะโดยสังเขปดังนี้ ด้านการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์และจิตสำนึกของชุมชนควรมีองค์ความรู้และความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ที่เอื้อต่อการเป็นประชา สังคม เพื่อเป็นพื้นฐานให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น และมีเป้าหมายให้ชุมชนสามารถแก้ไขปัญหาด้วยตนเองได้ คือ ต้องสร้างขึ้นจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ในส่วนของรัฐ ต้องดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง โดยส่งเสริมความปลอดภัยในชุมชนทั้งชีวิตและทรัพย์สิน การประกอบอาชีพ รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณใน ด้านสาธารณูปโภค และด้านสาธารณสุขเพื่อนำไปใช้พัฒนาชุมชนให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพของชุมชนให้เข้มแข็ง โดยในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ควรใช้กระบวนการเครือข่ายองค์ กรชุมชน และก่อให้เกิดการขับเคลื่อนเครือข่ายการวิจัยเชิงพื้นที่ มีการจัดการและพัฒนาทีมวิจัยของชุมชน โดย พัฒนาศักยภาพของทีมที่ก่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ข้ามศาสตร์เพื่อสร้างสมรรถนะขององค์กรและมีความเข้มแข็ง เกิดขึ้นในชุมชน ตลอดจนส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างหลากหลาย โดยให้เกิดจาก ความสมัครใจ เพื่อมีอิทธิพลในการเลือกสรรนโยบายสาธารณะและการบริหารนโยบายของรัฐ และควรมีข้อมูล พื้นฐานของชุมชนในทุก ๆ ด้าน เพื่อทราบถึงปัญหาของชุมชน เข้าใจความเชื่อมโยงภายในสังคมของตนเอง และกระตุ้นให้เกิดการร่วมคิดแก้ปัญหาของชุมชน เป็นต้น และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการ ดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยให้รับผิดชอบประสานการติดตามผล การดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2089 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขโรคไข้หวัดนกในอนาคต | สสป | 28/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขโรคไข้หวัดนกในอนาคต โดยสภาที่ ปรึกษา ฯ มีข้อเสนอแนะโดยสังเขปดังนี้ ระบบการปศุสัตว์ ควรส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ จากพ่อแม่พันธุ์ที่มีการจัดการแบบอินทรีย์ สนับสนุนให้มีการผลิตด้วยระบบปศุสัตว์อินทรีย์ และให้มีการจัด การฟาร์ม หรือโรงเรียนที่ถูกสุขลักษณะ ระบบการควบคุมและป้องกัน ควรส่งเสริมการจัดระบบการเข้าออก ของคนและสัตว์ที่ปลอดภัยจากความเสี่ยงของการเป็นพาหะนำโรค และใช้สมุนไพรในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค แทนวัคซีน เช่น หางไหล ฟ้าทะลายโจร เป็นต้น ด้านการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบทางราชการ ควร มีนโยบายส่งเสริมให้มีการวางมาตรฐานฟาร์มและให้การรับรองมาตรฐานการผลิตแบบปศุสัตว์อินทรีย์ และ วางข้อกำหนดหรือข้อบัญญัติ เกี่ยวกับการปฏิบัติ การผลิตแบบปศุสัตว์อินทรีย์ โดยผ่านการมีส่วนร่วมของ ชุมชน ด้านการบริหารจัดการ การงบประมาณและบุคลากร ควรมีแผนพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถ ของบุคลากรระดับปฏิบัติการ โดยดำเนินการควบคู่กับการปรับปรุงประสิทธิภาพของงบดำเนินการในพื้นที่ ให้ครอบคลุมเพียงพอและควรมีแผนระยะยาวในการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการตรวจผลและวินิจฉัยในระดับจังหวัด ทุกจังหวัด และด้านการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารและการประชาสัมพันธ์ ควรมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารการ แพร่ระบาดของไข้หวัดนกและความรุนแรงอย่างตรงไปตรงมา รวมทั้งส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก เพื่อการประชาสัมพันธ์ และการให้ข้อมูลข่าวสารในเชิงรุกแก่เกษตรกร และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้กระทรวง สาธารณสุขรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็น ระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2090 | คดีพิพาทในศาลปกครองกลางเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | ศธ | 28/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอผลการพิจารณากรณีคดีพิพาทในศาล
ปกครองกลางเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองกลางได้มี คำพิพากษา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2548 ให้เพิกถอนประกาศคณะกรรมการข้าราชการครู เรื่อง รับสมัคร ข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรม การการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 8 มีนาคม 2547 และประกาศคณะกรรมการข้าราชการครู เรื่อง รับสมัคร ข้าราชการ เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 8 มีนาคม 2547 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีประกาศดังกล่าว ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ปรึกษากับอัยการเจ้าของคดีผู้ได้รับมอบหมาย และที่ปรึกษากฎหมายหลายท่าน โดยเห็นตรงกันว่า ต้องอุทธรณ์เรื่องนี้ตามกฎหมายภายใน 30 วัน เนื่องจากประกาศที่ถูกเพิกถอนนั้น เป็น ระกาศที่ได้ออกตามกฎ ก.ค. ฉบับที่ 25 (พ.ศ. 2547) รวมทั้งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว จึงเห็นชอบด้วยกฎหมายและเนื่องจากคำพิพากษาของศาลปกครอง กลางที่พิพากษาให้เพิกถอนประกาศ โดยให้มีผลย้อนหลังไปจนถึงวันออกประกาศนั้น ไม่สอดคล้องกับความ เห็นของตุลาการผู้แถลงคดีนี้ที่มีความเห็นว่า คำพิพากษาควรมีผลนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด โดยไม่ให้มีผลย้อน หลังประกอบกับตามมาตรา 70 วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 กำหนดว่า ในกรณีที่เป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้รอการปฏิบัติตามคำบังคับไว้จนกว่าจะ พ้นระยะเวลาการอุทธรณ์ หรือในกรณีที่มีการอุทธรณ์ให้รอการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และมอบให้ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้คำแนะนำในปัญหาข้อกฎหมาย แก่กระทรวงศึกษาธิการ ตามที่เห็นสมควร
|
||||||||||||||||||||||||
2091 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "การศึกษาปัญหาการเสนอราคาแบบแยกซองข้อเสนอในการสั่งซื้อสั่งจ้างกับภาครัฐตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม" | นร | 21/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับ "การศึกษาปัญหาการเสนอราคาแบบแยกซองข้อเสนอในการสั่ง ซื้อสั่งจ้างกับภาครัฐ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม" โดยมี ความเห็นและข้อเสนอแนะโดยสังเขปดังนี้ ควรแก้ไขระเบียบพัสดุให้มีความชัดเจนไม่คลุมเครือและเป็นธรรมต่อ ทุกฝ่าย กำหนดวิธีปฏิบัติในขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจน และกำหนดบรรทัดฐานร่วมกันให้เป็นความเห็น เดียวกันทางสังคม นอกจากนี้ รัฐต้องไม่ดำเนินการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) ภายใต้โครงสร้าง หลัก เกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเดิมอีกต่อไป ในกรณีที่มีความจำเป็นที่สุดที่จะต้องใช้การจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ ให้ กำหนดนโยบายให้ชัดเจนว่า จะมีการใช้วิธีการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จได้เฉพาะกรณีใดภายใต้โครงสร้าง หลัก เกณฑ์ วิธีการใด ด้วยเหตุผลใด และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนที่เหมาะสมตลอดกระบวนการอย่าง ไร กำหนดให้มีกฎระเบียบที่ใช้เฉพาะการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ รวมทั้งกลไกการบริหารโครงการที่มีประสิทธิ ภาพ โดยมีกระบวนการร่างที่โปร่งใสและเปิดรับฟังความคิดเห็น และมีนโยบายเร่งรัดให้หน่วยราชการที่เกี่ยว ข้องให้ความสำคัญ ได้แก่ การกำหนดขอบเขตการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโครงการลงทุน ต่างๆ กระบวนการคัดเลือกผู้รับเหมาและบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาให้ดำเนินการอย่างโปร่งใสเป็นธรรม กระบวน การพิจารณาจัดทำสัญญาจะต้องดำเนินการโดยความสุขุมรอบคอบรอบด้านอย่างรู้เท่าทัน การบริหารสัญญา จะต้องมีการพัฒนาศักยภาพและทักษะของบุคลากรที่รับผิดชอบให้สามารถบริหารโครงการได้อย่างมีประสิทธิ ภาพ และการประเมินผลและการบริหารโครงการต่อเนื่องหลังจากการก่อสร้างเสร็จสิ้นลง และรับทราบความ เห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงการคลัง โดยให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบประสาน การติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะ รัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2092 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน | สสป | 21/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยสภาที่ปรึกษา ฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะว่า การจะพัฒนาการเกษตรไปสู่ความยั่งยืนและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตร กร ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้ระบบทุนนิยมในยุคโลกาภิวัฒน์ จะต้องใช้ยุทธศาสตร์ การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนที่ส่งเสริมระบบการเกษตรแบบใหม่ เช่น เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ วนเกษตร และระบบการผลิตที่เน้นเรื่องความสมดุลของระบบนิเวศน์ โดยอาศัยหลักการพึ่งตนเอง และการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า โดยยึดหลัก 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเป็นศูนย์กลางการ ผลิตทางการเกษตรในรูปแบบเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างเสถียรภาพความเข้มแข็งให้ แก่ประเทศ เพื่อนำพาเกษตรกรไปสู่เป้าหมายยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเจริญเติบโตให้กับการ ทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน และยุทธศาสตร์ที่ 4 การเพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรในการพึ่งพาตนเอง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับการเกษตรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ รัฐต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการพัฒนา การเกษตรอย่างยั่งยืน โดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณสนับสนุนในการพัฒนา และส่งเสริมการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนต่อเนื่องและเพียงพอ และจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิด และมีหน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบในการ บริหารจัดการอย่างบูรณาการ รวมทั้งต้องเร่งเตรียมความพร้อมด้านบุคลกากร และองค์ความรู้ในการดำเนิน งานและรับทราบความเห็นผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้รับ ประเด็นเรื่อง การผลักดันยุทธศาสตร์การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ ไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2093 | รายงานภาพรวมสถานภาพของการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | นร | 21/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ "แนวทางการดำเนินการตามมาตรการเร่ง
รัดการใช้จ่ายงบประมาณ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2548 (เรื่อง รายงานภาพรวมสถาน ภาพของการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548)" และให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจไม่สามารถทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 (วันที่ 30 มิถุนายน 2548) ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจปรับเปลี่ยนแผน การดำเนินงานและโอน และ/หรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ ทั้งที่ได้รับและยังไม่ได้รับการจัดสรรไป ใช้จ่ายสำหรับรายการ/โครงการ ตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลที่สามารถดำเนินการได้เร็วกว่าแผนที่ กำหนดโดยดำเนินการได้เองในอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจตามระเบียบว่าด้วยการบริหาร งบประมาณ พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณแล้วแต่กรณี สำหรับ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจไม่มีรายการ/โครงการที่จะดำเนินการ ให้ดำเนินการโอน และ/หรือเปลี่ยน แปลงรายการงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปใช้จ่ายสำหรับรายการต่าง ๆ ได้แก่ รายการเงิน ชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง (ค่า K) ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระ และค่าใช้จ่ายในการปรับเพิ่มเงินเดือนและค่า ตอบแทนบุคลากรภาครัฐที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ แต่ไม่เพียงพอในการใช้จ่าย ส่วนกรณีที่ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจไม่มีรายการ/โครงการตามที่กล่าวมานั้น แต่มีความประสงค์ที่จะดำเนินงานสำหรับงานหรือ โครงการใหม่ นอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ตามรายการในเอกสารประกอบพระราชบัญญัติงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ที่สามารถสนองต่อเป้าหมายการให้บริการของหน่วยงาน และ/หรือ ยุทธศาสตร์กระทรวงตาม นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และมีความพร้อมที่จะดำเนินงานได้ทันที ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเสนอขอ อนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามนัยมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่ม เติม แล้วแจ้งผลการพิจารณาต่อสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณต่อไป และให้สำนัก งบประมาณประสานงาน เพื่อเร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2548 ทั้งนี้ หากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจไม่สามารถดำเนินการตามนัยที่กล่าวข้างต้นได้ให้ รายงานรองนายกรัฐมนตรี และ/หรือ รัฐมนตรีทราบ และรายงานคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2548 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2548
|
||||||||||||||||||||||||
2094 | โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ (Mega Projects) (Agenda based) | กค | 14/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ รับทราบแผนการลงทุนและแนวทางการระดม
ทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ในช่วงปี พ.ศ. 2548-2552 ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการ พิจารณากลั่นกรองโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ และเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการจัด สรรงบประมาณ การระดมทุนและแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ สำหรับสาขาการ ศึกษาในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนางานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้นำข้อสรุปจากคณะกรรมการ นโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เป็นประธาน มาประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณ ในช่วงปี พ.ศ. 2549-2552 ด้วย และรับทราบกรอบการ จัดสรรงบประมาณ เพื่อการลงทุนสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐในสาขาต่าง ๆ สำหรับปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2549 วงเงินรวม 94,600.77 ล้านบาท และมอบให้คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครง การลงทุน ฯ กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงาน รวมทั้งให้ปรับปรุงแผน งานการลงทุนโครงการตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยให้อยู่ในกรอบวงเงินที่เสนอ และรายงานให้คณะ รัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ รับทราบแผนการลงทุน กรอบระยะเวลาดำเนินงาน และกลยุทธ์ใน การระดมทุนสำหรับโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ (mass transit) ในช่วงปี พ.ศ. 2548-2552 และมอบ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดตั้ง Holding Company เพื่อ ลงทุนและบริหารระบบรถไฟฟ้า ให้เป็นแบบ Single Operator/Joint Owner ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ กระทรวงการคลังรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรมที่มีความเห็นเพิ่มเติม ในส่วนของข้อ 2 การแบ่งสาขาการลงทุนซึ่งสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เป็น 7 สาขา โดยเฉพาะในสาขาที่ 7 ซึ่งเป็นสาขาอื่น ๆ ซึ่งรวมการพัฒนาระบบพลังงาน การสื่อสาร และ อุตสาหกรรม นั้น อาจจะครอบคลุมหลายหัวข้อมากเกินไป ควรแยกเป็นหมวดย่อย ๆ เพื่อสะดวกแก่การ บริหารและวางแผนงาน และในส่วนของผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัด ข้อ 5.3 ที่คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัด จะขาดดุลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.6 ต่อ GDP เห็นด้วยกับการควบคุม Import Content ให้อยู่ในกรอบไม่เกิน ร้อยละ 30 โดยการควบคุมดังกล่าว ควรจะมีการกำกับอย่างเข้มงวดและใช้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามใน เรื่องนี้อย่างเต็มที่ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีความเห็น เกี่ยวกับโครงการทางด้านคมนาคม Mass Transit จะมีการเบิกจ่ายเพื่อการก่อสร้างได้อย่างเร็วที่สุดในช่วง ปลายปี พ.ศ. 2549 โดยควรเร่งรัดโครงการที่สามารถดำเนินการได้เร็ว เช่น โครงการที่อยู่อาศัย ฝายกั้น น้ำและฝายยางเพื่อการกักเก็บน้ำตามลำน้ำ ซึ่งมีการจ้างงานและใช้วัตถุดิบในประเทศสูง รวมถึงโครงการ ทางด้านการศึกษาระบบอินเทอร์เน็ต และโครงการด้านการขนส่งทางรางรถไฟเพื่อประหยัดพลังงานแทน การขนส่งทางถนน สำหรับแนวทางการพิจารณาและอนุมัติโครงการที่ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงาน เจ้าของโครงการเสนอขออนุมัติโครงการจากคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะ รัฐมนตรี ตามลำดับนั้น เนื่องจากขณะนี้ สศช. อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างและบทบาทภารกิจซึ่งในระยะ ต่อไป เมื่อมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว กระทรวงและหน่วยงานเจ้าสังกัดต้องดำเนินการศึกษาความ เหมาะสมของการลงทุน โดย สศช. จะทำการวิเคราะห์ในภาพรวมของการลงทุนและตรวจสอบโครงการเพื่อ เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2095 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์การป้องกันภัยพิบัติและอุบัติภัย" | สสป | 14/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับเรื่อง "ยุทธศาสตร์การป้องกันภัยพิบัติและอุบัติภัย" และรับทราบตามที่คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ (กปอ.) เสนอความเห็นผลการพิจารณา และผล การดำเนินการของสำนักงาน กปอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นสำคัญดังนี้ กำหนดให้วันที่ 26 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนในชาติได้ตระหนัก ถึงความสูญเสียจากภัยพิบัติทั้งภัยที่เกิดจากธรรมชาติและภัยที่มนุษย์ก่อให้เกิดขึ้น และจัดให้มีกองพันช่วย ฉุกเฉิน (Rescue Force) เคลื่อนที่เร็ว เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที สำหรับ การเตรียมความพร้อมในการรับภัยพิบัติขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภัยพิบัติจากเขื่อนขนาดใหญ่และคลัง น้ำมัน รวมทั้งการจัดทำและฝึกซ้อมแผนอพยพประชาชนในพื้นที่โดยให้กระทรวงมหาดไทยรับเป็นเจ้าภาพ ประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการซ่อมแซม/ปรับปรุง ถนนทางหลวงทั้งสายหลักและสายรองที่เป็นเส้นทางสำคัญและมีการใช้งานในปริมาณมาก นอกจากนี้ ให้ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาด ไทย ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ที่ได้กำหนดไว้ (5E และ 3ม 2ข 1ร) โดยเน้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ รถจักรยานยนต์เป็นกรณีพิเศษ เป็นต้น โดยให้สำนักงาน กปอ. รับผิดชอบประสานการติดตามผลการ ดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2096 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กระบวนการรับจำนำข้าว | สสป | 14/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง กระบวนการรับจำนำข้าว โดยสภาที่ปรึกษา ฯ มีข้อเสนอแนะดังนี้ ด้านการจัดการ รัฐต้องสร้างหลักเกณฑ์การปฏิบัติหน้าที่ของทางราชการ รวมทั้งระเบียบ และเงื่อนไขต่าง ๆ ให้มีความรัดกุม สอดคล้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่ออำนวยความสะดวกต่อเกษตรกร โดยเฉพาะหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการจำนำข้าว แก้ปัญหาการคอรัปชั่นของข้าราชการ พ่อค้า และนายทุน เพื่อป้องกันการทุจริต ในการปฏิบัติงาน ตลอดจนกำหนดระยะเวลาการรับจำนำ การไถ่ถอนออกไปอย่างน้อยประมาณ 10 เดือน หรือเปิดให้มีการรับจำนำ และไถ่ถอนอย่างเสรีไม่กำหนดระยะเวลา สำหรับด้านการมีส่วนร่วมของเกษตรกร รัฐต้องจัดให้ผู้แทนองค์กรเกษตรกรและสหกรณ์มีส่วนร่วมในการดำเนินการจำนำข้าวทุกระดับทุกขั้นตอน โดย มีอำนาจและจำนวนเท่าเทียมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมีส่วนร่วมในการดูแลรับผิดชอบการตรวจสอบคุณภาพ ความชื้น การตลาด การแปรรูป การรับจำนำ ตลอดจนสนับสนุนงบประมาณในการจำนำข้าว โดยผ่านองค์กร เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์โดยตรง เพื่อให้มีศูนย์รับจำนำข้าวของชุมชนโดยชุมชนเพื่อชุมชน และ มีลานตากข้าว ไซโล (ยุ้งฉาง) และโรงสีประจำตำบลอย่างทั่วถึง ส่วนระยะยาว รัฐต้องส่งเสริมให้ความรู้ เทค โนโลยี เทคนิค และการจัดการเพื่อช่วยในการผลิต การแปรรูป และการตลาด พัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพ โดยไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของนายทุน นักการเมือง และระบบราชการ ให้เกษตรกรเข้าไปมีส่วนร่วม และเร่ง ขยายตลาดข้าวทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มากขึ้น และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการ ดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ โดยให้กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานดัง กล่าว เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการ ดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2097 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางจัดการธุรกิจการค้าประเวณี (Agenda based) | สสป | 14/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการจัดการธุรกิจการค้าประเวณี โดยสภาที่ปรึกษา ฯ มีข้อ เสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการเชิงโครงสร้าง อาทิ กำหนดเป็นนโยบายระดับชาติและดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่าง ต่อเนื่อง โดยบูรณาการโครงการ/แผนงาน วิธีการทำงานของกระทรวงด้านสังคมเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง ด้านปฏิบัติการ เป็นต้น มาตรการทางกฎหมาย อาทิ การนำกฎหมายมาใช้ในการแก้ไขปัญหาในแต่ละกลุ่มเป้า หมาย รวมทั้งการนำกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาบังคับใช้อย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำผิดการ ค้าประเวณีผู้ที่ดำเนินธุรกิจการค้าประเวณี ตัวการและผู้สนับสนุน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี รวมถึงผู้ ใช้บริการทางเพศ เป็นต้น และมาตรการทางสังคม อาทิ ควบคุมเข้มงวดกวดขันผู้ที่ทำการโฆษณา ชักชวนให้เกิด การค้าประเวณีเด็ก การเผยแพร่ภาพเปลือยกาย ภาพลามกอนาจารของเด็กผ่านสื่อต่าง ๆ ตลอดจนห้ามทำ การโฆษณาชักชวนให้มาประกอบอาชีพที่ล่อแหลมต่อการค้าประเวณี และตรวจสอบการดำเนินธุรกิจ หรือการ ทำธุรกรรมที่ไม่เป็นผลดีต่อพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งมีบทลงโทษที่เข้มงวด หากมีการฝ่าฝืน และ ระดมกวาดล้างสื่อหรือวัตถุอันเป็นสิ่งลามกอนาจาร เป็นต้น และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผล การดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่าง เป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2098 | โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ (Mega Projects) (Agenda based) | กค | 14/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ รับทราบแผนการลงทุนและแนวทางการระดม
ทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ในช่วงปี พ.ศ. 2548-2552 ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการ พิจารณากลั่นกรองโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ และเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการจัด สรรงบประมาณ การระดมทุนและแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ สำหรับสาขาการ ศึกษาในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนางานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้นำข้อสรุปจากคณะกรรมการ นโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เป็นประธาน มาประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณ ในช่วงปี พ.ศ. 2549-2552 ด้วย และรับทราบกรอบการ จัดสรรงบประมาณ เพื่อการลงทุนสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐในสาขาต่าง ๆ สำหรับปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2549 วงเงินรวม 94,600.77 ล้านบาท และมอบให้คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครง การลงทุน ฯ กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงาน รวมทั้งให้ปรับปรุงแผน งานการลงทุนโครงการตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยให้อยู่ในกรอบวงเงินที่เสนอ และรายงานให้คณะ รัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ รับทราบแผนการลงทุน กรอบระยะเวลาดำเนินงาน และกลยุทธ์ใน การระดมทุนสำหรับโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ (mass transit) ในช่วงปี พ.ศ. 2548-2552 และมอบ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดตั้ง Holding Company เพื่อ ลงทุนและบริหารระบบรถไฟฟ้า ให้เป็นแบบ Single Operator/Joint Owner ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ กระทรวงการคลังรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรมที่มีความเห็นเพิ่มเติม ในส่วนของข้อ 2 การแบ่งสาขาการลงทุนซึ่งสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เป็น 7 สาขา โดยเฉพาะในสาขาที่ 7 ซึ่งเป็นสาขาอื่น ๆ ซึ่งรวมการพัฒนาระบบพลังงาน การสื่อสาร และ อุตสาหกรรม นั้น อาจจะครอบคลุมหลายหัวข้อมากเกินไป ควรแยกเป็นหมวดย่อย ๆ เพื่อสะดวกแก่การ บริหารและวางแผนงาน และในส่วนของผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัด ข้อ 5.3 ที่คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัด จะขาดดุลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.6 ต่อ GDP เห็นด้วยกับการควบคุม Import Content ให้อยู่ในกรอบไม่เกิน ร้อยละ 30 โดยการควบคุมดังกล่าว ควรจะมีการกำกับอย่างเข้มงวดและใช้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามใน เรื่องนี้อย่างเต็มที่ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีความเห็น เกี่ยวกับโครงการทางด้านคมนาคม Mass Transit จะมีการเบิกจ่ายเพื่อการก่อสร้างได้อย่างเร็วที่สุดในช่วง ปลายปี พ.ศ. 2549 โดยควรเร่งรัดโครงการที่สามารถดำเนินการได้เร็ว เช่น โครงการที่อยู่อาศัย ฝายกั้น น้ำและฝายยางเพื่อการกักเก็บน้ำตาลลำน้ำ ซึ่งมีการจ้างงานและใช้วัตถุดิบในประเทศสูง รวมถึงโครงการ ทางด้านการศึกษาระบบอินเทอร์เน็ต และโครงการด้านการขนส่งทางรางรถไฟเพื่อประหยัดพลังงานแทน การขนส่งทางถนน สำหรับแนวทางการพิจารณาและอนุมัติโครงการที่ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงาน เจ้าของโครงการเสนอขออนุมัติโครงการจากคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะ รัฐมนตรี ตามลำดับนั้น เนื่องจากขณะนี้ สศช. อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างและบทบาทภารกิจซึ่งในระยะ ต่อไป เมื่อมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว กระทรวงและหน่วยงานเจ้าสังกัดต้องดำเนินการศึกษาความ เหมาะสมของการลงทุน โดย สศช. จะทำการวิเคราะห์ในภาพรวมของการลงทุนและตรวจสอบโครงการเพื่อ เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2099 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "โทษทางอาญาที่มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" | สสป | 07/06/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับ "โทษทางอาญาที่มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" โดยสภาที่ปรึกษา ฯ มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการวางแนวทางที่จะไม่ ใช้โทษทางอาญาไปกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกินความจำเป็น และกำหนดโทษทางอาญาให้มี ลักษณะเหมาะสมกับความผิดและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดนั้น รวมทั้งนำมาตรการบังคับ ทางอื่นมาใช้แทนการลงโทษอาญา เช่น ยกเลิกโทษทางอาญาในความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายอาญา และนำเอามาตรการทางปกครอง หรือมาตรการทางบริหาร รวมถึงมาตรการทำงานบริการสังคมมาใช้แทน การลงโทษทางอาญา เป็นต้น และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของคณะอนุ กรรมการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของรัฐ และติดตามการบังคับ ใช้กฎหมาย คณะที่ 4 และมอบให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2100 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "แนวทางแก้ไขปัญหาการบุกรุก รุกล้ำ และละเลย 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศและแหล่งน้ำสำคัญของชาติ" | สสป | 31/05/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาการบุกรุก รุกล้ำ และละเลย 25 ลุ่มน้ำสำคัญ ของประเทศ และแหล่งน้ำสำคัญของชาติ โดยมีข้อเสนอแนะโดยสังเขปดังนี้ รัฐบาลต้องจริงจังด้วยปรัชญา หลัก การ และเหตุผล พร้อมมาตรการในการรักษา 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ และแหล่งน้ำสำคัญของชาติในทุก ภูมิภาคของประเทศควบคู่กับความเป็นประเทศเกษตรกรรมของประเทศไทย รัฐบาลต้องสั่งการให้มีการสำรวจ สภาพการบุกรุก รุกล้ำ และละเลย รวมทั้งการทำลายพื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ลุ่ม และพื้นที่ทางระบายน้ำหลาก เพื่อ ให้ทราบสถานภาพปัจจุบันของพื้นที่ในทุกภูมิภาคของประเทศโดยการดำเนินงานต้องมีส่วนร่วมขององค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน และชุมชน และต้องมีการติดตามสถานภาพพื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ลุ่ม และทาง ระบายน้ำหลากทุกแห่งและทุกภูมิภาคของประเทศโดยใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์เพื่อทราบสถานภาพ ปัจจุบันและเป็นการตรวจสอบการบุกรุก รุกล้ำ ละเลย และการทำลายพื้นที่ทั้งสามประเภทนี้ เป็นต้น และ รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อราย งานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็น ระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
.....