ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 18 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 341 - 360 จากข้อมูลทั้งหมด 1095 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
341 | การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดสมุทรสาคร ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) | นร01 | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) รายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคพื้นที่เขตตรวจราชการที่ ๕ ณ จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยได้รับฟังบรรยายสรุปสภาพปัญหาของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม และผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สรุปปัญหาและแนวทางการแก้ไข ดังนี้
๑. ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและป่าชายเลน ๑.๑ จังหวัดสมุทรสาคร ต้องการขอรับการสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเพิ่มเติมอีก ๒๑.๗ กิโลเมตร เพื่อครอบคลุมตลอดแนวชายฝั่งของจังหวัดสมุทรสาคร และควรให้สถาบันการศึกษาทำการศึกษาวิจัยผลการดำเนินโครงการตามหลักวิชาการเพื่อเป็นองค์ความรู้และเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในระยะยาวต่อไป ๑.๒ จังหวัดเพชรบุรี ปัญหาเรื่องความล่าช้าในการพิจารณาอนุมัติการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของสำนักนโยบายและแผน ทำให้ได้รับผลกระทบต้องยกเลิกโครงการปี ๒๕๕๕ ในกิจกรรมก่อสร้างเขื่อนหินปากคลองบางทะเล หมู่ ๒, ๓ ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ความยาวรวม ๔๖๐ เมตร และขุดลอกคลองพร้อมดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (งบประมาณปี ๒๕๕๕) เนื่องจากรอผลการพิจารณา EIA นาน และผู้เสนอราคาไม่มาลงนามในสัญญาเพราะเลยกำหนดยื่นซองราคา ๑๘๐ วัน และราคาวัสดุสูงเกินกว่าที่เสนอราคาไว้ ๑.๓ จังหวัดสมุทรสงคราม ต้องการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจัดสรรงบประมาณมาเพื่อทำโครงการเพิ่มเติม เช่น จัดทำโครงการปักไม้ไผ่ในบริเวณพื้นที่หมู่ ๑๐ ตำบลบางแก้ว เพื่อต้องการปักไม้ไผ่ซ้อนอีก ๑ ชิ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการตกตะกอนของดินเลนเร็วขึ้น และจะดำเนินการปลูกป่าได้เพิ่มขึ้น รวมถึงงบประมาณในการซ่อมไม้ไผ่ที่ชำรุดทำให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนส่งผลให้เกิดพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการมีรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ๑.๔ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปัญหาอุปสรรคของการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งที่ผ่านมา คือ ประชาชนบุกรุกชายหาดและเป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง ต้องทำการศึกษา EIA เสนอให้สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นชอบก่อนที่จะทำการก่อสร้าง จึงเป็นเหตุให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปด้วยความล่าช้า ๒. การประมง (ประมงพื้นบ้าน ประมงชายฝั่ง) และการดำเนินงานท่าเรือประมง ๒.๑ จังหวัดเพชรบุรี ควรมีการสร้างกระบวนการต่อเนื่องอย่างยั่งยืนเพื่อไม่ให้ชาวประมงกลับมาใช้เครื่องมือโพงพางหรือเครื่องมืออื่น ๆ ที่ผิดกฎหมาย ๒.๒ จังหวัดสมุทรสงคราม ควรปิดอ่าวไทยรูปตัว ก เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรประมง พัฒนาตลาดปลาเป็นแหล่งรวมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์ประมง และจัดตั้งกลุ่มประมงเพื่อดูแลแหล่งทำการประมงไม่ให้มีการทำลาย (ปะการังเทียม) ๒.๓ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บุคลากรในการปฏิบัติงานในพื้นที่และปฏิบัติงานตรวจปราบปรามยังไม่เพียงพอ งบประมาณใช้การดำเนินงานมีอย่างจำกัด และข้อกฎหมายไม่ทันต่อสภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน
|
|||||||||||||||||||||
342 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการปรับเงินเดือนเจ้าหน้าที่ (มูลนิธิโครงการหลวง) | กร | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามแนวทางและกรอบวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการปรับเงินเดือนเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิโครงการหลวง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับเพิ่มค่าจ้างให้แก่เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิโครงการหลวง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
343 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2556 | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อปรับปรุงรายละเอียดของโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและยกระดับการผลิตอาหารปลอดภัยครบวงจรในพื้นที่ ๔ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง ให้มีความชัดเจน โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยที่มีอยู่ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการจัดตั้งโครงการแปรรูปเถ้าแกลบ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นพื้นฐานในการดำเนินการ ๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพร่วมในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะในชุมชน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการโครงการฯ ได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ และสร้างกระบวนการให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมดำเนินโครงการฯ ให้เป็นโครงการนำร่องและขยายผลการดำเนินงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพต่อไป ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการด้านการส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นกรณีพิเศษ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ ความเหมาะสมของอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสิทธิของประชาชนและชุมชนในการดำเนินโครงการฯ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินโครงการ ได้แก่ โครงการทางหลวง ๔ ช่องจราจร ทางหลวงแนวใหม่สายทางหลวงหมายเลข ๓๑๙๕ บรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๒ (ทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง), โครงการขยายถนน ๔ ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข ๓๖๖) ระยะทาง ๑๙ กิโลเมตร, โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองลพบุรีด้านเหนือ ๔ ช่องจราจร ระยะทาง ๑๓ กิโลเมตร, โครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างจังหวัด โดยการขยายช่องการจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ตลอดเส้นทาง รวม ๒ เส้นทาง และการปรับปรุงทางแยกต่างระดับชัยนาทที่ถนนสายเอเชีย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒) (กม. ๑๓๑+๕๙๕) ตามความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรจัดงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินโครงการศึกษาทางหลวงแนวใหม่ ๔ ช่องจราจร แยกทางหลวงหมายเลข ๓๒ ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (๓๖๖) ระยะทาง ๒๕ กิโลเมตร ในรายละเอียดเพิ่มเติม ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมประสานสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการศึกษาสร้างเกาะกลางแบบยกตัว ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑) ตรงสี่แยกเข้าชัยนาท-บ้านกล้วย กม. ๒๘๐+๕๗๘ (แยกหลวงพ่อโอ-ท่าน้ำอ้อย) ระยะทาง ๒๔.๙๘๔ กิโลเมตร ๒.๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษาในรายละเอียดของการดำเนินโครงการและขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้มุ่งเน้นการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวควบคู่ไปด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโครงการฯ ๒.๑.๔ ข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ เกี่ยวกับรายงานการติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑-๗/๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ ๑ กลุ่มที่มีความสำคัญยิ่งและต้องดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนไปประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่อไป รวมทั้งให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบันเป็นแกนหลักร่วมติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ดำเนินการแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๑.๕ เรื่องอื่น ๆ เสนอโดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒.๑.๕.๑ การปรับการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ให้กระทรวงพลังงานรวมกับกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการเพื่อเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดความซ้ำซ้อน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖ ๒.๑.๕.๒ การขอให้ปรับอัตราส่วนเพิ่มให้กับโรงไฟฟ้าชุมชนจากพลังงานทดแทนขนาดไม่เกิน ๑ เมกะวัตต์ ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการประกาศใช้อัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ของแต่ละประเภทของพลังงานทดแทนที่ชัดเจนโดยเร็ว โดยพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนมากขึ้น ๒.๑.๕.๓ โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ไทยสู่ประชาคมอาเซียน ระยะที่ ๒ (Innovation Coupon for SMEs) ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษารายละเอียดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ โดยนำผลการประเมินโครงการฯ ระยะที่ ๑ มาประกอบการพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๕.๔ ข้อเสนอความเห็นต่อการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า IT (ITA Expansion) ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์นำเรื่องการทบทวนการเข้าร่วมการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ โดยปรับรายการสินค้าตามหลักและเจตนารมณ์ของรายการสินค้า IT ให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศพิจารณาตามขั้นตอน ๒.๑.๕.๕ ข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน ให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน หารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงแรงงานรับข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ในการกำหนดอัตราการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจให้ความร่วมมือในการรับคนพิการเข้าทำงานเช่นเดียวกับภาคเอกชนด้วย ๒.๑.๕.๖ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปเร่งรัดดำเนินการในเส้นทางที่ได้ทำการศึกษารายละเอียดไว้แล้ว และพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการขยายโครงข่ายระบบรางให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนและการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕.๗ โครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดความสูญเสียจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเล ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอโครงการฯ และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเลไปพิจารณาในการวางแนวทางในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้มีความชัดเจน สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว ๒.๑.๕.๘ กฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริกา (Foreign Account Tax Compliance Act : FATCA) ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการผลักดันกรอบการเจรจา Intergovernmental Agreement (IGA) เรื่องกฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริการะหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเ
|
|||||||||||||||||||||
344 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 2 | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ จังหวัดนนทบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นไปดำเนินการต่อไป ๑.๑ ความเห็นของรัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการฯ และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง ที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ต่อโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัสดุท้องถิ่นเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี โครงการพัฒนาและบูรณะทางหลวงเพื่อความปลอดภัยและเชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี โครงการส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรปลอดภัย กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ในพื้นที่จังหวัดอ่างทอง โครงการพัฒนาสวนน้ำเพื่อสุขภาพและการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี โครงการเจ้าพระยาแลนด์ ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท และโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวระดับชั้นพันธุ์หลักและชั้นพันธุ์ขยายเพื่อเสริมสร้างระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ๑.๒ ความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการฯ เลขานุการรัฐมนตรีฯ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีฯ และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง ที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของจังหวัด ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดลพบุรี มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการก่อสร้างศูนย์ส่งเสริมบริการเยาวชนและผู้สูงวัย (จังหวัดลพบุรี) ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรกรทำการเกษตรอาหารปลอดภัย ตำบลศิลาทิพย์ อำเภอชัยบาดาล และตำบลคลองเกตุ อำเภอโคกสำโรง โครงการยกระดับเขตเมืองเก่าลพบุรีเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในระดับภูมิภาคอาเซียน อำเภอเมืองลพบุรี โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ (วังแขม) อำเภอสระโบสถ์ โครงการศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว แก้มลิงหนองสมอใสตามแนวพระราชดำริ และโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรอาหารปลอดภัยพื้นที่แก้มลิงห้วยซับใต้ ๑.๒.๒ จังหวัดอ่างทอง มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของโรงสีข้าวเทพประทาน ๒ ตำบลบางเสด็จ อำเภอป่าโมก โครงการบริหารจัดการน้ำในเขตชุมชนสำคัญเพื่อป้องกันอุทกภัย อำเภอเมืองอ่างทอง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพตลาดกลางข้าวเปลือกให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อขอรับการสนับสนุนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ตำบลป่างิ้ว อำเภอเมืองอ่างทอง และตำบลศาลเจ้าโรงทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ และโครงการพัฒนาพื้นที่แก้มลิงหนองเจ็ดเส้น อันเนื่องมาจากพระราชดำริ “อุทยานสวรรค์ ๑๑๕ ปี อ่างทอง หนองเจ็ดเส้น เฉลิมพระเกียรติฯ” ตำบลหัวไผ่ อำเภอเมืองอ่างทอง และตำบลสายทอง อำเภอป่าโมก ๑.๒.๓ จังหวัดสิงห์บุรี มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการพัฒนาค่ายบางระจันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ตำบลบางระจัน อำเภอค่ายบางระจัน โครงการพัฒนาและปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้เกษตรปลอดภัยในพื้นที่โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ ตำบลท่าข้าม อำเภอค่ายบางระจัน และตำบลวิหารขาว อำเภอท่าช้าง และโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหมู่ที่ ๕ ตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ๑.๒.๔ จังหวัดชัยนาท มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการเมืองเมล็ดพันธุ์ข้าวชัยนาท ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี และตำบลท่าชัย อำเภอเมืองชัยนาท และโครงการ CHAINAT BIRD LAND อำเภอเมืองชัยนาท ๒. ความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ที่เห็นควรให้โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำของทุกจังหวัดส่งรายละเอียดการออกแบบโครงการเบื้องต้นให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนเสนอขอรับการอนุมัติงบประมาณจากสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
345 | การตั้งงบประมาณโครงการอาหารกลางวันนักเรียน ตามภาวะเศรษฐกิจ | ศธ | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นปรับเพิ่มการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สำหรับโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนจากอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน เป็น ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้หน่วยงานอื่นที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันในอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้นเป็นอัตรา ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนในโรงเรียนเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นจำนวน ๖๕๙,๙๐๖,๘๐๐ บาท ให้ขอรับการสนับสนุนจากดอกผลของเงินกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา ๑.๒ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันของนักเรียนพิจารณาเสนอปรับอัตราค่าอาหารกลางวันทุกปี ให้สอดคล้องกับราคาสินค้าและภาวะเศรษฐกิจ โดยให้คำนึงถึงปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการเป็นสำคัญ ๒. การปรับเพิ่มอัตราค่าอาหารกลางวันของนักเรียนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน จึงให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขพิจารณากำหนดเกณฑ์ชี้วัดมาตรฐานอาหารและโภชนาการของนักเรียนให้ได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและมีปริมาณที่เหมาะสมกับวัยก่อนเริ่มดำเนินการ รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลภาวะโภชนาการของนักเรียนหลังจากได้รับงบประมาณในส่วนนี้เพิ่มแล้ว โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะทุก ๖ เดือน ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการนำแนวทางดำเนินการตามโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาปรับใช้กับโครงการนี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||
346 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี | นร11 | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. โครงการที่ได้รับการยืนยันจากจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ จำนวน ๔ จังหวัด (จังหวัดลพบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี ระหว่างวันที่ ๓๑ตุลาคม-๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๑.๑ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ได้แก่ โครงการศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัสดุท้องถิ่นเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน โครงการพัฒนาและบูรณะทางหลวงเพื่อความปลอดภัยและเชื่อมโยงระหว่างจังหวัด โครงการส่งเสริมสหกรณ์การตลาดสินค้าเกษตรปลอดภัย กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ โครงการพัฒนาสวนน้ำเพื่อสุขภาพและการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ โครงการเจ้าพระยาแลนด์ และโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวระดับชั้นพันธุ์หลักและชั้นพันธุ์ขยายเพื่อเสริมสร้างระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของกลุ่มภาคกลางตอนบน ๒ ๑.๒ จังหวัดลพบุรี ได้แก่ โครงการก่อสร้างศูนย์ส่งเสริม บริการเยาวชนและผู้สูงวัย (จังหวัดลพบุรี) โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรกรทำการเกษตรอาหารปลอดภัย โครงการยกระดับเขตเมืองเก่าลพบุรีเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในระดับภูมิภาคอาเซียน โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ (วังแขม) โครงการศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวแก้มลิงหนองสมอใสตามแนวพระราชดำริ และโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรอาหารปลอดภัยพื้นที่แก้มลิงห้วยซับใต้ ๑.๓ จังหวัดอ่างทอง ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของโรงสีข้าวเทพประทาน ๒ โครงการบริหารจัดการน้ำในเขตชุมชนสำคัญเพื่อป้องกันอุทกภัย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพตลาดกลางข้าวเปลือกให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อขอรับการสนับสนุนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล และโครงการพัฒนาพื้นที่แก้มลิงหนองเจ็ดเส้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ “อุทยานสวรรค์ ๑๑๕ ปี อ่างทอง หนองเจ็ดเส้น เฉลิมพระเกียรติฯ” ๑.๔ จังหวัดสิงห์บุรี ได้แก่ พัฒนาค่ายบางระจันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ พัฒนาและปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้เกษตรปลอดภัยในพื้นที่โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ และโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหมู่ที่ ๕ ตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ๑.๕ จังหวัดชัยนาท ได้แก่ โครงการเมืองเมล็ดพันธุ์ข้าวชัยนาท และโครงการ CHAINAT BIRDS’LAND ๒. การประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) กำหนดในวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๕.๓๐ น.-๑๗.๓๐ น. ณ ห้องประชุมชั้น ๓ อาคาร ๙๐ ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จังหวัดลพบุรี
|
|||||||||||||||||||||
347 | ผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5 และการประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ การประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงานความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 5 และการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 19 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย | นร11 | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor Forum : ECF) ครั้งที่ ๕ และการประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ระหว่างวันที่ ๖-๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ กรุงเทพมหานคร ๑.๑ การประชุม ECF ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานผลักดันแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้กรอบแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคที่สำคัญของรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) แนวระเบียงเศรษฐกิจและแนวทางการขับเคลื่อนกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงาน GMS ฉบับใหม่สู่การปฏิบัติ และได้มีการหารือเพื่อให้เสนอแนะและให้การรับรองเบื้องต้นต่อกรอบการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework : RIF) ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ให้การรับรองต่อไป ๑.๒ การประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ที่ประชุมได้นำเสนอโครงการตัวอย่างของแต่ละประเทศสมาชิกที่ได้บรรจุอยู่ในกรอบการลงทุนของภูมิภาคให้แก่นักลงทุน องค์การระหว่างประเทศ และภาคีพัฒนาต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและระดมทุนผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) ของประเทศสมาชิก ๒. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงานความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (Mekong-Japan Economic and Industrial Cooperation : MJ-CL) ครั้งที่ ๕ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาเสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและภาคเอกชนภายใต้กรอบ MJ-CL ครั้งที่ ๖ (6th Mekong-Japan Industry and Government Dialogue) ความก้าวหน้าและการดำเนินงานในอนาคตการจัดทำ RIF ภายใต้แผนงาน GMS โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ข้อเสนอของประเทศญี่ปุ่นในการร่างวิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการลำดับความสำคัญสูงภายใต้แผนที่นำทางการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง การเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาโครงการลำดับความสำคัญสูงของแต่ละประเทศ โดยต้องสอดคล้องกันในระดับอนุภูมิภาค การบูรณาการประเด็นการพัฒนาใหม่เข้าไว้ในแผนที่นำทางฯ เช่น การพัฒนาพื้นที่ชายแดน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรม การจัดตั้งคณะทำงานย่อยดูแลเรื่องกฎหมายทางธุรกิจ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าที่สำคัญของแผนที่นำทางฯ ภายใต้ความร่วมมือ MJ-CL ต่อผู้นำประเทศ และการประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงาน MJ-CL ครั้งที่ ๖ ที่กำหนดจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และการประชุมระดับผู้นำของแผนงาน MJ-CL ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๙ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia Thailand Growth Triangle : IMT-GT) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ กันยายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย ๓.๑ การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๒๐ แผนงาน IMT-GT ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการระดับชาติในการเร่งรัดงานสำคัญ ความก้าวหน้าการดำเนินงานของ ๖ คณะทำงาน และแนวทางการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ การสนับสนุนจาก ADB ในการพัฒนาโครงการโดดเด่น รวมทั้งข้อเสนอขอรับการสนับสนุนโดยสภาธุรกิจ IMT-GT ๓.๒ การประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๐ ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าจากการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๙ ที่รัฐเนกรีเซมบิลัน ประเทศมาเลเซีย ข้อเสนอความร่วมมือระยะต่อไป รับทราบข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากสภาธุรกิจ IMT-GT ที่สำคัญ และความช่วยเหลือจาก ADB ด้านเมืองสีเขียวและการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนไทย-มาเลเซีย ๓.๓ การประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าโครงการโดดเด่น ความก้าวหน้าการจัดตั้งสำนักงานถาวรของศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาคเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Centre for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Sub-regional Cooperation : CIMT ที่นครปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย และแนวทางความเป็นไปได้ในการนำแนวคิดการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคมเป็นประเด็นนำในการประชุมระดับผู้นำ IMT-GT ครั้งที่ ๘ ที่ประเทศเมียนมาร์ ๓.๔ การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๙ แผนงาน IMT-GT ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ รายงานของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ข้อเสนอโครงการจากที่ประชุมมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๐ ข้อเสนอขอความอนุเคราะห์จากสภาธุรกิจ IMT-GT ที่สำคัญ การนำผลการหารือในการประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการเป็นแนวทางการดำเนินการ รวมทั้งสาธารณรัฐอินโดนีเซียรับเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๐ ที่เกาะซาบัง จังหวัดอาเจห์ เกาะสุมาตรา ในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
348 | แนวทางการแก้ไขปัญหาราษฎร 5 หมู่บ้านในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปางร้องเรียนขออพยพ | พน | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้อพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน (บ้านห้วยคิง หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่เมาะ บ้านหัวฝาย หมู่ที่ ๑ บ้านดง หมู่ที่ ๒ บ้านสวนป่าแม่เมาะ หมู่ที่ ๗ และบ้านหัวฝายหล่ายทุ่ง หมู่ที่ ๘ ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรและสนับสนุนการปฏิบัติงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการดำเนินการอพยพราษฎรที่เป็นทิศทางเดียวกัน ซึ่งรวมถึงแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ไม่อพยพออกจากพื้นที่ และเห็นควรให้คณะกรรมการที่กระทรวงพลังงานจะแต่งตั้งเพื่อดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการอพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน ในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง พิจารณาการใช้พื้นที่ดังกล่าวอย่างรอบคอบ และให้ กฟผ. จัดทำแผนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ราษฎรได้รับค่าชดเชยและอพยพออกจากพื้นที่นั้นอย่างรอบคอบและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ กฟผ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของราษฎรและผู้มีส่วนได้เสียในบริเวณใกล้เคียงที่มีแนวโน้มที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโรงไฟฟ้าแม่เมาะเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อจัดทำแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาอพยพราษฎรอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการย้ายกลับเข้าพื้นที่เดิมของราษฎรกลุ่มเดิม หรือการย้ายเข้าพื้นที่ของราษฎรกลุ่มใหม่ที่ชัดเจน และมาตรการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และสวนป่า (ป่าสัก) ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่รองรับการอพยพเพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ดังกล่าว ตลอดจนพิจารณาแนวทางการทำความเข้าใจกับชุมชนเพื่อป้องกันการขออพยพในอนาคต และจัดทำแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ได้จากการอพยพของประชาชนในการพัฒนาเป็นแนวป้องกันด้านสิ่งแวดล้อม (Buffer zone) เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้ กฟผ. จัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่าง กฟผ. กับราษฎรที่ยืนยันไม่ต้องการอพยพให้ชัดเจนเพื่อเป็นการยอมรับร่วมกันว่า พื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน มีความเหมาะสมและได้รับความเห็นชอบจากการประชาคมหมู่บ้านแล้ว หากในอนาคต กฟผ. มีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินของราษฎร กฟผ. จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบในการเวนคืนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ และต้องดำเนินการขออนุญาตตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้ กฟผ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้านงบประมาณ จำนวน ๒,๙๗๐.๕ ล้านบาท โดยให้ กฟผ. ประสานงานกับคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากกองทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และให้ กฟผ. หารือร่วมกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เพื่อพิจารณาข้อตกลงด้านงบประมาณที่เป็นค่าชดเชยต้นสักของ อ.อ.ป. ในพื้นที่รองรับการอพยพและพื้นที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินและทบทวนสถานภาพความเป็นหมู่บ้านของทั้ง ๕ หมู่บ้าน ในกรณีจำนวนครัวเรือนที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านเดิมมีจำนวนน้อยเกินกว่าที่จะคงสถานภาพเป็นหมู่บ้านภายหลังการอพยพของครัวเรือนในแต่ละหมู่บ้านแล้ว โดยพิจารณากำหนดแนวทางการโอนครัวเรือนที่เหลืออยู่ไปสมทบร่วมกับหมู่บ้านอื่น หรือพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการครัวเรือนที่เหลืออยู่ให้สอดคล้องกับแนวทางการปกครองในระดับหมู่บ้านต่อไป ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการให้บริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบประปา ในพื้นที่ของครัวเรือนที่ขออพยพ เพื่อป้องกันการย้ายกลับเข้าพื้นที่เดิม สำหรับพื้นที่ของครัวเรือนที่ยืนยันไม่ต้องการขออพยพ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาบริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการพื้นฐานดังกล่าวให้กับครัวเรือนในพื้นที่ต่อไปตามสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนพึงได้รับจากภาครัฐ |
|||||||||||||||||||||
349 | รายงานผลการจัดงานเสวนา "กระทรวงอุตสาหกรรมพบนักลงทุน - หนุนการสร้างงาน" พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | อก | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการจัดงานเสวนา “กระทรวงอุตสาหกรรมพบนักลงทุน-หนุนการสร้างงาน” ของพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ ณ โรงแรม ซี เอส จังหวัดปัตตานี โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ประกอบการในพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และนอกพื้นที่ (จังหวัดสงขลาและสตูล) ประมาณ ๕๐๐ คน รวมทั้งกงสุลมาเลเซียประจำจังหวัดสงขลาได้เข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้ด้วย สรุปผลการจัดงานเสวนาฯ ดังนี้
๑. ผู้บริหารระดับสูงทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมกันให้ข้อมูลประเภทอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักลงทุน นำเสนอสิทธิประโยชน์พิเศษ และโครงการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการที่จะลงทุนในพื้นที่ให้ได้รับทราบและเข้าใจ ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมรับทราบปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปัตตานีและสตูล หอการค้าจังหวัดปัตตานี ตลอดจนผู้ประกอบการจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการลงทุนและการประกอบการอุตสาหกรรมในทุกมิติ โดยมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่สำหรับ ๔ จังหวัดภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล) และ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา) ซึ่งให้สิทธิประโยชน์เท่าเทียมกัน จึงทำให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนในจังหวัดสตูลและ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลาแทนที่จะลงทุนในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ๒.๒ ขอรับการสนับสนุนจากรัฐให้สร้างโรงงานแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเป็นโรงงานต้นแบบ (เนื่องจากไม่มีเอกชนลงทุน) เช่น โรงหีบน้ำมันปาล์มในจังหวัดนราธิวาส ๒.๓ โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเมื่อครบกำหนดการยกเว้นภาษีเงินได้แล้ว ขอให้สามารถนำเงินภาษีที่ต้องชำระ (เช่น ปีที่ ๙ หลังจากครบกำหนด ๘ ปี) มาลงทุนเพิ่มได้ ๒.๔ การช่วยเหลือผู้ประกอบการเดิมซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวให้อยู่รอดได้ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมีโครงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแล้วหลายโครงการ เช่น สนับสนุนการพัฒนาการแปรรูปอาหาร-บรรจุภัณฑ์/ออกแบบแฟชั่นมุสลิม/อุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ในการเปลี่ยนเครื่องจักร/ผู้ประกอบการสามารถรวมกลุ่มขอรับเงินอุดหนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ๓. ประเด็นที่ผู้ประกอบการร้องขอ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่แบบครบวงจร (One stop service) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างยากลำบาก โครงการในพื้นที่มักไม่ได้รับการอนุมัติ การขออนุญาตตั้งโรงงานในกรณีขัดผังเมืองรวม การสนับสนุนการตลาด การแสดงสินค้า โดยเฉพาะตลาดเพื่อส่งออกต่างประเทศและการค้าชายแดน รวมทั้งการขอปะการังเทียมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำเป็นวัตถุดิบสำหรับโรงงานแปรรูปอาหาร ๔. กงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลาได้เสนอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์รายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้และความร่วมมือระหว่างไทยและมาเลเซียเผยแพร่ให้นักธุรกิจมาเลเซียได้รับทราบ
|
|||||||||||||||||||||
350 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ยธ | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมราชทัณฑ์ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติขยายเวลาการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๔๙๗,๔๗๑,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรายการค่าวัสดุอาหาร ในเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้กรมราชทัณฑ์ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
351 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) | มท | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๖๖,๕๔๙,๙๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
352 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ช่วงที่ 2) ระยะเวลา 5 ปี (ปีงบประมาณ 2557 - 2561) | ศธ | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ช่วงที่ ๒) ระยะเวลา ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) เพื่อให้เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาในรูปแบบการเรียนในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง สามารถกลับไปเรียนต่อในสถานศึกษาและมีสิทธิสอบเลื่อนชั้น รวมทั้งได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย จิตใจ การเรียนรู้ และพัฒนาด้านต่าง ๆ ๒. งบประมาณดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๒.๑๖๒ ล้านบาท หากไม่เพียงพอให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมาดำเนินการก่อนในโอกาสแรก และให้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์การเรียน รวมทั้งการจ้างครูอัตราจ้างในแต่ละปี ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียดตามความจำเป็นเร่งด่วนและเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณเป็นรายปี ไปพิจารณาดำเนินการ ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้ติดตามประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ส่วนการจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ เห็นควรให้พิจารณาใช้เกณฑ์ราคากลางและคุณลักษณะพื้นฐานครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
353 | การเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ ค.ศ. 2006 | ทส | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ ค.ศ. ๒๐๐๖ (International Tropical Timber Agreement 2006 : ITTA 2006) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการเข้าเป็นภาคี ITTA 2006 คือ ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีสากลในการจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน ได้โอกาสในการเข้าร่วมกำหนดนโยบายการดำเนินงานขององค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (International Tropical Timber Organization : ITTO) ได้รับข้อมูลข่าวสารด้านการป่าไม้ในเขตร้อนเพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านป่าไม้ในเขตร้อน และได้รับสิทธิในการเสนอโครงการต่าง ๆ เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจาก ITTO เพื่อความร่วมมือทางวิชาการในการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศในการบริหารจัดการการวิจัยพัฒนาและอื่น ๆ ด้านป่าไม้ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนการเข้าร่วมเป็นภาคี ITTA 2006 ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการวางแผนดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านการมีโอกาสร่วมกำหนดนโยบายการดำเนินงานของ ITTO การได้รับข้อมูลข่าวสารด้านป่าไม้เขตร้อน การได้รับสิทธิในการเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจาก ITTO เพื่อประโยชน์ด้านวิชาการ การบริหารจัดการ การวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาขีดความสามารถของไทย รวมทั้งควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงฯ กรณีที่ ITTO ได้มีหนังสือยืนยันว่าจะไม่มีแผนการจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย และจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติการตั้งฐานที่มั่นถาวรในประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
354 | ขออนุมัติจำหน่ายหนี้สูญเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ตามโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐ | กค | 10/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำหน่ายหนี้สูญเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ตามโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐ จำนวน ๒๓ สหกรณ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๒๗,๒๓๘,๖๓๐.๑๔ บาท โดยไม่ขอเงินชดเชยจากรัฐบาล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมกับสหกรณ์และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ และความพร้อมของเกษตรกรในทุกมิติ เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทาง/วิธีดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งติดตามประเมินผลการดำเนินงานของสหกรณ์ที่ขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรับทราบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานตลอดจนสามารถกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาในการดำเนินการได้ทันกับสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังนำมติสภาคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เกี่ยวกับเรื่องจำหน่ายหนี้เงินและทรัพย์สินออกจากบัญชี โดยกรณีเงินสูญหาย ขาดบัญชี หรือหนี้เงินค้างชำระที่ไม่สามารถเรียกร้องจากลูกหนี้ได้แต่ละกรณีภายในวงเงิน จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจอนุมัติจำหน่ายออกจากบัญชีได้ จำนวนเงินหรือหนี้เกินกว่านี้ให้กระทรวงการคลังเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี และกรณีทรัพย์สินสูญหาย ชำรุด มิได้ใช้ในราชการ หรือเสื่อมสภาพไม่ว่าจะเป็นไปโดยปกติหรือมิใช่โดยปกติ ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจอนุมัติจำหน่ายออกจากบัญชีได้โดยไม่จำกัดมูลค่าแห่งทรัพย์สินนั้น ไปพิจารณาปรับปรุงแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
355 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ยธ | 10/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๔,๓๕๗,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้เสียหาย ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาเฉพาะรายการค่าใช้จ่ายที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งมีการแจ้งคำวินิจฉัยและมีผู้มาแสดงตนเพื่อขอรับเงินตามสิทธิแล้ว ณ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๐๘๐ ราย สำหรับค่าใช้จ่ายรายการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๒๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
356 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน | สธ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นสมควรปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๘ (เรื่อง การขอรับการสนับสนุนโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน) โดยให้ขยายกำหนดเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน จากเดิมสิ้นสุดในปี ๒๕๕๖ เป็นสิ้นสุดในปี ๒๕๖๐ โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว เพื่อรับนักเรียนเข้าศึกษาในโครงการฯ ให้ได้ครบตามเป้าหมาย จำนวน ๓,๒๓๒ ทุน ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีกลไกการประสานงานการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนผู้ที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ อย่างเข้มข้น และควรมีแนวทางการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานตั้งแต่ประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาโดยเฉพาะโรงเรียนระดับอำเภอ เพื่อให้นักเรียนมีศักยภาพมากพอที่จะสอบแข่งขันให้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกของสถาบันฝ่ายผลิตแพทย์ รวมทั้งควรมีแผนรองรับการบรรจุนักเรียนแพทย์ที่จบการศึกษาและวางระบบบริหารจัดการอัตรากำลังให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระบบบริหารกำลังคนด้านสุขภาพ และควรมีการประเมินผลการดำเนินการที่ผ่านมาและปรับปรุงเพื่อให้สามารถดำเนินตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เห็นควรปรับปรุงกระบวนการคัดสรรนักเรียน ตั้งแต่ช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีบทบาทร่วมกันดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด จัดหลักสูตรพัฒนาศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้จนจบหลักสูตร ตลอดจนให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อพัฒนามาตรการการรักษาบุคลากรทางการแพทย์โครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพ โดยจัดสรรค่าตอบแทน สวัสดิการ และสร้างความก้าวหน้าในอาชีพให้ชัดเจน เพื่อดึงดูดบุคลากรกลุ่มนี้ไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
357 | ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการจัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วและเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ | มท | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนจัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วและเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ตามโครงการจัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วและเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ในจำนวนที่จำเป็นเร่งด่วน ได้แก่ เครื่องตรวจจับความเร็วแบบติดตั้ง จำนวน ๗๖ เครื่อง เป็นเงิน ๙๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท เครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา จำนวน ๗๖ เครื่อง เป็นเงิน ๖๘,๔๐๐,๐๐๐ บาท และเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์แบบยืนยันผล จำนวน ๒,๙๓๐ เครื่อง เป็นเงิน ๓๕๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนเงิน ๕๑๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับส่วนที่เหลือให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกันจัดทำแผนความต้องการ เพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เช่น กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน หรือกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
358 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร08 | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการบริหารจัดการพื้นที่จุดเกิดเหตุซ้ำซากของจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินไม่เกิน ๓๒,๖๒๗,๘๘๐ บาท และให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้ง สำหรับการติดตั้งกล้องวงจรปิด เห็นควรให้ถือปฏิบัติ/ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ [เรื่อง การจัดหาระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV)] และตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แผนงานเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศ ผลผลิตการบริหารจัดการการป้องกันประเทศ งบบุคลากร รายการเงินเดือน จำนวน ๑,๑๗๙,๕๕๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของคณะทำงานรักษาความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน/ภัยแทรกซ้อนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้มีการตรวจสอบและประสานงานกับสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมแล้ว มีงบประมาณคงเหลือเพียงพอที่จะเจียดจ่ายเพื่อดำเนินการดังกล่าวได้ โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
359 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2556 | ทส | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดพังงาและจังหวัดกระบี่ รวม ๓ ฉบับ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาข้อมูลและผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างที่ประกาศกระทรวงฯ สิ้นผลการบังคับใช้ โดยดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ เดือน และรายงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พร้อมทั้งประสานจังหวัดเพื่อทราบ ๒. เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ (ฉบับปรับปรุงแก้ไข) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ รวมทั้งนำรายงานดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๓. รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย) โดยให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและขยะติดเชื้อ ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้กรมควบคุมมลพิษนำมาตรการฯ (ระยะสั้น) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติให้บังเกิดผลสำเร็จ โดยระบุว่าจะมีการนำมาตรการระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการเสนอคณะรัฐมนตรีในลำดับถัดไป ๔. เห็นชอบในหลักการแนวทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อการฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียรวม หรือระบบกำจัดของเสียรวม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ โดยเป็นการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรร ข้อ ๑๕ (๒) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขอจัดสรรและขอกู้ยืมเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยให้คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กับ อปท. ที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเป็นรายโครงการ และให้ อปท. ดำเนินการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าปรับ และนำมาหักส่งเข้ากองทุนฯ ตามอัตราที่คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมกำหนด รวมทั้งเห็นชอบให้มาตรการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ สิ้นสุดการบังคับใช้ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ ๕. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ประจำปี ๒๕๕๗ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาทบทวนและให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการกองทุนสิ่งแวดล้อม การสรรหาแหล่งเงินทุน การจัดสรรเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การกำหนดสัดส่วนการสมทบเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การสร้างความเข้าใจกับท้องถิ่น และการจัดเก็บเงินจากผู้ก่อมลพิษตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และนำเสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาลงนาม ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา
|
|||||||||||||||||||||
360 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 6/2556 | นร01 | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้) เป็นหน่วยงานประสานการเสนอแบบฟอร์มเสนอแผนงาน/โครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและดิน ฝายแม้ว ในกิจกรรมการปลูกป่ารายจังหวัดที่รับผิดชอบ โดยผู้มีอำนาจเต็มคือ อธิบดีที่เกี่ยวข้อง และผู้ว่าราชการจังหวัดที่กำกับดูแลพื้นที่เท่านั้น และเมื่อลงนามครบถ้วนแล้ว ให้เสนอสำนักงบประมาณเพื่อตกลงรายละเอียดงบประมาณต่อไป และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อติดตามแผนปฏิบัติการโครงการดังกล่าว โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่งตั้งคณะอนุกรรมการถาวร (Steering Committee) กบอ. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการถาวร (Steering Committee) โดยให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ร่วมเป็นองค์ประกอบเพื่อดำเนินการตรวจติดตามระบบ UAV และการใช้ดาวเทียมติดตามผลการดำเนินงานของโครงการดังกล่าว และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการถาวร (Steering Committee) ๑.๑.๒ เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอขอขยายเวลาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๓ โครงการ (๕ รายการย่อย) เป็นเงิน ๑๙๑,๑๒๐,๐๐๐ บาท โดยขยายระยะเวลาออกไป ๖๐ วัน ทั้งนี้ การนับระยะเวลาที่ขยายให้นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในเรื่องดังกล่าว ๑.๑.๓ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการ จากถังน้ำแบบไฟเบอร์กลาส ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๑๔,๒๔๐ ใบ ราคาใบละ ๑๒,๐๐๐ บาท และขนาด ๓,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๘,๕๖๐ ใบ ราคาใบละ ๑๗,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๓๑๖,๔๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ถังน้ำแบบพลาสติก ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๒๒,๘๐๐ ใบ ราคาใบละ ๙,๘๐๐ บาท (รวมค่าขนส่งใบละ ๒,๐๐๐ บาท) รวมเป็นเงิน ๒๒๓,๔๔๐,๐๐๐ บาท โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๑.๑.๔ เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๖ ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาจันทบุรี จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๐.๖๔๔ ล้านบาท และเห็นชอบการขอเปลี่ยนแปลงโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๖ ทดแทนรายการยกเลิกของ กปภ. ในโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน จำนวน ๒ โครงการ จำนวนเงิน ๐.๖๑๐ ล้านบาท โดยงบประมาณไม่เกินกรอบวงเงินเดิมที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว รวมทั้งเห็นชอบในหลักการโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๗ โดยขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง จำนวน ๕๘๑ โครงการ วงเงินดำเนินการ ๑,๓๓๐.๒๘๒ ล้านบาท และให้คณะอนุกรรมการวิชาการและวิเคราะห์โครงการ กบอ. ตรวจสอบรายละเอียดโครงการดังกล่าว แล้วส่งให้ฝ่ายเลขานุการเพื่อนำเสนอ กบอ. พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๑.๕ เห็นชอบการมอบอำนาจให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติเป็นผู้รับมอบอำนาจในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีปกครอง หมายเลขดำที่ ๙๔๐/๒๕๕๖ แทน กบอ. ผู้ถูกฟ้องคดีที่สี่ จนถึงที่สุด ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๑ การดำเนินการโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวางระบบตรวจสอบและติดตามการดำเนินโครงการให้ชัดเจน โดยให้ประสานการดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้การปลูกป่าได้ผลอย่างยั่งยืน และให้รายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒.๒ การดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พ.ศ. ๒๕๕๖ (งบจัดหาถังบรรจุน้ำกลาง) เพื่อเป็นการเตรียมการรองรับภาวะภัยแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการจัดหาถังบรรจุน้ำกลางประจำหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้งระดับรุนแรงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
.....