ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 19 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 361 - 380 จากข้อมูลทั้งหมด 1095 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
361 | ผลการเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีอินเดีย | นร04 | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ได้แก่ การจัดตั้งเวทีการหารือภาคธุรกิจไทย-อินเดีย (Business Forum) การเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) ไทย-อินเดีย การยกเลิกมาตรการจำกัดการนำเข้าทองคำจากไทย รวมถึงยุติการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเส้นใยสังเคราะห์ของไทย การเชิญชวนให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในสาขาโครงสร้างพื้นฐานในอินเดีย การจัดทำความตกลงด้านประกันสังคมไทย-อินเดีย การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราแบบเร่งด่วนแก่นักธุรกิจทั้งสองฝ่าย ๒. ความเชื่อมโยง ได้แก่ การก่อสร้างถนนสามฝ่ายระหว่างไทย เมียนมาร์และอินเดีย ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๙ และการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะทำงานด้านเทคนิคและการประชุมระดับรัฐมนตรีเรื่องถนนสามฝ่าย การขยายความร่วมมือและส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างอินเดีย ไทยและอาเซียนในโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรมพิเศษทวาย รวมทั้งการจัด Road Show และให้ข้อมูลแก่ภาคธุรกิจของอินเดียเกี่ยวกับลู่ทางขยายความร่วมมือระหว่างกัน และการส่งเสริมให้มีการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างเมืองต่าง ๆ ของไทยและอินเดีย ๓. ความร่วมมือด้านความมั่นคง/การทหาร ได้แก่ การกระชับความร่วมมือด้านการต่อต้านโจรสลัด รวมถึงส่งเสริมความปลอดภัยในเส้นทางเดินทะเลและการตรวจฝั่งทะเล (Security of sea lanes and Coast Guard) และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ๔. ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และการขยายความร่วมมือด้านความร่วมมือและการลงทุนด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในประเทศไทย ๕. ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การจัดตั้งโครงการแลกเปลี่ยนไทย-อินเดีย การสนับสนุนและขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนาลันทา รวมทั้งการก่อสร้างวัดไทยเชตวันมหาวิหาร ๖. ความร่วมมือในระดับภูมิภาคและพหุภาคี ได้แก่ การขอรับการสนับสนุนจากอินเดียในการสมัครในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ของไทย การขอแลกเสียงกับอินเดียในการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council : UNHRC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗ และการสนับสนุนอินเดียในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (World Health Organization South East Asia Regional Office : WHO SEARO) วาระปี ๒๐๑๔-๒๐๑๙
|
|||||||||||||||||||||
362 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2556 | กษ | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองประธานกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการรับทราบผลการดำเนินงานของโครงการหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีผลงานที่ดีมาก แต่ยังต้องมีการสนับสนุนการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมเพื่อทำให้ระบบโลจิสติกส์สำหรับขนส่งผลผลิตสู่ผู้บริโภคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้รัฐบาลมีแผนในการลงทุนด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรประสานงานขอความร่วมมือจากโครงการหลวงในการจัดทำการแบ่งเขต (zoning) การส่งเสริมการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินและน้ำต่อไป จึงมีมติมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับโครงการหลวงเพื่อขอความร่วมมือในการจัดทำ zoning การส่งเสริมการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินและน้ำ และประสานงานกับกระทรวงคมนาคมเพื่อขอรับการสนับสนุนในเรื่องระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจรต่อไป ๑.๒ คณะกรรมการได้พิจารณายุทธศาสตร์ แผนงาน และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์ แผนงาน และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน ๓๘ แห่ง และโครงการขยายผลโครงการหลวง จำนวน ๒๙ แห่ง โดยงบประมาณด้านการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานให้บูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม และงบประมาณด้านการปลูกป่าให้บูรณาการงานร่วมกับโครงการประชาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษา มหาราชินี และงบประมาณในส่วนอื่นมอบให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาให้การสนับสนุนตามความเหมาะสมต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อสนับสนุนโครงการหลวงให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ได้แก่ งบประมาณที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง เป็นเงิน ๓๒๘,๓๐๐,๓๐๐ บาท งบประมาณที่สนับสนุนโครงการขยายผลโครงการหลวง เป็นเงิน ๓๐๒,๐๐๙,๗๐๐ บาท และงบประมาณด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในส่วนที่บูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบทได้เสนอตั้งงบประมาณ จำนวน ๕ สายทาง ระยะทางรวม ๔๘.๐๑๗ กิโลเมตร วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๒๘๙,๖๓๐,๐๐๐ บาท ในส่วนของโครงการประชาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ อนุมัติแผนปฏิบัติโครงการฯ และวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการฯ จำนวน ๒,๐๘๕,๓๓๖,๑๐๐ บาท ตามแผนการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาส่งเสริมการทำตลาดและประชาสัมพันธ์สินค้าและผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวงสู่ต่างประเทศให้มากขึ้น และการสนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวของโครงการหลวง รวมทั้งการกำหนดแผนงาน/โครงการ ควรพิจารณาให้ครอบคลุมการเสริมสร้างให้คนและชุมชนมีจิตสำนึกด้านความมั่นคง โดยสนับสนุน ส่งเสริม และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดเพื่อบูรณาการงานกับงบประมาณตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้ผลักดันไว้แล้ว เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตร เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโครงการให้เพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการขนส่งผลผลิตออกสู่ตลาด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
363 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2556 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณาในรายละเอียดของความคุ้มค่าและความเหมาะสมของโครงการพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงโคนมและนมอินทรีย์ครบวงจร โดยเฉพาะรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐในอนาคต รวมทั้งความเชื่อมโยงกับกลไกดำเนินงานที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ และภาคเอกชน เพื่อปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๑.๓ ให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดคำร้องพร้อมเหตุผลการขอเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เพื่อประกอบการปรับปรุงผังเมืองรวมพระนครศรีอยุธยาต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเร่งรัดขั้นตอนการปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของโครงการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการเกษตร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ รวมทั้งรูปแบบการบริหารจัดการของโครงการฯ อย่างยั่งยืน และความเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณา ๒.๑.๒.๑ เร่งรัดโครงการก่อสร้างถนน ๓ เส้นทาง [ถนนวงแหวนต่างระดับ ๙ สาย ตัด ๓๔๐ และตัด ๓๔๕ เชื่อมโยงจังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี, ทางด่วนโทลเวย์ (รังสิต-ประตูน้ำพระอินทร์) และเส้นทางหมายเลข ๓๒ ต่อเชื่อมกับสถานีรถไฟมาบพระจันทร์ ที่อำเภอนครหลวง (สถานีขนส่งสินค้า)] การขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ๓ เส้นทาง [ถนนเลียบคลองเจ็ด ฝั่งตะวันตก (ปท. ๓๐๐๔) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ระยะทาง ๑๐.๔ กิโลเมตร, เส้นทางหมายเลข ๓๒๙ (มาจากหินกอง) ช่วงอำเภอนครหลวง-อำเภอบางปะหัน เพื่อการขนส่งลงทางน้ำของแม่น้ำป่าสัก และถนน ๓๐๕๖ อำเภอภาชี-อำเภออุทัย-อำเภอบางปะอิน ชนหมายเลข ๓๒ เส้นทางหลักของทางออกนิคมอุตสาหกรรมโรจนะไปกรุงเทพมหานคร] และโครงการก่อสร้างขยายถนนหมายเลข ๙ จากแยกทางต่างระดับ ๓๔๐ (จังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี) จาก ๔ ช่องจราจร เป็น ๑๐ ช่องจราจร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ ไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและความเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีหรือการสนับสนุนจากแหล่งเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนต่อไป โดยให้พิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๑.๒.๒ รับข้อเสนอการขยายเส้นทางรถไฟสายสีม่วงจากบางใหญ่-ไทรน้อย (๒.๕ กิโลเมตร) และเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูบนถนนชัยพฤกษ์ ระยะทาง ๙ กิโลเมตร (สายสีทอง) ไปพิจารณาการออกแบบในภาพรวม โดยอาจดำเนินการจัดระบบขนส่งผู้โดยสารเพื่อเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองสายด้วย ๒.๑.๒.๓ รับข้อเสนอการสนับสนุนโครงการศึกษา ๒ โครงการ ได้แก่ การปรับปรุงสะพานนวลฉวีเพื่อการสัญจรทางน้ำ และการยกระดับเส้นทางรถไฟ เพื่อการแก้ไขปัญหาการจราจร กรณีเส้นทางรถไฟผ่ากลางเมือง จังหวัดสระบุรี ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นและความเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินที่เหมาะสมต่อไป ๒.๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำคลองบางบัวทอง และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามข้อเสนอของภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาโครงการศึกษาความเหมาะสมของการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังในแม่น้ำป่าสัก และการพิจารณาจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำได้ตามเป้าหมาย ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๒.๒.๑ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปหารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สทท. เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทการอนุรักษ์พัฒนาและฟื้นฟูประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และแนวทางการบริหารจัดการศูนย์บริการนักท่องเที่ยวให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวอยุธยาเมืองมรดกโลก รวมทั้งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และ สทท. พิจารณาในรายละเอียดการพัฒนาถนนวัฒนธรรมไท-ยวนเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมภายในกลุ่มจังหวัดและการส่งเสริมด้านการตลาด ๒.๓ เรื่องอื่น ๆ รวม ๖ เรื่อง เสนอโดย สทท./กกร. ๒.๓.๑ การเร่งรัดการวางแผนการบริหารจัดการสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูเก็ต เพื่อเตรียมรองรับ High Season ๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบเดียวกับที่เคยใช้แก้ไขปัญหากรณีท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อแก้ไขปัญหาแออัดรองรับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยว ๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมประสานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการเสนอแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานภูเก็ต โดยเฉพาะในด้านการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาด้านผลกระทบของสิ่งแวดล้อมโดยรอบของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิด้วย ๒.๓.๒ แนวทางการรณรงค์เพื่อดำเนินการด้านการใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ (ตามรายงานกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ) ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาหาแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขร่วมกัน โดยใช้กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้สามารถดำเนินงานได้อย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม ตลอดจนเผยแพร่แนวปฏิบัติด้านการใช้แรงงานที่ดีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมและประเทศชาติต่อไป ๒.๓.๓ การทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาตตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ กกร. พิจารณาการกำหนดแนวทางการหารือเพื่อทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาต ตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยการพิจารณาให้คำนึงถึงผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในทุกระดับทั้งระบบร่วมกัน ๒.๓.๔ การแก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากรในประเด็นว่าด้วยโทษสำ
|
|||||||||||||||||||||
364 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียและแปซิฟิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ทก | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียและแปซิฟิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (Connect Asia-Pacific Summit 2013) เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวทางจัดเตรียมการประชุมสุดยอดผู้นำฯ และจัดการประชุมในด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสม โดยมีรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายทำหน้าที่ประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ ๑.๒ อนุมัติวงเงินในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำฯ จำนวน ๕๔,๒๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำฯ จำนวน ๑๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๔ เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขอจัดตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ในวงเงิน ๔๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๕ อนุมัติให้ปรับอัตราค่าตอบแทนสำหรับเจ้าหน้าที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในช่วงการจัดประชุมสุดยอดผู้นำฯ จากอัตราวันละ ๒๐๐ บาท เป็นอัตราวันละ ๔๐๐ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำฯ ภายในวงเงิน ๕๔,๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระล่วงหน้าให้แก่สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และค่าประชาสัมพันธ์ในประเทศก่อนและระหว่างการจัดงาน โดยให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๔๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และการเบิกจ่ายเงินเพื่อการดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||
365 | ผลการตรวจสอบราคากลางและวงเงินอุดหนุนระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร | อก | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการตรวจสอบราคากลางการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เป็นเงิน ๓๔๙,๓๑๐,๐๙๑.๖๗ บาท ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งรัดให้บริษัท สหรัตนนคร จำกัด ในฐานะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท สหรัตนนคร จำกัด ดำเนินการจัดส่งแบบก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร พร้อมทั้งข้อมูลรายละเอียดประกอบแบบก่อสร้าง เพื่อพิจารณาตรวจสอบราคาในรายละเอียดก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย ซึ่งต่อมาบริษัทฯ ได้จัดส่งแบบก่อสร้าง ข้อมูลรายละเอียดประกอบแบบก่อสร้างและเอกสารที่เกี่ยวข้องของระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครให้กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตรวจสอบราคาในรายละเอียดก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย โดยพิจารณาความถูกต้องและเหมาะสมทางด้านราคาของแบบการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยในขั้นรายละเอียด พร้อมทั้งพิจารณาวงเงินอุดหนุนของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร โดยมอบหมายให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังคำนวณและตรวจสอบราคาแบบก่อสร้างทั้งหมดของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างประเภทงานชลประทานของกระทรวงการคลัง ๑.๒ วงเงินอุดหนุนการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เป็นเงิน ๒๒๖,๐๓๐,๐๐๐.๐๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามวงเงินอุดหนุนเดิม โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการซึ่งน่าเชื่อถือและยอมรับได้ และได้พิจารณากำหนดเงินอุดหนุนของแต่ละนิคม โดยคำนวณจาก ๒ ใน ๓ ส่วนของราคากลาง ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ [ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕] ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเป็นการพิจารณาค่างานและวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้างเพื่อขอรับการสนับสนุนให้กับนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร และไม่อยู่ในข้อกำหนดตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการดำเนินการในขั้นตอนการคำนวณราคากลางหลังจากที่ได้รับจัดสรรงบประมาณและดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างตามระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพัสดุ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ต้องการนำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างนี้ ไปคำนวณขอตั้งราคาค่าก่อสร้างเพื่อกรณีดังกล่าว ก็สามารถนำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างนี้มาปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมและสอดคล้องตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องถือปฏิบัติตามนัยหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๓/ว ๓๑ ลงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๕ และด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๖/ว ๑๒๖ ลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๘ โดยจะเบิกเงินจากคลังได้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ หรือใกล้จะถึงกำหนดชำระ และตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ภายในวงเงินกู้ที่สำนักงบประมาณจัดสรรให้ เพื่อจ่ายให้แก่ภาคเอกชนในการดำเนินการตามโครงการดังกล่าว และเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
366 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี 2556 (ค.ศ. 2013) | พณ | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๑๙ (The 19th APEC Ministers Responsible for Trade Meeting) ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ เมษายน ๒๕๕๖ ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยประเด็นสำคัญของการประชุม ได้แก่ การสนับสนุนการเจรจาการค้ารอบโดฮาและต่อต้านการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า การบรรลุเป้าหมายโบกอร์ (Attaining the Bogor Goals) และการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม (Achieving Sustainable Growth with Equity) รวมทั้งข้อคิดเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการประชุม ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคให้ความสำคัญกับการผลักดันการเจรจาขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ให้ประสบความสำเร็จ ประเทศไทยควรให้การสนับสนุนอย่างจริงจังเพื่อให้การประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๙ (9th Ministerial Conference : 9th MC) ประสบความสำเร็จ เพื่อคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือและการทำหน้าที่ของ WTO ในการเป็นเวทีเจรจาลดอุปสรรคและข้อกีดกันทางการค้าและจัดทำกฎระเบียบการค้าโลก เป็นเวทีในการยุติข้อพิพาททางการค้า และเป็นกลไกตรวจสอบและทบทวนนโยบายการค้าของประเทศสมาชิก ความสำเร็จของการประชุม 9th MC จะเป็นก้าวสำคัญสำหรับการเจรจา WTO รอบโดฮา (Doha Development Agenda : DDA) ซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานานถึง ๑๒ ปีแล้ว ๑.๒ ข้อเสนอของอินโดนีเซียที่ให้เพิ่มสินค้าจากการเกษตรและป่าไม้ (Agricultural and Forestry-based products) ไว้ใน APEC EG List โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันปาล์มดิบ และยางพารา ซึ่งเขตเศรษฐกิจส่วนใหญ่แสดงท่าทีชัดเจน ไม่สนับสนุนการเพิ่มรายการสินค้าใน APEC EG List อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังคงผลักดันเรื่องนี้ และพยายามขอรับการสนับสนุนจากเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ในช่วงระหว่างนี้ เพื่อให้สามารถมีผลลัพธ์ตามที่ตนต้องการในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค (APEC Ministerial Meeting : AMM) และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders’ Meeting : AELM) ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ศกนี้ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับประเด็นการเพิ่มเติมยางพาราและน้ำมันปาล์มดิบในรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมเอเปค ควรเสนออินโดนีเซียและเอเปคชะลอการดำเนินการในเรื่องนี้ออกไปก่อน เนื่องจากการจัดทำรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมภาคเกษตรควรต้องมีคำจำกัดความที่ชัดเจน ประเด็นความมั่นคงอาหาร ควรสนับสนุนการจัดทำ Road Map เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีความมั่นคงอาหาร ภายในปี ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร เพื่อบรรลุเป้าหมายความมั่นคงอาหารร่วมกัน ประเด็นการจัดทำกรอบความเชื่อมโยงของเอเปค ควรให้มีความสอดคล้องกับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันของอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity : MPAC) และควรบูรณาการกรอบความเชื่อมโยงระหว่างกันของเอเปคเข้ากับภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทยและภูมิภาคเอเปคโดยรวม นอกจากนี้ ในแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ๒๕๕๖ มีประเด็นทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลายประการ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เห็นควรจัดให้มีการหารือระหว่างหน่วยงานภายในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ประกอบการ ภาคอุตสาหกรรม/ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดท่าทีและแนวทางในการทำงานทั้งภายในประเทศ และการทำงานร่วมกับประเทศอื่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
367 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 12 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ ๑๒แทนตำแหน่งที่ว่าง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗,๓๓๑,๒๐๐ บาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเอง เป็นจำนวนเงิน ๕,๗๕๒,๗๐๐ บาท ๑.๒ ค่าใช้จ่ายของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่ร่วมดำเนินการ เป็นจำนวนเงิน ๑,๕๗๘,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย กรมการปกครอง สำนักบริหารการทะเบียน เป็นจำนวนเงิน ๓๐๓,๘๐๐ บาท สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำนวนเงิน ๔๙๑,๓๐๐ บาท การไฟฟ้านครหลวง เขตนนทบุรี เป็นจำนวนเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน ๕๔,๖๐๐ บาท บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นจำนวนเงิน ๓๘๓,๘๐๐ บาท และกรมประชาสัมพันธ์ เป็นจำนวนเงิน ๒๒๕,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ โดยการปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ ทั้งนี้ หากพิจารณาตรวจสอบแล้วคงเหลือไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
368 | รายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดพิจิตร | นร01 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ณ จังหวัดพิจิตร ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) และคณะ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบึงสีไฟ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จังหวัดพิจิตรมีแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการขุดลอกบึงสีไฟ งบประมาณ ๘๘,๒๕๒,๐๐๐ บาท และโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบึงสีไฟ งบประมาณ ๔๙,๕๖๑,๐๐๐ บาท และแผนงาน/โครงการที่จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ได้แก่ โครงการปรับปรุงระดับโครงสร้างทางเพื่อเป็นพนังกั้นน้ำ ถนนรอบบึงสีไฟ สร้างเส้นทางรถจักรยาน และจุดชมวิว งบประมาณ ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูบึงสีไฟ งบประมาณ ๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. โครงการชลประทานพิษณุโลกฝั่งซ้าย ระยะที่ ๒ เป็นโครงการที่จะดำเนินการในพื้นที่ ๓ อำเภอของจังหวัดพิษณุโลก และ ๔ อำเภอของจังหวัดพิจิตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทาน จำนวน ๓๔๐,๘๗๖ ไร่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ได้ จำนวนประมาณ ๓.๓๕ ล้านไร่ ซึ่งรวมถึงโครงการชลประทานพิษณุโลกฝั่งซ้าย ระยะที่ ๒ จังหวัดพิษณุโลก ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๒) งบประมาณโครงการ ๙,๗๐๐ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำโครงการนี้ของกรมชลประทานเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จังหวัดพิจิตรมีกองทุนหมู่บ้าน ๑ กองทุน ที่มีการพัฒนากองทุนตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ จนถึงปัจจุบัน จนได้รับการคัดเลือกเป็นสถาบันการเรียนรู้กองทุนหมู่บ้านชุมชนเมืองแห่งชาติ และได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ คือ กองทุนหมู่บ้านหนองโสนใต้ หมู่ที่ ๑๖ ตำบลหนองโสน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร โดยกองทุนฯ ได้ยกฐานะเป็นสถาบันการเงินชุมชนตำบลหนองโสน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๘ มีแหล่งเงิน ๓ ส่วน บัญชีที่ ๑ จำนวน ๒,๗๒๓,๐๕๕ บาท บัญชีที่ ๒ จำนวน ๖๓,๐๙๐ บาท บัญชีที่ ๓ จำนวน ๔๐,๖๑๗,๙๙๒ บาท และเป็นสถาบันการเงินชุมชนระดับตำบลแห่งแรกของจังหวัดพิจิตร โดยสถาบันการเงินชุมชนตำบลหนองโสนได้รับการเพิ่มทุนระยะที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๔. โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) มีหมู่บ้านและชุมชน จำนวนทั้งสิ้น ๙๓๐ หมู่บ้าน/ชุมชน ได้รับการโอนเงินตามโครงการฯ แล้ว จำนวน ๙๐๖ หมู่บ้าน/ชุมชน จำนวนเงิน ๓๒๓,๘๐๐,๐๐๐ บาท คงเหลือที่ยังไม่ได้รับการโอนเงิน จำนวน ๒๔ หมู่บ้าน/ชุมชน
|
|||||||||||||||||||||
369 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดอุทัยธานี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นดังกล่าวไปดำเนินการต่อไป ๑.๑ ความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ต่อโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที โดยเห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ในพื้นที่จังหวัดนครสรรค์ และจังหวัดอุทัยธานี วงเงิน ๔๓.๐๐ ล้านบาท (๒ ) โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ซึ่งดำเนินการในพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร วงเงิน ๑๔.๗๐ ล้านบาท และ (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งน้ำโครงการวังบัว ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดพิจิตร วงเงิน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ความเห็นของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของ ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดนครสวรรค์ เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการแปรรูปและศูนย์จำหน่ายปลาริมบึงบอระเพ็ด ตำบลเกรียงไกร อำเภอเมือง วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทุ่งเขาพระ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ตำบลเนินศาลา อำเภอโกรกพระ และตำบลจันเสน อำเภอตาคลี วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำจำนวน ๓ แห่ง ตำบลบ้านไร่ อำเภอลาดยาว ตำบลหนองกรด อำเภอเมือง และตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย วงเงิน ๓๒.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ จังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก อำเภอเมือง วงเงิน ๓๘.๖๒ ล้านบาท (๒) โครงการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตมันสำปะหลัง อำเภอเมือง วงเงิน ๑๖.๘๙ ล้านบาท (๓) โครงการปรับปรุงระบบส่งน้ำฝายวังหามแห (ฝายด่านใหญ่) ตำบลโค้งไผ่ อำเภอขาณุวรลักษบุรี วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการขุดลอกคลองแม่ระกา ตำบลท่าไม้ ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๓ จังหวัดพิจิตร เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง ฯ จำนวน ๘ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการขุดลอกศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) ตำบลบึงนาราง และตำบลบางลาย อำเภอบึงนาราง วงเงิน ๕.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด หมู่ที่ ๕ ตำบลแหลมรัง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร-นาตาเซา หมู่ ๑๒ ตำบลวังชะโอน อำเภอบึงสามัคคี จังหวัดกำแพงเพชร วงเงิน ๑๘.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ ตำบลไทรโรงโขน ตำบลดงตะขบ อำเภอตะพานหิน ตำบลบางไผ่ อำเภอบางมูลนาก วงเงิน ๒๐.๐๐ ล้านบาท (๔) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน หมู่ที่ ๔ ตำบลไผ่หลวง อำเภอตะพานหิน วงเงิน ๑๒.๐๐ ล้านบาท (๕) โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไปตำบลท่าหลวง อำเภอเมืองพิจิตร วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท (๖) โครงการก่อสร้างถนนลาดยาง สายแยก ทล.๑๑๕-วัดสวนโพธิบัลลังค์ หมู่ที่ ๑๐ ตำบลบ้านนา อำเภอวชิรบารมี วงเงิน ๑๑.๒๐ ล้านบาท (๗) โครงการก่อสร้างถนนลาดยาง สายกลางหมู่บ้าน หมู่ ๔ บ้านมาบฝาง-หมู่ ๘ บ้านดงยาง ตำบลบึงบัว อำเภอวชิรบารมี วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท และ (๘) โครงการซ่อมสร้างผิวทางจราจรถนนลาดยาง หมูที่ ๖ บ้านสระประทุม-หมู่ที่ ๗ บ้านหนองคล้า-หมู่ที่ ๑๐ บ้านหนองนาร้าง ตำบลไผ่รอบ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง วงเงิน ๙.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๔ จังหวัดอุทัยธานี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขุดขยายสระเก็บน้ำบ้านดอนเพชร หมู่ ๓ ตำบลบ่อยาง-หมู่ ๑๐ ตำบลสว่างอารมณ์ อำเภอสว่างอารมณ์ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการขุดลอกแควตากแดด บริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า อำเภอเมือง วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ตอน กม. ๘๓+๐๗๕ (ต่อเขตแขวงฯ สุพรรณบุรีที่ ๑)-วังหิน ระหว่าง กม. ๘๖+๐๐๐-กม. ๘๗+๐๐๐ ระยะทาง ๑.๐๐๐ กม. (บริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลบ้านไร่) อำเภอบ้านไร่ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ ให้จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดนครสวรรค์ปรับลดงบประมาณโครงการให้เหลือจังหวัดละไม่เกิน ๑๐๕ ล้านบาท โดยจังหวัดกำแพงเพชรได้ปรับลดงบประมาณในโครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก เหลือวงเงิน ๓๒.๑๒ ล้านบาท จังหวัดนครสวรรค์ปรับลดงบประมาณในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จำนวน ๓ แห่ง เหลือวงเงิน ๒๙ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้จังหวัดพิจิตรทบทวนโครงการให้สอดคล้องกับศักยภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดจัดทำข้อเสนอโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ๓.๑ จังหวัดพิจิตร ๓.๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูบึงสีไฟ (ขุดลอกบึงสีไฟ) โดยให้จังหวัดพิจิตรจัดทำรายละเอียดโครงการที่มีลักษณะบูรณาการของกิจกรรมทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำ การท่องเที่ยว และการพัฒนาอาชีพ โดยประสานงานกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการนอกกรอบงบ ๑๐๐ ล้านบาท จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการบูรณะทางผิวแอสฟัลต์ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๘ ตอนควบคุม ๐๑๐๑ ต่อเขตเทศบาลบางมูลนาก-กม. ๒๒+๐๐๐ (๒) โครงการบูรณะทางผิวแอสฟัลต์ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๗ ตอนควบคุม ๐๑๐๒ ตอนหอไกร-สี่แยกโพธิ์ไทรงาม (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง (ขยายผิวจราจรเป็น ๔ ช่องทางจราจร) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๗ ตอนควบคุม ๐๑๐๒ ตอนหอไกร-สี่แยกโพธิ์ไทรงาม และ (๔) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง (ขยายผิวจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๙ ตอนบางมูลนาก-ตลิ่งชัน โดยให้แขวงการทางพิจิตรจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และเสนอกรมทางหลวงเพื่อบรรจุในแผนงานประจำปีเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในปี ๒๕๕๘ หรือ ปีอื่น ๆ ถัดไปตามความจำเป็นเร่งด่วน ๓.๒ จังหวัดอุทัยธานี ๓.๒.๑ ให้จังหวัดและกรมชลประทานพิจารณาศักยภาพรอบเขื่อนวังร่มเกล้า กรณีปรับภูมิทัศน์แล้วอาจสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด ๓.๒.๒ ให้กรมชลประทานและสำนักงบประมาณหารือปรับปรุงการขอจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๗ เพื่อเร่งรัดการดำเนินการวางท่อส่งน้ำจากสถานีสูบน้ำบ้านจักษามาถึงแก้มลิงตำบลเขาขี้ฝอย เขื่อนวังร่มเกล้า ในส่วนที่ยังขาดอยู่เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์โดยเร็ว ๓.๒.๓ โครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสำรวจออกแบบการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์สู่ลุ่มน้ำท่าจีนและลุ่มน้ำสะแกกรัง งบประมาณ ๔๐ ล้านบาท ที่เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งนี้เป็นวงเงินนอกกรอบ ควรมีการศึกษาความทับซ้อนด้านกฎหมายของส่วนราชการที่ถือปฏิบัติแต่ละหน่วยงาน ประเด็นที่อาจเป็นข้อร้องเรียนของ NGO ตลอดจนแนวทางการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ดำเนินการและควรให้มีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการความร่วมมือสำหรับการดำเนินการแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน ๓.๓ จังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบโครงการตามที่วัดพระบรมธาตุเจดียารามได้นำเสนอโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเมืองเก่านครชุมเพิ่มเติม โดยให้จังหวัดหารือร่วมกันระหว่างเทศบาลตำบลนครชุม สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกำแพงเพชร และกรมศิลปากร เพื่อจัดทำรายละเอียดโครงการพร้อมประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอรับการสนับสนุน ได้แก่ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ หรือขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง หรือให้บรรจุโครงการไว้ในแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอุทยานประวัติศาสตร์ (สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร) ที่กระทรวงวัฒนธรรมกำลังดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||
370 | การประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ (รอบ ๑๒ เดือน) เบื้องต้นของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเมื่อสำนักงาน ก.พ.ร. ได้รับผลการประเมินที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แล้ว ขออนุมัติเป็นหลักการในการปรับปรุงแก้ไขผลคะแนนให้มีความครบถ้วน เพื่อนำไปใช้จัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาต่อไป ๑.๒ เห็นชอบการขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๔๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการจัดสรรเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการและประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อจัดสรรเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพิ่มเติม จำนวน ๑,๔๐๐ ล้านบาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีเงินงบประมาณเหลือจ่าย และขอทำความตกลงตามขั้นตอนกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
371 | สรุปผลการเยือนปาปัวนิวกินีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการเยือนปาปัวนิวกินีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี ปาปัวนิวกินี ของกระทรวงการต่างประเทศ และมอบหมายส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามที่ตารางติดตามผลที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ ได้แก่ การเชิญนายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินีเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการและเชิญเข้าร่วมประชุม Asia-Pacific Water Summit ครั้งที่ ๒ การจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะให้กรอบการหารือดังกล่าวเป็นเวทีเพื่อทบทวนส่งเสริมความร่วมมือของสองฝ่าย โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งแรก การเร่งรัดการเจรจาความตกลงที่คั่งค้าง โดยเฉพาะความตกลงเพื่อส่งเสริมและปกป้องการลงทุน และความตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้อน การเพิ่มการส่งออกข้าวไปยังปาปัวนิวกินี และการส่งผู้เชี่ยวชาญไปให้คำแนะนำในการปลูกข้าว การลงทุนเพื่อพัฒนาและหาแหล่งก๊าซธรรมชาติในปาปัวนิวกินี การเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมการประมงของปาปัวนิวกินี การให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของปาปัวนิวกินี การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเปิดสถานเอกอัครราชทูตปาปัวนิวกินีประจำประเทศไทย และการเปิดสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี การตรวจลงตราที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองให้กับคนปาปัวนิวกินี และการใช้ประโยชน์จากความตกลงว่าด้วยการบริการเดินอากาศไทย-ปาปัวนิวกินี (Air Service Agreement) การให้ความร่วมมือทางวิชาการในสาขาที่ปาปัวนิวกินีมีความสนใจ และการสนับสนุนปาปัวนิวกินีในการเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในปี ค.ศ. ๒๐๑๘ รวมทั้งขอรับการสนับสนุนจากปาปัวนิวกินีในการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
|
|||||||||||||||||||||
372 | โครงการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา 2557 - 2560 | ศธ | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพยาบาล รวมทั้งรองรับการขยายศักยภาพให้บริการด้านสาธารณสุขของประเทศในทุกภาคส่วน โดยมีระยะเวลาการรับนักศึกษาพยาบาลเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๔ รุ่น ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๗-๒๕๖๐ และมีเป้าหมายการผลิตพยาบาลเพิ่ม คือ ในระยะ ๑๐ ปี ข้างหน้า อัตราส่วนพยาบาลวิชาชีพต่อประชากรในภาพรวมเท่ากับพยาบาล ๑ คน ต่อประชากร ๔๐๐ คน จำนวนผลิตพยาบาลในช่วงปี ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เป้าหมายการรับนักศึกษาพยาบาลทั้งหมด จำนวน ๒๗,๙๖๐ คน งบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น ๗,๓๔๘.๑๐ ล้านบาท แบ่งเป็น งบดำเนินการ จำนวน ๓๗.๑ ล้านบาท เพื่อการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มในอัตราเหมาจ่ายรายหัว คนละ ๑๑๐,๐๐๐ บาทต่อคนต่อปี (ครอบคลุมงบดำเนินการ งบจ้างอาจารย์เพิ่ม และงบพัฒนาอาจารย์) รวมงบประมาณดำเนินการทั้งสิ้น ๔,๔๕๖.๓๒ ล้านบาท และงบลงทุน เพื่อการผลิตพยาบาลเพิ่ม ในวงเงิน ๒,๘๙๑.๗๘ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเตรียมแผนรองรับการบรรจุและวางระบบบริหารจัดการอัตรากำลังให้มีการกระจายพยาบาลไปสู่ชนบทและพื้นที่ห่างไกลเพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการสุขภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และเร่งหามาตรการธำรงรักษาพยาบาลวิชาชีพไว้ในระบบควบคู่ไปกับการผลิตพยาบาล รวมทั้งให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของสถาบันผลิตพยาบาลครอบคลุมอาจารย์พยาบาล โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรต่าง ๆ ให้เพียงพอในการจัดการเรียนการสอนที่คำนึงถึงการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และกำกับติดตามคุณภาพการผลิตพยาบาลของสถาบันการศึกษาเอกชนให้มีมาตรฐาน นอกจากนี้ ควรศึกษาความต้องการพยาบาลวิชาชีพในระยะยาวของประเทศ เพื่อให้การผลิตบัณฑิตสาขาวิชาพยาบาลมีความสอดคล้องกับความต้องการพยาบาลวิชาชีพในภาพรวม สามารถรองรับนโยบายการพัฒนาสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการ ๑.๓ สำหรับงบลงทุน ให้สถาบันการศึกษาพยาบาลแต่ละแห่งจัดทำแผนความต้องการงบลงทุน โดยคำนึงถึงความจำเป็นอย่างแท้จริงและจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้การสนับสนุนสอดคล้องกับความเร่งด่วนและไม่เป็นภาระงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้นเกินสมควร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ) ตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งและมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นเจ้าภาพรวบรวมและศึกษาความต้องการอัตรากำลังของส่วนราชการในอนาคตทั้งระบบ จึงให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนอัตรากำลังด้านสาธารณสุขในอนาคตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอคณะทำงานชุดดังกล่าวพิจารณา โดยให้ยึดแนวทางตามกรอบยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) (การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ วันจันทร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ในประเด็นการเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ (Medical Hub) และให้คำนึงถึงการกระจายตัวของบุคลากรด้านสาธารณสุขกับสัดส่วนของประชากรและโครงสร้างของประชากรที่มีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นประกอบด้วย รวมทั้งให้มีการพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาจปรับเปลี่ยนกระบวนการและวิธีการปฏิบัติงานให้สามารถปฏิบัติงานได้หลากหลาย (Multi-task) |
|||||||||||||||||||||
373 | ผลการเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนางฮินา รับบานี คาร์ห รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ไทย-ปากีสถาน ระหว่างวันที่ ๙-๑๒ มกราคม ๒๕๕๖ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เข้าพบนายราชา เปอร์เวซ อัซรอฟ นายกรัฐมนตรีปากีสถาน และนางฮินา รับบานี คาร์ห รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน และได้หารือในประเด็นด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ด้านการทหารและความมั่นคง ด้านการศึกษาและความมั่นคงระหว่างประชาชน รวมทั้งความร่วมมือในกรอบภูมิภาคและพหุภาคี นอกจากนี้ ยังได้พบปะข้าราชการระดับสูงและภาคเอกชนชั้นนำของไทยและปากีสถาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวสุนทรพจน์เน้นย้ำถึงความสำคัญในการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันเพื่อนำไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ๒. ให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำขึ้น ๒.๑ เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ได้แก่ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้เพิ่มมากขึ้น โดยไทยสามารถใช้ปากีสถานเป็นประตูการค้าสู่อัฟกานิสถาน ตะวันออกกลาง เอเชียกลางและจีน การจัดทำความตกลงการค้าเสรี ซึ่งไทยเสนอให้มีการหารือรายละเอียดในเรื่องนี้ในกรอบคณะกรรมการร่วมด้านการค้า (Joint Trade Committee) การจัดตั้งสภาธุรกิจร่วมเพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนไทยและปากีสถาน การให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในปากีสถาน โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เหมืองพลอยและอุตสาหกรรมอัญมณี และอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ๒.๒ ความร่วมมือด้านวิชาการ ได้แก่ ความร่วมมือด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งไทยจะมอบทุนการศึกษาและจัดการฝึกอบรม รวมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการพัฒนากับปากีสถาน โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการเสริมสร้างขีดความสามารถในสาขาต่าง ๆ เช่น อัญมณี การท่องเที่ยว การเกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือสาขาอื่น ๆ ที่ไทยกับปากีสถานเห็นชอบร่วมกัน ๒.๓ ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ได้แก่ การเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในเอเชีย การพิจารณาจัด road show หรือนิทรรศการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยในปากีสถาน และการสนับสนุนให้โรงพยาบาลชั้นนำของไทยแต่งตั้งสำนักงานตัวแทนในปากีสถาน ๒.๔ ความมั่นคงและการทหาร ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมเฉพาะเรื่องอื่น ๆ ในช่วงต้นปี ๒๕๕๖ ๒.๕ ความร่วมมือในระดับภูมิภาคและพหุภาคี ได้แก่ การยกระดับความร่วมมือภายใต้กรอบสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations : ASEAN) การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ASEAN Regional Forum : ARF) และองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organization of Islamic Cooperation : OIC) และกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) การสนับสนุนปากีสถานในการสมัครเป็นประเทศคู่เจรจา (full dialogue partner) ของอาเซียน การขอรับการสนับสนุนจากปากีสถานในการสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ รวมทั้งการขอความร่วมมือจากปากีสถานเพื่อพิจารณาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับประเทศไทยในแถลงการณ์ของที่ประชุมสุดยอด OIC ครั้งที่ ๑๒ ที่กรุงไคโร ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และสอดคล้องกับความเป็นจริง
|
|||||||||||||||||||||
374 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง แทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเอง เป็นจำนวนเงิน ๗,๗๐๗,๖๐๐ บาท ๑.๒ ค่าใช้จ่ายของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่ร่วมดำเนินการ เป็นจำนวนเงิน ๒,๑๘๒,๑๐๐ บาท ประกอบด้วย กรมการปกครอง สำนักบริหารการทะเบียน เป็นจำนวนเงิน ๔๖๙,๘๐๐ บาท สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำนวนเงิน ๗๔๐,๗๐๐ บาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน ๔๓,๑๐๐ บาท บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นจำนวนเงิน ๖๒๘,๕๐๐ บาท และกรมประชาสัมพันธ์ เป็นจำนวนเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ โดยการปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ ทั้งนี้ หากพิจารณาตรวจสอบแล้วมีไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
375 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 3 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ ๓ แทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเอง เป็นจำนวนเงิน ๑๐,๙๒๑,๗๐๐ บาท ๑.๒ ค่าใช้จ่ายของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่ร่วมดำเนินการ เป็นจำนวนเงิน ๑,๖๙๗,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย กรมการปกครอง สำนักบริหารการทะเบียน เป็นจำนวนเงิน ๔๓๘,๗๐๐ บาท สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำนวนเงิน ๕๓๖,๔๐๐ บาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นจำนวนเงิน ๔๐,๘๐๐ บาท บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน ๗๐,๑๐๐ บาท บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นจำนวนเงิน ๔๑๑,๕๐๐ บาท และกรมประชาสัมพันธ์ เป็นจำนวนเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ โดยการปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ ทั้งนี้ หากพิจารณาตรวจสอบแล้วมีไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
376 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 10 - 11 มีนาคม 2556 | พน | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดชัยภูมิ ๑.๑ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดชัยภูมิตั้งอยู่ตอนบนสุดของที่ราบสูงโคราช ทำให้ลักษณะภูมิประเทศร้อยละห้าสิบเป็นที่ราบสูง อีกร้อยละห้าสิบประกอบด้วยป่าไม้และภูเขา เมื่อฝนตกลงมาจึงไหลลงสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการกักเก็บน้ำของแหล่งกักเก็บที่มียังไม่เต็มศักยภาพ ทำให้แหล่งกักเก็บน้ำแห้งขอดในฤดูแล้ง และนับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นมาเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง เป็นเหตุให้พืชผลทางเกษตรได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง จังหวัดจึงได้ประกาศภัยพิบัติทั้ง ๑๖ อำเภอ ๑.๒ การแก้ไขปัญหา ในเบื้องต้นจังหวัดได้อนุมัติงบประมาณให้ความช่วยเหลือไปแล้ว ๓๖,๕๘๓,๖๗๖ บาท โดยการจัดหาวัสดุทำฝายกระสอบทรายเพื่อชะลอน้ำ จำนวน ๒๖๔ แห่ง ซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ ๑๓ แห่ง ขุดลอกเปิดทางน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร ๓๗ แห่ง ฝึกอบรมอาชีพระยะสั้น ๘ แห่ง นอกจากนี้ จังหวัดยังมีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือความเดือดร้อนของราษฎรอีก คือ ระยะแรก เพื่อจัดทำโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๔๑ โครงการ วงเงิน ๒๒๗ ล้านบาท โครงการบ่อน้ำบาดาล ๒๒๕ บ่อ วงเงิน ๒๒.๙๕ ล้านบาท จัดหาเครื่องสูบน้ำขนาด ๘ นิ้ว ๕๐ เครื่อง วงเงิน ๒๗ ล้านบาท จัดหารถบรรทุกน้ำ ๑๖ คัน วงเงิน ๒.๓ ล้านบาท และจัดหาถังน้ำกลาง ๒,๗๑๒ ถัง วงเงิน ๓๘ ล้านบาท สำหรับระยะกลางและระยะยาว จะดำเนินโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ๑๑ โครงการ ๒. จังหวัดบุรีรัมย์ ๒.๑ จังหวัดบุรีรัมย์เป็นจังหวัดที่ประสบกับภาวะความแห้งแล้งเป็นประจำทุกปี เนื่องจากในพื้นที่ของจังหวัดจะมีปริมาณฝนตกค่อนข้างน้อย ทำให้แหล่งน้ำที่มีทั้งแหล่งน้ำหลักและแหล่งน้ำขนาดเล็กไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ตลอดฤดูกาล เป็นเหตุให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำในการอุปโภค บริโภค และทำให้พืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดได้ผลผลิตไม่เต็มที่ โดยเกิดภัยแล้งใน ๒๓ อำเภอ ๑๗๗ ตำบล ๒,๑๑๕ หมู่บ้าน ความเสียหายด้านเกษตร คิดเป็นพื้นที่จำนวน ๑๖๓,๕๒๘ ไร่ ๒.๒ การแก้ไขปัญหา จังหวัดได้ให้รถบรรทุกน้ำที่มีกระจายอยู่ตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่วนราชการต่าง ๆ บรรทุกน้ำไปแจกจ่ายให้ประชาชนตามหมู่บ้านต่าง ๆ และได้รับการสนับสนุนรถสูบส่งน้ำระยะไกลจากศูนย์ฯ เขต ๕ นครราชสีมา ดำเนินการสูบน้ำจากแหล่งน้ำไปยังสระน้ำประปาหมู่บ้านที่แห้งขอด และกำลังเร่งดำเนินการซ่อมเป่าล้างบ่อบาดาลและซ่อมประปาหมู่บ้านที่ชำรุดให้ใช้งานได้ โดยจังหวัดได้ใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้งไปแล้ว เป็นเงิน ๑๐,๙๓๙,๕๕๒ บาท รวมทั้งประสงค์ขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม คือ จัดหาถังน้ำกลางหมู่บ้าน ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๓,๙๐๐ ถัง วงเงิน ๕๔.๖ ล้านบาท รถบรรทุกน้ำ ๒๐ คัน รวมค่าบริหารจัดการ วงเงิน ๒.๑๙๒ ล้านบาท รถส่งสูบน้ำระยะไกล ๒ คัน วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท และดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๑๔ โครงการ วงเงิน ๓๑๓.๘ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
377 | รายงานการติดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและการเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดที่ประสบภัยแล้ง | นร04 | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการติดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ในการเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดจันทบุรี และการเดินทางไปตรวจราชการที่ประสบภัยแล้ง ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ และจังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ณ จังหวัดจันทบุรี ๑.๑ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จังหวัดจันทบุรีได้รับเงินจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๗๐ ล้านบาท ปัจจุบันมีสมาชิก ๙๕,๗๑๐ คน และสมาชิกเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุน จำนวน ๘๐ โครงการ มีโครงการที่ผ่านการพิจารณาอนุมัติ จำนวน ๑๐ โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๘๓๐,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๒.๖๑ เนื่องจากโครงการที่เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ส่วนใหญ่ยังไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ เช่น การขอใช้เงินอุดหนุนในการไปทัศนศึกษาท่องเที่ยว เป็นต้น ๑.๒ โครงการหลักประกันสุขภาพ จังหวัดจันทบุรีมีผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จำนวน ๔๓๐,๒๑๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๗๙.๕๐ ของจำนวนประชากร โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจันทบุรีได้บูรณาการสิทธิประโยชน์หรือบริการที่จำเป็นเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีมาตรฐานเดียวกัน อย่างเท่าเทียม สำหรับปัญหาอุปสรรคของจังหวัดจันทบุรี คือ ปัญหากลุ่มประชากรแฝง และปัญหาแรงงานต่างด้าวซึ่งมีอยู่ ๓ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เข้ามาถูกกฎหมาย กลุ่มเข้ามาแบบผิดกฎหมาย และกลุ่มที่เข้าออกผ่านจุดผ่านแดนแบบเข้า-ออก ทำให้มีการใช้งบประมาณในการรักษามากขึ้น ๑.๓ โครงการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต ๑ ได้รับจัดสรร จำนวน ๔,๑๗๔ เครื่อง และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต ๒ ได้รับจัดสรร จำนวน ๒,๙๕๕ เครื่อง โดยพบว่า ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนมีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก นักเรียนสามารถเพิ่มทักษะการเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นอย่างดี สำหรับปัญหาอุปสรรคที่พบ อาทิ ครู ผู้สอนชั้นประถมปีที่ ๑ ไม่ได้รับการจัดสรรเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเพื่อใช้ในการเตรียมการสอน เครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตไม่ครบจำนวน เนื่องจากนักเรียนมีการย้ายเข้าย้ายออก และบางโรงเรียนไม่ทราบแนวทางที่ชัดเจนในการส่งซ่อมเครื่องแท็บเล็ต และระยะเวลาหรือเงื่อนไขการรับประกัน ทำให้มีการดำเนินการล่าช้า เป็นต้น ๒. รายงานการเดินทางไปตรวจราชการภัยแล้งจังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดจันทบุรี ๒.๑ จังหวัดฉะเชิงเทรา มีพื้นที่ประสบภัยแล้ง ๒ อำเภอ ได้แก่ อำเภอพนมสารคามและบางน้ำเปรี้ยว ประชาชนได้รับผลกระทบ ๕๔๐ คน จำนวน ๑๘๐ ครัวเรือน พื้นที่นาข้าวเสียหาย ๒,๘๓๑ ไร่ และคาดว่าจะได้รับความเสียหายเพิ่มอีกประมาณ ๑,๐๐๐ ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร ในบางพื้นที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ซึ่งสถานการณ์โดยรวมจังหวัดสามารถแก้ไขปัญหาได้ ๒.๒ จังหวัดจันทบุรี มีพื้นที่ประสบภัยแล้ง ๘ อำเภอ ได้แก่ อำเภอขลุง ท่าใหม่ โป่งน้ำร้อน สอยดาว แก่งหางแมว มะขาม นายายอาม และเขาคิชฌกูฏ รวมทั้งสิ้น ๔๓๗ หมู่บ้าน โดยจังหวัดได้ดำเนินงานตามหลัก 2P2R ได้แก่ การป้องกัน (Prevention) การเตรียมความพร้อม (Preparation) การรับมือ (Response) และการฟื้นฟู (Recovery) เพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง
|
|||||||||||||||||||||
378 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ในส่วนของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2556 | นร | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) เสนอ โดยมีหน่วยงานเจ้าภาพหลักรายงานผลการดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (ตั้งแต่วันที่ ๑-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ๑.๑ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ได้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องงานสนับสนุนการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานประชาสัมพันธ์กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานพัฒนาระบบสารสนเทศของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานยุทธศาสตร์และพัฒนาศักยภาพกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ๑.๒ กองทุนตั้งตัวได้ กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการแต่งตั้งผู้อำนวยการกองทุนตั้งตัวได้ ตั้งแต่วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และอยู่ระหว่างการจัดทำประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ที่สถาบันการศึกษาขอจัดตั้งเป็น ABI (Authorized Business Incubator) และประกาศคุณสมบัติของผู้มีสิทธิขอรับการสนับสนุนเงินประกอบธุรกิจเริ่มต้นจากกองทุนตั้งตัวได้ ๒. พัฒนาระบบประกันสุขภาพ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ๒.๑ การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีการจัดทำข้อตกลงเพื่อให้บุคคลผู้มีสิทธิตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๑ ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ การสร้างความมั่นคงทางการเงินการคลังของหน่วยบริการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการติดตามกำกับและตรวจสอบหน่วยบริการที่มีภาวะวิกฤตทางการเงิน พัฒนาการจัดทำต้นทุนหน่วยบริการ และพัฒนาเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลัง ๓. จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน ๓.๑ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แจ้งว่าอยู่ระหว่างส่งเรื่องคืนให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาทบทวน TOR ใหม่ ๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แจ้งว่ามีหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) จำนวน ๑๐ หน่วยงาน รวม ๑,๘๐๓,๓๓๗ เครื่อง วงเงิน ๕,๐๙๒,๑๗๙,๐๐๐ บาท คาดว่าจะทำสัญญาได้ภายในวันที่ ๙-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๓.๓ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน แจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับเขตพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาการส่งมอบแท็บเล็ตให้แก่โรงเรียนไม่เพียงพอ โดยนำเครื่องจากเขตพื้นที่ที่เหลือไปจัดสรรให้แก่นักเรียนที่มีเครื่องไม่เพียงพอและกำลังดำเนินการจัดทำหนังสือไปยังผู้อำนวยการเขตพื้นที่ที่มีเครื่องเหลือในภาคใต้ให้จัดส่งแท็บเล็ตที่เหลือไปยังเขตพื้นที่ใกล้เคียงทางไปรษณีย์
|
|||||||||||||||||||||
379 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 2/2556 | นร11 | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมอบหมายให้นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ที่ปรึกษา กยอ. รับไปพิจารณาดำเนินการจัดตั้งกลไกเพื่อดำเนินการศึกษาในประเด็นที่ กยอ. ควรให้ความสำคัญ ประกอบด้วย การจัดทำ Zoning ภาคเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการใช้ประโยชน์ของพื้นที่อย่างเหมาะสมในเชิงลึก โดยประสานงานกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย การเตรียมความพร้อมด้านแหล่งพลังงานเพื่อรองรับปริมาณการใช้พลังงานในอนาคต โดยประสานงานกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การเตรียมความพร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระยะ ๕-๑๐ ปีอย่างยั่งยืน การจัดเตรียมพื้นที่โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศในอนาคต และการให้ความสำคัญกับแหล่งเงินกู้ภายในประเทศเพื่อรองรับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นที่มีความผันผวนในระยะยาว และนำผลการดำเนินงานเสนอ กยอ. ต่อไป ๒. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการของแผนงานโครงการพัฒนาทางหลวงเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจอาเซียนและการสร้างอนาคตประเทศ เพื่อเป็นกรอบทิศทางสำหรับการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จำนวน ๑๐ โครงการ วงเงินรวม ๔,๙๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า บางโครงการมีความซ้ำซ้อนกับโครงการที่เสนอในร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... และโครงการส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างเพื่อแก้ไขปัญหาการขนส่งทางถนนเฉพาะจุด โดยยังไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างระบบเพื่อการพัฒนาการขนส่งต่อเนื่อง (Multimodal Transport) และการปรับรูปแบบการขนส่งไปสู่ระบบราง รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในโครงการพัฒนาทางหลวงฯ ไปพิจารณาเพื่อประกอบการดำเนินการ ๓. ที่ประชุมรับทราบสรุปผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และการบริหารจัดการน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด ของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด (อยอ.) โดยให้ อยอ. รับไปดำเนินการจัดทำและเสนอยุทธศาสตร์และการบริหารจัดการน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศให้ กยอ. พิจารณาเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) และจัดทำรายละเอียดโครงการเร่งด่วนเพื่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาในพื้นที่ลุ่มน้ำตะวันออก กลุ่มที่ ๑ และ ๒ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อขอรับการสนับสนุนจากโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๔๐,๐๐๐ ล้านบาท) ต่อ กบอ. พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๔. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดย ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีผู้ประกอบการที่เปิดดำเนินการเต็มกำลังการผลิตและเปิดดำเนินการบางส่วน จำนวน ๗๕๔ ราย มีผู้ประกอบการที่ปิดกิจการและย้ายออกไปจากนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม จำนวน ๘๕ ราย จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งสิ้น ๘๓๙ ราย และให้ กนอ. รายงานความคืบหน้าฯ ให้ กยอ. ทราบต่อไป นอกจากนี้ ได้สนับสนุนการยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาลเพื่อชดเชยการลงทุนปรับปรุงระบบป้องกันน้ำท่วมของนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบตามขั้นตอน ๕. ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาการจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การบริหารจัดการกากของเสียและมลพิษทั้งระบบของประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมให้ครอบคลุมทั้งระบบ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
380 | แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร12 | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยมีโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓๐๐ โครงการ รวม ๘,๗๙๔,๔๖๖,๘๕๗ บาท และโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณจังหวัด ๗๖ จังหวัด จำนวน ๒,๒๙๒ โครงการ รวม ๒๒,๒๔๐,๒๗๑,๙๗๒ บาท ทั้งนี้ กรณีที่มีการพิจารณาต้นทุนต่อหน่วยของโครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณแล้วยังมีงบประมาณเหลืออยู่ ให้นำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรมาพิจารณาสนับสนุนเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญหรือที่สำรองไว้ในกรณีที่มีการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม สำหรับโครงการที่ดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ หรือเอกชนตามที่ปรากฏในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดประสานขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ
|
.....