ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 109 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 2161 - 2180 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2161 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในส่วนภูมิภาค | กก | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ
ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในส่วนภูมิ ภาค และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ มีดังนี้ ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการท่องเที่ยว จังหวัดขึ้น โดยอาศัยการบริหารงานแบบบูรณาการที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานรับผิดชอบอย่างเป็น ระบบและเบ็ดเสร็จ มีหน่วยงานทุกระดับที่เกี่ยวข้องในทุกมิติของการพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นกรรมการ มี หน้าที่ควบคุม ดูแล ติดตามและประสานความร่วมมือในการจัดทำแผนพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวของ จังหวัดในภาพรวมและการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนควรสอดคล้องกับศักยภาพของ พื้นที่ แผนพัฒนาประเทศ และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด สำหรับการดำเนินงานของทุกหน่วยงานภายใต้ อำนาจการสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวต้อง อยู่ภายใต้แผน และกรอบการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่จัดทำ โดยคณะกรรมการการท่องเที่ยว จังหวัด ส่วนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นอิสระ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณา การไม่สามารถสั่งการได้โดยตรงนั้น ขอให้มีผู้ว่าราชกาจังหวัดแบบบูรณาการและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการท่อง เที่ยวทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เป็นที่ปรึกษา เพื่อให้การส่งเสริมการท่องเที่ยวของส่วนท้องถิ่นสอดคล้อง กับแผนและกรอบการพัฒนาดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2162 | งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (59,000 ล้านบาท) | นร | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานคณะกรรมการ
พิจารณาค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (59,000 ล้าน บาท) เสนอโครงการที่เสนอขอใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง ราย การค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ตามผลการพิจารณา ของคณะกรรมการพิจารณาค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน ฯ รวม 11 โครงการ ประกอบ ด้วย โครงการพัฒนาคุณภาพข้าวหอมมะลิเพื่อการส่งออก โครงการออกแบบอุทยานการเรียนรู้จตุจักรเพื่อ เฉลิมพระเกียรติ โครงการวางและจัดทำผังเมืองเฉพาะบริเวณศูนย์คมนาคมกรุงเทพ ฯ ด้านใต้ โครงการก่อ สร้างสวนสาธารณะบริเวณที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่ โครงการจัดหาน้ำสะอาดสำหรับ โรงเรียนเทคนิคแขวงเวียงจันทร์ โครงการจัดหาน้ำบาดาลตามโครงการพระราชดำริ (ภูพิงค์ และอ่างขาง) โครงการการจัดงาน Bangkok International ICT Expo 2004 โครงการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของอุตสาห กรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โครงการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ระยะที่ 3 และโครงการติดตั้งระบบตรวจจับรถยนต์ฝ่า ฝืนสัญญาณไฟจราจร (Red Light Camera) วงเงิน 2,874,085,000 บาท ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณรับไป พิจารณาในรายละเอียดของรายการค่าใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ดังกล่าว ให้เป็นไปด้วยความเหมาะสม ถูก ต้อง ตามความจำเป็น และเกิดการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยให้รับข้อสังเกตของ คณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า ปัจจุบันราคาต่อหน่วยของวัสดุ ครุภัณฑ์ต่าง ๆ หลายรายการมีราคาถูกลง กว่าที่ประมาณการไว้เดิมแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2163 | กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | นร | 27/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ที่
มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอการปรับปรุงขั้นตอนการแบ่งส่วนราชการภายในกรม ดังนี้ ให้กรม /กระทรวงเจ้าของเรื่องจัดตั้งคณะทำงานแบ่งส่วนราชการ และนำเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการระดับกระทรวงเพื่อ พิจารณา ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็นประธาน ต่อจากนั้น ให้กระทรวงส่งร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ให้ ก.พ.ร. พิจารณาให้ความเห็นชอบ กับให้ อ.ก.พ.ร. เกี่ยวกับการทบทวนและปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการ ฯ พิจารณาบทบาท ภารกิจ อำนาจหน้าที่ของส่วนราชการนั้น ๆ มิให้ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่เดิม หรือมีภาร กิจที่ไม่ควรทำ และกรณีที่มีปัญหาข้อกฎหมาย อ.ก.พ.ร. เกี่ยวกับการตีความและวินิจฉัยปัญหากฎหมายในการ บริหารราชการแผ่นดินจะร่วมพิจารณา แล้วแจ้งผลการพิจารณาให้กระทรวงทราบ และหาก ก.พ.ร. เห็นชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงส่งร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ แล้วให้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับประเด็นอภิปรายไปพิจารณาและปรับปรุงแก้ไข แล้ว แจ้งส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ การปรับปรุงขั้นตอนการแบ่งส่วนราชการภายในกรมที่ ก.พ.ร. เสนอให้นำร่างกฎกระทรวงที่คณะกรรมการระดับกระทรวงพิจารณา แล้วเสนอ ก.พ.ร. ในฐานะหน่วยงานกลาง ผู้ทำหน้าที่พิจารณาภารกิจของส่วนราชการมิให้ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่เดิม หรือมีภารกิจที่ไม่ควรทำ เห็น ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. ปฏิบัติหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการระดับกระทรวงดังกล่าว และควร กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการในการพิจารณาเรื่องนี้ให้ชัดเจน และให้ ก.พ.ร. กำหนดกรอบโครงสร้าง และแนวทางการจัดส่วนราชการประเภทต่าง ๆ ให้กระทรวงสามารถนำไปพิจารณาเพื่อกำหนดการบริหารจัด การ การบริหารงานบุคคลให้มีความเชื่อมโยง และเป็นไปในแนวทางที่จะสามารถผลักดันยุทธศาสตร์โดยรวม ของประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาดำเนินการของ กระทรวงต่อไป อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการภายในกรม โดยนำร่างกฎกระทรวง เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแทนการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา นั้น การปรับปรุงบางกรณีเป็นเรื่องที่มีความ สำคัญหรือเป็นเรื่องเชิงนโยบาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหรือคณะกรรมการของกระทรวงอาจไม่สามารถหาข้อยุติ ได้หรือเป็นกรณีการจัดให้มีหน่วยงานที่มีลักษณะพิเศษ ตลอดจนกรณีที่หน่วยงานผู้ปฏิบัติมีความเห็นไม่สอด คล้องกัน กรณีต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ควรกำหนดให้นำร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาได้ และเพื่อให้การพิจารณาร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของ ก.พ.ร. เป็นไปตามวัตถุประสงค์และ เจตนารมณ์ในเรื่องนี้ ควรจะได้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของ อ.ก.พ.ร. แบ่งส่วนราชการขึ้นเฉพาะ และเห็นควรให้ ก.พ.ร. มีอำนาจหน้าที่พิจารณาครอบคลุมถึงองค์กรหรือหน่วยงานอื่นของรัฐรูปแบบใหม่ ๆ ได้ ด้วย และอนุมัติเป็นหลักการให้รัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการที่ ก.พ.ร. เห็นชอบแล้วให้สำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2164 | ผลการพิจารณาความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่อง นโยบายการจัดการขยะของไทย (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | สสป | 16/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2
(ฝ่ายการเกษตร ฯ) ที่มีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่อง นโยบายการจัดการขยะ ของไทย และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ ที่ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชี้แจงเพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาดำเนินการ ตามประเด็นอภิ ปราย ดังนี้ การจัดการขยะจากกิจการอุตสาหกรรม เห็นควรให้จัดทำไว้ในแผนปฏิบัติการ ซึ่งปัจจุบันมี การดำเนินการในเรื่องนี้น้อยมาก และควรมีการวางแผนแม่บทเกี่ยวกับการจัดการขยะติดเชื้อจากโรง พยาบาลและสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชนให้มีความชัดเจน และทบทวนในเรื่องนโยบาย จัดการขยะเกี่ยวกับการจัดหาแหล่งกำจัดขยะซึ่งถูกต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งรายได้ที่ได้รับ จากการเก็บค่าธรรมเนียมไม่สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และให้ความสำคัญเป็นพิเศษในเรื่อง การ จัดการขยะจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสต ร์ ให้มีแผนในการดำเนินการที่ชัดเจน เรื่อง การพัฒนา เทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) โดยนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ตลอดทั้งกระบวนการ และ พิจารณาดำเนินการปรับแผนให้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติ โดยประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยว ข้อง เรื่อง การจัดหาแหล่งกำจัดขยะ ควรกำหนดผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและพื้นที่ที่เหมาะสมไว้ในผังเมือง ให้มีความชัดเจน และเรื่อง การจัดการขยะติดเชื้อ ให้ประสานกับกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีศูนย์ดำเนิน การจัดการขยะติดเชื้อจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ในแต่ละเขตพื้นที่มาประกอบการพิจารณาดำเนินการ เป็นลำดับแรก จึงขยายผลต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไป พิจารณาปรับแผนการจัดการขยะทั้งแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการตามประเด็นอภิปรายดังกล่าว โดย ให้คำนึงถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฯลฯ เพื่อให้สามารถประสานการดำเนินงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และให้รวบรวม ข้อมูลที่เกี่ยวกับการจัดการขยะในภาคเหนือเสนอคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถาน ที่อย่างเป็นทางการ ที่จังหวัดลำพูนด้วย พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการขยะทั้งหมดเพื่อหา รือกับรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2165 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (แนวทางการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนทั่วประเทศ) (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | สสป | 16/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่
4.2 (ฝ่ายการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภา ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่อง แนวทางการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน ทั่วประเทศ โดยมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าของเรื่องรับไปพิจารณาร่วม กับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการ ตาม ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ฯ และประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่า ในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประสบปัญหาและอุปสรรค มาโดยตลอด ทั้งด้านขาดงบประมาณ ขาดบุคลากรที่ชำนาญ และขาดความพร้อมในการบริหารจัดการ รวมทั้ง การจัดสรรงบประมาณเพื่อการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียในชุมชนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตาม แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องมีความสอดคล้องกับ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเรื่องอื่น ๆ ด้วย จึงเห็นควรที่ต้องมีการพิจารณาทบ ทวนในเรื่องนี้ โดยเฉพาะการมีระบบแก้ไขและป้องกันภัยน้ำเสียในชุมชน เช่น การให้มีที่ดักไขมันในร้านอาหาร และครัวเรือน และการควบคุมประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียของโรงงานเล็ก ๆ ในชุมชนซึ่งเป็นแหล่งที่ทำให้ น้ำเสียมีความเข้มข้นสูง เป็นต้น จึงเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้า ของเรื่องรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องจัดทำความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2166 | การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | นร | 16/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอแนวทาง หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการเสนอ
ขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ดังนี้ ให้ส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ/หน่วยงานอื่น ภาครัฐ เสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ฯ เฉพาะรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง และสอด คล้องกับนโยบายที่สำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล โดยมีหลักเกณฑ์รายการที่มีการใช้จ่ายในลักษณะดังนี้ (1) เป็น ไปตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ 5 ประการ คือ ยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของ ประเทศ ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ยุทธศาสตร์การพัฒนาทุนทางสังคม การ แก้ไขปัญหาความยากจน และยกระดับคุณภาพชีวิต ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ การต่างประเทศ การ อำนวยความยุติธรรม และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการประเทศ (2) เป็นรายจ่ายลงทุนที่สำคัญก่อให้เกิด ผลในการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ และ (3) เป็นรายจ่ายลงทุนหรือรายจ่ายประจำที่สำคัญตามนโยบาย เร่งด่วนของรัฐบาล สำหรับขั้นตอนในการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ฯ ให้ส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ/ หน่วยงานอื่นภาครัฐ จัดทำคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ที่ได้มีการตรวจ สอบและรับรองข้อมูลแล้วว่า การดำเนินการนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา จักรไทย พ.ศ. 2540 กฎหมาย หรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำเสนอต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อขอรับความ เห็นชอบ และรวบรวมจัดส่งให้สำนักงบประมาณดำเนินการภายในวันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2547 และให้ สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายดังกล่าว เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ในวันอังคารที่ 10 สิงหาคม 2547 เพื่อนำเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2167 | การแก้ไขปัญหาที่ดินของรัฐ จังหวัดกาญจนบุรี | นร | 06/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่ดินของรัฐ จังหวัดกาญจนบุรี โดยรับทราบและอนุมัติใน
หลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะ ความยากจนแห่งชาติ เสนอให้จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดนำร่องเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ตาม โครงการของศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ (ศตจ.) และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดย ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปเป็นแนวปฏิบัติด้วยดังนี้ ขั้น ตอนการพิสูจน์สิทธิ์การครอบครองที่ดินเมื่อสำนักงานแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐประจำจังหวัด (กบร. จังหวัด) พิจารณาเป็นประการใดแล้ว ให้ส่งผลการพิจารณาดังกล่าวให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ ดินของรัฐ (กบร.) และส่วนราชการที่รับผิดชอบที่ดินและส่วนราชการที่ใช้ประโยชน์พิจารณาในขั้นสุดท้ายเพื่อ ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 และเพื่อ ให้การดำเนินการในขั้นตอนการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศเป็นไปด้วยความรวดเร็ว มอบให้คณะเจ้าหน้าที่ หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 ข้อ 8(7) เพื่อทำหน้าที่อ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศเป็นการเฉพาะ และดำเนินการเฉพาะจังหวัด กาญจนบุรีเพียงจังหวัดเดียว และเพื่อให้ขั้นตอนการออกโฉนดเป็นไปด้วยความรวดเร็ว กรณีการพิสูจน์สิทธิ์ การครอบครองที่ดินของรัฐของ กบร. เสร็จสิ้นแล้ว ควรพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นในการออกกฎ หมายกลางเพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามขั้นตอนหรือบทบัญญัติใดของกฎหมายเฉพาะอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นปัญหา และอุปสรรคให้เกิดความล่าช้า ติดขัด ในการออกโฉนดด้วย นอกจากนี้ อนุมัติในหลักการงบประมาณ 134,026,709 บาท จากกรอบวงเงินของ ศตจ. จำนวน 7,009,706,400 บาท ซึ่งจะได้ขอจัดสรรเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักย ภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป ส่วนงบประมาณในส่วนของกรมพัฒนาที่ดิน จำนวน 14,240,000 บาท ซึ่งมิได้ตั้งงบประมาณรวมอยู่ในกรอบวงเงิน 7,009,706,400 บาท ให้กรมพัฒนาที่ดิน เสนอโครงการให้ ศตจ. พิจารณาก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2168 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองศูนย์กลางภาคเหนือตอนบน (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | นร | 29/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ (สศช.) เสนอ และให้ สศช. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ ฯ ต่อ ไป โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตบางประการของกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการส่ง เสริมการลงทุน รวมทั้งความเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่จะเดินทางไปตรวจราชการ ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนในเร็ว ๆ นี้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการ ต่าง ๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ ฯ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป หลังจากที่ได้ทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์เรียบร้อยแล้วตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้ ในภาพรวมของยุทธศาสตร์ ฯ ยังไม่ครอบคลุมถึงแผนงาน/โครงการที่จะแก้ ไขปัญหาสังคมต่าง ๆ ในพื้นที่ และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในพื้นที่สูง จึงขอให้ สศช. และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการกำหนดแผนงาน/โครงการเพิ่มเติมตามที่เห็นสมควรต่อ ไป และการพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดภาคเหนือตอนบนดังกล่าว จะต้องระมัดระวังมิให้เกิดผลกระทบต่อเขตเมือง เก่า เขตโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ซึ่งควรอนุรักษ์ไว้โดยกระทรวงมหาดไทยควรเร่งรัดดำเนินการ ให้กฎหมายเกี่ยวกับผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะแล้วเสร็จ และมีผลใช้บังคับโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินโครง การพัฒนาต่าง ๆ สอดคล้องกับกฎหมายผังเมืองดังกล่าว สำหรับโครงการด้านการพัฒนาระบบการจราจร และขนส่งควรคำนึงถึงการประหยัดพลังงานโดยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการใช้การขนส่งทางน้ำ ตลอด จนการสร้างทางรถจักรยานเป็นทางเลือกให้มากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันจังหวัดลำพูนมีการขยายตัวทาง ด้านอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก จึงควรพิจารณาจัดทำโครงการพัฒนาที่มีความเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดลำพูน และเชียงใหม่เพื่อรองรับการขยายตัวดังกล่าว รวมถึงโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค นอกเหนือจากโครงการในด้านการแก้ไขปัญหาการจราจร ส่วนปัญหาการจราจรติดขัดในจังหวัดเชียงใหม่ สมควรเร่งดำเนินโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ ในส่วนของแผน งาน/โครงการตามยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงรายทั้งหมดรวม 4 โครงการซึ่งได้แก่ โครงการปรับปรุงฝายเชียง ราย โครงการผันน้ำแม่กรณ์-แม่กก โครงการอ่างเก็บน้ำดอยงู และโครงการอ่างเก็บน้ำแม่สรวย มอบให้ สศช. พิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยให้นำเรื่อง ผลการพิจารณาและบูรณาการแผนโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณงบกลางปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 โครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในส่วนของจังหวัดเชียงราย ของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลังมารวมพิจารณา ด้วย กับเห็นชอบให้มีการศึกษาเพื่อพัฒนาเมืองศูนย์กลางความเจริญภาคเหนือตอนบน เชียงใหม่-ลำพูน และการจัดทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นฐานการรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ และการ เชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างเมือง โดยมอบให้ สศช. รับไปดำเนินการ โดยค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้ ในวงเงิน 43 ล้านบาท ให้ สศช. ขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ตามขั้นตอนต่อ ไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ นอกจากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนิน งานเร่งรัดการจัดทำผังเมืองให้มีผลบังคับตามกฎหมายโดยเร็ว โดยลดขั้นตอนการดำเนินงานลง ให้องค์ การบริหารส่วนจังหวัดเป็นกลไกการประสานแผนงานการพัฒนาระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย เฉพาะพื้นที่ส่วนขยายของเมืองกับเทศบาลนคร เทศบาลเมือง และเทศบาลตำบล โดยใช้ผังเมืองเป็นกรอบ และจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพัฒนาพื้นที่ระหว่างเมืองร่วมกัน คือ เชียงใหม่-ลำพูน โดยใช้ยุทธศาสตร์การ พัฒนาเมืองศูนย์กลางภาคเหนือตอนบนเป็นหลักในการพัฒนา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2169 | ผลการพิจารณาและบูรณาการแผนโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง ปีงบประมาณ 2547 โครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในส่วนของจังหวัดเชียงราย (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | กษ | 29/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง ผลการพิจารณาและบูรณาการแผนโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบ
ประมาณ งบกลาง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในส่วนของจังหวัดเชียง ราย ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า กรมชลประทานโดยโครงการชลประทานเชียงรายได้ร่วมประชุม คณะทำงานการแก้ไขปัญหาอุทกภัยกรณีเร่งด่วนลุ่มน้ำลาวและลุ่มน้ำกรณ์เพื่อบูรณาการแผนงานโครงการป้อง กันน้ำท่วมในเขตพื้นที่เศรษฐกิจชุมชน ณ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2546 โดยที่ประชุมได้กำหนด มาตรการไว้ 2 มาตรการคือ มาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง เป็นมาตรการด้านการจัดการน้ำ และมาตรการใช้สิ่งก่อ สร้าง เพื่อพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ ประเภทอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมทั้งพัฒนาแหล่งน้ำ ประเภทฝายน้ำล้น และได้กำหนดเป็นแผนปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย แบ่งออกเป็น 3 ระยะ งบ ประมาณรวมทั้งสิ้น 4,326.68 ล้านบาท แบ่งออกเป็น ระยะเร่งด่วน จำนวน 31 โครงการ วงเงิน 420.10 ล้าน บาท ระยะสั้น จำนวน 23 โครงการ วงเงิน 649.77 ล้านบาท และระยะยาว จำนวน 158 โครงการ วงเงิน 3,256.81 ล้านบาท ซึ่งตามแผนงานทั้ง 3 ระยะ มีงานที่กรมชลประทานเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลางในปี พ.ศ. 2547 อยู่จำนวน 4 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 170.119 ล้านบาท คือ โครงการปรับปรุง ฝายเชียงราย โครงการผันน้ำแม่กรณ์-แม่กก โครงการอ่างเก็บน้ำดอยงู และโครงการอ่างเก็บน้ำแม่สรวย นั้น คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า ในส่วนของแผนงาน/โครงการ ตามยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงรายทั้ง 4 โครง การ โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนความจำเป็น เหมาะสมในภาพรวมร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยให้นำผลการพิจารณาและบูรณา การแผนโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณงบกลางปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ ไขปัญหาอุทกภัยในส่วนของจังหวัดเชียงรายให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในครั้งนี้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวง การคลัง มารวมพิจารณาด้วย ดังนี้ มาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้างซึ่งเป็นมาตรการในการบริหารจัดการน้ำ เช่น การตรวจสอบและสำรวจพื้นที่ เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหา การปลูกต้นไม้บริเวณ ต้นน้ำ การติดตั้งระบบเตือนภัย โดยกำหนดเป็นยุทธศาสตร์และแผนงานหลักในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยตาม สภาพพื้นที่ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวที่ช่วยทำให้ไม่เกิดปัญหาเดิมซ้ำอีก ส่วนมาตรการ ใช้สิ่งก่อสร้าง เป็นมาตรการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำมีแนวทางแก้ไขในการที่จะพัฒนาและปรับปรุงแหล่ง เก็บกักน้ำประเภทอ่างเก็บน้ำ และฝายน้ำล้น เพื่อเก็บกักน้ำและชะลอการไหลของน้ำ เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะ หน้าที่มีความจำเป็นเร่งด่วน รวมไปถึงการจัดทำแผนงาน/โครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยโดยแบ่งแผนงานออก เป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว เป็นการจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็นเร่ง ด่วนและให้เหมาะสมกับเงินงบประมาณที่ได้รับในแต่ละปี สำหรับโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยทั้ง 4 โครงการ เป็นโครงการที่ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่ จังหวัดเชียงราย การแก้ไขจึงต้องมีการวางแผนทั้งระบบแบบบูรณาการทั้งในระยะเร่งด่วน และระยะยาว โดย จัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน และการขอจัดตั้งงบ ประมาณ นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวเป็นภารกิจหลักของกรมชลประทาน และเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้อง ใช้เงินงบประมาณค่อนข้างสูง โดยมีระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547-2549 การใช้เงินงบประมาณงบ กลาง ปี พ.ศ. 2547 กรมชลประทานอาจไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ เนื่องจากมีระยะเวลา ที่เหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ประมาณ 3 เดือนเศษเท่านั้น จึงเห็นควรให้กรมชลประทานขอจัดตั้งงบ ประมาณรายจ่ายในปีต่อไปในแผนงานปกติตามความจำเป็นเร่งด่วนของแต่ละโครงการต่อไป ประกอบกับการ จัดทำแผนบูรณาการของกรมชลประทาน ยังไม่มีความชัดเจนในการศึกษาความต้องการของประชาชนในพื้นที่ การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และความเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะสามารถดำเนินงานให้ เป็นระบบทั้งในเรื่องแผนงานและระยะเวลาดำเนินการ ดังนั้น เพื่อให้ผลประโยชน์ที่จะเกิดจากโครงการเป็นไป ตามวัตถุประสงค์ที่คาดหมายไว้ เห็นควรให้กรมชลประทานทบทวนแผนบูรณาการในแต่ละโครงการดังกล่าว ให้มีความสมบูรณ์และชัดเจนยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2170 | การรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินงานตามผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี | กต | 15/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินงาน
ตามผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 - 28 กรกฎาคม 2546 ดังนี้ เรื่องปัญหาเขตแดน บริเวณหลักเขตแดนที่ 69 - 72 (บูกิตเยลี) กระทรวงการต่างประเทศกำลังพิจารณาข้อเสนอใหม่ที่ฝ่ายมาเล เซียมอบให้เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2547 เรื่องการแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติ ขณะนี้กำลังรอคำตอบจาก ฝ่ายมาเลเซียเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยเสนอที่จะประชุมร่วมกับมาเลเซีย เพื่อแสวงหามาตรการร่วมกันในการ เชื่อมโยงข้อมูลด้านทะเบียนราษฎร์ระหว่างกัน เพื่อตรวจสอบสถานะของบุคคลสองสัญชาติ และกำหนดมาตร การที่จะดำเนินการต่อไป เรื่องการแก้ไขกฎระเบียบ Made in Malaysia ขณะนี้กำลังรอผลการพิจารณาจาก ฝ่ายมาเลเซีย และเรื่องความร่วมมือการตรวจลงตรา กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้เป็นเจ้าภาพ จัดประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2546 ที่ประชุมได้มีมติให้ศึกษาพิจารณากำหนดมาตร การในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2171 | มาตรการในการตรวจสอบความถูกต้องของร่างพระราชบัญญัติก่อนที่รัฐสภาจะมีมติเห็นชอบ | นร | 01/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7
(คกก.7) (ฝ่ายกฎหมาย) ที่ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาเสนอแนวทางดำเนินการ เกี่ยวกับมาตรการ ตรวจสอบความถูกต้องของร่างพระราชบัญญัติก่อนที่รัฐสภาจะมีมติเห็นชอบ โดยมีสำนัก งานคณะกรรมการ กฤษฎีกาทำหน้าที่ดังกล่าวเป็นหลักตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ส่วนจะมี การกำหนดตำแหน่ง และจำนวนของปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว รวมถึงอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้เท่าใด มอบ ให้ไปพิจารณาตาม ความเหมาะสมโดยรับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 ไปพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป และ รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับ แนวทางการดำเนินการ ตามมติ คกก.7 กรณีการตั้งคณะกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประสานงานเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างรัฐบาล และวุฒิสภา ซึ่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าการจัดตั้งคณะกรรม การขึ้นทำหน้าที่ประสานงานเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างรัฐบาลกับวุฒิสภานั้น อาจมีการมองว่าเป็นการ แทรกแซงทางการเมืองได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการดำเนินการโดยวิธีการดังกล่าว แต่ เพื่อให้เกิดความรอบคอบ เกี่ยวกับร่างกฎหมายต่าง ๆที่จะมีการพิจารณาในชั้นวุฒิสภา คณะกรรมการประสาน งานสภาผู้แทนราษฎร จะได้มีการประสานเป็นการภายใน เพื่อให้ผู้แทนจากรัฐบาลเข้าร่วมเป็นกรรมาธิการ ด้วยโดยจะประสานขอ ให้วุฒิสภาพิจารณาแก้ไขข้อบังคับซึ่งจะมีความเหมาะสมกว่า ประกอบกับปัจจุบันคณะ กรรมการประสานงาน สภาผู้แทนราษฎรได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการคณะต่างๆ จำนวน 5 คณะโดยมีการแบ่ง หน้าที่ตามกลุ่มภาร กิจต่าง ๆ และได้ทำหน้าที่ประสานงานเป็นการภายในกับวุฒิสภาในการพิจารณาเรื่องต่างๆ อยู่แล้ว และ เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักเลขาธิ การคณะ รัฐมนตรี ร่วมกันจัดทำคู่มือเกี่ยวกับวิธีและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการร่างกฎหมายให้มีความ ถูกต้องสมบูรณ์ แล้วแจ้งเวียนให้ส่วนราชการและหน่วยงานรับทราบและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดต่อไป และให้ รัฐมนตรีทุกท่านศึกษารายละเอียด เกี่ยวกับวิธีและแนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ และติดตามความเคลื่อนไหวของ ร่างกฎหมายที่รับผิดชอบในทุกขั้นตอนด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2172 | ร่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยุบรวมภาควิชาในคณะเทคนิคการแพทย์) | ศธ | 01/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอร่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง การแบ่งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ ยุบรวมภาควิชา จำนวน 5 ภาควิชาในคณะเทคนิคการแพทย์ ได้แก่ ภาควิชาเคมีคลินิก ภาควิชาจุลชีววิทยาคลินิก ภาควิชาจุล ทรรศนศาสตร์คลินิก และภาควิชาภูมิคุ้มกันวิทยาคลินิก เข้าด้วยกันเป็น 1 ภาควิชา คือ "ภาควิชาเทคนิคการ แพทย์" และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวง ศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรมีการพิจารณาเรื่องชื่อของภาควิชาและคณะให้เหมาะสม กับบทบาทและความรับผิดชอบ เนื่องจากคณะเทคนิคการแพทย์ตามโครงสร้างใหม่ได้มีการสอนวิชาในสาขา อื่นอีก 3 สาขา นอกเหนือจากสาขาเทคนิคการแพทย์ ไปพิจารณาด้วย แล้วแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาทราบโดยตรงต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2173 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | นร | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่สำนักงบประมาณเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 โดยมีสาระสำคัญคือ ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เป็น จำนวนไม่เกิน 1,200,000,000,000 บาท เพื่อให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้มีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2548 สำหรับใช้เป็นหลักในการจ่ายเงินแผ่นดิน และให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจปฏิบัติตามกฎ หมายว่าด้วยเงินคงคลัง และกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณที่กำหนดให้ตั้งรายจ่ายชดใช้เงินคงคลังตามที่ได้จ่าย ไปแล้ว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบ ประมาณทราบโดยตรง เพื่อจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติและเอกสารงบประมาณเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความ เห็นชอบ ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2174 | แนวทางการจัดทำความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการในเรื่องที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ให้คำปรึกษาและข้อเสนอและต่อคณะรัฐมนตรี | นร | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดระยะเวลาในการจัดความเห็นผลการพิจารณา
และผลการดำเนินการในเรื่องที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ให้คำปรึกษาและ ข้อเสนอและต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2175 | รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาภาพรวมการจัดสรรที่ดินและการออกแบบอาคารโครงการที่ใช้พื้นที่เดียวกันเพื่อก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ ตลาดกลางสินค้าเกษตรจังหวัด และศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาและกระจายสินค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จังหวัดเชียงใหม่ | นร | 27/04/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอผลการพิจารณาของคณะกรรม
การพิจารณาภาพรวมการจัดสรรที่ดิน และการออกแบบอาคารโครงการที่ใช้พื้นที่เดียวกันเพื่อก่อสร้างศูนย์ประชุม และแสดงสินค้านานาชาติ ตลาดกลางสินค้าเกษตรจังหวัด และศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาและกระจายสินค้าวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม จังหวัดเชียงใหม่ โดยคณะกรรมการ ฯ ได้มีการประชุมพิจารณาภาพรวมการจัดสรรที่ดิน ของโครงการ ฯ ที่ใช้พื้นที่เดียวกันในเรื่องการใช้ประโยชน์ในที่ดินและผังเมืองรวม ความเหมาะสมด้านที่ตั้ง และผล กระทบด้านการจราจรของโครงการ สำหรับพื้นที่ดำเนินโครงการตลาดกลางสินค้าเกษตร คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ให้ คงดำเนินการในพื้นที่ที่กำหนดไว้เดิม ส่วนที่ตั้งของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติให้ดำเนินการตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2546 ต่อไป ทั้งนี้ การสร้างห้องประชุมให้ดำเนินการก่อสร้างโดยยึดหลักความ จำเป็น เหมาะสม ประหยัด เป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2176 | การขยายระยะทางวิ่งของสนามบินสงขลา | กห | 30/03/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอผลการพิจารณาเกี่ยวกับการขยายทางวิ่งของ
สนามบินจังหวัดสงขลา ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า เนื่องจากการขยายทางวิ่งของสนามบินดังกล่าวต้องใช้ งบประมาณค่าใช้จ่ายจำนวนสูงมาก อาจไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน จึงขอให้พิจารณาดำเนินการเฉพาะการปรับปรุง สภาพทั่ว ๆ ไปของสนามบิน เพื่อให้เกิดความสะดวกปลอดภัยในการใช้สนามบินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เช่น การ ย้ายเสาอากาศวิทยุของสำนักงานตำรวจภูธรภาค 9 เป็นต้น สำหรับผลการพิจารณาการขยายทางวิ่งของสนาม บินจังหวัดสงขลาซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้งานเนื่องจากบริเวณหัวทางวิ่ง 13 มีเสาอากาศวิทยุของสำนักงานตำรวจ ภูธรภาค 9 และบริเวณหัวทางวิ่ง 31 มีภูเขาสำโรงและภูเขาเก้าเส้ง กีดขวางอากาศยานในการขึ้น และร่อนลง จึงจำเป็นต้องขยายระยะทางวิ่งของสนามบินจากเดิม 1,510 เป็น 1,800 เมตร โดยการจัดซื้อหรือเวนคืนที่ดิน บริเวณด้านทิศใต้ของสนามบินซึ่งเป็นแหล่งชุมชน ถนน และโรงพยาบาลประสาท รวมทั้งปรับระดับความสูงของ ภูเขาสำโรงและภูเขาเก้าเส้งให้ลดลง ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามกฎการบินขององค์การบินพลเรือนระหว่าง ประเทศ (ICAO : International Civil Aviation Organization) ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการขึ้น-ลง ของเครื่องบินพาณิชย์ขนาดเล็ก เครื่องบินโบอิ้ง 737-200 และเครื่องบิน LEARJET ของกองทัพอากาศ เครื่อง บิน KING AIR 200 ของกองทัพบก เครื่องบินใบพัด ATR เครื่องบินฟอกเกอร์ของบริษัทบางกอกแอร์เวย์ และ เครื่องบิน F-27 MK 400 ของกองทัพเรือ โดยได้ประมาณการความต้องการงบประมาณเพื่อการดำเนินการดัง กล่าวเป็นเงิน 603,180,000 บาท |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2177 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่องความรุนแรงต่อสตรีในครอบครัว | สว | 30/03/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอรายงานผลการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ความรุนแรงต่อสตรีในครอบครัวของคณะกรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชนและผู้สูงอายุ วุฒิสภา โดย ผลการศึกษาในเรื่องนี้ คณะกรรมาธิการ ฯ ได้สรุปสาเหตุของความรุนแรงซึ่งเกิดจากปัญหาในระดับและมิติ ต่าง ๆ ได้แก่ จารีตประเพณี โครงสร้างทางสังคม โครงสร้างทางการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปัญหา ทางด้านสภาวะทางกายและทางจิต และการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอก ในการนี้คณะกรรมาธิการ ฯ ได้มีข้อ เสนอแนะการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในด้านกฎหมาย ควรมีแนวทางการใช้มาตรการ ทางกฎหมาย แก้ไขปรับปรุง รวมทั้งจัดทำกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว ได้แก่ การ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 การแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 6 การกำหนด กฎหมายพิเศษเฉพาะ การชะลอการฟ้อง การคุมประพฤติ วิธีการเพื่อความปลอดภัย และศาลครอบครัว ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2178 | รายงานการพิจารณาศึกษาและติดตามการแก้ไขฟื้นฟูวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ | สว | 30/03/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอรายงานผลการพิจารณาศึกษา
และติดตามการแก้ไขฟื้นฟูวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และ อุตสาหกรรม วุฒิสภา โดยผลการศึกษาจากการศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ของไทยในช่วงปี พ.ศ. 2544-พ.ศ. 2545 ตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น อัตราการขยายตัวของ GDP ดัชนี การบริโภค ดัชนีการลงทุน และยอดสินเชื่อทั้งเพื่อการบริโภค และการลงทุน ต่างปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่แรงกดดันด้านการไหลออกของเงินทุนลดลง และค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณ ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน รวมทั้งมีข้อสังเกตกรณีคณะอนุกรรมาธิการ ฯ ได้พิจารณาปัญหาที่เกิด ขึ้นและสรุปข้อคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ประเด็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ประเด็นการขยาย ตัวของเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ประเด็นการแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และสินเชื่อของธนาคาร และ ประเด็นด้านเสถียรภาพในการส่งออก ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอ คณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2179 | ร่างพระราชกฤษฎีกาข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ..ศ. .... | นร | 30/03/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
(ฝ่ายกฎหมาย)ที่มีมติให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนำประเด็นปัญหาข้อขัดแย้งเกี่ยวกับพระราชบัญญัติ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ในเรื่องการบังคับใช้กับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเร็ว รวมทั้งอนุมัติหลักการตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอร่างพระราช บัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..)พ.ศ. ... ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของสำนักงานปลัดสำนักนายก รัฐมนตรี สำนักนายกไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นการล่วงหน้าโดยให้รอผลการพิจารณาของศาล รัฐธรรมนูญในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ให้รับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 พร้อมความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณา ด้วย โดยในส่วนของประเด็นอภิปราย คกก.7 เห็นว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ของทางราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานกรรมการควรเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและจำนวนของคณะกรรมการควรมีความเหมาะสมกะทัดรัดมีผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องข้อมูลข่าวสารทางราชการในหลายด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกฎหมายและเทคโนโลยี นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ควรมีการปรับปรุงรูปแบบให้เหมาะสมและสอด คล้องกับภารกิจที่มี โดยกำหนดให้สำนักงาน ฯ เป็นหน่วยงานที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินการเพื่อให้เป็นที่ ยอมรับจากทุกฝ่าย แต่ปัจจุบันปริมาณงานในหน้าที่ยังมีไม่มากที่จะจัดตั้งเป็นหน่วยงานระดับกรม ประกอบกับ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงระบบราชการใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มว่า กรมจะไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ดังนั้น รูปแบบใหม่ของสำนักงาน ฯ อาจจะไม่มีฐานะเป็นกรม ในทำนองเดียวกับสำนักงาน ก.พ.ร. ก็เป็นอีกแนวทาง หนึ่ง อย่างไรก็ดีควรรอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน หากวินิจฉัยว่าหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ ต้องอยู่ในบังคับพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ก็จะเป็นการเพิ่มอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีความสำคัญ ซึ่งจะ เป็นเหตุผลให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สมควรเป็นส่วนราชการระดับกรมได้ แล้วส่ง ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดย ในการส่งสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้แจ้งด้วยว่า เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จำเป็นต่อการบริหารราชการแผ่น ดิน ตามมาตรา 173 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และอนุมัติหลักการตามที่สำนักงานปลัดสำนัก นายกรัฐมนตรีเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ เมื่อ ร่างพระราชบัญญัติข้างต้นประกาศใช้บังคับแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2180 | ผลการพิจารณายุทธศาสตร์และการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการกลุ่มท้าทาย | นร | 23/03/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.)
รายงานผลการพิจารณายุทธศาสตร์และการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการกลุ่มท้าทาย (กลุ่มที่ 2) ส่วนราชการที่ต้องการเข้าร่วมการพัฒนาการปฏิบัติราชการในระดับท้าทาย ซึ่งมีส่วนราชการลง นามคำรับรองการปฏิบัติราชการที่ต้องการเข้าร่วมการพัฒนาปฏิบัติราชการในระดับท้าทาย จำนวน 6 ส่วน ราชการ ได้แก่ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงาน ก.พ.ร. เ มื่อวันที่ 24 มกราคม 2547 โดยในส่วนกรมป่าไม้ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานขอเปลี่ยนแปลง การจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการจากกลุ่มท้าทาย (กลุ่มที่ 2) เป็นกลุ่มภาคบังคับ (กลุ่มที่ 1) นอก จากนี้ มีส่วนราชการกลุ่มท้าทายที่ต้องการจะลงนามในคำรับรองการปฏิบัติราชการต่อไป จำนวน 17 ส่วน ราชการ ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร. จะนำเสนอผลการเจรจาตกลงกับส่วนราชการดังกล่าว ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อ ทราบในวันที่ 23 มีนาคม 2547 และจะจัดให้มีพิธีลงนามในวันดังกล่าว และขอจัดพิธีลงนามก่อนหรือหลัง วันที่ 23 มีนาคม 2547 ได้แก่ ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในกลุ่มท้าทาย จำนวน 10 ส่วน ราชการ จะมีการลงนามคำรับรองการปฏิบัติราชการระหว่างรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการในวันที่ 19 มีนาคม 2547 และส่วนราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในกลุ่มท้าทาย จำนวน 3 ส่วนราชการจะ จัดให้มีการลงนามคำรับรองการปฏิบัติราชการระหว่างรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการ ให้แล้วเสร็จภายใน เดือนมีนาคม 2547 |
.....