ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 1095 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
381 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง | นร11 | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง (จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ นครนายก สระแก้ว และปราจีนบุรี) รวม ๕ จังหวัด โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นดังกล่าวไปดำเนินการต่อไป ๑.๑ เห็นชอบโครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง ดำเนินการในพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทราโดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบโครงการพัฒนาสินค้าเกษตรอินทรีย์และสุขภาพวิถีไทย ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ วงเงิน ๑๖.๘๐๔ ล้านบาท ๑.๓ เห็นชอบโครงการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และแปรรูปปลาสลิดของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง เพื่อส่งเสริมให้ได้มาตรฐาน OTOP และส่งเสริมการส่งออก ดำเนินการในพื้นที่อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ วงเงิน ๒๓.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ เห็นชอบโครงการพัฒนาด่านชายแดนและปรับปรุงระบบการให้บริการประชาชน ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ วงเงิน ๓๗.๕๐ ล้านบาท ๒. ความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดสระแก้วและปราจีนบุรี ๒.๑ จังหวัดสระแก้ว เห็นควรให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองวางระบบ Auto Channel และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จะสนับสนุนให้เกิดความรวดเร็วในการให้บริการที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก โดยเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบปกติตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งให้กรมศุลกากรเสนอของบประมาณการให้บริการที่ต่อเนื่องกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อให้การบริการและการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวและประชาชนเป็นรูปแบบสากล เช่นเดียวกับการบริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ และเห็นควรให้กรมศุลกากรเร่งจัดหาที่ดิน ออกแบบรายละเอียดเพื่อพัฒนาโครงการพัฒนาด่านศุลกากร ณ บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท รองรับการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor) ๒.๒ จังหวัดปราจีนบุรี กรณีเขื่อนทดน้ำบางปะกง จากการเริ่มใช้งานจริงในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๓ พบว่า เกิดน้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมด้านท้ายน้ำในช่วงน้ำขึ้น และการพังทลายของตลิ่งในบริเวณเป็นคุ้งน้ำในช่วงน้ำลง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม มีเพียงการบริหารจัดการเขื่อนทดน้ำเพื่อรักษาระดับน้ำจืดและระดับน้ำทะเล ให้แตกต่างกันน้อยที่สุด ทำให้โครงการไม่สามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ จึงเห็นควรมอบหมายกรมชลประทาน โดยการกำกับของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ทำการศึกษาทางด้านชลศาสตร์ อุทกศาสตร์ และธรณีวิทยาของตลิ่ง และ/หรือ การศึกษาออกแบบการก่อสร้างฝายทดน้ำที่บริเวณปากแม่น้ำอีกแห่งหนึ่ง เพื่อลดความแปรปรวนของการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นสาเหตุของการพังทลายของตลิ่งในปัจจุบัน เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ และคุ้มค่ากับเงินที่ได้ลงทุนไปแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
382 | การดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี | นร04 | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินเการกี่ยวกับกรณีที่ประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ระหว่างการปฏิบัติราชการ ณ จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปประเด็นหนังสือร้องเรียนร้องทุกข์ และเห็นควรดำเนินการ ๑.๑ เรื่องขอรับการสนับสนุนการพัฒนาจังหวัดปราจีนบุรี กรณีพัฒนาเส้นทางรถยนต์ เส้นทางรถไฟเป็นรางคู่ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการ กรณีสนับสนุนให้จังหวัดปราจีนบุรีเป็นเขตอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการทำน้ำหอมระเหยจากต้นกฤษณาเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อม มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการ กรณีร้องขอให้รักษาผังเมืองรวมที่กำหนดให้พื้นที่ตำบลบางเดชะ อำเภอเมือง เป็นพื้นที่สีขาวแทยงเขียว (พื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม) มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีพิจารณาดำเนินการ ๑.๒ เรื่องขอให้ทบทวนการเปิดด่านถาวรบ้านหนองเอี่ยน จังหวัดสระแก้ว-สตึงบท จังหวัดบนเตียเมียนเจย โดยเสนอขอให้พิจารณาเปิดด่านถาวรบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว และเรื่องขอให้พิจารณาพื้นที่ในเขตตำบลบ้านไร่เป็นสถานที่จัดตั้ง “สถานีขนถ่ายสินค้าโลจิสติกส์” มอบให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ ๑.๓ เรื่องขอให้ปรับปรุงระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๓ การยกเลิกคำสั่งส่วนแบ่งรางวัลนำจับความผิดพระราชบัญญัติจราจร และการติดตามเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการ ๑.๔ เรื่องขอให้ปราบปรามยาเสพติดในจังหวัดปราจีนบุรี และขอให้ช่วยเหลือกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) พิจารณาดำเนินการ ๑.๕ เรื่องขอให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกและโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการ ๑.๖ เรื่องขอให้ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาของเกษตรกรไร่อ้อยรายย่อยจากการใช้หลักเกณฑ์ของภาครัฐเกี่ยวกับการจัดตั้งโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ จังหวัดสระแก้ว มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการ ๑.๗ เรื่องขอให้ติดตามการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ และเครือข่ายที่ดินแนวใหม่ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองแห่งชาติ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาดำเนินการ ๑.๘ เรื่องขอให้ตรวจสอบการขายสินค้าของร้านค้าในโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร มอบให้ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรพิจารณาดำเนินการ ๑.๙ เรื่องขอให้ผลักดันโครงการผันน้ำจากเขื่อนพระปรงไปอ่างเก็บน้ำเขื่อนห้วยยาง และโครงการเก็บน้ำห้วยลำสะโตน จังหวัดสระแก้ว มอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาดำเนินการ ๑.๑๐ เรื่องขอให้ช่วยเหลือจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรที่ไร้ที่ทำกิน มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการ ๑.๑๑ เรื่องขอรับการสนับสนุนงบประมาณพัฒนาท้องถิ่นและติดตามโครงการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ขอให้ปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณตลาดโรงเกลือ ตรวจสอบการประมูลการจัดให้เช่าที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารค้าขายบริเวณตลาดโรงเกลือ และชาวต่างด้าวเปิดร้านปิดทางเดินเข้าออกบ้าน ขอให้ตรวจสอบแก้ไขปัญหากรณีแนวเขตที่ดินของราษฎรกับสนามบินอรัญประเทศ และเรื่องขอให้ผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามายึดครองพื้นที่ทำกิน มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วพิจารณาดำเนินการ ๒. ส่งเรื่องทั้งหมดให้ศูนย์บริการประชาชน (๑๑๑๑) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการประสานกับหน่วยปฏิบัติ และนำเข้าระบบรับเรื่องร้องเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อการติดตามเรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
383 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2556 | นร11 | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา และเห็นชอบตามมติที่ประชุมฯ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุมฯ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑.๑ ขอรับการสนับสนุนโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว โดยให้มีการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยพิจารณาข้อเสนอการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาดังกล่าวด้วย ๑.๑.๒ ขอรับการสนับสนุนโครงการ Eco Industrial Town จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดปราจีนบุรี โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารูปแบบการจัดทำเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในพื้นที่อุตสาหกรรมเดิม (จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) โดยให้คำนึงถึงการจำกัดการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานในพื้นที่อย่างเข้มงวด สำหรับพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ (จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดปราจีนบุรี) ให้พิจารณาจัดทำแผนการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเข้าสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๓ ขอให้เร่งรัดโครงการย้ายตลาดสะพานปลากรุงเทพ (ยานนาวา) ไปตั้งที่ปากน้ำสมุทรปราการ ภายในปี ๒๕๕๖ โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นที่ปรึกษาทำการศึกษาความเหมาะสมความจำเป็น และความเป็นไปได้ในการพัฒนาสะพานปลาในภาพรวมทั้งหมด รวมถึงการย้ายหรือพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ และพิจารณาใช้ประโยชน์จากสะพานปลาจังหวัดสมุทรปราการทั้งระบบเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๔ ขอรับการสนับสนุนโครงการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราร่วมกับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา และมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา รับไปศึกษาโครงการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย ๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน ๕ เรื่อง โดยให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๒.๑ ขอให้เร่งรัดโครงการพัฒนาโครงข่ายทางถนนเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยการขยายช่องจราจร และขอการสนับสนุนการปรับปรุงและก่อสร้างเส้นทาง เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ โดยรับข้อเสนอการพัฒนาปรับปรุงโครงข่ายทางถนนในพื้นที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา รวม ๗ เส้นทางให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ ไปจัดลำดับความสำคัญของโครงการและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเส้นทางถนนสายรองซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวทั้งภายในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบรรเทาปัญหาการจราจรในพื้นที่ รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางแก่ประชาชนและการขนส่งสินค้า ๑.๒.๒ ขอให้เร่งรัดโครงการขยายเส้นทาง ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๙ "หนองชะอม จังหวัดปราจีนบุรี-พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา" จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร โดยรับข้อเสนอการเร่งรัดโครงการขยายเส้นทางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๙ “หนองชะอม จังหวัดปราจีนบุรี-พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา” จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ไปพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๓ ขอรับการสนับสนุนการศึกษาการแก้ไขปัญหาการจราจรสู่จังหวัดนครนายก และภาคตะวันออก โดยรับข้อเสนอการก่อสร้างทางยกระดับบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๕ “รังสิต-นครนายก” ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อประชาชน และทัศนียภาพในพื้นที่ รวมทั้งการคาดการณ์ปริมาณจราจรในอนาคตในกรณีที่มีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะเต็มรูปแบบในพื้นที่ ๑.๒.๔ ขอรับการสนับสนุนโครงการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางไปยังด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว โดยรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาศึกษาความเหมาะสมของการสนับสนุนโครงการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางไปยังด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาจุดผ่านแดนบริเวณบ้านหนองเอี่ยน ๑.๒.๕ ขอรับการสนับสนุนโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าโมโนเรลจากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงค์ สุวรรณภูมิ โดยเร่งประสานกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้ผลการศึกษาความเหมาะสมของการสนับสนุนของโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าโมโนเรล จากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงค์ สุวรรณภูมิ มีความสอดคล้องกับแนวทางพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จำนวน ๑ เรื่อง คือ ขอให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน (ปากน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) โดยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน (ปากน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) รวมทั้งดำเนินการศึกษาการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกทั้งระบบ และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑.๔.๑ ขอรับการสนับสนุนโครงการพัฒนาพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว "ขุนด่านแลนด์" (ถนน-สะพาน-ภูมิทัศน์) จังหวัดนครนายก โดยให้จังหวัดนครนายกร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมรูปแบบการพัฒนาพื้นที่และการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก โดยศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการด้านเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการและหน่วยงานรับผิดชอบให้ชัดเจน รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของแผนงานและโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ๑.๔.๒ ขอให้เร่งรัดการพัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาแผนพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนและท้องถิ่น และบูรณาการแผนงาน/โครงการ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ๑.๔.๓ ขอให้แยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนของนักท่องเที่ยวออกจากด่านการค้า โดยให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปศึกษาในรายละเอียดการแยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนของนักท่องเที่ยวที่ด่านคลองลึก โดยให้คำนึงถึงการจัดระเบียบในด่านคลองลึกทั้งในส่วนของการค้าและการท่องเที่ยวให้เป็นระบบ รวมทั้งให้นำแนวทางการพัฒนายกระดับจุดผ่านแดนบ้านหนองเอี่ยนประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๔.๔ ขอให้พัฒนาเส้นทางช่องบะระแนะ หรือช่องตากิ่ว ซึ่งอยู่ติดชายแดนกัมพูชา โดยให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกับฝ่ายกัมพูชา ภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ในการพิจารณายกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าที่มีอยู่ในจังหวัดสระแก้ว ๒ แห่ง เพื่อให้เป็นจุดผ่านแดนถาวรเพิ่ม คือ บ้านเขาดิน-กิโลเมตรที่ ๑๓ ของพระตะบอง หรือจุดหนองปรือ-พนมมาลัย จังหวัดบันเตียเมียนเจย ๑.๕ เรื่องอื่นๆ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑.๕.๑ การอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต โดยให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวโดยเร็ว ๑.๕.๒ กฎหมาย Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๕.๓ การเร่งรัดการออกกฎหมายเพื่อรับรองผู้ประกอบการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ๒. ในส่วนของการเร่งรัดการออกกฎหมายรับรองผู้ประกอบการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้เชิญรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เข้าร่วมการพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
384 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง รวม 5 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ 30 - 31 มีนาคม 2556 | นร11 | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง (จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ นครนายก สระแก้ว และปราจีนบุรี) รวม ๕ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๗ โครงการ วงเงินรวม ๕๒๒.๘๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดทำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบการบริหารจัดการและดูแลบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง รวม ๕ จังหวัด จำนวน ๒๐๓ โครงการ วงเงินรวม ๙๑,๗๑๔.๗๘ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน ๑.๔ สำหรับโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จำนวน ๖๘ โครงการ วงเงิน ๗๒๔,๒๒๙,๕๘๐.๐๐ บาท ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด นั้น เห็นควรให้นำเสนอคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ในส่วนของแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีนั้น ให้รวมโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชลให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดนครนายก ในวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ไว้ด้วย และให้จังหวัดนครนายกดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในภาพรวมอย่างเป็นระบบ โดยบูรณาการข้อเสนอของภาคเอกชนไว้ในรายงานการศึกษาดังกล่าว และนำเสนอโครงการเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
385 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2556 (ครั้งที่ 144) | พน | 19/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ (ครั้งที่ ๑๔๔) เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้ขยายเวลาตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ ๑๘.๑๓ บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ ๒๔.๘๒ บาทต่อกิโลกรัม ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และการบรรเทาผลกระทบกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยและร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหารสามารถรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ๒. เห็นชอบในหลักการของร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Inter-Governmental Memorandum of Understanding for the Establishment of the Regional Power Coordination Centre in the Greater Mekong Subregion : IGM) เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบต่อไปตามนัยแห่งมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ๓. เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเงี้ยบ ๑ และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในสัญญาฯ เมื่อร่างสัญญาฯ ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่างสัญญาฯ ที่ไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุไว้ในร่างสัญญาฯ และเงื่อนไขสำคัญ รวมทั้งการปรับกำหนดเวลาของแผนงาน (Milestones) ที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงก่อนการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้เหมาะสมกับช่วงเวลาในการกักเก็บน้ำและการทดสอบโรงไฟฟ้า ให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. ในการแก้ไขโดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอขอความเห็นชอบอีก และให้นำร่างสัญญาฯ ซึ่งมีเงื่อนไขการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการฯ เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๔. เห็นชอบการพิจารณาอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงานในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับโครงการที่มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน ๑ เมกะวัตต์ ด้วยอัตรา ๔.๕๐ บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา ๒๐ ปี และให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเร่งจัดทำระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงานภายใต้โครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน ในรูปแบบ FiT ต่อไป ๕. เห็นชอบแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๗๓) และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการกำกับติดตามการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ๖. รับทราบการขยายอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๑ และเซเสด และการเพิ่มจุดซื้อขาย ที่เห็นชอบการขยายอายุของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๑ และโครงการเซเสดออกไป เพื่อให้ครอบคลุมระยะเวลาที่รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (ฟฟล.) จะคืนพลังงานไฟฟ้า โดยใช้เงื่อนไขและอัตราไฟฟ้าเดิม (ฟฟล. ซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ช่วงเวลา Peak ๑.๗๔ บาทต่อหน่วย และช่วงเวลา Off Peak ๑.๓๔ บาทต่อหน่วย) ทั้งนี้ ให้มีการขยายอายุสัญญาฯ โครงการน้ำงึม ๑ ออกไป ๓ ปี (๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗-๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) และขยายอนุสัญญาฯ โครงการเซเสด ออกไป ๔ ปี (๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖-๓๐ เมษายน ๒๕๖๐) รวมทั้งให้แก้ไขจุดส่งมอบมุกดาหาร-ปากบ่อ ที่เป็นจุดที่ กฟผ. ขายฝ่ายเดียวเป็นจุดซื้อและขาย และให้ กฟผ. แก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๑ และโครงการเซเสด โดยอนุมัติให้ กฟผ. ลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ๗. รับทราบโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน ที่ให้กระทรวงพลังงานจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงานแบบให้ครบ โดยมีองค์ประกอบคณะกรรมการเป็นผู้แทนจาก ๙ กระทรวง ประกอบด้วยกระทรวงพลังงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานดำเนินโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน โดยให้ดำเนินงานโครงการนำร่องในพื้นที่ ๓ ลักษณะ ได้แก่ พื้นที่แล้งน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และพื้นที่ปลูกข้าวได้ผลผลิตไม่ได้มาตรฐาน และให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินการจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท และให้รายงานผลการดำเนินงานให้ กพช. ทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
386 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2554 - 2556) ภายใต้แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. 2552 - 2556 | มท | 27/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๖) ภายใต้แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ และการนำแผนงาน/โครงการ และกิจกรรม ตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการ จำนวน ๘๑ หน่วยงาน สรุปได้ ดังนี้
๑. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีหน่วยงานแจ้งผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ จำนวน ๔๔ แห่ง โดยมีแผนงาน/โครงการที่ได้รับงบประมาณเพื่อดำเนินการ จำนวน ๓๒ แผนงาน/โครงการ เป็นเงิน ๑,๖๔๗.๔๒๓๔ ล้านบาท ดำเนินการแล้วเสร็จ ๒๖ แผนงาน/โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ ๕ แผนงาน/โครงการ และไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากไม่เกิดภัย ๑ แผนงาน/โครงการ ๒. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีแผนงาน/โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ ที่กำหนดให้ดำเนินการ จำนวน ๒๒๐ แผนงาน/โครงการ งบประมาณ ๔,๑๓๒.๕๘๔๓ ล้านบาท มีแผนงาน/โครงการได้รับงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการ จำนวน ๑๘ แผนงาน/โครงการ เป็นเงิน ๒,๕๔๔.๑๔๐๑ ล้านบาท ดำเนินการโดย ๘ หน่วยงาน ประกอบด้วย ด้านการป้องกันและลดผลกระทบ งบประมาณที่ได้รับ ๒,๕๓๗.๐๒๐๑ ล้านบาท ด้านการเตรียมความพร้อมรับภัย งบประมาณที่ได้รับ ๕.๐๐๐๐ ล้านบาท และด้านการจัดการหลังเกิดภัย งบประมาณที่ได้รับ ๒.๑๒๐๐ ล้านบาท ๓. กรณีที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ หน่วยงานต่าง ๆ มีการดำเนินการปรับแผนการดำเนินงานเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณอื่น เจียดจ่ายงบประมาณปกติมาดำเนินโครงการ และขอใช้งบประมาณเหลือจ่ายจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||||||||
387 | ขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก | พน | 19/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ภายในกรอบวงเงิน ๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยสำหรับผลิตเอทานอลที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก อย่างยั่งยืน และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินการอย่างรอบคอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอ้างอิงอัตราเงินชดเชยตามระบบของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย การดำเนินการใด ๆ ไม่ควรทำให้เกิดผลกระทบกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบในระยะยาว ในส่วนของงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนาการทำการเกษตรกรรมในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมที่เหมาะสมดำเนินการเกี่ยวกับหน่วยงานและสัดส่วนงบประมาณที่ต้องรับผิดชอบให้ชัดเจน และขอให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย (Polluter pays principle) สมควรให้บริษัทที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นดังกล่าวก่อน และหากไม่เพียงพอ จึงให้ใช้จ่ายจากงบกลางดังกล่าว และในโอกาสต่อไป โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องควรจะวางแผนและบริหารจัดการโดยใช้จ่ายจากเงินรายได้ของตนเองด้วย นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงพลังงานจัดตั้งคณะกรรมการสามฝ่าย ประกอบด้วยผู้แทนจากเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย โรงงานเอทานอล และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแผนการปลูกอ้อยและการผลิตเอทานอลที่เหมาะสม รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยกับโรงงานเอทานอลในพื้นที่โครงการฯ ให้เป็นไปเช่นเดียวกับระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ของชาวไร่อ้อยกับโรงงานน้ำตาลทรายในภาพรวม เพื่อลดภาระด้านงบประมาณของรัฐที่อาจจำเป็นต้องใช้ในการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่โครงการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ เดือน |
||||||||||||||||||||||||||||||
388 | การขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง | นร01 | 19/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการ ๑.๑ บริหารจัดการงานโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนตามวัตถุประสงค์เดิมที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไปยังหมู่บ้าน/ชุมชน แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงการ การแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน และอื่นๆ โดยใช้ระเบียบคณะกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนว่าด้วยแนวทางการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นแนวทางดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒ ดำเนินการตรวจสอบติดตามเงินคงค้างในบัญชีของหมู่บ้าน/ชุมชน ที่อยู่ในบัญชีที่สาขาของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทั่วประเทศ ตามโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน (SML) ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โครงการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (พพพ.) โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ และโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หากหมดความจำเป็น ให้ดึงเงินจากบัญชีเหล่านั้น นำส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป ๑.๓ โครงการที่หมู่บ้าน/ชุมชนที่ได้ทำประชาคมเสนอโครงการและผ่านการพิจารณาอนุมัติโครงการและงบประมาณจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการระดับจังหวัด ก่อนสิ้นสุดวาระ (วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา) จำนวน ๒,๐๑๓ หมู่บ้าน/ชุมชน ๒,๕๔๑ โครงการ เงินงบประมาณ ๖๒๘,๕๐๓,๙๕๘ บาท ซึ่งเห็นว่าผ่านกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ครบถ้วนแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้จัดสรรโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่หมู่บ้าน/ชุมชน เนื่องจากต้องตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง ก่อนการโอนเงิน เห็นควรนำโครงการดังกล่าวพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่งโดยคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้น เพื่อดำเนินโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางที่ปรับปรุงใหม่ ๒. เห็นชอบสนับสนุนโครงการปลูกป่า สร้างคน บนวิถีพอเพียง รักษาต้นน้ำ บรรเทาอุทกภัย ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในวงเงินงบประมาณ ๑,๐๑๙,๒๗๕,๔๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนำเงินงบประมาณที่เหลือจากโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนที่มีอยู่เดิมสนับสนุนโครงการดังกล่าว ซึ่งมีแผนดำเนินการต่อเนื่อง ๕ ปี โดยจัดสรรเป็นรายปี ปีแรกสนับสนุนงบประมาณ ๑๔๔,๒๓๕,๐๐๐ บาท สำหรับปีต่อไปให้จัดทำแผนงาน/กิจกรรมเพื่อขอรับการสนับสนุนเป็นรายปีต่อเนื่องจนครบ ๕ ปี ๓. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธาน ทำหน้าที่บริหารโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยนำเงินงบประมาณที่เหลือจากโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนที่มีอยู่เดิมมาบริหารจัดการ และปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวให้ขยายวัตถุประสงค์ไปดำเนินงานสนับสนุนโครงการตามแนวพระราชดำริ และโครงการตามนโยบายของรัฐบาล เช่น สนับสนุนการปลูกพืชเกษตรที่เหมาะสมและเป็นการพัฒนาแบบบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน มูลนิธิ สมาคม สหกรณ์การเกษตร และภาคประชาชน โดยยึดพื้นที่และประชาชนเป็นหลัก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างมีคุณภาพ สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
389 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 12/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๙,๒๘๑,๐๖๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ ๔ แทนตำแหน่งที่ว่าง ในวันเสาร์ที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ กรณีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ โดยการปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ ทั้งนี้ หากพิจารณาตรวจสอบแล้วมีไม่เพียงพอ ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
390 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการฟื้นฟู บูรณะ ซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย | วธ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว เพื่อฟื้นฟู บูรณะ ซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย จำนวน ๑๑ รายการ โดยดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. งานบูรณะวัดป่าโมกวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง จำนวน ๑๑,๙๗๕,๐๐๐ บาท ๒. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดเกาะพญาเจ่ง จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๓. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดกู้ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๓,๕๙๓,๐๐๐ บาท ๔. โครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถาน วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๕. โครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเวียงกุมกาม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๘๐๑,๐๐๐ บาท ๖. วัดนายโรง กรุงเทพมหานคร (ระบบป้องกันและระบายน้ำ พระอุโบสถ งานบูรณะจิตรกรรมฝาผนัง) จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๗. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดชลอ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๙,๑๗๐,๐๐๐ บาท ๘. อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท ๙. อาคารสำนักงานและพื้นที่บริเวณ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑๐. งานซ่อมแซมระบบกล้องวงจรปิด (อุทยานประวัติศาสตร์ วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ คุ้มขุนแผน วิหารหลวงพ่อมงคลบพิตร พระราชวังโบราณ สำนักงานอุทยานฯ ลานจอดรถนักท่องเที่ยว จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) จำนวน ๗,๕๓๔,๙๐๐ บาท ๑๑. วัดพระยาศิริไอศวรรย์ กรุงเทพมหานคร จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||
391 | ผลการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเชิญนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเยือนไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญให้นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเดินทางเยือนไทย ทั้งด้วยวาจา (ระหว่างการหารือทวิภาคี) และในหนังสือขอบคุณหลังเสร็จสิ้นการเยือนแล้ว ซึ่งสหราชอาณาจักรตอบรับ ๒. การจัดการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร ครั้งที่ ๑ โดยนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมในการจัดตั้งกลไกการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร (Thailand-United Kingdom Strategic Dialogue) เป็นกลไกหารือประจำปีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทั้งประเด็นทวิภาคี ภูมิภาค และประเด็นระหว่างประเทศ ๓. การค้าและการลงทุน โดยไทยขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุน/ดำเนินธุรกิจในสหราชอาณาจักร และต้องการ ผลักดันให้มีการเพิ่มปริมาณการลงทุนของบริษัทสหราชอาณาจักรในประเทศไทย โดยเฉพาะการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) ในโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการป้องกันอุทกภัย รวมทั้งขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนการขยายโควตาการนำเข้าไก่สดแช่แข็งของไทยเข้าสหภาพยุโรป สำหรับสหราชอาณาจักรย้ำความสำคัญของการเร่งรัดการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน ๔. การถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ โดยสหราชอาณาจักรเสนอที่จะแบ่งปันประสบการณ์ของสหราชอาณาจักรในกรณีไอร์แลนด์เหนือ เพื่อเป็นกรณีศึกษาที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการปรองดองแห่งชาติของไทย ๕. ความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคง โดยสหราชอาณาจักรแสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านกลาโหม และความมั่นคงกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย โดยเฉพาะในด้านการต่อต้านการก่อการร้าย การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ๖. การศึกษา โดยฝ่ายไทยประสงค์จะได้รับการสนับสนุนการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษจากฝ่ายสหราชอาณาจักรต่อไป เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมในการก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ๗. มาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดของสหราชอาณาจักร โดยฝ่ายไทยขอให้สหราชอาณาจักรพิจารณาผ่อนปรนข้อกำหนดที่เข้มงวดในการขอรับตรวจตราสำหรับพ่อครัว/แม่ครัวไทยที่ประสงค์จะไปทำงานที่สหราชอาณาจักร แต่ฝ่ายสหราชอาณาจักรย้ำถึงความจำเป็นในการคงกฎระเบียบดังกล่าวเพื่อรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ๘. พลังงานทางเลือก โดยไทยสนใจที่จะขอรับการสนับสนุนองค์ความรู้และนวัตกรรมเรื่องพลังงานทดแทนจากสหราชอาณจักร ๙. อุตสาหกรรมอาหาร โดยไทยสนใจขอรับการสนับสนุนด้านองค์ความรู้และนวัตกรรมในด้านอุตสาหกรรมอาหารและการแปรรูปสินค้าเกษตรซึ่งภาคเอกชนสหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญ ๑๐. การท่องเที่ยว โดยสหราชอาณาจักรแสดงความห่วงกังวลเรื่องปัญหาการหลอกลวงนักท่องเที่ยว อาชญากรรม และมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนนในไทย พร้อมทั้งข้อเสนอแนะของภาคเอกชนสหราชอาณาจักร อาทิ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ไปพร้อมกับการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวเดิม ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวประเทศไทยผ่านสื่อมวลชนระดับโลก ให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์กรองปรีซ์ (Grand Prix) การจัดเตรียมบริการรองรับเที่ยวบินพิเศษ (chartered flight) การเจาะตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะ (niche market) และความไม่สอดคล้องของการตรวจลงตรานักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยทางบกและทางอากาศ (๑๕ วัน และ ๓๐ วัน ตามลำดับ) เป็นต้น ๑๑. เมียนมาร์ โดยไทยขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนพัฒนาการในเมียนมาร์ให้มีปฏิสัมพันธ์อย่างสมดุล โดยเฉพาะการผลักดันให้สภาพยุโรปยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรโดยสมบูรณ์ และขอให้สหราชอาณาจักรร่วมมือพัฒนาเมียนมาร์กับไทยในลักษณะไตรภาคี ๑๒. บทบาทไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยไทยขอรับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรต่อการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกครั้งในวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||
392 | การดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี | นร04 | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประเด็นเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ที่ได้ยื่นหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ในระหว่างการปฏิบัติราชการ ณ จังหวัดตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๖ โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการและติดตามการดำเนินการตามข้อร้องเรียนต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และมอบหมายการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
๑. กรณีข้อร้องเรียนติดตามเงินชดเชยพิเศษกลุ่มเกษตรกรผู้ที่ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก) ให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป ๒. กรณีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาราคาลำไยอบแห้งตกต่ำ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าร่วมการพิจารณาและประสานงานเพื่อเร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
393 | โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเป็นกรณีพิเศษ | นร | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน จำนวน ๖ โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๐๔,๙๐๐,๐๐๐ บาท โดยจำแนกเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๕๙๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน จำนวน ๖ โครงการ ประกอบด้วย ๑.๑ โครงการก่อสร้างวัดนวมินทรราชูทิศเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ นครบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ๑.๒ โครงการก่อสร้างอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ๑.๓ โครงการข่วงหลวงเวียงแก้ว พุทธมณฑลแห่งเชียงใหม่ ๑.๔ โครงการอุดหนุนสมทบการบูรณะ ปรับปรุงเสนาสนะ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ๑.๕ โครงการบูรณะพระวิหารเสาอินทขีล เสาหลักเมืองเชียงใหม่ ๑.๖ โครงการบูรณะบริเวณลานวัดแก้วมงคล จังหวัดสมุทรสาคร ๒. ในส่วนของโครงการก่อสร้างวัดนวมินทรราชูทิศเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ นครบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) กำกับดูแลเรื่องงบประมาณ โดยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำความตกลงกับสำนักงบประมาณให้เบิกจ่ายเป็นงวดๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
394 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ ๒ แทนตำแหน่งที่ว่าง เป็นเงินทั้งสิ้น ๘,๔๓๐,๙๐๐ บาท โดยให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายเงินรายได้ โดยการปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ และหากพิจารณาตรวจสอบแล้วมีไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
395 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" ครั้งที่ 2 | พณ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จากกรอบระยะเวลาเดิมซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือจากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้เดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ เรื่อง ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ๑.๒ แนวทางการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” ในระยะต่อไป โดยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ร้านถูกใจสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน การใช้งบประมาณอย่างประหยัดเท่าที่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินโครงการฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ จัดหาสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพตรงกับความต้องการของประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยราคาจำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาดไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ๑.๒.๒ ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ๑.๒.๓ ปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารจัดการโครงการฯ ในการจัดเตรียมสินค้าของผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ และการกระจายสินค้าให้ร้านถูกใจได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และปริมาณสินค้าตามความต้องการเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๑.๒.๔ ปรับลดหรือยกเลิกเงินอุดหนุนให้แก่ร้านถูกใจ โดยเพิ่มส่วนเหลื่อมการตลาดให้แก่ร้านถูกใจ เพื่อให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน ๑.๒.๕ ประเมินผลร้านถูกใจและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการฯ กรณีขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า หากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าแล้ว ควรปรับวิธีการจัดเตรียมสินค้าที่มีแหล่งผลิตในภูมิภาคแทนการจัดเตรียมจากส่วนกลาง โดยเฉพาะข้าวสาร ข้าวเหนียว เพื่อลดปัญหาค่าใช้จ่ายสูงในการขนส่งและความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าให้กับร้านค้าถูกใจในแต่ละพื้นที่ ส่วนปัญหาระบบการสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้าล่าช้า รวมถึงผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้ายังไม่สามารถผลิตและจัดส่งสินค้าได้ตรงตามความต้องการและระยะเวลาที่กำหนด ควรเร่งพัฒนาระบบการสั่งซื้อให้รวดเร็ว โดยอาจเพิ่มระยะเวลาหรือจำนวนรอบการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์ และจัดระบบการกระจายสินค้าในภูมิภาค และสำรวจความต้องการสินค้าของประชาชนในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลโครงการฯ เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านถูกใจ รวมถึงการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือในการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนที่มีประสิทธิผลในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาจัดทำแผนบริหารจัดการ “ร้านถูกใจ” ในระยะยาวภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเครือข่ายขนส่งและการกระจายสินค้า เพื่อให้ “ร้านถูกใจ” ดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยไม่เป็นภาระงบประมาณ และสามารถจัดจำหน่ายสินค้าชนิดต่างๆ ให้แก่ประชาชนผู้บริโภคได้ในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
396 | การขออนุมัติในการเข้าร่วมการฝึกร่วมในกรอบ ADMM และ ADMM - Plus และการขอรับการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการฝึกร่วม | กห | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าร่วมในการฝึกร่วมในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Ministers’ Meeting : ADMM) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers'' Meeting-Plus : ADMM-Plus) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม เป็นเงิน ๓๐,๙๙๖,๑๐๐ บาท แต่เนื่องจากมิได้จัดเตรียมงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับเพื่อการดังกล่าวไว้ จึงเห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๓๐,๙๙๖,๑๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการฝึก ๖ รายการ ได้แก่ การฝึกของกองทัพประเทศสมาชิกอาเซียนด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ ครั้งที่ ๒ [2nd ASEAN Militaries Humanitarian Assistance and Disaster Relief (HADR) Exercise : 2nd AHX] การฝึกในกรอบการประชุมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ [Experts’ Working Group (EWG) on HADR] การฝึกในกรอบการประชุมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางทหาร (EWG on Military Medicine : EWG on MM) การฝึกในกรอบคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติการเพื่อสันติ [Experts’ Working Group (EWG) on PKO] การฝึกในกรอบคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้าย [Experts’ Working Group (EWG) on CT] และการเตรียมหมู่เรือสำหรับการฝึกในกรอบคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางทะเล [Experts’ Working Group (EWG) on MS] โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ๒. หากภารกิจดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงกลาโหมขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
397 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ตช | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๖๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหารถบรรทุก (ดีเซล) ขนาด ๑ ตัน แบบดับเบิ้ลแคป ขับเคลื่อน ๔ ล้อ หุ้มเกราะกันกระสุนทั้งคัน จำนวน ๓๓ คัน เพื่อทดแทนรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุนที่มีอายุการใช้งาน ๘ ปีขึ้นไป จำนวน ๒๗ คัน และรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติภารกิจ จำนวน ๖ คัน รวมทั้งสิ้นจำนวน ๓๓ คัน และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
398 | การสนับสนุนมาตรการผลักดันการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ | พม | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการสนับสนุนมาตรการผลักดันการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดย ๑.๑ ให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณสำหรับการก่อสร้างอาคารใหม่ของหน่วยงานหรืออาคารเก่าต้องปรับปรุง หรือจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ของหน่วยงานราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอมติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานราชการสำรวจและจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการเข้าถึงได้) โดยจัดสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ไม่น้อยกว่า ๕ ประเภท ได้แก่ ทางลาด ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายและสัญลักษณ์และบริการข้อมูลข่าวสาร ตามที่หน่วยงานขอรับการสนับสนุน ทั้งนี้ การประมาณการงบประมาณสำหรับการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ครบทั้ง ๕ ประเภท แห่งละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ๑.๓ ให้ทุกหน่วยงานรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบ ๖ เดือน พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลความจำเป็นกรณีไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่หน่วยงานกำหนดไว้ได้ โดยให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รวบรวมรายงานผลการดำเนินงานเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดเป้าหมาย แผนการดำเนินงาน และแผนการใช้จ่ายเงินในการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) และเสนอแผนดังกล่าวในที่ประชุมเชิงปฏิบัติการการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นกรอบการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานดังกล่าวรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายนิยามของ “หน่วยงานราชการ” ให้หมายรวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ด้วย เช่น กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากรม เป็นต้น เพื่อประโชนต่อคนพิการ และสนับสนุนงบประมาณสำหรับการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ครบ ๕ ประเภท ให้ครอบคลุมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกประเภท รวมทั้งกำหนดเป้าหมายและรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบ ๖ เดือน โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
399 | การคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ | รง | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการดำเนินงานคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงแรงงานได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานให้แรงงานนอกระบบได้รับความคุ้มครองประกันสังคม ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒๐ ล้านคน โดยมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมดำเนินการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเกิดความเข้าใจ และสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ๑.๒ ในการส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคม แรงงานนอกระบบที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ สามารถจ่ายเงินสมทบผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ ๑-๑๒ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา หักบัญชีเงินฝากของผู้ประกันตนผ่านธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และจ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ห้างเทสโก้ โลตัส และไปรษณีย์ ๑.๓ การดำเนินงาน ณ วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ มีแรงงานนอกระบบได้รับการประกันสังคม จำนวน ๑,๐๖๘,๘๓๙ คน หรือร้อยละ ๘๙.๐๗ ของเป้าหมาย โดยแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ จ่ายเงินสมทบเพื่อรับสิทธิประโยชน์ในทางเลือกที่ ๑ อัตราเงินสมทบเดือนละ ๑๐๐ บาท ได้รับสิทธิ ๓ กรณีคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ และตาย (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน ๕,๔๖๘ คน หรือร้อยละ ๐.๕๐ ของผลการดำเนินงาน และทางเลือกที่ ๒ อัตราเงินสมทบเดือนละ ๑๕๐ บาท ได้รับสิทธิ ๔ กรณีคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และบำเหน็จชราภาพ (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน ๑,๐๖๓,๓๗๑ คน หรือร้อยละ ๙๙.๕๐ ของผลการดำเนินงาน ๑.๔ การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาล ตามทางเลือกที่ ๑ และ ๒ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ รวมระยะเวลา ๑๖ เดือน เบิกจ่ายแล้วเป็นจำนวน ๓๕๑,๒๗๖,๙๕๐ บาท ในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ คงเหลือเงินงบประมาณที่สามารถเบิกจ่ายได้ จำนวน ๑๑๗,๙๒๓,๐๕๐ บาท โดยที่จำนวนผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉพาะในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาล จำนวน ๓๐,๕๗๔,๖๙๐ บาท และในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่าย จำนวน ๓๑,๑๐๒,๒๑๐ บาท หากใช้ข้อมูลในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นฐานในการประมาณการ คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายเงินอุดหนุนได้ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ บางส่วน ๑.๕ เนื่องจากกระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ในมาตรา ๔๐ เพื่อให้รัฐบาลสามารถจ่ายเงินสมทบร่วมกับผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ และคาดว่าเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดสรรให้แก่กระทรวงแรงงานเบิกจ่ายเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาภาระของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ มีจำนวนไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลให้การดำเนินงานประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบไม่ต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาภาระของประชาชนไปพลางก่อน ๒. อนุมัติหลักการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑๔๕,๕๓๔,๗๐๐ บาท เนื่องจากสำนักงานประกันสังคมมีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เหลือจ่าย จำนวน ๑๑๗,๙๒๓,๐๕๐ บาท ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอต่อการอุดหนุนค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบดังกล่าวไปจนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จึงเห็นสมควรให้สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบและใช้จ่ายจากวงเงินดังกล่าวไปก่อน และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเพิ่มเติม ก็ขอให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนเพื่อขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ในส่วนค่าตอบแทนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้แรงงานนอกระบบสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนประกันสังคม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ หากกระทรวงแรงงานไม่สามารถใช้จ่ายจากเงินกองทุนประกันสังคมได้ ให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๔. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มช่องทางในการให้และรับบริการให้ครอบคลุมประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการคุ้มครองทางสังคมได้อย่างสะดวก รวดเร็วในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาช่องทางการจ่ายเงินสมทบผ่านเครือข่ายการทำงานร่วมของภาคประชาชน องค์กรชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
400 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ 20 มีนาคม 2555 | คค | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามโครงการ “เมืองท่าดอนสัก” ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ และที่กระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรมเจ้าท่าได้จัดทำขอบเขตการศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงิน ๓๕ ล้านบาท แต่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งกรมเจ้าท่าจะได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ๒. โครงการพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมโยงระหว่างเส้นทาง ๒ ฝั่งทะเล สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้รับจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการจ้างศึกษาและออกแบบแนวเส้นทางรถไฟสายใหม่เพื่อการท่องเที่ยวเส้นทางสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต ระยะเวลาดำเนินการ ๑๔ เดือน วงเงิน ๑๑๘.๗๐๗ ล้านบาท (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๓.๗๔๑ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๙๔.๙๖๖ ล้านบาท) อยู่ระหว่างเตรียมการคัดเลือกที่ปรึกษา ๓. โครงการพัฒนาและก่อสร้างสนามบิน อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรมการบินพลเรือนได้จัดทำขอบเขตการศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯ วงเงิน ๑๐ ล้านบาท ให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้ว ซึ่งทางจังหวัดจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อไป ๔. กระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติมว่า โครงการ “เมืองท่าดอนสัก” เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี พังงา และภูเก็ต ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบทางตรงและทางอ้อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ จึงเห็นควรสนับสนุนกรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำผังอนุภาคกลุ่มจังหวัดเพื่อบูรณาการการพัฒนาพื้นที่ในด้านระบบเมือง ชุมชน การใช้ประโยชน์ที่ดิน และระบบคมนาคมขนส่ง ให้เกิดความสมดุลของการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ตลอดจนกำหนดพื้นที่ในการพัฒนาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแนวนโยบายของประเทศต่อไป
|
.....