ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 1095 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวัน ระดับประถมศึกษา และเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม (นม) | มท. | 02/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | การสนับสนุนการดำเนินงานของเหล่าทัพบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | นร. | 26/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ต้องขอขอบคุณทหารทุกเหล่าทัพที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ อดทน
อดกลั้นต่อการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาที่ใช้ทั้งปฏิบัติการทางทหารและอาศัยประชาชนเป็นโล่มนุษย์นำหน้าการเคลื่อนไหวด้วยวิธีการต่าง
ๆ ในการนี้ หากเหล่าทัพต้องการขอรับการสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือทรัพยากรอื่นใดที่จำเป็น
ในการปฏิบัติหน้าที่ของเหล่าทัพบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ขอให้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
(ศบ.ทก.) เป็นศูนย์กลางในการประสานกับเหล่าทัพ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์
หรือทรัพยากรอื่นใดให้แก่เหล่าทัพที่ต้องการให้ถูกต้อง ครบถ้วน เพียงพอ
โดยด่วนที่สุด ทั้งนี้ ขอให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องยึดถือว่าเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นเรื่องสำคัญลำดับแรกที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ
นอกจากนี้ ให้ ศบ.ทก. ประสานการปฏิบัติงานในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
รวดเร็ว และเป็นเอกภาพ ทั้งในด้านการทหาร การต่างประเทศ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง (กระทรวงมหาดไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินมาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดในการป้องกันพลเรือนชาวกัมพูชารุกล้ำเขตแดนไทยอย่างผิดกฎหมายและการเร่งรัดติดตามการปราบปรามผู้ก่ออาชญากรรมออนไลน์
(Scammer) บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | การลงสมัครรับเลือกตั้งซ้ำในตำแหน่งเลขาธิการองค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian-African Legal Consultative Organization-AALCO) ของ ดร. กมลินทร์ พินิจภูวดล | กต. | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เสนอ ดร. กมลินทร์ พินิจภูวดล
เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งซ้ำในฐานะผู้แทนจากประเทศไทยเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการ
AALCO สำหรับวาระปี ๒๕๖๙ - ๒๕๗๒ (ค.ศ. ๒๐๒๖ - ๒๐๒๙) และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการรณรงค์หาเสียงเพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐสมาชิกก่อนการเลือกตั้ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล FIVB Women's World Championships 2025 | กก. | 15/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๔๒๔,๑๗๗,๒๐๐ บาท
สำหรับเป็นค่าลิขสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล FIVB
Women’s World Championships 2025 ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการกีฬาแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๓/๖๙๙๖ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้การกีฬาแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดประกอบ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (ค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศและการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4,000) | กห. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๒,๙๓๐,๐๐๐ บาท ให้กับกองบัญชาการกองทัพไทย
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศ และการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔,๐๐๐ (One Map) จำนวน ๒
โครงการ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้กระทรวงกลาโหม (กองบัญชาการกองทัพไทย)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนมาก ที่ นร ๐๗๐๕/๕๐๑๖
ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลแล้วแต่กรณี
ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และให้กองบัญชาการกองทัพไทยนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามขั้นตอนก่อนนำเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงกลาโหม โดยกองบัญชาการกองทัพไทย ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และประกาศที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | ขอความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) | กก. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์
ครั้งที่ ๓๓ พ.ศ. ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่
๑๓ พ.ศ. ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕) ภายในกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๒,๐๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้การกีฬาแห่งประเทศไทยใช้จ่ายจากเงินลงทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
จำนวน ๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เงินรายได้จากการจัดการแข่งขัน
รายได้จากการบริหารสิทธิประโยชน์ รายได้ค่าจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขัน รายได้ค่าลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ที่ได้ประมาณการไว้
จำนวน ๑๕๔,๓๖๐,๐๐๐ บาท
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวนวน ๑๕๗,๕๘๔,๔๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๑,๓๔๓,๐๕๕,๖๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับการใช้จ่ายเงินของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
และควรขอรับการสนับสนุนจากภาคเอกชนมาสมทบการดำเนินงาน
เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการส่งเสริมทางด้านกีฬาและเป็นการลดภาระงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องตลอดจนใช้จ่ายงบประมาณให้ตรงตามวัตถุประสงค์และเกิดความคุ้มค่าสูงสุดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | การเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ในประเทศไทย ประจำปี 2571 - 2575 (5 ปี) | กก. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทย
และผลการศึกษารายละเอียดด้านสนามแข่งขันที่เหมาะสมและการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสนามแข่งขัน
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโครงการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก
รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ประจำปี
๒๕๗๑ - ๒๕๗๕ (๕ ปี) สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันดังกล่าว
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการศึกษารายละเอียดของข้อจำกัดและข้อกำหนดต่าง ๆ ตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน เช่น
ข้อจำกัดของผังเมือง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
การบริหารจัดการจราจร ความพร้อมของเมืองเจ้าภาพ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเปิดเผยและโปร่งใส
เพื่อให้การดำเนินการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลกดังกล่าวข้างต้นอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน
และลดความเสี่ยงในการเกิดข้อขัดแย้งในระยะยาว ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าหากจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคำนึงถึงสถานะของกองทุนฯ ด้วย และให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณจากทุกแหล่งเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งควรมีมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่น
และประเมินผลการจัดการแข่งขันดังกล่าวทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและเป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา เพิ่มเติม | สผ. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
รายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา เพิ่มเติม ๓๗๓,๘๘๗,๗๒๐.๐๐ บาท ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
และให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาในรายละเอียดตามความจำเป็นและเหมาะสมและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรให้ความสำคัญในการดำเนินงานของกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา
โดยพิจารณาแหล่งรายรับอื่น ๆ เพื่อให้กองทุนมีงบประมาณที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา
ลดการพึ่งพาเงินจากงบประมาณเพียงแหล่งเดียว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาระต่องบประมาณในระยะยาว
รวมถึงกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม | กห. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐาน
(แม่น้ำปิง และแม่น้ำกก) ระยะเร่งด่วน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๕,๓๓๔,๑๐๐ บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทย ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | โครงการสลากการกุศล | กค. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย
ของมูลนิธิต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย วงเงิน ๒๕๐ ล้านบาท
เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว ล่วงเลยระยะเวลาตามที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ มีนาคม ๒๕๖๖ เห็นชอบ เนื่องจากปัจจุบันมูลนิธิฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับกรมธนารักษ์เพื่อขอเช่าที่ดินแปลงอื่น ๑.๒ เห็นชอบให้มีการออกสลากการกุศลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการฯ
จำนวน ๗ โครงการ วงเงิน ๕,๓๐๘.๑๔ ล้านบาท ๑.๓
มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบบาล ดำเนินการดังนี้ ๑.๓.๑
เป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และจ่ายเงินรางวัลสลากการกุศลตามข้อ ๑.๒ ๑.๓.๒
ประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ ๑.๒
เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการออกสลากการกุศล การขออนุญาตการออกสลากการกุศล โดยปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และการนำส่งเงินให้หน่วยงานเจ้าของโครงการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
โดยให้ผู้รับใบอนุญาตการออกสลากการกุศลเสียภาษีการพนันเหลือร้อยละ ๐.๕
แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ ๑๒ (๔) ของกฎกระทรวงมหาดไทย
ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๐๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ๑.๓.๓
จัดทำแผนการออกสลากการกุศลและแผนการใช้เงินของแต่ละโครงการและรายงานต่อคณะกรรมการฯ
เพื่อประโยชน์ในการกำกับ ติดตามการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๑.๔
มอบหมายให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการดังนี้ ๑.๔.๑
ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจในการกำหนดระยะเวลาผูกพันวงเงินขยายระยะเวลาผูกพันวงเงิน
หรือขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนเบิกจ่ายตามเหตุผลความจำเป็นแล้วแต่กรณี ทั้งนี้
หากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศลพิจารณาแล้วเห็นว่า
โครงการดังกล่าวสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศลให้โครงการดังกล่าว
๑.๔.๒ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้เงินภายในโครงการที่ได้รับการสนับสนุน โดยจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากโครงการที่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
โดยโครงการที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ ๑.๒ เป็นในส่วนของทุนการศึกษา
จึงเห็นควรให้ดำเนินการสนับสนุน ตามจำนวนผู้รับทุนการศึกษาที่หน่วยงานเสนอขอรับการสนับสนุนเท่านั้น
โดยให้นำเงินเหลือจ่ายโอนเข้ารายได้แผ่นดิน ทั้งนี้
ในกระบวนการคัดเลือกผู้มีสิทธิรับทุน ควรดำเนินการอย่างโปร่งใส ชัดเจน รอบคอบ
และรัดกุม โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง และความเป็นธรรม เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการลดความเหลื่อมล้ำ
ตลอดจนเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับทุนอย่างเท่าเทียมตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าในการคัดเลือกผู้มีสิทธิรับทุนการศึกษา
หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ
อย่างโปร่งใส โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง และความเป็นธรรม
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการในการลดความเหลื่อมล้ำ และเปิดโอกาสให้ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับทุนการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เห็นควรให้ทุกหน่วยงานร่วมวางแผนวิจัยติดตามประเมินผลความคุ้มค่าหรือวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมของการดำเนินการโครงการสลากการกุศลดังกล่าวเพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการระยะยาวของรัฐบาลที่เหมาะสมต่อไป ๒.
ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดให้การเบิกจ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศลแล้วเสร็จโดยเร็ว
รวมทั้งให้ดำเนินการประเมินผลโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศล
ทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้วย เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงสถานที่ฝึกซ้อม/แข่งขัน (กีฬาทางน้ำ) ภายในสนามกีฬาหัวหมาก เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กก. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๓๒๐,๒๖๘,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสถานที่ฝึกซ้อม/แข่งขัน
(กีฬาทางน้ำ) ภายในสนามกีฬาหัวหมาก
เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ ๓๓
พ.ศ. ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ พ.ศ. ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕)
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ที่ นร ๑๗๑๓/๓๖๕๗ ลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ขอให้การกีฬาแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดประกอบ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรจัดทำแผนบริหารจัดการปรับปรุงสถานที่อย่างรัดกุมและมีขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน
ตลอดจนต้องมีการกำกับและควบคุมการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถปรับปรุงสนามแข่งขันให้ได้มาตรฐานแล้วเสร็จก่อนการแข่งขัน
และเปิดใช้งานได้ตามกำหนดแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณสนามแข่งขันให้ครอบคลุมการพัฒนากีฬาทางน้ำในทุกมิติ
โดยเฉพาะการกำหนดนโยบายและแผนการสนับสนุนงบประมาณที่ชัดเจนสำหรับพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมกีฬาระดับนานาชาติ
รองรับกิจกรรมกีฬาและนันทนาการที่มีความหลากหลาย รวมทั้งพัฒนาแนวทางความร่วมมือกับภาคเอกชนในการประชาสัมพันธ์และสร้างรายได้เพื่อให้การดำเนินงานด้านการกีฬามีความยั่งยืนและก่อให้เกิดประโยชน์ทางตรงต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | (ร่าง) แผนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2566-2570) | ศธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๔ (ด้านพลังงาน อุตสาหกรรม และการพัฒนาคุณภาพชีวิต) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) เป็นประธานกรรมการ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘
เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อเป็นกรอบแนวทางและการกำหนดมาตรการพัฒนาการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการสำหรับประเทศไทยที่ครอบคลุมและมีคุณภาพในทุกมิติ
โดยให้กระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงแผนฯ ตามความเห็นของหน่วยงาน ดังนี้
๑.๑ ควรเพิ่มเติมประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ในแต่ละแนวทาง ดังนี้ ๑.๑.๑
การลดโอกาสที่คนพิการจะหลุดออกจากระบบการศึกษา
โดยเฉพาะในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจากประถมศึกษาสู่มัธยมศึกษาตอนต้น ๑.๑.๒
การพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน เช่น การจัดทำแผน IEP สำหรับขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์ สื่อ
และเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนคนพิการในทุกสังกัด
การนำผลการทดสอบระดับเชาว์ปัญญามาเชื่อมโยงกับการจัดรูปแบบการศึกษาของคนพิการในระดับการศึกษาต่าง
ๆ การพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้น ๑.๑.๓
การสร้างโอกาสในการเข้าสู่ตลาดงาน เช่น การแนะแนวอาชีพแก่นักเรียนพิการ
การสร้างความร่วมมือกับสถานประกอบการเพื่อสร้างโอกาสการฝึกงานและทำงานจริง
การส่งเสริมการจ้างงานที่เป็นธรรมและสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินงานโดยคนพิการหรือจ้างงานคนพิการ
เป็นต้น ๑.๑.๔
การปรับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน เช่น ทางลาด สภาพห้องน้ำ
ให้เอื้อต่อการใช้ชีวิตของคนพิการ เป็นต้น ๑.๑.๕ การส่งเสริมให้คนพิการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองและการพัฒนาสังคม
เช่น การส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องสิทธิของคนพิการ
การสนับสนุนให้คนพิการมีสิทธิเลือกในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง อาทิ การศึกษา
การทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน การมีความร่วมมือขององค์กรคนพิการกับภาคส่วนต่าง ๆ
การสนับสนุนให้คนพิการเข้าร่วมกระบวนการกำหนดนโยบาย เป็นต้น
๑.๒ ควรมีการกำหนดค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดในแต่ละปีให้ชัดเจนพร้อมกำหนดค่าฐาน
(base
line) ในการคำนวณ
โดยเฉพาะตัวชี้วัดภาพรวมของแผนที่กำหนดค่าเพียงเพิ่มขึ้น
และตัวชี้วัดรายยุทธศาสตร์ที่กำหนดค่าเป้าหมายว่า “มี”
พร้อมทั้งเพิ่มเติมตัวชี้วัดเชิงผลลัพธ์ อาทิ (๑) ตัวชี้วัดที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาคนพิการในระดับต่าง
ๆ (๒) อัตราการเข้าสู่ตลาดงานหลังมีการ upskill/reskill (๓)
คุณภาพของสถานศึกษาคนพิการทั้งในด้านสัดส่วนครู หลักสูตร/สื่อการเรียน
เทคโนโลยีในการสนับสนุนการเรียนการสอน การทำแผน IEP สภาพแวดล้อมทางกายภาพ
บริการช่วยเหลือต่าง ๆ ๒.
กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาให้มีการจัดทำแผนการศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มเด็กเปราะบางและด้อยโอกาสในทุกกลุ่ม
อาทิ กลุ่มเด็กกำพร้า กลุ่มเด็กในครัวเรือนยากจนนอกจากกลุ่มเด็กพิการ
โดยพิจารณาใช้กลไกของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาในการเสาะแสวงหาและช่วยเหลือสนับสนุนผ่านการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงมหาดไทยเพื่อให้แผนการจัดการศึกษาครอบคลุมเด็กทุกคนอย่างเสมอภาค |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาสายพันธ์ุกุ้งเพื่อการส่งออกของประเทศไทย | นร.04 | 18/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดสงขลา
เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ได้เข้าเยี่ยมชมกิจการของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลประเภทต่าง
ๆ แห่งหนึ่งที่อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ทำให้ทราบถึงประเด็นปัญหาและข้อเสนอของภาคเอกชนหลายประการ
จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง
และการเพาะเลี้ยงกุ้ง อย่างจริงจัง
รวมทั้งถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้เกษตรกรสามารถเพาะเลี้ยงกุ้งได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี
เพื่อฟื้นฟูความเข้มแข็งด้านการเพาะเลี้ยงกุ้งเพื่อการส่งออกของไทยที่เคยเป็นอันดับต้น
ๆ ของโลกให้กลับคืนมาอีกครั้ง ทั้งนี้
ให้จัดทำรายละเอียดของแผนงาน/โครงการเพื่อการดำเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
แล้วเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนเพื่อดำเนินการต่อไปโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | ผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอิตาลี | กษ. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางไปราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ณ กรุงโรม อิตาลี ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑) การลงนามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทุนระหว่างประเทศ
เพื่อพัฒนาการเกษตร (IFAD) ซึ่งทำให้ไทยเป็นที่ตั้ง
สำนักงาน IFAD ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเพียงหนึ่งเดียว ๒)
การประชุมอาหารโลก (WFF) ซึ่งมีรายละเอียดการประชุมย่อย ดังนี้
(๑) การประชุม WFF 2024 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขึ้นกล่าวในหัวข้อวิสัยทัศน์ด้านระบบเกษตรและอาหารที่ยั่งยืน
และตัวอย่างความสำเร็จในการดำเนินงานของไทย และ (๒)
การประชุมความร่วมมือด้านการลงทุนขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ซึ่งเน้นย้ำว่าไทยกำลังเร่งปรับเปลี่ยนระบบเกษตรและอาหารเพื่อความยั่งยืน
และ ๓) การประชุมหารือทวิภาคี เช่น (๑) ไทย - อิตาลี
ที่ฝ่ายไทยขอรับการสนับสนุนจากอิตาลี เพื่อผลักดันการดำเนินการเคลื่อนย้ายม้าจากไทยไปยังสหภาพยุโรป
(๒) ไทย - ลาว ซึ่งทั้งสองฝ่ายมุ่งดำเนินนโยบาย/มาตรการที่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
เช่น การขนส่งทุเรียนไทยโดยใช้เส้นทางผ่านลาวไปจีน และ (๓) ไทย - สภาเศรษฐกิจโลก
โดยมีการนำเสนอการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนข้อริเริ่มแนวร่วมเพื่อเคลื่อนไหวครั้งแรกที่มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมต่าง
ๆ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | การดำเนินการตามข้อบท 22 วรรค 3 (บี) ของอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน การแจ้งไม่สามารถยอมรับการแก้ไขภาคผนวก เอ (การเลิกใช้) โดยบรรจุรายชื่อสาร Dechlorane Plus และ UV-328 เพิ่มเติม | ทส. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ
ดำเนินการตามข้อบท ๒๒ วรรค ๓ (บี) แจ้งไม่สามารถยอมรับการแก้ไขภาคผนวก เอ (การเลิกใช้)
โดยบรรจุรายชื่อสาร Dechlorane Plus และ UV-328 เพิ่มเติม เพื่อไม่ให้การแก้ไขภาคผนวกดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยและให้ภาคอุตสาหกรรมที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีมีระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนการใช้สารทดแทน
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการมีหนังสือแจ้งองค์การสหประชาชาติ (ผู้เก็บรักษาอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ)
ก่อนการแก้ไขภาคผนวกเพิ่มเติมนี้จะมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรขอรับการสนับสนุนทางด้านเทคนิคและการเงินในการจัดการสารทั้ง
๒ ชนิด และสร้างขีดความสามารถให้แก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมในการปฏิบัติตามพันธกรณีก่อนการยอมรับการแก้ไขภาคผนวกให้มีผลบังคับใช้และเกิดผลผูกพันทางกฎหมายกับไทยต่อไปด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งดำเนินการเลิกใช้สารเคมีทั้งสองชนิด
เพื่อปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมจากสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานอย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | ผลการพิจารณา เรื่อง ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล | มท. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง
ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่
๒ ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้ ๑. ในส่วนของแผนการจัดน้ำที่ดี กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับน้ำและกักเก็บน้ำเพิ่มเติมสำหรับแผนการจัดการน้ำในระยะกลางแล้ว
และมีแผนสร้างคันกั้นน้ำด้านตะวันออก และตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อการจัดการน้ำระยะยาวอีกด้วย ๒. ในส่วนของโครงสร้างการป้องกันชายฝั่ง กรุงเทพมหานครได้จัดทำโครงสร้างแบบแข็ง
(เขื่อนกันคลื่น/กำแพงกันคลื่น) และแบบอ่อน (เนินทราย/ป่าชายเลน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร
และกระทรวงคมนาคมได้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลีย เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยโดยเฉพาะระบบระบายน้ำ ๓. การย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดนครราชสีมา
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า การสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล หรือดำเนินการเพิ่มเมืองศูนย์กลางระดับภาคและศูนย์กลางรองระดับภาคน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่า ๔. การศึกษาในเรื่องน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากภาวะโลกร้อน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษาเพื่อวางแผนแก้ไขปัญหา เช่น การจัดทำ Sea barrier การขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาแนวทางการป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา
และการศึกษาการคาดการณ์อนาคต (Foresight) ระดับน้ำที่สูงขึ้นในแต่ละช่วงปี
เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาและควรศึกษาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ๕. ความเหมาะสมของจังหวัดนครราชสีมาที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทย
โดยปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมืองและกระทรวงคมนาคม ได้ศึกษาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว
ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติและศึกษาแนวทางการย้ายเมืองหลวงของประเทศอื่น
เป็นแนวทางและเทียบเคียงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | ขอรับการสนับสนุนการจัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดิน เพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 | สขค | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการสนับสนุนการจัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดิน
เพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙
ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.)
ไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๙ เพื่อให้สำนักงาน กขค. มีรายได้ของสำนักงานจำนวนพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพของสำนักงาน
กขค. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ จำนวน ๓๙๒.๙๙๕๕ ล้านบาท และอนุมัติให้ สำนักงาน กขค.
ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๗ เรื่อง เห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า)
เสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | การทบทวนหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล | กค. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล
โดยกระทรวงการคลังได้จัดทำแบบรายงานข้อมูลโครงการสลากการกุศลตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้การพิจารณาและการติดตามการออกสลากการกุศลครั้งต่อไปเป็นไปอย่างเหมาะสม
มีความรอบคอบ ชัดเจนยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับสถานการณ์และข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นว่าในการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินจากโครงการสลากการกุศลควรคำนึงถึงผลกระทบ
ความจำเป็น และความพร้อมของการดำเนินโครงการที่มุ่งให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและสังคมทุกมิติในวงกว้าง
โดยเฉพาะการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง อาทิ คนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส
ฯลฯ
เพื่อพัฒนาศักยภาพให้พร้อมรับมือกับสภาพปัญหาสังคมที่ผันผวนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วย
และควรมีการติดตามและประเมินผลความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ
ทั้ง ๓๐ โครงการ อย่างเป็นระบบและมีความต่อเนื่อง
เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ เกิดความคุ้มค่า
และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างแท้จริง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 | กก. | 03/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเซี่ยนเกมส์
ครั้งที่ ๑๓ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓ ธันวาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ กำกับการบริหารราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รองประธานกรรมการ ๓. ปลัดกระทรวงการคลัง กรรมการ ๔. อัยการสูงสุดหรือผู้แทน กรรมการ ๕. อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแพ่ง กรรมการ ๖. อัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่ง กรรมการ ๗. อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีล้มละลาย กรรมการ ๘. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ ๙. ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย กรรมการและเลขาธิการ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเซี่ยนเกมส์
ครั้งที่ ๑๓ ๑. วางนโยบาย อำนวยการเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันกีฬาเอเซี่ยนเกมส์
ครั้งที่ ๑๓ ๒. จัดการแข่งขันกีฬาเอเซี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓
ให้บรรลุเป้าหมายด้วยดี เป็นไปตามกฎธรรมนูญสหพันธ์ และเป็นผลดีที่สุดแก่ประเทศชาติ ๓. ประสานงาน
ปฏิบัติการและดูแลทั่วไปเกี่ยวกับการเตรียมงานทั้งปวง และคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ๔.
จัดสรรและบริหารงบประมาณที่ใช้ในการจัดการแข่งขันกีฬาเอเซี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ ๕. ติดต่อประสานงาน ตลอดจนการขอรับการสนับสนุนในการเตรียมงานและจัดการแข่งขันจากหน่วยงานราชการ
รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเอกชน ๖.
รายงานการดำเนินงานให้แก่คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
และจัดทำรายงานเสนอเมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | ข้อเสนอโครงการของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | นร.11 สศช | 29/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการเร่งด่วนของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
ที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน ๓๙ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๖๔๑,๑๒๗,๓๐๐ บาท โดยให้จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความซ้ำซ้อนของโครงการและงบประมาณต่อไป และรับทราบข้อเสนอโครงการพัฒนาในระยะยาวเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
จำนวน ๓๘๑ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๑๙,๒๘๒,๕๔๖,๙๗๖ บาท
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงาน
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่ากรณีโครงการ
หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูถนน หากไม่มีลักษณะเป็นการก่อสร้าง
และ/หรือขยายเขตทางหรือช่องจราจร และไม่มีลักษณะเป็นโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการตามประกาศฯ
และมติคณะรัฐมนตรีฯ ข้างต้น
จะไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ เห็นควรให้เตรียมความพร้อมในการขออนุญาตจากกรมธนารักษ์
และเตรียมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพิ่มเติม
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
โดยขอให้จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายจัดทำรายละเอียดโครงการและประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
|