ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 110 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 2181 - 2200 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2181 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการศึกษา | สผ | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอรายงานผลการ
พิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร รวม 5 เรื่อง ได้แก่ รายงานผลการ พิจารณาศึกษาปัญหาการทำผลงานทางวิชาการเพื่อเลื่อนตำแหน่งของข้าราชการครูในระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศัก ราช 2544 รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ปัญหาอัตรากำลังครูและบุคลากรทางการศึกษา ราย งานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การกระจายอำนาจงบประมาณด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาหารกลางวันและอาหารเสริม (นม) โรงเรียน และรายงาน ผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง สภาพและปัญหาการบริหารเขตพื้นที่การศึกษา และมอบให้สำนักนายก รัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงศึกษาธิการ รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำ เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2182 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน หรือข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | นร | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอแนวทางปฏิบัติเกี่ยว
กับญัตติ รายงาน หรือข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มี มติในเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2540 และวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 ว่า เมื่อสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภาได้ส่งญัตติ รายงาน หรือข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการสามัญหรือวิสามัญมาเพื่อรัฐบาลพิจารณา ดำเนินการ ก็ให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบและมอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับไป พิจารณาว่าจะสมควรดำเนินการตามญัตติ รายงาน หรือข้อสังเกตในเรื่องใดได้หรือไม่ ประการใด แล้วรายงาน ให้คณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง นั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และลดจำนวน ตลอด จนขั้นตอนในการนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีถึง 2 ครั้ง สมควร แก้ไขปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ โดยมอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาส่งญัตติ รายงาน หรือข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่า จะดำเนิน การตามญัตติ รายงาน หรือข้อสังเกตในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน เมื่อได้รับแจ้งผลการพิจารณาจึงให้ นำญัตติ รายงานหรือข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการในเรื่องนั้น พร้อมทั้งความเห็นของส่วนราชการและหน่วย งานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||
2183 | รายงานการพิจารณา เรื่อง แนวทางการแก้ปัญหาการผลิต การตลาดสุกรอย่างยั่งยืน | สว | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอรายงานการพิจารณา เรื่อง แนวทางการแก้ปัญหา
การผลิต การตลาดสุกรอย่างยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภาโดยรายงานการ ศึกษาในเรื่องนี้คณะกรรมาธิการได้สรุปผลการพิจารณาและมีข้อสังเกตและแนวทางแก้ไขทั้งในด้านการผลิต ด้านการตลาด ด้านนโยบาย และด้านสิ่งแวดล้อม และมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2184 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรมเฉพาะประเด็น "สงครามที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก" | สว | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอรายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมา
ธิการการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เฉพาะประเด็น "สงครามที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง สหรัฐอเมริกากับอิรัก" โดยคณะกรรมาธิการ ฯ ได้พิจารณาถึงผลกระทบของสงครามอิรักต่อเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้นได้แก่ ผลกระทบด้านการจัดหาน้ำมัน ด้านการส่งออก และรายได้จากการท่องเที่ยว สำหรับ ผลสืบเนื่องระยะยาว โดยในส่วนของผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก จะมีผลต่อเงินเฟ้อเนื่องจากราคาน้ำมันปรับ ตัวสูงขึ้น ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์ตกลงเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลอื่น ส่วนการเข้าแทรกแซงโดยกลุ่ม G8 จะมีความสำคัญมากต่ออัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางสหรัฐ ฯ ซึ่งถ้าแข่งกันขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยน จะเกิดผลต่อการชะงักงันจากเศรษฐกิจ และทำให้ประเทศเล็ก ๆ ต้องขึ้น อัตราดอกเบี้ยตามไป เพื่อป้องกันเงินไหลออก และอาจจะมีการผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งจะมีผลกระทบ ต่อการส่งออกอย่างมาก นอกจากนี้ ความตรึงเครียดของโลก กรณีที่สหรัฐ ฯ ขยายขอบเขตออกไปครอบคลุม และยึดครองพร้อมทั้งปรับระบบการปกครองในอิรักอาจจะมีปฏิกิริยาต่อโลกมุสลิมในการยึดครองของสหรัฐ ฯ และมีโอกาสที่ชนชั้นปกครองของประเทศอาหรับต่าง ๆ จะเสียอำนาจให้มุสลิมหัวรุนแรง ซึ่งสหรัฐ ฯ เองอาจ จะได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรงในรูป TERRORISM จะทำให้เกิดความตรึงเครียดต่อไปอีกนานและมีความไม่แน่ นอนทางเศรษฐกิจในด้านการลงทุนและการค้า ซึ่งทำให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมตกต่ำและเกิด PROTECTIONISM ขึ้นมาอีก ในส่วนของประเทศไทยซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการลงทุนจากต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศ และการกู้ ยืมเงินจากต่างประเทศได้รับผลกระทบคือทำให้จะต้องอาศัยการบริหารในพื้นฐาน ความไม่แน่นอนนี้ นโยบาย ที่ดีคือ ค่อยเป็นค่อยไปไม่ผลีผลามผูกพันหนี้สินระยะยาว พร้อมทั้งดำเนินนโยบายประหยัดอย่างจริงจังในทุก ด้านโดยเฉพาะการใช้น้ำมัน ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนัก เลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2185 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม) และยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ด้านความมั่นคง) (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่'ชาติ) (วาระสำคัญของรัฐบาล) | นร | 16/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) เสนอยุทธ
ศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และด้านความมั่นคง) โดยอนุมัติ กรอบวงเงินงบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการ/แผนงาน ภายใต้ยุทธศาสตร์ ฯ ดังนี้ ด้านพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม วงเงินสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 6,000 ล้านบาท และปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 3,000 ล้านบาท ด้านความมั่นคง วงเงินสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 2,000 ล้านบาท และปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 1,000 ล้านบาท และให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีรองนายก รัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) เป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี (นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา) รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็น กรรมการเพื่อพิจารณากลั่นกรอง และจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการตาม ยุทธศาสตร์ดังกล่าวที่เหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อน และสมควรจะดำเนินการภายในกรอบวงเงินที่จัดสรร แล้วเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน ทั้งนี้ ในการพิจารณากลั่นกรองโครงการ ฯ ให้คณะกรรมการคำนึง ถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนของแผนงาน/โครงการ ในการแก้ไขปัญหา หรือการปรับปรุงพัฒนาที่ สามารถตอบสนอง และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และเห็นผลเป็นรูป ธรรม แต่หากคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่า มีแผนงาน/โครงการใดจำเป็นต้องดำเนินการเพิ่มเติมนอกเหนือ จากกรอบวงเงินดังกล่าว ก็ให้เสนอมาเพื่อพิจารณาด้วย นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า แผน งาน/โครงการที่เกี่ยวกับการขอเพิ่มอัตรากำลังหรือการจ้างบุคลากรเพิ่มเติม ซึ่งจะมีผลผูกพันและเป็นภาระงบ ประมาณในระยะยาว เช่น โครงการของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ให้ถือเป็นหลักปฏิบัติ โดยกรณีส่วนราช การได้รับอนุมัติอัตรากำลังและงบประมาณไว้แล้ว ให้ดำเนินการต่อไปได้ หากส่วนราชการได้รับอนุมัติอัตรา กำลังไว้แล้วแต่ยังมิได้รับอนุมัติงบประมาณสำหรับเป็นเงินเดือน/ค่าจ้าง ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในครั้ง นี้ สำหรับกรณีการขออนุมัติอัตรากำลังนอกเหนือจากที่กล่าว ให้ส่วนราชการรอผลการพิจารณาการเกลี่ย อัตรากำลังของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ซึ่งพิจารณาเกลี่ยอัตรา กำลังจากการเกษียณอายุราชการและจากผู้ที่ออกจากราชการตามมาตรการเปลี่ยนแปลง พัฒนาและบริหาร กำลังคน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงคืนให้กับส่วนราชการที่จำเป็นจะต้องมีบุคลากรปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้ส่วนราชการนั้น ๆ เสนอขออนุมัติเพิ่มเติมในภายหลัง และ อนุมัติในหลักการแผนงาน/โครงการของกระทรวงสาธารณสุข ในส่วนของการจัดหารถพยาบาลสำหรับการ ส่งต่อผู้ป่วย เนื่องจากเป็นเรื่องจำเป็นและเกี่ยวข้องกับการรักษาผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
2186 | งบประมาณการดำเนินงานของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย | นร | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับงบประมาณการดำเนินงาน
ของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำและเป็นศูนย์ กลางการลงทุนด้านชีววิทยาศาสตร์ของโลก จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยวงเงินที่เหมาะสมในการ ดำเนินงานของศูนย์ ฯ ในระยะเวลา 7 เดือน (เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนกันยายน 2547) เป็นจำนวนเงินทั้ง สิ้น 104,957,500 บาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดเตรียมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศรองรับไว้แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
2187 | งบประมาณการดำเนินงานของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย | นร | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับงบประมาณการดำเนินงาน
ของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำและเป็นศูนย์ กลางการลงทุนด้านชีววิทยาศาสตร์ของโลก จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยวงเงินที่เหมาะสมในการ ดำเนินงานของศูนย์ ฯ ในระยะเวลา 7 เดือน (เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนกันยายน 2547) เป็นจำนวนเงินทั้ง สิ้น 104,957,500 บาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดเตรียมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศรองรับไว้แล้ว |
||||||||||||||||||||||||
2188 | กระทู้ถามที่ 1178 ร. เรื่อง ขอให้ตั้งจังหวัดพระนารายณ์ | สผ | 02/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1178 ร.
เรื่อง ขอให้ตั้งจังหวัดพระนารายณ์ ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย ได้ ตรวจสอบการขอให้แบ่งแยกเขตการปกครองของจังหวัดลพบุรี ไปตั้งเป็นจังหวัดใหม่ชื่อ "จังหวัดพระนารายณ์" โดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์และแนวทางการตั้งจังหวัดใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2524 และจากผลการพิจารณาเห็นว่า การแบ่งเขตการปกครองของจังหวัดลพบุรี ไปเป็นจังหวัดใหม่ชื่อ "จังหวัดพระ นารายณ์" ยังไม่เป็นการสมควร เนื่องจากปัจจุบันจังหวัดลพบุรียังมีพระนารายณ์ราชนิเวศน์เป็นหลักฐาน และ ได้มีการประกาศเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2504 เป็นที่รู้จักของประชาชน จังหวัดลพบุรีที่ส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้แบ่งแยกพื้นที่จังหวัดไปเป็นจังหวัดใหม่ ประกอบกับเมื่อได้พิจารณาตาม หลักเกณฑ์การจัดตั้งจังหวัดใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีแล้ว ปรากฏว่า เนื้อที่และสภาพภูมิศาสตร์ จำนวน อำเภอในเขตการปกครอง จำนวนประชากร และลักษณะพิเศษของจังหวัด ไม่เข้าหลักเกณฑ์การจัดตั้งจังหวัด ใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งได้มีการพิจารณาตรวจสอบข้อมูลเหตุผลความจำเป็นและความเป็นไปได้ใน การจัดตั้งจังหวัดใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรี ปรากฏว่า ยังไม่สมควรแยกเขตการปกครองของจังหวัดลพบุรี ไป ตั้งเป็นจังหวัดใหม่ในขณะนี้ |
||||||||||||||||||||||||
2189 | การเร่งรัดจัดทำข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศรายไตรมาส (QGDP) ของประเทศไทย | นร | 02/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอเรื่อง การเร่งรัดจัดทำข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศราย ไตรมาส (Quarterly Gross Domestic Product : QGDP) ของประเทศไทย โดยให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยว ข้องให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการจัดทำข้อมูลให้รวดเร็วขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อการประเมินเศรษฐกิจของ ประเทศโดยรวม และจัดส่งข้อมูลที่ใช้ประกอบการจัดทำ QGDP ตามเอกสารแนบท้ายหนังสือของ สศช. และรัฐวิสาหกิจทุกแห่งจัดส่งข้อมูลงบลงทุนให้ สศช. ภายใน 7 สัปดาห์นับแต่สิ้นไตรมาส โดยให้จัดส่งใน ระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่หนึ่งของปี 2547 เป็นต้นไป และให้ถือเป็นนโยบายของหน่วย งานภาครัฐที่จะเร่งรัดการเผยแพร่ข้อมูลพื้นฐานที่แต่ละหน่วยงานจัดเก็บให้รวดเร็ว มีความถูกต้อง และมี ความโปร่งใสทั้งข้อมูลที่จัดเก็บได้จากกระบวนการบริหารภาครัฐ และข้อมูลที่ได้จากการสำรวจภาคสนาม เพื่อสนับสนุนการจัดทำระบบข้อมูล ตลอดจนเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้ ให้ สศช. ดำเนินการออกแบบระบบและรูปแบบการรายงานให้เหมาะสม เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สามารถรายงานข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว มีความถูกต้อง และเป็นที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ให้รัฐมนตรีที่กำกับ ดูแลหน่วยงานที่จะต้องจัดทำ และรายงานข้อมูลแก่ สศช. รับไปพิจารณาความเป็นไปได้ในการที่จะดำเนิน การเพื่อให้การจัดทำและรายงานข้อมูลดังกล่าวสามารถที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จได้เร็วกว่ากำหนดเวลา ที่ สศช. เสนอ โดยให้ประมวลผลการพิจารณาโดยประสานโดยตรงกับปลัดกระทรวง/หัวหน้าหน่วยงาน ดังกล่าว แล้วรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2547 ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2190 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่อง การปรับโครงสร้างกิจการพลังงานภายใต้ (ร่าง) พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน | สสป | 02/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกรณีการปรับโครงสร้างกิจการพลังงานภายใต้ (ร่าง) พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการ ดำเนินการต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ของกระทรวงพลังงาน ดังนี้ จากการประชุมเชิง ปฏิบัติการยุทธศาสตร์พลังงานเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2546 ได้มีการกำหนดเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการพัฒนา พลังงานทดแทน จากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8 ใน 10 ปี ข้างหน้า และการดำเนินมาตรการสนับสนุนและส่ง เสริมการพัฒนาพลังงานทดแทนทุกรูปแบบ และตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ให้จัด ตั้งองค์กรกำกับดูแลกิจการพลังงานขึ้นภายใต้กระทรวงพลังงานโดยมีการแยกอำนาจหน้าที่ของการกำกับดูแล ผู้ประกอบกิจการและผู้กำหนดนโยบายออกจากกันอย่างชัดเจน แต่อยู่ภายใต้นโยบายของรัฐ เพื่อให้การจัดตั้ง องค์กรดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์จะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายและรวบรวมความเห็นทุกฝ่าย รวมไปถึงความ เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เพื่อประกอบการพิจารณาเพื่อให้กฎหมายมีความสมบูรณ์ครอบคลุม ประเด็นต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้กิจการไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติในเรื่องรูปแบบ โครงสร้างกิจการไฟฟ้า Enhanced Single Buyer (ESB) โดยกำหนดให้แยกบัญชีการเงินระหว่างธุรกิจผลิตกับ ธุรกิจระบบส่งไฟฟ้า เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถแข่งขันในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างเป็นธรรม ตลอดจนส่ง เสริมให้กิจการไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และระบบไฟฟ้ามีความมั่นคง สำหรับการส่งเสริมให้ชุมชนท้อง ถิ่นและรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีส่วนร่วมในการจัดการพลังงานและผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุน เวียน ขยะ วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและอุตสาหกรรม นั้น ปัจจุบันได้มีการสนับสนุนให้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจาก พลังงานหมุนเวียน ขยะ และวัสดุเหลือใช้ทางเกษตรและอุตสาหกรรม ร้อยละ 3.5 ของกำลังการผลิตใหม่ทั้ง หมด ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 เห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า จากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก ซึ่งเป็นการกระจายโอกาสไปยังพื้นที่ห่างไกลให้เข้ามามีส่วน ร่วมในการผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้ามามีส่วน ร่วมในการผลิตไฟฟ้าอันเป็นการใช้ทรัพยากรจากท้องถิ่นในการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองหรือขายให้กับการไฟฟ้า |
||||||||||||||||||||||||
2191 | รายงานผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 พ.ศ. .... ในขั้นกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎร | กค | 22/02/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเสนอผลการพิจารณาร่างพระ
ราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ของสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเสร็จแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา และเห็นชอบด้วย กับร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีเสนอ โดยไม่มีการแก้ไขในสาระสำคัญ มีผู้ขอสงวนคำแปรญัตติจำนวน หนึ่ง ซึ่งคาดว่า สภาผู้แทนราษฎรอาจกำหนดพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการ ฯ พิจารณา เสร็จแล้วในวันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ 2547 และ ในกรณีร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอและอยู่ในชั้น การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของเรื่องติดตามความ เคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดและกำชับเจ้าหน้าที่ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2540 เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอต่อรัฐสภาโดยเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2192 | ขอหารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่ | นร | 17/02/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอผลการพิจารณาในปัญหาข้อกฎ
หมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 1) เกี่ยวกับการรับผิดชดใช้ค่าเสีย หายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยกรณีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ตามมาตรา 99 แห่ง พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ซึ่งต้องไม่เกินค่าใช้จ่ายในการ ให้มีการเลือกตั้งใหม่ กรณีที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งต้องรับผิดชอบในการเลือกตั้งใหม่ครั้งเดียวหลายคน มาตรา 99 ดังกล่าว มิได้กำหนดให้ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จึงไม่อาจกำหนดให้บุคคลดังกล่าวต้องรับผิดชอบชดใช้ค่า เสียหายอย่างลูกหนี้ร่วมได้ และเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะพิจารณากำหนดให้บุคคลดังกล่าว แต่ละคนต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงแต่ ละรายไป สำหรับกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการแจ้งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนิน การสอบสวนและมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลไม่ว่าจะเป็นเรื่องในทางแพ่ง ท างอาญา หรือทางปกครอง ในกรณีที่มี ผู้ใดกระทำความทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น โดยถือว่าคณะ กรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้เสียหายและอาจมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการแทนได้ ทั้งนี้ มาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือก พ.ศ. 2541 อย่างไรก็ตามในการที่คณะ กรรมการการเลือกตั้งจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการแทนดัง กล่าวก็เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2193 | ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร | 03/02/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
(ฝ่ายกฎหมาย)ซึ่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... และมีมติมอบให้ นายอัชพร จารุจินดาผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปดำเนินการแก้ไขตามประเด็นอภิปรายของ คกก.7 ที่เห็นว่าการกำหนดให้นำแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติที่จัดทำเสร็จ และคณะรัฐมนตรี เห็นชอบแล้วรายงานต่อรัฐสภา ตามร่างมาตรา 21 เป็นการเสนอเพื่อทราบไม่มีผลผูกพันรัฐสภา อาจเป็นภาระ แก่รัฐสภาในการพิจารณาโดยไม่มีความจำเป็น จึงสมควรตัดบทบัญญัติที่ให้รายงานรัฐสภาออก แล้วเสนอต่อ คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภา ผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ในการนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยนายอัชพร จารุจินดา กรรมการ ร่างกฎหมายประจำได้เสนอผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ฯ ดังกล่าวซึ่งแก้ไขตามประเด็นอภิปราย เมื่อ วันที่15 ธันวาคม 2546 มาเพื่อดำเนินการโดยได้แก้ไขเหตุผลให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติ ฯ และตัดเรื่องเสนอแผนแม่บทต่อรัฐสภาออก |
||||||||||||||||||||||||
2194 | การดำเนินการในคดี "ทางด่วน" (การทำสัญญาสัมปทานระหว่างรัฐกับเอกชน) | นร | 27/01/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอผลการพิจารณา
เรื่อง จ่ายค่าชดเชยในการก่อสร้างทางด่วนสายบางนา-บางพลี-บางปะกง (คดี ทางด่วน) ตามข้อเสนอของ คณะทำงานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ดังนี้ สัญญาสัมปทานในกฎหมายปัจจุบันเป็นสัญญาทางปกครอง จึงควร นำคดีพิพาทจากสัญญาเหล่านั้น ส่งไปศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม ดังนั้น สัญญาที่รัฐทำกับเอกชนใน ไทยหรือต่างประเทศ ไม่ควรเขียนมัดในสัญญาให้มอบข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด แต่หาก มีปัญหาหรือความจำเป็นหรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ให้เสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาอนุมัติเป็นราย ๆ ไป โดยสัญญาหลักที่ใช้บังคับระหว่างคู่สัญญาให้ทำเป็นภาษาไทย ส่วนสัญญา ฉบับภาษาต่างประเทศควรใช้เป็นเพียงคำแปลของสัญญาหลักเท่านั้น และควรกำหนดให้ใช้กฎหมายไทยใน การตีความและบังคับตามสัญญา
|
||||||||||||||||||||||||
2195 | ผลการพิจารณายุทธศาสตร์และการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการกลุ่มท้าทาย (กลุ่มที่ 2) | นร | 20/01/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.)
รายงานผลการพิจารณายุทธศาสตร์และการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการกลุ่มท้าทาย (กลุ่มที่ 2) สรุปได้ว่า ตามที่คณะอนุกรรมการ ก.พ.ร. เกี่ยวกับการส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ในการประชุมครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบให้ส่วนราชการที่ต้องการเข้า ร่วมการพัฒนาการปฏิบัติราชการในกลุ่มท้าทาย (กลุ่มที่ 2) ได้เป็นส่วนราชการในกลุ่มท้าทาย จำนวน 24 ส่วนราชการซึ่งสามารถแบ่งส่วนราชการดังกล่าวได้เป็น 4 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มหน่วยงานกลาง (6 ส่วนราช การ) (2) กลุ่มด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (4 ส่วนราชการ) (3) กลุ่มด้านการศึกษา (11 ส่วนราชการ) และ (4) กลุ่มด้านสาธารณสุข (3 ส่วนราชการ) รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการเจรจาข้อตกลง เพื่อทำหน้าที่เจรจาเกี่ยวกับตัวชี้วัด เป้าหมาย และเกณฑ์การให้คะแนนกับส่วนราชการต่าง ๆ โดยมีแผน การดำเนินการเจรจาให้แล้วเสร็จ เพื่อให้มีการลงนามในคำรับรองการปฏิบัติราชการได้ทันการประชุมคณะ รัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในวันที่ 24 มกราคม 2547 นั้น สำนักงาน ก.พ.ร. จะจัดให้มีการ ประชุมเตรียมความพร้อมของคณะกรรมการเจรจาข้อตกลง และการเจรจาเกี่ยวกับตัวชี้วัด เป้าหมาย และเกณฑ์ การให้คะแนนระหว่างผู้บังคับบัญชาของหัวหน้าส่วนราชการ และหัวหน้าส่วนราชการ กับคณะกรรมการ เจรจาข้อตกลง โดยส่วนราชการที่สามารถเจรจาจนได้ข้อยุติ สำนักงาน ก.พ.ร. จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อ ทราบ และจัดให้มีการลงนามในคำรับรองการปฏิบัติราชการในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ นอกสถานที่ในวันที่ 24 มกราคม 2547 |
||||||||||||||||||||||||
2196 | รายงานผลการดำเนินการเรื่องปัญหาการใช้สารเคมีของสวนส้ม | สธ | 20/01/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2546 และวันที่ 23 กันยายน 2546 เรื่อง ปัญหาการใช้สารเคมีของสวนส้ม ที่อำเภอแม่ อายจังหวัดเชียงใหม่ จากผลการพิจารณาศึกษาปัญหาดังกล่าว เห็นว่า อันตรายที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ สวนส้ม มีสาเหตุมาจากการใช้สารเคมี จึงเห็นสมควรกำกับให้มีการใช้กฎหมายที่มีต่อผลการควบคุมที่สาเหตุของ ปัญหาโดยตรง และในส่วนของคณะกรรมการสาธารณสุข ซึ่งเป็นคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติการสาธารณ สุข พ.ศ. 2535 ยังได้ประสานกับคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้มีการกำกับดูแลการใช้สารเคมีในสวนส้มด้วยแล้ว นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมดำเนินการกับคณะทำงานที่แต่งตั้งโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ศึกษา ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการสวนส้ม และหากมีข้อมูลที่พบว่า การประกอบกิจการสวนส้มเป็นกิจ การที่อันตรายต่อสุขภาพ และสามารถควบคุมได้โดยการใช้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ตรงตาม เจตนารมณ์ของกฎหมาย ก็อาจมีการดำเนินการประกาศให้กิจการดังกล่าวเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
2197 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และการดำเนินงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง | ทส | 13/01/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตาม
ข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนและการดำเนินงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบ คุมการเผาในที่โล่ง โดยผลการดำเนินงานตามข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน กระทรวง การต่างประเทศได้ดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารต่อข้อตกลงดังกล่าว และได้ยื่นต้นฉบับสัตยาบันสารต่อเลขา ธิการอาเซียนในฐานะผู้เก็บรักษาความตกลง ฯ ส่งผลให้ข้อตกลง ฯ มีผลบังคับใช้กับประเทศสมาชิกอาเซียน รวม 6 ประเทศ ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย พม่า สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 ในการนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แต่งตั้งหน่วยงานภายในประเทศ เพื่อดำเนินการตาม ข้อตกลง ฯ ดังนี้ กรมควบคุมมลพิษ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินการ (Focal Point) กรม อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทำหน้าที่เป็นศูนย์ติดตามตรวจสอบแห่งชาติ (National Monitoring Cen ter) และมอบหมายให้ กรมควบคุมมลพิษ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า ฯ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการเกษตร กรมทางหลวง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทำหน้า ที่หน่วยงานที่มีอำนาจ (Competent Authorities) สำหรับการพิจารณาแต่งตั้ง The ASEAN Coordinating Cen ter for Transboundary Haze Pollution Control (ACC) นั้น ในส่วนของท่าทีของประเทศไทยในการให้การสนับ สนุนประเทศใด หรือการเสนอตัวเป็นที่ตั้งของ ACC กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ อยู่ระหว่างการนำเสนอความเห็นต่อคณะอนุกรรมการกำกับแผนงานและมาตรการในการรองรับนโยบายการ ห้ามเผาในที่โล่ง ซึ่งจะจัดการประชุมในวันที่ 28 มกราคม 2547 หากมีผลการพิจารณาเป็นอย่างไรจะรายงาน ให้ทราบต่อไป ส่วนผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติ ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้จัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วย การควบคุมการเผาในที่โล่ง (พ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2551) และได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับแผนงาน และมาตรการในการรองรับนโยบายการห้ามเผาในที่โล่ง ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการและมอบหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไขให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันเป็นแผนบูรณาการ ขณะนี้อยู่ระหว่าง การนำเวียน (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพื่อนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการ ฯ เพื่อขอความเห็นชอบและนำไปใช้ปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ ได้กำหนดแผนการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหามล พิษหมอกควันจากการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยแผนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อนำแผนแม่บท แห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่งไปสู่การปฏิบัติในการลดมลพิษหมอกควันจากการเผาพื้นที่เกษตร กรรม
|
||||||||||||||||||||||||
2198 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับนโยบายและมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม | สสป | 13/01/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับนโยบายและมาตรการส่งเสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยสภาที่ปรึกษา ฯ ได้มอบหมายคณะทำงานการเศรษฐกิจการพาณิชย์และ อุตสาหกรรม ของสภาที่ปรึกษา ฯ ศึกษานโยบายและมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่ง คณะทำงานได้มีมติ ดังนี้ รัฐบาลควรพิจารณาจัดตั้งศูนย์บริการและส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ มีการให้บริการอย่างครบวงจรในสำนักงานเดียว โดยให้เป็นทั้งศูนย์บริการที่ออกใบอนุญาตแบบเบ็ดเสร็จและ ศูนย์บริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจทางกฎหมายและข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจ และการพัฒนามาตรการส่งเสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ชัดเจนและตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ โดยพัฒนามาตรการส่ง เสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เฉพาะเจาะจงกับประเภทของธุรกิจและอุตสาหกรรม และพัฒนามาตร การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ตรงกับความต้องการของแต่ละพื้นที่ พัฒนากลไกทางการเงินที่ เข้าถึงง่ายและมีต้นทุนทางการเงินต่ำ โดยปรับปรุงกลไกการสนับสนุนเงินทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่ง เสริมให้เกิดสหกรณ์ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อลด ต้นทุนการเริ่มต้นและการดำเนินธุรกิจ โดยจัดหาแหล่งทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมและสร้างความพร้อมด้านสาธารณู ปโภค จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในระยะเริ่มต้น พร้อมทั้งพัฒนาระบบ และศูนย์ข้อมูลสำหรับการเช่า หรือเช่าซื้อสถานประกอบการ และเครื่องจักร เพื่อลดภาระการลงทุนให้กับผู้ ประกอบการ สนับสนุนการเข้าสู่ระบบมาตรฐานสินค้าและบริการ ทั้งด้านการผลิต และการบริหารโดยพัฒนา ระบบและเครื่องมือในการทดสอบผลิตภัณฑ์ และการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และพัฒนาระบบการรับรอง มาตรฐานการบริหาร และมาตรฐานทางบัญชี นอกจากนี้ ยังมีมาตรการส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ ต่อเนื่อง โดยจัดตั้งสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านต่าง ๆ และจัดตั้งกองทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ มาตรการที่ควรมีการศึกษาเพิ่มเติม คือ นโยบายและมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมใน ด้านโลจิสติกส์ (Logistics) ที่ชัดเจนและตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการของไทย และรับทราบความ เห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เห็นชอบข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยมี ความเห็นเพิ่มเติม เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาพรวมของประเทศ ปี พ.ศ. 2547-2549 ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เกี่ยวกับการพิจารณาจัด ตั้งศูนย์บริการและส่งเสริม SMEs อย่างครบวงจร ชัดเจน และตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ การ พัฒนากลไกทางการเงินที่เข้าถึงง่าย และมีต้นทุนทางการเงินต่ำ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น การ สนับสนุนการเข้าสู่ระบบมาตรฐานสินค้าและบริการของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มาตรการส่งเสริม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายและมาตรการสนับสนุน SMEs ด้าน Logistics ที่ชัดเจน และตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการไทย |
||||||||||||||||||||||||
2199 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา (ขอให้ระงับการถมดินลงในหนองน้ำมณีบรรพตโดยด่วน) | ผร | 06/01/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ซึ่ง
ได้พิจารณาตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาที่ให้ระงับการถมดินในหนองน้ำมณีบรรพต จังหวัด ตาก โดยด่วน โดย คกก 7. ได้มีมติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและมอบให้กระทรวงมหาดไทยและรอง นายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับการปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคในพื้นที่จังหวัดตาก รับไปดำเนินการ โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นดูแลกำชับและระมัดระวังการบริหารจัดการ เรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และพิจารณาผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย และเห็นชอบแนวทางปฏิบัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับขั้นตอน การดำเนินการเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาดังนี้ กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาได้เสนอความเห็นและ ข้อเสนอแนะไปยังส่วนราชการใด ให้ส่วนราชการนั้นเร่งพิจารณา และรายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนิน การให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบโดยด่วน โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และกรณีผู้ตรวจการแผ่นดิน ของรัฐสภาได้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะไปยังนายกรัฐมนตรี โดยไม่ระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบ และนายก รัฐมนตรีได้ส่งเรื่องดังกล่าว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตรวจสอบความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวว่า เป็นเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับส่วนราชการใด แล้วนำเสนอรองนายก รัฐมนตรีสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับส่วนราชการนั้น เพื่อสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการ และให้รายงานผลการพิจารณาให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบต่อไป โดยไม่ ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และจากกรณีดังกล่าว ถ้าหากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า ความ เห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการหลายหน่วยงาน และ เป็นส่วนราชการที่อยู่ในกำกับของรองนายกรัฐมนตรีสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีหลายคน เห็นควร นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการดังกล่าวพิจารณาดำเนินการ โดยให้ส่วนราชการเหล่า นั้น ส่วนราชการใดส่วนราชการหนึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมความเห็น เพื่อรายงานผลการพิจารณา ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบต่อไป โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ แจ้งเวียนให้หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งให้ราชการส่วนท้องถิ่นทราบและถือปฏิบัติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2200 | ผลการพิจารณาและการจัดลำดับความสำคัญโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง ปีงบประมาณ 2547 โครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ในส่วนของจังหวัดสุโขทัย | กษ | 30/12/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในวงเงิน 1,014.76 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในจังหวัดสุโขทัย รวม 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการปรับปรุงแม่น้ำยมสายเก่า ความยาว 88.43 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ 815.540 ล้านบาท ปรับปรุง คลองผันน้ำ แม่น้ำยม-แม่น้ำน่าน ความยาว 40.00 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ 96.00 ล้านบาท และปรับปรุง ขุดลอกแม่น้ำยม ตั้งแต่อำเภอเมือง-อำเภอกงไกรลาศ ระยะทาง 25 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ 103.22 ล้าน บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป |
.....