ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 106 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 2101 - 2120 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2101 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับ "การปฏิรูปขบวนการสหกรณ์" | สสป | 31/05/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับ "การปฏิรูปขบวนการสหกรณ์" โดยมีข้อเสนอแนะว่า พระราช บัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 ที่ใช้ในปัจจุบันเป็นอุปสรรคและปัญหาสำคัญต่อการพัฒนาขบวนการสหกรณ์ จึงสมควรยกเลิกและตรากฎหมายขึ้นใหม่ เป็นกฎหมายสหกรณ์ฉบับเดียวใช้กับสหกรณ์ทุกประเภทให้มีความ เป็นอิสระภายใต้ข้อบังคับที่สหกรณ์กำหนดขึ้น และปฏิรูปโครงสร้างขบวนการสหกรณ์ให้มีสภาสหกรณ์แห่ง ชาติและคณะกรรมการพัฒนาสหกรณ์แห่งชาติ และจัดตั้งองค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 หรือองค์กรรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนสหกรณ์ เช่น ด้านฐานข้อมูลการตลาด วิชาการ ด้านสหกรณ์และศูนย์สารสนเทศสหกรณ์ ด้านการบริหารจัดการสนับสนุนกองทุน พัฒนาสหกรณ์ และการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากร นอกจากนี้ ควรกำหนดนโยบาย "สร้างสังคมสหกรณ์" เป็นวาระแห่ง ชาติ" นโยบายสร้าง "ชุมชนสหกรณ์" ส่งเสริมและสนับสนุนการสหกรณ์ในสถานศึกษา ตลอดจนส่งเสริมและ สนับสนุนการจัดตั้งสหกรณ์ในทุกภาคส่วนของสังคม และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการ ดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2102 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง"แนวทางการจัดบริการสวัสดิการสังคมแก่ผู้สูงอายุในชนบทของภาครัฐ" | นร | 31/05/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการจัดบริการสวัสดิการสังคมแก่ผู้สูงอายุในชนบทของภาครัฐ" โดยมีความเห็นและข้อเสนอแนะในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ การจัดสวัสดิการสงเคราะห์ของรัฐ ควรมีการทบทวนการ เพิ่มบริการสถานสงเคราะห์หรือบ้านพักคนชราที่แยกผู้สูงอายุออกจากชุมชน แต่ควรส่งเสริมบริการที่มีลักษณะ หลากหลายในชุมชน โดยรัฐสนับสนุนด้านงบประมาณให้ชุมชนดำเนินการ เป็นต้น การจัดระบบคุ้มครองดูแล ผู้สูงอายุของรัฐ ควรเน้นระบบการคุ้มครองผู้สูงอายุระยะยาว รวมทั้งขยายและกระจายบริการสวัสดิการที่ตอบ สนองความต้องการพื้นฐานให้ผู้สูงอายุในชนบทให้ครอบคลุมกว้างขวางทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพที่ต้องทั่วถึง โดยเฉพาะในพื้นที่ทุรกันดาร และจัดทำระบบฐานข้อมูลผู้สูงอายุในชนบททั้งประเทศ เพื่อแยกแยะ จัดประเภท ระดับการจัดบริการผู้สูงอายุในชนบทให้มีหลายระดับทั้งในระยะวิกฤต ระยะสั้น และระยะยาว เป็นต้น การส่ง เสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุ ควรเตรียมความพร้อมของบริการในอนาคตเพื่อรองรับกับแนวโน้มที่ผู้สูงอายุจะ มีอายุยืนยาวและมีจำนวนมากขึ้น ส่งเสริมบริการการจัดหางานที่สร้างรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุที่เหมาะสมและสอด คล้องกับวัยของผู้สูงอายุ และควรเพิ่มสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุให้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เป็นต้น การประสาน ความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการ ส่งเสริมให้ครอบครัวและชุมชนมีความเข้มแข็งเป็นกลไกหลักในการดูแลผู้สูงอายุและผู้คนในชุมชนและจัดทำฐาน ข้อมูลผู้สูงอายุเพื่อจำแนกกลุ่มปัญหา จัดระบบความช่วยเหลืออย่างมีคุณภาพ ปรับรื้อโครงสร้างและทบทวน ภารกิจใหม่ของศูนย์สงเคราะห์ราษฎรประจำหมู่บ้าน เป็นต้น การจัดสรรงบประมาณให้แก่ผู้สูงอายุ ควรทบ ทวนระบบการพิจารณาและกระบวนการจ่ายเบี้ยยังชีพ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุเองและชุมชน เพื่อ ให้บริการถึงมือผู้ที่เดือดร้อนและจำเป็นจริง ๆ เพื่อให้ตรงตามเจตนารมณ์และเกิดความเป็นธรรม และมีมาตร การในการลดหรือยกเว้นภาษีเงินได้ให้กับบุตรที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลบิดามารดา สำหรับการบังคับใช้ตามกฎ หมาย ควรส่งเสริมการจัดบริการพื้นฐานสำหรับผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 โดยส่งเสริม การจัดสวัสดิการทางเลือกสำหรับผู้สูงอายุที่ครอบคลุมทั่วถึงต่อเนื่องและเป็นธรรม นอกจากนี้ การมีส่วนร่วม ของประชาชนรัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ควรสนับสนุนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัว เครือญาติ เพื่อน บ้านเพื่อนผู้สูงอายุในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน โดยเฉพาะความรู้ความเข้าใจและทักษะการดูแลผู้สูงอายุที่ป่วย ด้วยโรคต่าง ๆ เป็นต้น และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับผิดชอบ ประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอ คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2103 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการปรับปรุงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกับกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร - อาหาร จากไร่นาถึงผู้บริโภค ภายใต้องค์ประกอบของสายโซ่แห่งคุณค่า : กรณีศึกษาข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว" | กษ | 17/05/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับ "ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการปรับปรุงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกับกระบวน การผลิตสินค้าเกษตร-อาหาร จากไร่นาถึงผู้บริโภคภายใต้องค์ประกอบของสายโซ่แห่งคุณค่า : กรณีศึกษาข้าว และผลิตภัณฑ์จากข้าว" โดยได้ให้ข้อเสนอแนะในเรื่องดังกล่าวว่า ในการพัฒนาจะต้องมีการดำเนินการเชิงระบบ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ชาวนา ผู้ประกอบการโรงสี ผู้ค้าข้าว ผู้ ส่งออกและบุคลากรที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ โดยกำหนดมาตรฐานการผลิตและสินค้าข้าวที่ตอบสนองต่อสากล รวมถึง การเชื่อมโยงเครือข่ายความรู้และพัฒนาด้านต่างๆ เพื่อให้การประกอบการทั้งด้านการผลิตโลจิสติกส์ การตลาด และการบริการเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการสร้างมูลค่าเพิ่ม รัฐควรกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ 5 ด้าน คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างเครือข่ายผู้ที่เกี่ยวข้องในสายโซ่คุณค่า ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างและปรับ ปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนสายโซ่แห่งคุณค่า ยุทธศาสตร์ที่ 3 การถ่ายทอดสารสนเทศและเทคโนโลยี ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และยุทธศาสตร์ที่ 5 การวิจัยพัฒนาและการสร้างทรัพย์สินทาง ปัญญา และควรกำหนดเรื่องยุทธศาสตร์การสร้างมูลค่าเพิ่มภายใต้สายโซ่แห่งคุณค่าเป็นวาระแห่งชาติในการ นำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ รวมไปถึงการเสริมสร้างและสนับสนุนการจัดทำโครงการดังกล่าว จำนวน 20 โครงการ วงเงินประมาณ 90,000 ล้านบาท และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการ ดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบประสานการติดตาม ผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษาฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2104 | การยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 | นร | 17/05/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอขอถอนเรื่อง การ
ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะ รัฐมนตรี คณะที่ 58 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2548 คืนไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2105 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 26/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักประสานงานการเมืองเสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการ
ประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 5/2548 วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2548 ในการพิจารณาระเบียบวาระ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 22 ปีที่ 1 ครั้งที่ 6 และครั้งที่ 7 (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ 27 และวัน พฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2548 และโดยที่ในสัปดาห์นี้มีร่างพระราชบัญญัติที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอ รวม 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดภูเวียง พ.ศ. .... จึงให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้ง ผลการพิจารณาให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรทราบโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2106 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ 7/1 เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างอุโมงค์และท่อส่งน้ำนวมินทร์-ทับช้าง ของการประปานครหลวง | มท | 26/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสมชาย สุนทรวัฒน์)
เสนอขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับผลตอบแทนการลงทุนของโครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ 7/1 (โครง การก่อสร้างอุโมงค์และท่อส่งน้ำนวมินทร์-ทับช้าง) ของการประปานครหลวง (กปน.) จากเดิม ผลตอบแทนทาง การเงิน (IRR) เท่ากับร้อยละ 16.10 และระยะเวลาคืนทุน 5 ปี 1 เดือน เป็น ผลตอบแทนทางการเงิน (IRR) เท่า กับร้อยละ 12.03 และระยะเวลาคืนทุน 3 ปี 8 เดือน และเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอโครงการปรับ ปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ 7/1 (โครงการก่อสร้างอุโมงค์และท่อส่งน้ำนวมินทร์-ทับช้าง) ของ กปน. วง เงินลงทุนโครงการรวม 2,550 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินรายได้ของ กปน. จำนวน 1,550 ล้านบาท และเงินกู้ใน ประเทศ จำนวน 1,000 ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้ง รับทราบการดำเนินงานของ กปน. ต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ในส่วนของผลการศึกษาคัดเลือกแนวเส้นทางก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 351 สายถนนสุขาภิบาล 1-วง แหวนรอบนอกด้านตะวันออก คาดว่า จะแล้วเสร็จประมาณกลางเดือนมกราคม 2548 หลังจากนั้นจะเชิญหน่วย งานสาธารณูปโภคร่วมพิจารณารายละเอียดและความเหมาะสมต่อไป และหากผลการพิจารณาแล้วเสร็จทันกับการ เริ่มงานโครงการ 7/1 กปน. ก็จะปรับแผนงานก่อสร้างให้สอดคล้องกับงานของกรมทางหลวง นอกจากนี้ กระทรวง การคลัง โดยบริษัท TRIS ได้กำหนดเป้าหมายแรงดันน้ำเป็นตัวชี้วัดหนึ่งในข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงาน ของ ปกน. มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง กปน. สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายทุกปี และการลงทุนเพิ่มเติมตามโครง การ 7/1 ก็มีวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มศักยภาพของระบบสูบส่งน้ำให้ประชาชนได้รับน้ำด้วยแรงดันน้ำที่สูงขึ้นด้วย และ ให้ดำเนินการต่อไปได้ โ ดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการดำเนินการต่อไป อาทิ ความ เห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เห็นด้วยต่อการดำเนินโครงการ 7/1 ของ กปน. ในการ นี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ทำการตรวจสอบแผนการจัดการมลพิษในพื้นที่ดังกล่าว โดยจะ พิจารณาปรับปรุงแผนเพิ่มเติมเพื่อรองรับปริมาณน้ำเสียจากแหล่งต่าง ๆ ที่จะเพิ่มขึ้น และจะประสานในรายละ เอียดกับ กปน. ต่อไป และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการก่อสร้างตามโครงการดังกล่าว กปน. ควร ประสานและติดตามความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 351 อย่างใกล้ชิด และปรับแผนงาน ก่อสร้างให้สอดคล้องกับงานของกรมทางหลวง เพื่อให้การใช้จ่ายเงินลงทุนเป็นไปอย่างเหมาะสม มีความคุ้มค่าและ ประหยัด เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||
2107 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | นร | 15/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอให้ส่วนราชการและหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องถือแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2547 และวันที่ 22 มิถุนายน 2547 ต่อไปตามเดิม โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมและปรับปรุงให้เป็นมติคณะรัฐมนตรีฉบับเดียว เพื่อความสะดวก ในการถือปฏิบัติ ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และ ข้อสังเกตดังกล่าว ดังนี้ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาได้ส่งญัตติ รายงาน หรือข้อสังเกตของคณะกรรมา ธิการสามัญหรือวิสามัญ มาเพื่อให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาส่ง ญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ ฯ ให้ส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับไป พิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามญัตติ รายงาน และข้อสังเกตในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน เมื่อได้ รับแจ้งผลการพิจารณาจึงให้นำญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ ฯ ในเรื่องนั้น พร้อมทั้ง ความเห็นของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน ในกรณีที่ญัตติ รายงานหรือข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีส่วนราชการและหน่วยงาน ของรัฐที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นผู้พิจารณากำหนดให้มีหน่วยงานกลาง ในการรวบรวมผลการดำเนินการตามญัตติ รายงาน และข้อสังเกตดังกล่าวของส่วนราชการและหน่วยงาน ของรัฐที่เกี่ยวข้องมาสรุป แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2108 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "แนวทางการพัฒนางานด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นขององค์กรภาคประชาชน" | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับ "แนวทางการพัฒนางานด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นขององค์กร ภาคประชาชน" ที่เห็นว่า ควรปรับบทบาทสภาวัฒนธรรมตำบลในการดำเนินกิจกรรมด้านวัฒนธรรมให้ครอบ คลุม โดยมีการแบ่งกลุ่มงานเพิ่มเพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินงานด้านวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมการสร้างวัฒน ธรรมท้องถิ่นเข้มแข็ง โดยลดการพึ่งพิงรัฐ อาศัยแนวความคิดในการพัฒนาชุมชน โดยมีชุมชนเป็นศูนย์กลางและ พัฒนาอย่างเป็นองค์รวมทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ มิติสังคมและวัฒนธรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในระยะ ยาว และส่งเสริมบทบาทกลุ่มแกนนำต่าง ๆ ในชุมชนที่มีพลังในการขับเคลื่อนงานทางด้านวัฒนธรรมท้องถิ่น ให้พัฒนาต่อไปได้ เป็นต้น และรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการ ดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรม กรณีการบรรจุประเด็นทางวัฒนธรรมอันเกี่ยวกับอนุรักษ์ ฟื้นฟู ส่งเสริม วิถีชีวิตชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ในแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ด้านที่ 6 ด้านศิลปวัฒนธรรมและจารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น และสนับสนุนงบประมาณ เพื่อการดำเนินงานวัฒนธรรมให้แก่ทุกจังหวัด และเขตในกรุงเทพมหานคร เป็นต้น โดยให้กระทรวงวัฒนธรรม รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2109 | รายงานประจำปี 2546 กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ | สสส. | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.1 (ฝ่ายการ
ศึกษาและการสาธารณสุข) ที่มีมติเกี่ยวกับรายงานประจำปี 2546 ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ทั้งนี้ ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรับไปดำเนินการตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรม การกลั่นกรอง ฯ ดังนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interest) ให้คณะกรรมการกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพกำหนดกติกาและกรอบการพิจารณาตามนัยมาตรา 18(7) แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ให้ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัตของกองทุน ฯ อย่างโปร่ง ใส อธิบายได้ โดยบันทึกหลักการและเหตุผลการใช้ข้อยกเว้นตามมาตราดังกล่าวอย่างละเอียดทุกครั้ง และให้ ดำเนินการตามโครงการที่มีระยะเวลาดำเนินงานข้ามปีและมีการผูกพันงบประมาณข้ามปีเฉพาะกรณีที่เป็นโครง การที่จำเป็นต้องดำเนินการต่อเนื่อง มีเป้าหมายการดำเนินงานในระยะยาวเกินกว่า 1 ปีได้ แต่ต้องนำขออนุมัติ คณะกรรมการกองทุน ฯ โดยระบุกิจกรรมที่ต้องดำเนินการในแต่ละปีอย่างชัดเจน และขออนุมัติงบประมาณผูก พันเป็นรายปี นอกจากนี้ กำหนดให้กองทุนฯ เปิดเผยสัญญารับทุนของกองทุน ฯ ให้ประชาชนทราบอย่างกว้าง ขวาง และเห็นชอบให้ใช้วิธีการเปิดเผยข้อมูลในหลายช่องทาง เช่น การเปิดเผยข้อมูลผลการพิจารณาสัญญา รับทุนทางเว็บไซต์ของกองทุน ฯ เป็นต้น และให้กำหนดขั้นตอนและหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกโครงการ รวมทั้งวิธีการตรวจรับและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการให้สนองวัตถุประสงค์ของกองทุน ฯ ตลอดจน กำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และควรมีการทบทวนประสิทธิภาพการทำงานของผู้จัดการกอง ทุนฯ โดยให้กำหนดให้ผู้จัดการกองทุน ฯ รวบรวมรายงานการสั่งจ่ายเงินและความสอดคล้องของผลการดำเนิน การกับวัตถุประสงค์ของโครงการต่อคณะกรรมการกองทุน ฯ เป็นระยะ ๆ และมอบให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับข้อ สังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ว่า การที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547 ให้ศาสตรา จารย์ประกิต วาทีสาธกกิจ รองประธานกรรมการสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ คนที่ 2 พ้นจากตำแหน่ง เพราะบกพร่องต่อหน้าที่ ตามนัยมาตรา 20(3) แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ควรพิจารณาว่าเป็นข้อบกพร่องของผู้จัดการกองทุน ฯ ด้วย นั้น เห็นว่า ไม่เป็นกรณีที่จะเชื่อมโยง กันได้ แต่ควรจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุน ฯ ที่จะพิจารณา หากเห็นว่า มีความบกพร่องต่อหน้าที่ ตามขอบเขตอำนาจของคณะกรรมการ ฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2110 | การปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ | อก | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่ายการ
เกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการแก้ไขปัญหา ความล่าช้าในการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ ตามผลการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยปรับลดขั้นตอนกระบวนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี จากที่กำหนด ไว้ในปัจจุบัน จะลดระยะเวลาการพิจารณาอนุญาตการต่ออายุประทานบัตร และการขอประทานบัตรในขั้นตอน การขออนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ดังกล่าวจากคณะรัฐมนตรีลงเหลือไม่เกิน 150 วัน และให้กรมทรัพยากรธรณี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดพื้นที่เขตศักยภาพแร่เพื่อการทำเหมืองแร่ (Mining Zone) ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี (ยกเว้นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ ป่า) เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เพื่อให้สามารถอนุญาตประทานบัตรและต่ออายุประทานบัตรได้อย่าง เหมาะสมและรวดเร็วขึ้น แทนการขอผ่อนผันการทำเหมืองในพื้นที่ดังกล่าวจากคณะรัฐมนตรีเป็นแต่ละรายคำขอ หรือรายผู้ประกอบการ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงทบทวนระเบียบปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาความล่า ช้าในการพิจารณาอนุญาตประทานบัตร และให้ดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวโดยเร็วต่อไป และให้รับประเด็น อภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ที่เห็นควรกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้หลักฐานหรือข้อมูลเอกสาร ประกอบการพิจารณาอนุญาต ที่หน่วยงานแต่ละแห่งจะสอบถามไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถใช้ เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่แจ้งไปยังกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ร่วมกันได้ โดยให้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ กำหนดแบบพิมพ์ ที่สามารถเก็บรายละเอียดในเรื่องที่จะขอความเห็นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นครอบคลุม ทุกประเด็นที่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต้องการในแบบพิมพ์เดียวกัน และควรกำหนดระยะเวลาการดำเนิน การของเจ้าหน้าที่ในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน โดยให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาหลักเกณฑ์และวิธีการบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และระเบียบ ก.พ.ร ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้มีการรายงานเหตุที่ไม่สามารถดำเนิน การตามกำหนดเวลาต่อผู้บังคับบัญชา ตลอดจนแจ้งผู้ที่ขออนุญาตให้ทราบโดยพลันเมื่อได้รับการสอบสวน ไป พิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาห กรรมรับไปพิจารณาร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสร้างระบบและกติกาสำหรับใช้ประกอบ การพิจารณาของหน่วยงานของรัฐกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเห็นไม่สอดคล้องกับหน่วยงานของ รัฐหรือผู้ประกอบการในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ว่า จำเป็นต้องหยุดดำเนินการเนื่องจากหลักกฎ หมายใด และหากไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ดำเนินการตามความเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงาน ของรัฐหรือผู้ประกอบการควรมีแนวทางดำเนินการอย่างใดต่อไปโดยเร็ว เพื่อส่งเสริมการประกอบกิจการที่มี ผลต่อความเจริญของประเทศโดยรวม และเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอีกโสดหนึ่งด้วย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับประเด็นอภิปรายดังกล่าวไปหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและนำเสนอคณะ รัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับหลักกฎหมาย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2111 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การอนุรักษ์ เผยแพร่ และใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมท้องถิ่น | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่ายการ
ต่างประเทศ วัฒนธรรม ท่องเที่ยวและกีฬา) ที่มีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ เผยแพร่ และใช้ประโยชน์ จากวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยมีข้อเสนอเกี่ยวกับการกำหนดนิยาม ขอบเขต และเป้าหมายของการดำเนินงาน ด้านวัฒนธรรมอย่างชัดเจน จัดทำระบบข้อมูลพื้นฐานทางวัฒนธรรม พัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่นควบคู่การอนุ รักษ์และฟื้นฟูความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นและชาติพันธุ์ กระจายอำนาจและบทบาทการดำเนินงาน ด้านวัฒนธรรมของรัฐ ส่งเสริมศักยภาพหน่วยงานด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่น ส่งเสริม "สิทธิทางวัฒนธรรม" "ความหลากหลายทางวัฒนธรรม" และ "การมีส่วนร่วม" ของประชาชน ส่งเสริมการลงทุนทางวัฒนธรรมเพื่อ เป็นทุนทางสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน สร้างการเห็นคุณค่าวัฒนธรรมท้องถิ่น และสร้างวัฒนธรรมที่ปลูกฝังคุณ ธรรมและค่านิยมที่ดี รวมทั้งรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการ ดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อส่งเสริมองค์ ประกอบของวัฒนธรรมที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาประเทศ พัฒนาคุณภาพชีวิตของคน และความเข้ม แข็งของชุมชนท้องถิ่น และต้องไม่ทำลายความหลากหลายทางวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นและแต่ละชาติพันธุ์ และควรกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมและผลงานด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีศักยภาพและไม่มีศักย ภาพในการสร้างผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ออกจากกัน ส่วนจัดทำระบบข้อมูลพื้นฐานทางวัฒนธรรม ได้มีการ จัดทำเป็นระบบข้อมูลพื้นฐานทางด้านวัฒนธรรมในเรื่องต่าง ๆ เช่น ข้อมูลทางวัฒนธรรม 76 จังหวัด ข้อมูล แหล่งโบราณสถานและโบราณคดีทั่วประเทศ ฯลฯ และเห็นด้วยกับการพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่นควบคู่การ อนุรักษ์และการฟื้นฟูความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นและชาติพันธ์ โดยวิธีการอนุรักษ์วัฒนธรรมได้ดีที่ สุด คือ การพัฒนาวัฒนธรรมดั้งเดิมและสร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่ โดยยังคงความเป็นเอกลักษณะของแต่ละ วัฒนธรรมท้องถิ่นและชาติพันธุ์ เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลง ไป เป็นต้น โดยให้กระทรวงวัฒนธรรมรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภา ที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2112 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์การผังเมืองของประเทศไทย | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การผังเมืองของประเทศไทย และรับทราบตาม ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย อาทิ ข้อ เสนอให้ย้ายภารกิจด้านนโยบายผังเมืองจากกระทรวงมหาดไทยไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การกำหนด นโยบายและการกำกับดูแลด้านผังเมือง และการจัดทำผังภาคสามารถกระทำได้ด้วยกลไกทางด้านงบประมาณ และการควบคุมทางกฎหมาย บรรลุผลตามเป้าหมายของรัฐและเป็นอิสระจากงานด้านปฏิบัติ เห็นว่า การวาง และจัดทำผังเมืองมี 2 ระดับ คือ ผังระดับนโยบาย ได้แก่ ผังประเทศ ผังภาค ผังอนุภาค และผังระดับปฏิบัติ ได้แก่ ผังเมืองรวมจังหวัด ผังเมืองรวมระดับเมืองหรือชุมชน ผังเมืองเฉพาะและผังอื่น ๆ ซึ่งการดำเนินงานทั้ง 2 ระดับมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันในเชิงพื้นที่เป็นลำดับชั้น ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ทั้งในเชิงการกำหนด นโยบาย การกำกับดูแล และการปฏิบัติ หากแยกภารกิจทั้ง 3 ด้านออกจากกันจะทำให้กรอบแนวทางการ พัฒนาพื้นที่ในผังทุกระดับขาดการบูรณาการ เกิดความซ้ำซ้อนและสูญเสียงบประมาณ ประกอบกับระบบการ วางผังเมืองในเชิงสากลต้องอยู่ในระบบเดียวกันทั้งกระบวนการ จึงเห็นควรดำรงสถานะเป็น "หน่วยงานระดับ กรม" และขณะที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนถ่ายภารกิจ จึงเห็นควรให้ภารกิจดังกล่าวอยู่กับกระทรวงมหาดไทยไป ก่อน และข้อเสนอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความต่อเนื่องของพื้น ที่เมือง ดำเนินการวางและจัดทำผังเมืองรวมที่มีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตั้งแต่ต้น โดยมีรายละ เอียดของแผนผังและข้อกำหนด (Zoning) อย่างครบถ้วนและถูกต้องนั้น เห็นว่า การดำเนินการวางและจัดทำ ผังเมืองรวม ประชาชนและกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในกระบวนการวางผังเมืองอยู่แล้วตาม พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 และได้พยายามส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน และกลุ่มองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นได้เข้าใจและมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยกับข้อเสนอที่จัดให้มีกฎหมายที่ เหมาะสมกับการเพิ่มรายได้ของท้องถิ่น เช่น ภาษีทรัพย์สิน การประเมินพิเศษ รวมทั้งแหล่งที่มาของรายได้ อื่น ๆ สำหรับการดำเนินการให้เป็นไปตามผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะ เป็นต้น โดยให้กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2113 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "เด็กเร่ร่อนที่ไร้สัญชาติ" | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับเรื่อง "เด็กเร่ร่อนที่ไร้สัญชาติ" อาทิ รัฐควรกำหนดนโยบาย และมาตรการในการแก้ไขและป้องกันปัญหาเด็กเร่ร่อนที่ไร้หลักฐานแสดงตนว่าเป็น "คนไทย" โดยถือเป็นภาร กิจสำคัญและเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้มีแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง และเป็นรูปแบบเดียวกัน รวมทั้งควรจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อดำเนินการตามนโยบายในการแก้ไขและ ป้องกันปัญหาเด็กเร่ร่อน และจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางเกี่ยวกับเด็กเร่ร่อน เพื่อประโยชน์ในการประสานความร่วม มือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อน เป็นต้น และรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ที่เห็นว่า การแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อนยังมีข้อ จำกัด อุปสรรค ในหลายประการ อาทิ ข้อมูลตัวเลขเด็กเร่ร่อน ยังไม่มีการจัดเก็บที่เป็นระบบ และแยกประเภท ชัดเจน ประกอบกับยังไม่มีหน่วยงานหลักที่เป็นศูนย์กลางในการประสานการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เด็กเร่ร่อนที่ไร้สัญชาติอย่างเป็นทางการ ซึ่งการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้หากมีการดำเนินการตามแนวทางยุทธ ศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิบุคคล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2548 และการ ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ก็น่าจะสามารถแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อนที่ไร้สัญชาติอย่างเป็น ระบบ และลดปัญหาทางสังคมเกี่ยวกับเด็กเร่ร่อนได้อย่างเป็นรูปธรรมและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยให้กระทรวงมหาด ไทยรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อ เนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวา คม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2114 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การตกลงการค้าเสรีต่อระบบสุขภาพของคนไทยในบริบทนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การตกลงการค้าเสรีต่อระบบสุขภาพของคนไทยในบริบทนโยบาย พื้นฐานแห่งรัฐ โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกระบวนการเจรจาการค้าเสรีแบบทวิภาคีต้องยึดหลักการมีส่วนร่วมจาก ทุกภาคส่วนตั้งแต่ประชาชน นักวิชาการ องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบที่เกิด ขึ้นจากข้อตกลงการค้าเสรี ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องระบบสุขภาพต้องยึดหลักการที่ว่า การประเมินผลกระทบนั้นต้อง คำนึงถึงผู้ป่วยและผู้บริโภค และการพึ่งตนเองด้านยาและสาธารณสุขของประเทศ เพราะผลกระทบที่เกิดจากการ เจรจาการค้าทวิภาคี จะทำให้มีการผูกขาดตลาดยานานขึ้น ทำให้ยามีราคาแพงขึ้น และอุตสาหกรรมยาภายใน ประเทศไม่มีศักยภาพในการแข่งขันกับบรรษัทยาข้ามชาติได้ รวมทั้งขาดความมั่นคงทางด้านยาและการสาธารณ สุขต้องนำเข้ายามากขึ้นทำให้รายจ่ายทางด้านยาและการสาธารณสุขเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ เรื่อง สิทธิบัตรยา ซึ่งไทยควรมีจุดยืน เช่น ต้องยกเว้นไม่ให้สิทธิบัตรยาจำเป็น เพราะการเข้าถึงยาเป็นสิทธิมนุษย ชนและการสาธารณสุขนั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะในประเทศเท่านั้น และสิทธิบัตรในผลิตภัณฑ์ให้จำกัดขอบเขตเฉพาะ สารเคมีใหม่ (New Chemical Entity) เป็นต้น และการคุ้มครองพันธุ์พืช สมุนไพร และภูมิปัญญาการแพทย์ของไทย ต้องไม่รับข้อตกลงการขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรให้คุ้มครองสิ่งมีชีวิตทุกประเภท และปฏิเสธการเข้าร่วมเป็นภาคี อนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (อนุสัญญา UPOV) เพราะจะมีผลกระทบต่อระบบเกษตรกรรม การพัฒนาพันธุ์ พืช ความมั่นคงทางด้านอาหารและการคุ้มครองสมุนไพร (พืชและสัตว์) และภูมิปัญญาการแพทย์ของไทย และรับ ทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ โดย ให้กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็น ระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2115 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน โดยเห็นว่า รัฐควร กำหนดเรื่องลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่านเป็นวาระแห่งชาติเพื่อระดมทรัพยากรในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่าง บูรณาการและยั่งยืน และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรช่วงฤดูแล้ง การ แก้ปัญหาน้ำหลากท่วมในช่วงฤดูฝน และการแก้ปัญหาการบุกรุกทำลายป่าไม้ และรับทราบตามที่กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็นและผลการพิจารณาตามความเห็นและข้อเสนอแนะ รวมทั้ง ผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทรัพยากรน้ำ ได้ ดำเนินการจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำแบบบูรณาการโดยเลือกลุ่มน้ำยมเป็นลุ่มน้ำนำ ร่องเพื่อให้มีการจัดการน้ำในลุ่มน้ำแบบบูรณาการเพื่อประโยชน์ในการผลิต การบริโภค และการป้องกันอุทก ภัย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศ และได้กำหนดแนวทางการดำเนิน การภายใต้ยุทธศาสตร์ของการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำยมไว้ ดังนี้ (1) การสร้างเสถียรภาพน้ำต้นทุน (2) การป้องกันและแก้ไขอุทกภัย (3) การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง (4) การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและคุณภาพน้ำ และ (5) การพัฒนาองค์กรและระบบบริหารจัดการลุ่มน้ำเพื่อให้การแก้ไขปัญหาด้านน้ำเป็นไปอย่างมีระบบทั้งใน ระดับชาติ และระดับลุ่มน้ำ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ รับผิดชอบประสานการติดตามผลการ ดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผล การดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2116 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การกระจายอำนาจการจัดการการศึกษาสู่ท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของประชาชน | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การกระจายอำนาจการจัดการการศึกษาสู่ท้องถิ่นและการมีส่วน ร่วมในการจัดการศึกษาของประชาชน โดยมีความเห็นและข้อเสนอแนะในประเด็นปัญหาต่าง ๆ อาทิ ภาครัฐยัง ขาดความชัดเจนในภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการส่งเสริมให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน และองค์กรทางสังคม มีส่วนร่วมจัด การศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎกระทรวงเพื่อรองรับระบบการจัดการศึกษาโดยบุคคล ครอบครัว และองค์กร อื่นยังไม่ประกาศใช้ รวมทั้งการให้มีครู 2 ระบบ คือ ข้าราชการครูเดิมยังคงเป็นข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิ การ ในขณะที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่รับเข้าใหม่จะเป็นบุคคลในสังกัดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การจัดตั้งกองทุนพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การจัดตั้งสภาการศึกษาของท้องถิ่น การยกเลิกการผูก ขาดการจัดทำสื่อการเรียนการสอน และการกระจายครูและบุคลากรที่มีคุณภาพสู่ท้องถิ่นโดยการกำหนดโควตา ให้อยู่ในตำแหน่งกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือกรรมการสถานศึกษา เป็นต้น และรับทราบตามที่กระทรวง ศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการ และเห็นชอบให้ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณา ดำเนินการต่อไป โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้ สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2117 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศ | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง ยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยมี ความเห็นและข้อเสนอแนะว่า การปฏิรูปการศึกษาจะประสบผลสำเร็จได้อย่างแท้จริง สามารถดำเนินการตาม ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษา ซึ่งได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 คือ พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นปัจจัย สำคัญในการกำหนดความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษา ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ พัฒนาหลักสูตรการเรียนการ สอนตั้งแต่ระดับปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐานให้สามารถตอบสนองกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายต่าง ๆ และ มีหลักสูตรยุทธศาสตร์พื้นบ้านประยุกต์ของแต่ละท้องที่ ยุทธศาสตร์ที่ 3 คือ สนับสนุนและพัฒนาการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเป็นพิเศษ ยุทธศาสตร์ที่ 4 คือ ปฏิรูปการศึกษาด้านการมีส่วนร่วมของ บิดามารดา ผู้ปกครอง ประชาชน ชุมชน และเอกชนในการจัดการศึกษา ยุทธศาสตร์ที่ 5 คือ ปรับทิศทางของ การฝึกอบรมและการจัดการทางด้านอาชีวศึกษาที่สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพได้จริง ยุทธศาสตร์ที่ 6 คือ ปฏิรูประบบอุดมศึกษาโดยเริ่มจากการปฏิรูประบบการสอบคัดเลือกและกระบวนการเรียนการสอน และยุทธ ศาสตร์ที่ 7 คือ ปฏิรูปการบริหารทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา และรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิ การเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ไป ประกอบการพิจารณาดำเนินการให้บรรลุตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ต่อไป โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2118 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค : การวิเคราะห์ประสิทธิภาพและการเข้าถึงบริการของประชาชนระดับล่าง" | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับ "โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค : การวิเคราะห์ประสิทธิ ภาพและการเข้าถึงบริการของประชาชนระดับล่าง" โดยมีความเห็นในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การมีส่วนร่วมของ ภาคประชาชน การพัฒนาคุณภาพบริการโดยเฉพาะหน่วยบริการปฐมภูมิ การจัดสรรงบประมาณ และการแก้ ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่เสมอภาคของการกระจายบุคลากรและสถานบริการ รวมทั้งรับทราบตามที่กระทรวง สาธารณสุขเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง อาทิ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ได้ให้ตัวแทนจากภาคประชาชนเข้ามาเป็นคณะกรรมการเพื่อ ให้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ตลอดจนกำหนดทิศทางในการดำเนินงานและควบคุมกำกับในทุกระดับทั้ง ในส่วนกลาง จังหวัด อำเภอ และตำบล ทั้งในรูปองค์กรและบุคคล และมีการประสานการดำเนินงานร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรท้องถิ่นและองค์กรชุมชนในการช่วยเหลือสนับสนุนในด้านการบริหารจัดการใน รูปคณะกรรมการในแต่ละระดับ ส่วนการจัดสรรงบประมาณ ที่ผ่านมาได้มีการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วย งานระดับจังหวัด คือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สำนักงานสาขา) และจัดสรรต่อไปยังหน่วยบริการระดับ อำเภอ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดในการจัดสรรในระยะแรกของการเริ่มโครงการเนื่องจากอัตรางบประมาณ เหมาจ่ายรายหัวและงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวจะรวมเงินเดือนของบุคลากรและจัดสรรตามประชากรที่แต่ละ จังหวัดหรือหน่วยบริการรับผิดชอบ จึงจำเป็นต้องมีการปรับเกลี่ยงบประมาณให้สามารถดำเนินงานได้ในทุก หน่วยบริการก่อนการจัดสรรลงไปสู่หน่วยบริการในระยะเปลี่ยนผ่าน เป็นต้น โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับ ผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2119 | ความเห็นของกระทรวงพลังงานต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมในทะเลไทยที่หมดอายุการใช้งาน" | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมในทะเลไทยที่หมดอายุการใช้ งานและรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวง พลังงาน ดังนี้ กระทรวงพลังงาน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติมีแผนที่จะจัดประชุมสัมมนาเรื่องการรื้อถอนแท่น ประกอบการผลิตปิโตรเลียมในทะเล เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องและสาธารณชนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับแท่นประกอบการผลิตปิโตรเลียมใน ทะเลของประเทศไทย เทคนิคและวิธีการรื้อถอน ซึ่งเป็นงานด้านวิศวกรรมที่จะต้องพิจารณาทั้งด้านความปลอด ภัย (Safety) การนำไปใช้ประโยชน์ภายหลังการรื้อถอน (Reusability) และการควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อม (Environment Management) และเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ได้วางโครงการจัดทำวิธีการประเมินสภาพความปลอดภัย และแนวทางการรื้อถอนแท่นประกอบ การผลิตปิโตรเลียมในทะเลที่ใช้งานมานาน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากฎเกณฑ์และแนวทางการกำกับดูแล สภาพความปลอดภัยและเทคนิควิธีการรื้อถอนแท่นที่ใช้กันอยู่แพร่หลายในแต่ละประเทศ เพื่อนำมาใช้เป็นแนว ทางในการวางกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ในการกำกับ ดูแลการรื้อถอนแท่นประกอบการผลิตปิโตรเลียมในทะเล ของประเทศไทยไว้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2120 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "การแก้ไขปัญหาการจัดการที่ดินทำกินของเกษตรกร" และ "การแก้ไขปัญหาสิทธิที่อยู่และที่ดินทำกิน" | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ในประเด็นปัญหาการจัดการที่ดินทำกินของเกษตรกร และสิทธิที่อยู่ และที่ดินทำกิน และรับทราบตามที่คณะอนุกรรมการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการประกอบอาชีพและที่ อยู่อาศัย (อ.จทอ.) เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการ อ.จทอ. ดังนี้ ด้านนโยบายและการบริหารจัดการ ได้มีการบูรณาการจัดทำแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการจัดที่ทำกินให้ กับราษฎรอย่างเป็นธรรมและถูกต้อง โดยขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และหาข้อยุติเกี่ยวกับแนวเขต และการทับซ้อนกันของพื้นที่ดำเนินการให้เกิดความชัดเจน และทันต่อสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ด้านระเบียบ และกฎหมายต่าง ๆ จะปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับที่ดินทุกฉบับของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ เกิดความเหมาะสมและถูกต้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และเปิด โอกาสในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่ดินด้วย โดยให้คณะอนุ กรรมการ อ.จทอ. รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็น ระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
.....