ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 104 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 2061 - 2080 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2061 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง โครงการเส้นทางลัดสู่ภาคใต้ (สมุทรสาคร-แหลมผักเบี้ย-ชะอำ) | นร | 28/02/2549 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง โครงการเส้นทางลัดสู่ภาคใต้ (สมุทรสาคร-แหลมผักเบี้ย-ชะอำ) และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้ เห็นควรชะลอการก่อสร้างถนนทางด่วนยกระดับจากชายฝั่งทะเลบริเวณวัดกระซ้า ขาวสู่แหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากมีหลายเส้นทางพร้อมใช้งาน เพียงแต่ต้องมีการพัฒนาและขยาย เส้นทางให้เกิดความสมบูรณ์ ภาครัฐควรชะลอการใช้งบประมาณของกรมทางหลวงปี 2548 จำนวน 6,400 ล้านบาท สำหรับงานก่อสร้างสะพานในทะเล และงบประมาณผูกพันปี 2549 จำนวน 6,400 ล้านบาท รวม ทั้งงบประมาณผูกพันปี 2550-2551 จำ นวน 19,200 ล้านบาท จนกว่าโครงการจะได้รับอนุมัติเรื่องการ ประเมินผลสิ่งแวดล้อมและด้านอื่น ๆ รวมทั้งความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ควรทบทวนการก่อสร้างถนนทางยกระดับแยกจากถนนบางใหญ่-บ้านโป่ง ไปสู่วัดกระซ้า ขาวเพื่อมุ่งสู่อ่าวไทย ควรเร่งดำเนินการก่อสร้างถนนเส้นทางบางใหญ่-บ้านโป่ง และขยายระยะทางไปสู่จุด เชื่อมต่อกับถนนเพชรเกษม รวมทั้งถนนเพชรเกษมในช่วงตอนต่าง ๆ จากกรุงเทพ ฯ-ปากท่อ ให้เต็มแนวเขต ทาง (Right of Way) และช่วงปากท่อผ่านเขาย้อย ผ่านเพชรบุรีไปสู่ชะอำ ตลอดจนถนนที่มีความสำคัญ อาทิ ถนนจากยี่สาน-แหลมผักเบี้ย ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดเพชรบุรี ควรเร่งดำเนินการก่อสร้าง ถนนพระราม 2 ให้เต็มแนวเขตทางและขยายเส้นทางจากจุดตัดถนนเพชรเกษมที่ปากท่อไปสู่เส้นทาง by-pass เพชรเกษม ที่บริเวณชะอำ ก่อสร้างทางยกระดับเหนือถนนเส้นพระราม 2 เช่นเดียวกับที่ภาครัฐได้ดำเนินการ มาแล้ว สำหรับถนนบางนา-ตราด ช่วงบางนา-ชลบุรี ให้ความสำคัญกับทางหลวงหมายเลข 346 (รังสิต- ปทุมธานี-บางเลน-กำแพงแสน-พนมทวน) ซึ่งเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 305 (รังสิต-นครนายก) ณ จุดถนนพหลโยธิน สำหรับถนนระดับราบจากแหลมผักเบี้ย ผ่านจังหวัดเพชรบุรีไปสู่ชะอำ ขณะนี้มีหลายเส้น ทางทั้งที่เป็นของกรมทางหลวง กรมโยธาธิการและผังเมืองและคันกั้นน้ำเค็มของกรมชลประทานควรพิจารณา พัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ควรสำรวจถนนคันป้องกันน้ำเค็มของกรมชลประทาน จากจังหวัดสมุทร สาคร ผ่านจังหวัดสมุทรสงครามผ่านจังหวัดเพชรบุรีไปสู่ถนนเพชรเกษม บริเวณจุด by pass ชะอำเพื่อพัฒนา ให้เป็นถนนที่มีความสมบูรณ์และประหยัดงบประมาณในการเวนคืนที่ดิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
2062 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "แนวทางการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์เพื่อประชาชน" และร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 21/02/2549 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ
หมายฯ) ที่มีมติดังนี้ เห็นชอบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อ เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับ "แนวทางการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์เพื่อประชาชน" และ มอบให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2546 และ 18 พฤษภาคม 2547 ที่เห็นชอบขั้นตอนการจัดทำผลการดำเนินงาน หรือผลการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อความเห็นและ ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ และการนำเสนอผล ตลอดจนการเปิดเผยเหตุผลให้สาธารณชนทราบ ตาม มาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษา ฯ พ.ศ. 2543 เพื่อรายงานผลการดำเนินการให้สภาที่ปรึกษา ฯ ทราบ และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป และอนุมัติหลักการตามที่กระทรวง พาณิชย์เสนอร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติบาง ประการของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน และส่งให้สำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประเด็นอภิปรายของคณะ กรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่า การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์เป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการคุ้มครอง เจ้าของลิขสิทธิ์และประชาชน ซึ่งต้องคุ้มครองลิขสิทธิ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ จึงควรพิจารณาให้ สอดคล้องกับข้อผูกพันตามที่ไทยได้ตกลงไว้กับนานาประเทศ ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรม การประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2063 | โครงการสนับสนุนการปฏิรูปการเรียน การสอน (กิจกรรมภาคฤดูร้อน ปี 2549) | ศธ | 21/02/2549 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอดังนี้ รับทราบโครงการสนับสนุนการปฏิรูปการ
เรียนการสอน (กิจกรรมภาคฤดูร้อน ปี 2549) ที่มีงบประมาณดำเนินการแล้วจำนวน 73 โครงการ วงเงิน 132,683,560 บาท และเห็นชอบในหลักการและอนุมัติวงเงินงบกลางปี 2549 จำนวน 18 โครงการ วงเงิน 122,893,800 บาท เพื่อดำเนินงานในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2549 และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดย ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาดำเนินการเฉพาะโครงการที่มีความพร้อมและเกิดประสิทธิภาพประสิทธิผล สูงสุดเท่านั้น โดยนำวิธีบริหารจัดการมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินโครงการด้วย เช่น การใช้สื่อทาง ไกลผ่านดาวเทียมการใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ต การใช้เครือข่ายโรงเรียนดำเนินการฝึกอบรม เป็นต้น สำหรับ งบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาทบทวนโครงการ/รายการที่มีความ จำเป็นในลำดับต่ำ หรือใช้เงินเหลือจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ไปดำเนิน การในลำดับแรกก่อน โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2548 และพระราช กฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 โดยหากผลการพิจารณาเป็น ประการใด หรือยังขาดงบประมาณจำนวนเท่าใด ให้ขอทำความตกลงในรายละเอียด และขอรับการสนับ สนุนเงินงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 กับสำนักงบประมาณต่อไปตามความจำเป็น |
|||||||||||||||||||||||||||
2064 | โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจังหวัดเชียงใหม่ | นร | 07/02/2549 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) เสนอ
โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจังหวัดเชียงใหม่ และโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ตอนบน และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่ง ด่วน อนุมัติในหลักการให้เบิกจ่ายจากงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ในวงเงินไม่เกิน 300 ล้าน บาท โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) พิจารณาทบทวนและกำหนดแผนงาน/โครงการ เร่งด่วนที่สมควรจะเบิกจ่ายจากวงเงินดังกล่าวร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง แล้วขอ ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป สำหรับแผนงาน/โครงการขนาดใหญ่ที่ต้อง ใช้งบประมาณดำเนินการจำนวนมาก ให้รอผลการพิจารณาข้อเสนอโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำ และการชลประทานภายใต้โครงการสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งภาคเอกชนจะ เสนอให้รัฐบาลพิจารณาให้วันที่ 28 เมษายน 2549 ก่อน ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยว ข้อง อาทิเช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินโครง การในระยะเร่งด่วนก่อนโดยเฉพาะการฟื้นฟูบริเวณต้นน้ำที่ต้องใช้เวลานานตามมาตรการฉุกเฉินและมาตร การชะลอน้ำหลาก ซึ่งจะต้องทำควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหากลางน้ำและปลายน้ำ เพื่อให้น้ำสามารถไหล ผ่านเมืองโดยเร็ว โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันน้ำท่วม รวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการ ศึกษาระบบการเตือนภัยล่วงหน้า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ให้มีการจัดตั้งหอเตือนภัยในบริเวณ พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับสัญญาณ เตือนภัยการเกิดอุทกภัยล่วงหน้า และเตรียมตัวระวังการเกิดอุทกภัย เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการ ดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2065 | การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน | นร | 07/02/2549 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) เสนอ
โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจังหวัดเชียงใหม่ และโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ตอนบน และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่ง ด่วน อนุมัติในหลักการให้เบิกจ่ายจากงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ในวงเงินไม่เกิน 300 ล้าน บาท โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) พิจารณาทบทวนและกำหนดแผนงาน/โครงการ เร่งด่วนที่สมควรจะเบิกจ่ายจากวงเงินดังกล่าวร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง แล้วขอ ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป สำหรับแผนงาน/โครงการขนาดใหญ่ที่ต้อง ใช้งบประมาณดำเนินการจำนวนมาก ให้รอผลการพิจารณาข้อเสนอโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำ และการชลประทานภายใต้โครงการสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งภาคเอกชนจะ เสนอให้รัฐบาลพิจารณาให้วันที่ 28 เมษายน 2549 ก่อน ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยว ข้อง อาทิเช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินโครง การในระยะเร่งด่วนก่อนโดยเฉพาะการฟื้นฟูบริเวณต้นน้ำที่ต้องใช้เวลานานตามมาตรการฉุกเฉินและมาตร การชะลอน้ำหลาก ซึ่งจะต้องทำควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหากลางน้ำและปลายน้ำ เพื่อให้น้ำสามารถไหล ผ่านเมืองโดยเร็ว โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันน้ำท่วม รวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการ ศึกษาระบบการเตือนภัยล่วงหน้า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ให้มีการจัดตั้งหอเตือนภัยในบริเวณ พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับสัญญาณ เตือนภัยการเกิดอุทกภัยล่วงหน้า และเตรียมตัวระวังการเกิดอุทกภัย เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการ ดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2066 | การขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณ | กค | 07/02/2549 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้กรมบัญชีกลาง
พิจารณาเรื่องที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจขออนุมัติขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2547-2548 ตามเกณฑ์การพิจารณาดังนี้ กรณีไม่มีหนี้ผูกพัน ให้พับไป ยกเว้นรายการต่อไปนี้ให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินต่อ ไปได้ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2549 เงินงบประมาณปี พ.ศ. 2547 (1) รายการหรือโครงการที่อยู่ระหว่างกระบวน การจัดซื้อจัดจ้าง (2) รายการหรือโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณในลักษณะงานดำเนินการเอง (3) รายการหรือโครงการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีและหรือขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ทั้งนี้ ระยะเวลาสิ้นสุดการกันเงิน ฯ และหรือขยายระยะเวลา ฯ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (4) รายการหรือ โครงการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและมีมติให้ดำเนินการแล้ว ส่วนเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2548 (1) รายการหรือโครงการที่อยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง (2) รายการหรือโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงิน งบประมาณในลักษณะงานดำเนินการเอง (3) รายการหรือโครงการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้กันเงินไว้เบิก เหลื่อมปีและหรือขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ทั้งนี้ ระยะเวลาสิ้นสุดการกันเงิน ฯ และหรือขยายระยะเวลาฯ ให้เป็น ไปตามมติคณะรัฐมนตรี (4) รายการหรือโครงการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและมีมติให้ดำเนินการ แล้ว (5) รายการหรือโครงการที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้รับจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปี พ.ศ. 2548 นอกจากนี้ให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาของกระทรวงการคลัง (กรมบัญชี กลาง) ไปใช้ในการพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ทั้งในส่วนของการจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับส่วนที่พับไป และการจัดสรรเงินงบประมาณในโอกาสต่อไป ให้แก่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยคำนึงถึงความพร้อมในการดำเนินการของส่วนราชการ เพื่อให้การ จัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด และให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดให้การก่อหนี้ผูกพัน และการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีเป็นตัวชี้วัดในการประเมินประสิทธิภาพ การทำงานของหัวหน้าส่วนราชการเจ้าของงบประมาณต่อไป เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของส่วนราช การสามารถสะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินงบประมาณของส่วนราชการอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ในการขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ของหน่วยงานต่าง ๆ ให้รัฐมนตรี ทุกท่านตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดอย่างเข้มงวด ก่อนเสนอคำของบประ มาณตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2067 | การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตกลงเมืองพี่เมืองน้องและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของไทยกับต่างประเทศ | นร | 10/01/2549 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตกลงเมือง
พี่เมืองน้อง และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของไทยกับต่างประเทศ ดังนี้ กรณีความตกลงเมืองพี่เมือง น้องซึ่งเป็นการจัดทำความสัมพันธ์ระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัดของประเทศเพื่อนบ้านหรือของประเทศ ที่มีเขตแดนต่อเนื่องกับประเทศเพื่อนบ้าน นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 (เรื่อง การกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนา ความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง) โดยให้ดำเนินการไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมรายงานเสนอ คณะรัฐมนตรีทราบทุก 6 เดือน ส่วนกรณีความตกลงในรูปแบบใด ๆ ที่กรมหรือส่วนราชการที่มีฐานะเป็น กรมจะจัดทำกับหน่วยงานของต่างประเทศ หรือกับองค์กรต่างประเทศ ซึ่งเป็นการจัดทำความสัมพันธ์ใน ระดับหน่วยงานกันเอง ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องส่งเรื่องให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาก่อน โดย กระทรวงการต่างประเทศอาจพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณา ความจำเป็นเหมาะสมของการจัดทำความตกลงนั้น ๆ แล้วแต่กรณี เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วให้ดำเนิน การไปได้ และให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมผลการพิจารณา และรายงานคณะรัฐมนตรีทราบทุก 6 เดือน โดยยกเว้นสำหรับกรณีการจัดทำความตกลง หรือความร่วมมือทางวิชาการตามปกติที่สถาบัน อุดมศึกษาของรัฐได้ดำเนินการกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศ หรือองค์กรต่างประเทศ ไม่ต้องดำเนิน การตามข้อนี้ แต่ให้ดำเนินการไปได้เอง
|
|||||||||||||||||||||||||||
2068 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (23,400 ล้านบาท) | นร | 27/12/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอดังนี้รับทราบโครงการความต้องการสนับสนุน
ด้านบุคลากรและงบประมาณสำหรับ Strategic Agencies ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน วงเงิน 60.000 ล้านบาท ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้าง ศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (59,000 ล้านบาท) อนุมัติผ่อนผันให้โครงการ ความต้องการการสนับสนุนด้านบุคลากรและงบประมาณสำหรับ Strategic Agencies กันเงินไว้เบิกจ่าย เหลื่อมปีจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2549
|
|||||||||||||||||||||||||||
2069 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยราชการของไทย | สสป | 29/11/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ
หมายพลังงาน ระบบราชการและการประชาสัมพันธ์) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอความเห็น และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางและมาตรการในการป้องกันและ แก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยราชการของไทย โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้ในส่วนของมาตรการ ที่ต้องดำเนินการตามลักษณะงานของหน่วยงาน แนวทาง/มาตรการสำหรับการจัดการปัญหาในหน่วยงานที่มี อำนาจมากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางอำนาจ ยกเลิกการใช้ดุลยพินิจอย่างเบ็ดเสร็จในหน่วยงานที่ มีอยู่ตามโครงสร้างกฎหมายเดิม มาตรการสำหรับหน่วยงานที่มีงบประมาณมาก ให้มีการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อลดโอกาสการทุจริต เพิ่มประสิทธิภาพและสนับสนุนงบประมาณด้านการตรวจสอบ และให้มีการแสดง บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินแก่สาธารณะ ก่อนและหลังเข้าดำรงตำแหน่ง ของตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ สำหรับมาตรการที่ต้องดำเนินการสำหรับทุกหน่วยงาน ต้องมีการส่งเสริมมาตรการด้านจริยธรรม คุณธรรม และความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน ส่งเสริมการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการบริหารและตรวจสอบ การทำงานของรัฐ และเพิ่มบทบาทและความเข้มแข็งให้แก่องค์กรทั้งภายในและภายนอกองค์กร และมาตรการ อื่น ๆ ที่จะมีส่วนสนับสนุนการแก้ไขปัญหา ควรมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในประเด็นที่เกี่ยวกับ "การคอร์รัปชัน ทางนโยบาย" หรือ "คอร์รัปชันที่มีลักษณะของผลประโยชน์ทับซ้อนให้มากขึ้น นำผลการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับ การทุจริตและประพฤติมิชอบที่ได้มีการดำเนินการเสร็จแล้วไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง นอกจากนี้ การดำเนิน การศึกษาวิจัยควรมีผู้ปฏิบัติงานซึ่งมีประสบการณ์ในเหตุการณ์จริงเป็นผู้ร่วมดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวง ยุติธรรม รับผิดชอบและประสานงานติดตามผลการดำเนินงานของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการนำความเห็น และข้อเสนอแนะดังกล่าวไปดำเนินการ และรายงานให้สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบแล้วเปิด เผยให้สาธารณชนทราบตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปและให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ เป็นหลักการในกรณีที่ได้รับมอบหมายให้พิจารณาความเห็นหรือข้อเสนอแนะที่สภาที่ปรึกษา ฯ เสนอต่อคณะ รัฐมนตรีให้เร่งรัดดำเนินการแจ้งผลการพิจารณาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน รวมทั้งให้พิจารณาว่าการ กำหนดนโยบายในเรื่องใดอาจมีผลกระทบถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมส่วนรวม สมควรได้รับฟังความคิดเห็น เพื่อประกอบการพิจารณานโยบายในเรื่องนั้น ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 เสนอเรื่องดังกล่าวมายังคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาส่งเรื่องให้สภาที่ปรึกษา ฯ พิจารณาให้คำปรึกษาเพื่อเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2070 | รายงานผลการพิจารณาสอบสวนกรณีการไม่ปฏิบัติตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) สัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันและให้ใช้สิทธิในการผลิต และจำหน่ายสุรา ระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรม กับบริษัท สุรามหาราษฎร จำกัด (มหาชน) | สว | 22/11/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการพิจารณาสอบสวนกรณี
ไม่ปฏิบัติตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) สัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันและให้สิทธิในการผลิตและ จำหน่ายสุรา ระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรม กับบริษัท สุรามหาราษฎร จำกัด (มหาชน) กระทรวง อุตสาหกรรมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรม โรงงานอุตสาหกรรมเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขัน แห่งที่ 2 และดำเนินการจัดประมูลขายโรง งานสุราบางยี่ขัน แห่งที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ได้ผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของทางราชการแล้ว และการรับ มอบและการส่งมอบโรงงานสุราบางยี่ขันก็เป็นไปโดยถูกต้องตามสัญญาที่มีอยู่ ไม่ปรากฏว่าเกิดความเสีย หายใด ๆ ต่อทางราชการ จึงเห็นว่า ไม่สมควรจะดำเนินการตามรายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิ การวิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการ วุฒิสภาทราบต่อไป ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะ รัฐมนตรี พ.ศ. 2548 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2548
|
|||||||||||||||||||||||||||
2071 | รายงานผลพิจารณาสอบสวนกรณีไม่ปฏิบัติตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) สัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันและให้สิทธิในการผลิต และจำหน่ายสุรา ระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรม กับบริษัท สุรามหาราษฎร จำกัด (มหาชน) | สว | 17/11/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการพิจารณาสอบสวนกรณี
ไม่ปฏิบัติตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) สัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันและให้สิทธิในการผลิตและ จำหน่ายสุรา ระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรม กับบริษัท สุรามหาราษฎร จำกัด (มหาชน) กระทรวง อุตสาหกรรมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรม โรงงานอุตสาหกรรมเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขัน แห่งที่ 2 และดำเนินการจัดประมูลขายโรง งานสุราบางยี่ขัน แห่งที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ได้ผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของทางราชการแล้ว และการรับ มอบและการส่งมอบโรงงานสุราบางยี่ขันก็เป็นไปโดยถูกต้องตามสัญญาที่มีอยู่ ไม่ปรากฏว่าเกิดความเสีย หายใด ๆ ต่อทางราชการ จึงเห็นว่า ไม่สมควรจะดำเนินการตามรายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิ การวิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการ วุฒิสภาทราบต่อไป ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะ รัฐมนตรี พ.ศ. 2548 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2548
|
|||||||||||||||||||||||||||
2072 | คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2544 ในส่วนที่กำหนดเงื่อนไขการมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มพิเศษในการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งวิชาชีพเฉพาะด้าน Science and Technology | นร | 08/11/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอคำพิพากษาของศาลปกครอง
สูงสุด ให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2544 ในส่วนที่กำหนดเงื่อนไขการมีสิทธิได้รับเงิน เพิ่มพิเศษในการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งวิชาชีพเฉพาะด้าน Science and Technology ว่าต้องเป็นพนักงานซึ่ง เคยได้รับเงินเพิ่มพิเศษอยู่เดิมก่อนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ระงับการจ่าย ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ได้มีมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2544 และมอบให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนิน การต่อไป แล้วเสนอผลการพิจารณามายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปตาม มติที่ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2548 เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป ภายหลังศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||
2073 | ผลการพิจารณาต่อมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์การผังเมืองของประเทศไทย" | สสป | 01/11/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ) ที่มีมติให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การผังเมืองของประเทศไทย ใน 2 ประเด็น คือ การพิจารณาย้ายภารกิจด้าน นโยบายผังเมืองจากกระทรวงมหาดไทยไปสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การกำหนดนโยบายและการกำกับดู แลด้านผังเมือง และการจัดทำผังภาค สามารถกระทำได้ด้วยกลไกทางด้านงบประมาณ และการควบคุมทาง กฎหมายบรรลุผลตามเป้าหมายของรัฐ และเป็นอิสระจากงานด้านปฏิบัติ และการจัดสรรบุคลากรด้านผัง เมืองจากหน่วยงานส่วนกลางให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเพียงพอต่อการดำเนินงานตามบทบาท หน้าที่ ตามลำดับความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน ไปประกอบการพิจารณาในการปฏิรูประบบราชการ ในภาพรวมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2074 | หลักเกณฑ์การนำเข้าไม้และสิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้ตามแนวชายแดน จังหวัดกาญจนบุรี | นร | 25/10/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การนำเข้าไม้และสิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้ตามแนวชายแดนจังหวัด
กาญจนบุรี โดยอนุมัติและให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้ สิ่งประดิษฐ์ที่ทำจากไม้ที่นำเข้ามาใช้ ราชอาณาจักรตามแนวชายแดนจังหวัดกาญจนบุรี ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หรือ หลักฐานการอนุญาตส่งออกของประเทศที่ส่งออก สิ่งประดิษฐ์ที่ทำจากไม้ประเภทเฟอร์นิเจอร์ เช่น ตู้ โต๊ะ เก้า อี้ เป็นต้น และไม้แกะสลักที่มีสภาพชัดเจนอยู่ในตัว ให้นำเข้าได้ตามสภาพความเป็นจริง และสิ่งประดิษฐ์ที่ทำ จากไม้ประเภทอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาให้นำเข้าได้ รวม 5 รายการ ได้แก่ ไม้คิ้วบัว ไม้วงกบ ไม้ประสาน ไม้ปาร์เกต์ และไม้โมเสด โดยให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการออกประกาศฉบับใหม่ตามหลักเกณฑ์และ วิธีการดังกล่าวโดยเร็วต่อไป และให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรี (นายเนวิน ชิดชอบ) แล้วแจ้งผลการพิจารณาของฝ่ายไทยในเรื่องนี้ให้สหภาพพม่าทราบ สำหรับ กรณีการนำเข้าไม้แปรรูปและไม้ท่อนซุงให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเนวิน ชิดชอบ) จัดการประชุมชี้ แจงและซักซ้อมความเข้าใจของหน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้ถูกต้องตรงกัน และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2075 | มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน | กค | 18/10/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน
เพื่อบรรเทาภาระหนี้แก่ลูกหนี้ในสถาบันการเงินที่กำลังเดือดร้อนและยังมิได้รับความช่วยเหลือ ดังนี้ ในกรณี ลูกหนี้สามารถชำระหนี้แก่สถาบันการเงินเจ้าหนี้ในอัตราร้อยละ 50 ของยอดเงินต้นคงค้างได้ครบถ้วนภาย ในวันที่ 30 มิถุนายน 2549 ให้ลูกหนี้ที่มีความประสงค์ตามมาตรการนี้ติดต่อสถาบันการเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2548 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2549 โดยให้ลูกหนี้ชำระหนี้ในอัตราร้อยละ 50 ของเงินต้นแก่ สถาบันการเงินเจ้าหนี้เพียงครั้งเดียวระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2549 ลูกหนี้จะได้ รับยกเว้นภาระหนี้เงินต้นที่เหลือและดอกเบี้ยค้างรับทั้งจำนวน เมื่อลูกหนี้ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาปรับ โครงสร้างหนี้ครบถ้วนแล้ว หากลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ สัญญาปรับ โครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นอันเลิกไป โดยภาระหนี้ทั้งหมดย้อนกลับไปยังมูลหนี้เดิมก่อนการปรับโครงสร้าง หนี้ กรณีลูกหนี้มีความสามารถในการชำระหนี้แก่สถาบันการเงินเจ้าหนี้ในอัตราร้อยละ 50 ของยอดเงินต้น คงค้างเกินกว่าวันที่ 30 มิถุนายน 2549 แต่ไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2552 ให้ลูกหนี้ที่มีความประสงค์ตาม มาตรการนี้ติดต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2548 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2549 โดย ให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้ โดยความยินยอมของลูกหนี้จัดส่งแบบฟอร์มข้อมูลลูกหนี้ ตามที่ธนาคารออมสิน กำหนดให้แก่ธนาคารออมสินภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549 ธนาคารออมสินจะดำเนินการตรวจสอบข้อ เท็จจริงของลูกหนี้แต่ละราย โดยจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเฉพาะกรณีที่ลูกหนี้มีความสามารถในการชำระหนี้ อย่างแท้จริง และข้อมูลลูกหนี้ถูกต้องโดยจะแจ้งผลการพิจารณาแก่ลูกหนี้และสถาบันการเงินเจ้าหนี้ ภายใน วันที่ 31 พฤษภาคม 2549 หากลูกหนี้ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว ธนาคารออมสินจะอำนวยสินเชื่อเป็นจำนวน ร้อยละ 50 ของมูลค่าเงินต้นคงค้างที่มีต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้แก่ลูกหนี้เพื่อดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ต่อไป และสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวจะมีเงื่อนไขให้ลูกหนี้ในอัตราร้อยละ 50 ของเงินต้นเพียงครั้งเดียว ลูกหนี้จะได้รับยกเว้นภาระหนี้เงินต้นที่เหลือและดอกเบี้ยค้างรับทั้งจำนวน เมื่อลูกหนี้ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ลูกหนี้จะต้องผ่อนชำระสินเชื่อใหม่ให้ครบถ้วน แก่ธนาคารออมสินตามระยะเวลาการกู้ที่จะตกลงกัน ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2552 โดยมีอัตราดอก เบี้ยตามที่ธนาคารออมสินกำหนด และให้ประสานขอความร่วมมือสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. และช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับมาตรการ ฯ ดังกล่าว ให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้อง โดยทั่วกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
2076 | การก่อสร้างถนนและจัดตั้งโรงเรียนอาชีวศึกษาตามแนวชายแดนใน 3 จังหวัดภาคใต้ | 18/10/2548 | |||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้รองนายก
รัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์) รับไปพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ร่วมกับส่วนราช การและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนเลียบแนวชายแดนใน 3 จังหวัดภาคใต้ รวมทั้งการ จัดตั้งโรงเรียนอาชีวศึกษาหรือโรงเรียนสารพัดช่างขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดการจ้างแรง งาน และสามารถนำผู้รับจ้างแรงงานในพื้นที่เข้ามาทำงาน หรือสามารถศึกษาเล่าเรียน และฝึกอาชีพของ ตนเองได้ ซึ่งจะทำให้ได้รับวุฒิการศึกษาควบคู่ไปกับการรับจ้างทำงาน โดยการจัดการเรียนการสอนอาจ นำบุคลากรจากหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารที่เกี่ยวข้องมาช่วยในการเรียนการสอน ด้วย และให้รายงานผลการพิจารณาให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2077 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการพัฒนามาตรฐานสปาเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ | สสป | 04/10/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการพัฒนามาตรฐานสปาเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการ ของกระทรวง สาธารณสุข ในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงกฎระเบียบของรัฐให้สอดคล้องกับการให้บริการและเอื้อต่อ การพัฒนา และการดำเนินงานของสถานประกอบการ ได้มีการปรับปรุง กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องให้มีความทัน สมัย สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย ส่วนการส่งเสริมให้มี การศึกษาแพทย์แผนไทยและบริการสปาในสถานศึกษานั้น ขณะนี้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้เปิดหลักสูตร ระดับปริญญาตรีแพทย์แผนไทยประยุกต์และสปา หรือเป็นวิชาเลือกในระดับปริญญาตรีในสถานศึกษาต่าง ๆ และได้พัฒนาหลักสูตรสปาในสถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในระดับ ปวส. และ ปวช. รวมทั้งพัฒนา หลักสูตรมาตรฐานของการฝึกอบรมระยะสั้นของสปาเพื่อสุขภาพ (ระยะเวลา 3-6 เดือน หรือประมาณ 330 ชั่วโมง) และ/หรือพัฒนาหลักสูตรมาตรฐานเป็นรายหมวดวิชา (Module) เพื่อให้ผู้ดำเนินการสปาสามารถ เรียนเพิ่มเติมความรู้ตามความสนใจในหน่วยฝึกอบรมของรัฐและเอกชน สำหรับการส่งเสริมการนวดพื้นบ้าน และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายมากขึ้น ได้มีการส่งเสริมพัฒนาการ นวดไทยประเภทต่าง ๆ และดำเนินการอบรมให้แก่ผู้นวดประเภทต่าง ๆ และพัฒนาครูฝึกของกรมพัฒนาการ แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในระดับภาคและระดับจังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น เชียง ใหม่ เชียงราย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา ฯลฯ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในเชิงสุขภาพ เป็นต้น โดยให้ กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่าง เป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2078 | โครงการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล | นร | 27/09/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเนวิน ชิดชอบ) เสนอ
โครงการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และให้ดำเนินการดังนี้ ให้ส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐจัดหาพื้นที่ในสถานที่ราชการ หน่วยงานของรัฐ เพื่อเป็นที่จอดรอรับผู้โดยสารของรถ รับจ้างสาธารณะ (แท็กซี่) และให้พิจารณากำหนดพื้นที่สาธารณะเป็นที่จอดรอรับผู้โดยสารของรถรับจ้าง สาธารณะ (แท็กซี่) โดยให้รถรับจ้างสาธารณะ (แท็กซี่) ทุกคันมีสิทธิใช้ที่จอดรอรับผู้โดยสารที่จัดหาให้ อย่างเท่าเทียมกัน และไม่เสียค่าใช้จ่ายในการจอดรอรับผู้โดยสาร โดยแจ้งผลการพิจารณาไปยังรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเนวิน ชิดชอบ) ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2548 และขอความร่วมมือจาก ภาคเอกชน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ภัตตาคาร ธนาคาร สถานีบริการน้ำมัน และอาคารจอดรถของ เอกชน เป็นต้น จัดพื้นที่สำหรับให้รถรับจ้างสาธารณะ (แท็กซี่) ไว้จอดรถรับผู้โดยสารโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กับให้แต่งตั้งคณะทำงานยกร่างกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารเพื่อกำหนดให้มีการจอดรถ รองรับผู้โดยสารสำหรับรถรับจ้างสาธารณะ (แท็กซี่) ประกอบด้วย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเนวิน ชิดชอบ) เป็นประธานคณะทำงาน ผู้แทนคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนกรมโยธาธิการและ ผังเมือง ผู้แทนกองบัญชาการตำรวจจราจร เป็นคณะทำงาน รวมทั้งผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายก รัฐมนตรี เป็นเลขานุการคณะทำงาน |
|||||||||||||||||||||||||||
2079 | ผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง รายงานผลการตรวจสอบรายงานการรับ - จ่ายเงิน ของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรและเงินกองทุนหมุนเวียน สำหรับอุดหนุนเกษตรกรในการหาปัจจัยการผลิตตามโครงการความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มผลผลิตทางอาหารจากรัฐบาลญี่ปุ่น ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2544 | กค | 20/09/2548 | ||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการพิจารณาดำเนิน
การตามรายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง ราย งานผลการตรวจสอบรายงานการรับ - จ่ายเงิน ของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรและเงินกองทุนหมุนเวียน สำหรับอุดหนุนเกษตรกรในการหาปัจจัยการผลิตตามโครงการความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มผลผลิตทางอาหาร จากรัฐบาลญี่ปุ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2544 สรุปได้ดังนี้ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง ใน ฐานะผู้ดำเนินการเบิกจ่ายเงิน และจัดทำบัญชีของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จะสนับสนุนข้อมูลด้านการ เงินและบัญชีให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประจำทุกเดือน ได้แก่ รายงานการเงิน รายงานลูกหนี้ และรายงานการส่งเงินคืน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการติดตามหนี้ รวมทั้งมีหน้าที่ในการกำกับ ดูแลการดำเนิน งานของทุนหมุนเวียนต่างๆ โดยจัดให้มีระบบประเมินผลทุนหมุนเวียนขึ้น โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรได้เข้าสู่ระบบประเมินผล ฯ โดยมีเกณฑ์วัดการดำเนินงานด้านการเงิน ได้แก่ การรับชำระหนี้จากลูกหนี้ที่ครบกำหนดชำระคืนเงิน ด้านปฏิบัติการ ได้แก่ การดำเนินการลดระยะเวลา การให้บริการการปรับโครงสร้างหนี้ และการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2080 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อมเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540" | สสป | 06/09/2548 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเรื่อง "การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อให้สอดคล้อง กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540" โดยสภาที่ปรึกษา ฯ มีความเห็นและข้อเสนอ แนะในบางประเด็น อาทิ ให้มีการก่อตั้งองค์การอิสระเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรา 56 และแก้ไข ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 56 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยมีคณะ กรรมการผู้ชำนาญการด้านต่าง ๆ ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และ ควรมีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ รวมทั้งประเมินผลกระทบด้านสังคมและด้าน สุขภาพเพื่อเป็นกรอบในการพัฒนาในระดับพื้นที่ และจัดให้มีแผนปฏิบัติการการมีส่วนร่วมของประชาชน และรับผิดชอบดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ โดยให้องค์การอิสระเป็นผู้จัดทำแผนปฏิบัติการการมีส่วน ร่วมเสนอให้รัฐพิจารณากรอบทิศทาง วัตถุประสงค์ เทคนิคการมีส่วนร่วม และการติดตามประเมินผล เป็นต้น และรับทราบความเห็นผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอความเห็นเพื่อทราบผลการดำเนิน การเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547
|
.....