ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 1095 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
301 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบกลางของจังหวัดกาฬสินธุ์ | มท | 10/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ดังนี้
๑. โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน ๑๙ โครงการ วงเงิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ได้บรรจุอยู่ในแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) และแนวทางการสนับสนุนงบประมาณ] แล้ว ดังนั้น ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำดำเนินการต่อไป และให้แจ้งรายละเอียดความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดกาฬสินธุ์ทราบอย่างต่อเนื่องด้วย ๒. โครงการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน ๘ โครงการ วงเงิน ๑๐๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท มอบหมายให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำนำโครงการนี้ไปบรรจุเพิ่มเติมในแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
302 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การดำเนินคดีแบบกลุ่ม) | สว | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การดำเนินคดีแบบกลุ่ม) เกี่ยวกับการออกข้อกำหนดในการดำเนินคดีแบบกลุ่มตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มอาจมีประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่น การจ่ายเงินรางวัลทนายความที่กำหนดไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีแบบกลุ่ม รวมทั้งมาตรการบางประการเกี่ยวกับการดำเนินคดีแบบกลุ่ม และให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่เห็นควรมีมาตรการหรือช่องทางให้โจทก์สามารถขอรับการสนับสนุนเงินหรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีจากแหล่งเงินทุนตามที่มีอยู่ และจะเป็นการดีที่สุดหากภาครัฐสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการดำเนินคดีแบบกลุ่มโดยเฉพาะ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้หรือไม่ ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
303 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2558 เพิ่มเติม | กห | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมถอนเรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เพิ่มเติม คืนไปได้ ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
304 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 26 | กต | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๖ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๗-๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามนัยตารางสรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการประชุมและตารางติดตามสรุปผลการหารือทวิภาคี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สรุปการติดตามผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๖ ๑.๑.๑ การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การผลักดันให้การดำเนินการตาม Bali Package และการจัดทำ Post-Bali Work Program มีความคืบหน้า การเริ่มทำการศึกษาร่วมทางยุทธศาสตร์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การดำเนินการตามพิมพ์เขียวยุทธศาสตร์เอเปคเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่าโลก การดำเนินการตามข้อริเริ่ม เรื่อง การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าโลกในอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งไทยเป็นเขตเศรษฐกิจนำในสาขาธุรกิจเกษตร และการดำเนินการตามกรอบการดำเนินการทางยุทธศาสตร์ด้านการวัดการค้ามูลค่าเพิ่มภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าโลก เป็นต้น ๑.๑.๒ การส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโต ประเด็นสำคัญ ที่ต้องติดตาม อาทิ ยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของเอเปค (ANSSR) ความร่วมมือในประเด็นการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน ยกระดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ข้อริเริ่มเอเปคเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ต และข้อริเริ่มเอเปคด้านความร่วมมือทางมหาสมุทรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เศรษฐกิจสีน้ำเงิน เป็นต้น ๑.๑.๓ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างครอบคลุม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การพิจารณาแนวทางขยายอายุบัตรเดินทางสำหรับนักธุรกิจเอเปค (ABTC) เป็นเวลา ๕ ปี และการพิจารณาแนวทาง การจัดทำบัตรการเคลื่อนย้ายเสมือนจริงของภาควิชาการ (virtual academic mobility card) เป็นต้น ๑.๒ สรุปการติดตามผลการหารือทวิภาคีของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจากประเทศต่าง ๆ ๑.๒.๑ จีน ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การเตรียมการจัดกิจกรรมครบรอบ ๔๐ ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน คำขอของจีนให้สนับสนุนข้อเสนอของจีนในกรอบอาเซียน เช่น คณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ Treaty of Friendship and Good Neighborliness และการประชุมแม่โขง-ล้านช้าง เป็นต้น ๑.๒.๒ ออสเตรเลีย ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียเยือนไทย และการจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศไทย การออกกฎหมายและการมี transitional arrangement เกี่ยวกับการรับจ้างตั้งครรภ์ เป็นต้น ๑.๒.๓ นิวซีแลนด์ ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การจัดจ้างการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-นิวซีแลนด์ ครั้งที่ ๓ ที่นิวซีแลนด์ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิรูปด้านต่าง ๆ โดยการจัด workshop ระหว่างผู้เชี่ยวชาญและองค์กรต่าง ๆ ของนิวซีแลนด์ เป็นต้น ๑.๒.๔ ปาปัวนิวกินี ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การขอรับการสนับสนุนเรื่องการสมัครรับเลือกตั้ง ใน UNSC ของไทยจากปาปัวนิวกินีเป็นลายลักษณ์อักษร การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปาปัวนิวกินีเยือนไทย การเยือนปาปัวนิวกินีของรองนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และการจัดการประชุมหารือ ทวิภาคีไทย-ปาปัวนิวกินี ครั้งที่ ๑ (ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส) เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนัยตารางสรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการประชุมและตารางติดตามสรุปผลการหารือทวิภาคี ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ได้ส่งเสริมการดำเนินการทางพิมพ์เขียวยุทธศาสตร์เอเปคเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่าโลก ตลอดจนการดำเนินการตามกรอบการดำเนินการทางยุทธศาสตร์ด้านการวัดการค้ามูลค่าเพิ่มภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าโลกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ควรเน้นย้ำถึงความสำคัญที่จะต้องส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรมในการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้เป้าหมายการขับเคลื่อนให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง การส่งเสริมการหุ้นส่วนความร่วมมือภาครัฐเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดการสร้างบรรยากาศแข่งขันและการสนับสนุนการเปิดเสรีด้านบริการ และการสร้างความแข็งแกร่งและการขยายฐานของ SMEs เป็นต้น ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
305 | ขออนุมัติดำเนินโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | กษ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง เพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชนเกษตรในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของชุมชนเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนจากภัยแล้งในระยะยาว มีเป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ คือ ชุมชนเกษตรกรที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ในพื้นที่ ๓,๔๕๖ ตำบล ๖๘ จังหวัด โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการกำหนดรายละเอียดโครงการให้ชัดเจน เช่น พื้นที่เป้าหมายของโครงการ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่จะจ้างงาน ซึ่งครอบคลุมทั้งเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ประเภทและลักษณะโครงการซึ่งเป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจในภาพรวม เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นซึ่งได้เคยดำเนินการไปก่อนหน้านี้ ๓. ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรพิจารณาตรวจสอบและรับรองข้อมูลว่าเป็นพื้นที่ที่เกิดภัยแล้งจริง และเป็นความต้องการขอรับการสนับสนุนของเกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้งมีการตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับเป้าหมายตามมาตรการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยแล้งปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ตลอดจนกำกับดูแลให้ชุมชนสามารถพัฒนา ดูแลรักษา และใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรที่เกิดขึ้นได้อย่างคุ้มค่า ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
306 | ขอรับการสนับสนุนข้าวสารเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อุทกภัย) ภาคใต้ | มท | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดหาข้าวสารขนาดถุงละ ๕ กิโลกรัม จำนวน ๒๗๒,๐๐๐ ถุง เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อุทกภัย) ในพื้นที่ภาคใต้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับสิ่งของไปดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ (อุทกภัย) ในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับหน่วยทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนเพื่อใช้ข้าวในคลังของกระทรวงพาณิชย์นำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อุทกภัย) ในพื้นที่ภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||||||||
307 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 20 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - ประเทศคู่เจรจาและการหารือทวิภาคีระหว่างไทย - สปป.ลาว และไทย - ญี่ปุ่น | คค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๐ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๓ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๕ และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน (ATM) ครั้งที่ ๒๐ ประกอบด้วย ๑.๑ แผนงานด้านการขนส่งของอาเซียนหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ประชุมให้การรับรองวิสัยทัศน์และกรอบยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ได้แก่ วิสัยทัศน์ความร่วมมือด้านการขนส่งของอาเซียน หลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดว่า “Towards greater connectivity, efficiency, integration, safety and sustainability of ASEAN transport to strengthen ASEAN’s competitiveness and foster regional inclusive growth and development” และกรอบยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ จำนวน ๕ สาขา คือ การขนส่งทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และการขนส่งอย่างยั่งยืน ๑.๒ ด้านการขนส่งทางอากาศ ที่ประชุมรับทราบว่า ประเทศไทยได้ลงนามพิธีสาร ๒ ว่าด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีน เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และการเริ่มต้นการเจรจาการจัดทำข้อผูกพัน ชุดที่ ๙ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน ๑.๓ ด้านการขนส่งทางบกและการอำนวยความสะดวก ที่ประชุมรับทราบการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ของมาเลเซีย สายอิโป-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง ๓๒๙ กิโลเมตร ซึ่งได้แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยในส่วนของไทยมีความคืบหน้าของการเริ่มก่อสร้างสะพานรถไฟช่วงคลองลึก-ปอยเปต ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่เส้นทางจิระ-ขอนแก่น และประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งที่ประชุมขอให้ประเทศสมาชิกได้ข้อยุติการจัดทำร่างความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารทางบกข้ามพรมแดน (ASEAN CBTP) ๑.๔ ด้านการขนส่งทางน้ำ ที่ประชุมให้การรับรองกรอบการดำเนินการการรวมตัวเป็นตลาดการขนส่งทางทะเลร่วมอาเซียน และประเทศสมาชิกร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกลไกความร่วมมือในการเตรียมความพร้อมและการจัดการน้ำมันรั่วไหลของอาเซียน ๒. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๓ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้ความตกลงด้านการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีน และพิธีสาร ๑ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ แนบท้ายความตกลงฯ และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการขนส่งของอาเซียนเร่งรัดการให้สัตยาบันเพื่อการมีผลบังคับใช้ของพิธีสาร ๒ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ภายใต้กรอบความตกลงฯ รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการก่อสร้าง/บูรณะเส้นทางรถไฟสายสิงคโปร์-คุนหมิง รวมทั้งกรณีที่จีนจะให้เงินสนับสนุนการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน-จีน ภายใต้แนวทาง 21st Century Maritime Silk Road ๓. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการโครงการ ๒๓ โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการปากเซเรื่องความเป็นหุ้นส่วนด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น รวมทั้งให้การรับรอง “แนวทางการแนะนำระบบ Electronics Database Interchange (EDI) ของท่าเรือ” กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น รายงานผลการสำรวจท่าอากาศยานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกอาเซียน และรายงานเบื้องต้นของการศึกษาเรื่องการขนส่ง Landbridge ในอาเซียน และให้การรับรองแผนงานการดำเนินงานหุ้นส่วนความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๔. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมให้การรับรองแผนงานความร่วมมือด้านการขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ฉบับปรับปรุง และรับทราบโครงการสำคัญที่จะดำเนินการในปี ๒๕๕๘ ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรด้านรถไฟ ด้านโลจิสติกส์ การขนส่งอย่างยั่งยืน และการศึกษาเรื่องการปรับปรุงการขนส่งทางลำน้ำในไทยและกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) และเห็นชอบที่จะจัดให้มีการประชุมคณะทำงานเพื่อเจรจาการจัดทำว่าด้วยบริการเดินอากาศอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๕. การหารือทวิภาคระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-ญี่ปุ่น โดยผลการหารือระหว่างไทย-สปป.ลาว ส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่ฝ่ายลาวขอรับการสนับสนุนจากฝ่ายไทยในการพัฒนาเส้นทางถนน และโครงการก่อสร้างสะพาน สำหรับผลการหารือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น จะเน้นเรื่องความร่วมมือด้านรถไฟไทย-ญี่ปุ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
308 | การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) | กค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ เพื่อให้การบริหารงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น จึงขอปรับปรุงสัดส่วนที่ภาครัฐจะเข้าร่วมลงทุนในกิจการ SMEs จากเดิมร้อยละ ๑๐-๒๕ เป็นร้อยละ ๑๐-๕๐ ๑.๒ ให้มีคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จำนวนไม่เกิน ๗ คน เป็นผู้กำหนดนโยบายในการบริหารงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs และให้คณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อบริหารกองทุน จำนวน ๒ ชุด ได้แก่ คณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุน (Investment Committee) และคณะกรรมการผู้ให้คำปรึกษาวิสาหกิจร่วมทุน (Advisory Committee) ๑.๓ ให้มีสำนักงานคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ทำหน้าที่ดำเนินงานของกองทุน ๒. เห็นชอบการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs มีลักษณะเป็นกองทุนเปิดและเป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ขนาดของกองทุน ๑๐,๐๐๐-๒๕,๐๐๐ ล้านบาท มีสัดส่วนการร่วมลงทุนจากภาครัฐร้อยละ ๑๐-๕๐ ส่วนที่เหลือจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยเข้าร่วมลงทุน โดยจะแบ่งการลงทุนเป็นกองทุนย่อย ๆ และเรียกระดมทุนครั้งละไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาทต่อกองทุนย่อย และกองทุนย่อยแต่ละกองทุนจะมีนโยบายในการลงทุนตามแต่ละประเภท/กลุ่ม SMEs ที่มีศักยภาพในการเติบโตทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นหลัก ๓. เห็นชอบแหล่งเงินลงทุนในส่วนของภาครัฐ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในฐานะภาครัฐจะลงทุนเริ่มแรก เป็นจำนวน ๕๐๐ ล้านบาท และส่วนที่เกินกว่านี้จะขอจัดสรรจากงบประมาณประจำปีหรือจากแหล่งอื่นตามความจำเป็นในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาถึงความพร้อมในการใช้แหล่งเงินทุนของ ธพว. รวมถึงรูปแบบการบริหารจัดการและการติดตามการดำเนินงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs สำหรับกรณีการใช้แหล่งเงินทุนอื่นที่นอกเหนือจาก ธพว. เห็นควรที่จะพิจารณาจากหน่วยงานหรือกองทุนของรัฐอื่น ๆ ที่มีภารกิจในการสนับสนุนและส่งเสริมกิจการ SMEs เป็นลำดับแรกก่อน ส่วนการใช้แหล่งเงินทุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็น โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายผ่านหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกลุ่ม/ประเภท SMEs ที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินให้ตรงกับกลุ่มธุรกิจและสอดคล้องกับห่วงโซ่การผลิตในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งเน้นการพัฒนา SMEs ให้มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนา SMEs ที่มีการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญาชุมชนที่มีเอกลักษณ์ แต่มีเงินทุนไม่เพียงพอ เช่น เครื่องสำอาง สปา น้ำหอม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้นำกลุ่ม SMEs ที่ได้รับรางวัลจากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมมาเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกในการร่วมทุนภายในปีนี้ ๕. มอบรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) พิจารณาแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (The Research & Development) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
309 | การเสนอเรื่องจากมติการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ | พม | 25/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการตามมติคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๗ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการให้เพิ่มอัตราเบี้ยความพิการให้แก่คนพิการ จากเดิมรายละ ๕๐๐ บาทต่อเดือน เป็นรายละ ๘๐๐ บาทต่อเดือน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป โดยมีผลครอบคลุมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเบิกจ่ายเบี้ยความพิการให้เป็นอัตราเดียวกันทั้งประเทศ สำหรับภาระงบประมาณเพื่อการนี้ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๓,๓๕๓,๖๒๘,๘๐๐ บาท โดยภาระงบประมาณส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๓,๓๓๘,๔๐๗,๒๐๐ บาท ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในการใช้เงินเหลือจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติการถอนถ้อยแถลงตีความข้อ ๑๘ ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๓ มอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาดำเนินการในการจัดหารถยนต์โดยสารสาธารณะที่เหมาะสมและสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของคนในสังคม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ เพื่อให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดทางด้านสภาพของถนนด้วย ๒. สำหรับการขออนุมัติในหลักการอัตรากำลังข้าราชการประจำศูนย์บริการคนพิการระดับจังหวัดทั่วประเทศ ศูนย์ละ ๒ อัตรา รวมจำนวน ๑๕๔ อัตรา นั้น ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปพิจารณาเหตุผลความจำเป็นของการกำหนดอัตรากำลังข้าราชการเพิ่มใหม่ในกรณีดังกล่าว โดยอาจพิจารณาจ้างบุคลากรประเภทอื่นทดแทน และหากมีความจำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] โดยให้ อ.ก.พ. กระทรวง พิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับความจำเป็นตามภารกิจของแต่ละส่วนราชการ หากไม่เพียงพอ ให้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจ อัตรากำลังทุกประเภทและค่าใช้จ่ายด้านบุคคล พร้อมทั้งเหตุผลความจำเป็น เสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาตามขั้นตอนก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
310 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 งบกลางเพื่อรองรับการบรรจุแต่งตั้งบุคคลภายนอกเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวน | ตช | 25/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อรองรับการบรรจุแต่งตั้งบุคคลภายนอกเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวน จำนวน ๕,๐๐๐ อัตรา ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีแล้ว ภายในวงเงิน ๒๙๐,๐๒๐,๙๐๐ บาท เพื่อรองรับการบรรจุแต่งตั้งบุคคลภายนอกเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาในการสอบคัดเลือกและการฝึกอบรมก่อนบรรจุ และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้หากงบประมาณดังกล่าวไม่เพียงพอ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
311 | ขอรับการสนับสนุนงบกลางที่กันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีและงบไทยเข้มแข็ง | นร07 | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรมเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๓๓,๐๔๕,๒๒๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการพัฒนาประสิทธิภาพการควบคุมผู้ต้องขังในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ จำนวน ๓๓๓,๕๐๘,๕๐๐ บาท และเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนในความควบคุมดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จำนวน ๙๙,๕๓๖,๗๒๐ บาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนในส่วนของการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายเพื่อการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเด็กและเยาวชน เป็นเรื่องของการอบรม/ประชุมเชิงปฏิบัติการของบุคลากรและเครือข่ายทุกภาคส่วน จึงควรพิจารณาการปฏิบัติตามแผนงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของหน่วยงาน หากได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้วและเป็นการปฏิบัติซ้ำซ้อน เห็นควรชะลอความต้องการในส่วนนี้ แต่ถ้าไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในแผนงานประจำปี และมีงบประมาณเพียงพอ เห็นควรให้การสนับสนุนงบประมาณตามที่เสนอ นอกจากนี้ วงเงินที่จะอนุมัติให้กับกระทรวงยุติธรรม จะให้การสนับสนุนได้เมื่อกระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาการเบิกจ่าย และหากได้รับการอนุมัติงบประมาณแล้ว กระทรวงยุติธรรมจะต้องเร่งรัดดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด และการดำเนินการให้กระทำด้วยความถูกต้อง โปร่งใส เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ และพร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานและองค์กรภายนอกที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
312 | รายงานสรุปผลการประชุมสุดยอดความมั่นคงด้านสุขภาพของโลก | สธ | 28/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสรุปผลการประชุมสุดยอดความมั่นคงด้านสุขภาพของโลก จัดขึ้นที่ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๗ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยประเด็นที่การประชุมให้ความสำคัญ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพโลก ๓ ด้าน คือ การป้องกัน เฝ้าระวัง และตอบโต้ต่อโรคระบาดข้ามพรมแดน และการสร้างสมรรถนะของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกในการดำเนินการตามกฎอนามัยระหว่างประเทศอย่างเข้มแข็ง รวมทั้งการสนับสนุนช่วยเหลือประเทศในแถบแอฟริกาตะวันตกในการควบคุมการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ รวมถึงการที่ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกับประเทศสหรัฐอเมริกาจัดการประชุมวาระความมั่นคงด้านสุขภาพในระดับเทคนิคครั้งต่อไปในประเทศไทยในช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก United States Agency For International Development (USAIDS) จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และได้ตั้งงบประมาณสำหรับการดำเนินการเรื่องนี้รองรับไว้แล้ว โดยจะไม่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อการนี้อีก ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแจ้งข้อมูลรายละเอียดที่ถูกต้องชัดเจนเกี่ยวกับข้อกำหนดและเงื่อนไขการนำเข้าอาหารที่มีความเสี่ยงจากสารปนเปื้อนกัมมันตรังสีจากประเทศญี่ปุ่นของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เช่น ประเภทของอาหารและแหล่งการผลิต เป็นต้น ให้กระทรวงการต่างประเทศทราบโดยด่วนเพื่อแจ้งให้เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่นเร่งชี้แจงทำความเข้าใจเรื่องดังกล่าวกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศญี่ปุ่นก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
313 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (เพิ่มเติม) | กร | 21/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินทั้งสิ้น ๑๒๗,๗๗๙,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๑๓ โครงการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) เสนอ ทั้งนี้ ให้ กปร. แจ้งหน่วยงานผู้ปฏิบัติเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
314 | ขอความเห็นชอบแนวทางการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาทุกภาคส่วน และเตรียมการส่งความช่วยเหลือของไทยไปยังแอฟริกาตะวันตก | สธ | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสถานการณ์และความคืบหน้ามาตรการเตรียมความพร้อมในการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา โดยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการ อาทิ ติดตามสถานการณ์จากองค์การอนามัยโลกและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง คัดกรองผู้เดินทางที่มีประวัติเดินทางกลับมาจากประเทศที่เกิดโรค เฝ้าระวัง สอบสวนโรคในผู้ป่วยที่สงสัยติดเชื้อ จัดหาชุดพร้อมอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมความพร้อมด้านศักยภาพของการรักษาพยาบาลทั้งในด้านสถานที่และจัดการฝึกอบรมให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในด้านการรักษาพยาบาล เตรียมความพร้อมร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยในการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล จัดให้มีการซ้อมแผนสำหรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในทุกระดับ จัดทำแผนเตรียมความพร้อมแบบบูรณาการทุกภาคส่วนสำหรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบและมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางมาตรการดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาทุกภาคส่วน ใน ๓ สถานการณ์ ได้แก่ ๑.๒.๑ สถานการณ์ที่ ๑ ยังไม่พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศไทย รวมถึงพบผู้สงสัยติดเชื้อไวรัสอีโบลาเดินทางมาจากต่างประเทศ เป้าหมายคือ (๑) เตรียมความพร้อมในการเฝ้าระวังและการตอบสนองต่อโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาเต็มรูปแบบในประเทศที่ยังไม่พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา รวมทั้งประเทศที่มีเขตติดต่อกับประเทศที่มีการระบาดและมีศูนย์กลางการขนส่งระหว่างประเทศ ภายใน ๑ เดือน และ (๒) สามารถตรวจจับการระบาดตั้งแต่แรกเริ่ม (Early detection) ๑.๒.๒ สถานการณ์ที่ ๒ กรณีพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศไทยแต่ยังไม่พบการแพร่กระจายเชื้อในประเทศ เป้าหมายคือ สามารถควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาอย่างรวดเร็ว (Rapid Containment) โดยสามารถหยุดการระบาดภายใน ๘ สัปดาห์ หลังจากพบผู้ป่วยรายแรก ๑.๒.๓ สถานการณ์ที่ ๓ กรณีพบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศไทย เป้าหมายคือ (๑) หยุดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศไทย ภายใน ๖-๙ เดือน และป้องกันการแพร่ระบาดระหว่างประเทศ และ (๒) ลดการเสียชีวิต และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ๑.๓ เห็นชอบให้จัดความช่วยเหลือของประเทศไทยด้านเงินช่วยเหลือ วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น และด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ โดยระดมความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ ๑.๓.๑ เงินช่วยเหลือเพื่อสมทบในกรอบที่องค์การสหประชาชาติประมาณการไว้ โดยขอรับการสนับสนุนจากงบกลางของรัฐบาลตามความเหมาะสมและจัดการระดมเงินบริจาคเพิ่มเติมภายในประเทศผ่านองค์กรต่าง ๆ เช่น รัฐบาล สภากาชาดไทย ภาคเอกชน ๑.๓.๒ สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นที่ผลิตได้ในประเทศ เช่น อุปกรณ์ป้องกันร่างกาย น้ำยาฆ่าเชื้อโรค วัสดุวิทยาศาสตร์สำหรับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ๑.๓.๓ การสนับสนุนด้านนโยบายทางการเมือง เช่น นโยบายการต่อสู้กับการระบาดของโรค สนับสนุนการยกเลิกมาตรการห้ามการเดินทางและการค้าระหว่างประเทศ ๑.๓.๔ ความช่วยเหลือด้านคมนาคมขนส่งทางอากาศ ทั้งการขนส่งสิ่งของและผู้โดยสาร ๑.๓.๕ จัดส่งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งบุคลากรสาขาอื่น ๆ ในขั้นต้น ตั้งเป้าหมายที่จะจัดหาชุดละจำนวน ๓๕ คน โดยส่งไปร่วมปฏิบัติงานในประเทศใกล้เคียงกับประเทศที่มีการระบาด เพื่อร่วมจัดการฝึกอบรมหรือประสานงานเตรียมความพร้อมแก่บุคลากรของประเทศเหล่านี้เพื่อรับมือการระบาดหรือร่วมปฏิบัติงานในศูนย์ประสานความช่วยเหลือของสหประชาชาติ หรือเห็นควรส่งไปปฏิบัติงานในประเทศที่มีการระบาด คือ สาธารณรัฐกินี สาธารณรัฐไลบีเรีย และสาธารณรัฐเซียร์ราลีโอน โดยมีเวลาปฏิบัติงานชุดละ ๑ เดือน จำนวน ๓ ชุด ใช้งบประมาณฝ่ายไทยสำหรับค่าใช้จ่ายพื้นฐานของบุคลากรดังกล่าว เป็นเงิน ๕๔,๘๔๐,๐๐๐ บาท ๒. ในส่วนของการจัดส่งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขไปให้ความช่วยเหลือในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา นั้น ในชั้นนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมความพร้อมและซักซ้อมความรู้ความเข้าใจของบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง รอบคอบ และมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสอีโบลาให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง รอบคอบ และมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อจากโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาก่อน โดยอาจศึกษาข้อมูลและประสบการณ์การดำเนินงานขององค์กรหรือประเทศที่มีการรับมือกับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กรมควบคุมโรค (Centers for Disease Control and Prevention : CDC) ของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
315 | การเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 69 ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา | นร | 01/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ ๖๙ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๙ กันยายน ๒๕๕๗ และได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมให้ทราบถึงสถานการณ์การเมืองไทยเพื่อให้เข้าใจถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะดำเนินการตาม roadmap ที่จะนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งประเทศต่าง ๆ มีความเข้าใจและเชื่อมั่นต่อสถานการณ์การเมืองของไทยเป็นอย่างดี นอกจากได้รณรงค์ขอรับการสนับสนุนการที่ไทยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council : HRC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗ และสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ด้วย สำหรับประเด็นหลักที่ประเทศสมาชิกได้ให้ความสำคัญในปีนี้ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแพร่ระบาดของโรคอีโบลา และปฏิบัติการของกลุ่มนิยมความรุนแรงในอิรักและซีเรีย ทั้งนี้ การประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญดังกล่าวประกอบด้วยการประชุม Ministerial-level of the UNSG''S partnership Group on Myanmar การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ การหารือของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับประธานสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ ๖๙ และเลขาธิการสหประชาชาติ การหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ตุรกี และจีน การพบปะนักธุรกิจสหรัฐอเมริกาที่เป็นสมาชิกของ US-ASEAN Business Council และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-สหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งได้มีโอกาสพบปะหารือทักทายอย่างเป็นกันเองกับนายจอห์น เคร์รี่ (Mr. John Kerry) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในการประชุมดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
316 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 เพิ่มเติม (เงินชดเชยให้ผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับเงินเดือนแรกบรรจุเข้ารับราชการเป็นทหาร) | กห | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๘๐,๗๓๘,๒๙๕ บาท เพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยให้ผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับเงินเดือนแรกบรรจุเข้ารับราชการเป็นทหารในส่วนของกองบัญชาการกองทัพไทย ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. รายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของกองบัญชาการกองทัพไทยในส่วนของงบบุคลากรที่คงเหลืออยู่ จำนวน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๑๔๐,๗๓๘,๒๙๕ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม โดยกองบัญชาการกองทัพไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
317 | สรุปผลการลงพื้นที่จังหวัดระยองของประธานกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) วันที่ 31 กรกฎาคม 2557 | นร11 | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบสรุปผลการลงพื้นที่จังหวัดระยองของประธานกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ของการดูงาน เพื่อสำรวจความพร้อมของพื้นที่มาบตาพุดในการพัฒนาให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศและสำรวจพื้นที่โครงการเร่งด่วนภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจรปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ จำนวน ๘ โครงการ วงเงิน ๖๗๗.๖๒ ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการ กพอ. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการโครงการ โดยให้ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่และส่วนกลางที่เกี่ยวข้องเพื่อรับฟังสภาพปัญหาที่ยังค้างอยู่ ทั้งการใช้ที่ดิน การขนส่งและจราจร มลพิษจากอุตสาหกรรม ขยะมูลฝอย และการรักษาพยาบาล เพื่อให้สามารถดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ รวมถึงแรงงานในพื้นที่อย่างทั่วถึง ๑.๒ การมอบหมายงานแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒.๑ มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรมกำกับโรงงานอุตสาหกรรมให้ลดการปล่อยมลพิษ โดยเฉพาะสารอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds : VOCs) สู่บรรยากาศ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานและให้ลดน้อยลง โดยกำกับตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และดูแลเรื่องการกำจัดขยะอันตรายให้สามารถกำจัดในพื้นที่ให้ได้มากที่สุดก่อนเคลื่อนย้ายไปกำจัดนอกพื้นที่ รวมทั้งป้องกันการลักลอบทิ้งขยะอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด ๑.๒.๒ มอบหมายจังหวัดระยองและเทศบาลเมืองมาบตาพุดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการเชื่อมโยงข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Environmental Monitoring and Control Center : EMCC) ของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด รวมทั้งจากหน่วยงานอื่น ๆ มายังศูนย์บัญชาการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินและกระจายข่าวของเทศบาลเมืองมาบตาพุด เพื่อแจ้งเตือนประชาชนและชุมชนได้อย่างทันท่วงทีและทั่วถึงมากขึ้น ๑.๒.๓ มอบหมายเทศบาลเมืองมาบตาพุดพิจารณาออกแบบก่อสร้างปรับปรุงถนนปกรณ์สงเคราะห์ราษฎร์ โดยคำนึงถึงการรองรับน้ำหนักของรถบรรทุกที่สัญจร เพื่อไม่ให้ถนนทรุดเร็วเกินไป และจัดระเบียบการจราจรให้มีความปลอดภัย ๑.๒.๔ มอบหมายการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพิจารณาการปลูกป่าเพิ่มเติมเพื่อเป็นแนวป้องกันระหว่างนิคมอุตสาหกรรมกับชุมชน และสำรวจที่พักอาศัยของคนที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และวางมาตรการป้องกันสารอันตรายที่อาจติดตัวแรงงานออกไป และมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน ๑.๒.๕ มอบหมายจังหวัดระยองและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพิจารณาโครงข่ายถนนการขนส่งเชื่อมโยงพื้นที่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดให้มีความสะดวก ปลอดภัย เพื่อให้สามารถอพยพประชาชนได้รวดเร็วกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ๑.๒.๖ มอบหมายจังหวัดระยองเป็นเจ้าภาพหารือร่วมกันระหว่างกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เพื่อจัดทำโครงการบริหารจัดการขยะครบวงจร โดยแปลงขยะเป็นพลังงานไฟฟ้า ในพื้นที่ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยรวมแบบครบวงจรจังหวัดระยอง เพื่อให้มีระบบการกำจัดขยะอย่างยั่งยืน รวมถึงรณรงค์ให้มีการแยกประเภทขยะจากต้นทางให้ชัดเจนระหว่างขยะอุตสาหกรรม ขยะอันตราย และขยะชุมชน ๑.๒.๗ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาคตะวันออกจัดส่งข้อมูลให้กับคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๒.๘ นอกจากนี้ในเรื่องผังเมืองรวมมาบตาพุด ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินงาน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงการจัดโซนนิ่งพื้นที่อุตสาหกรรม และให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวและแนวป้องกันมลพิษด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประชาสัมพันธ์โครงการที่สามารถเริ่มต้นดำเนินการได้ก่อนให้ทราบโดยทั่วกันด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
318 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพิ่มเติม | กห | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพิ่มเติม จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗๙๕,๓๔๓,๓๒๗.๙๑ บาท ให้กองทัพบก เพื่อชดใช้เงินทดรองราชการที่ได้ทดรองจ่ายในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เมื่อปี ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
319 | ขอรับความเห็นชอบในการเปลี่ยนแปลงรายการงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 (ว.53) | ตช | 13/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้งบประมาณเหลือจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๓๒๓,๙๓๕,๒๔๗.๑๘ บาท เพื่อนำไปชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ดำเนินโครงการ/รายการที่มีข้อผูกพันตามกฎหมายหรือได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ และเรื่องเร่งด่วนตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงการ/รายการที่มีความพร้อม สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ภายในไตรมาส ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือ จำนวน ๕๒๒,๓๘๐,๗๗๖.๘๒ บาท เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาทบทวนความจำเป็นอีกครั้งหนึ่ง โดยอาจพิจารณานำไปใช้จ่ายในเรื่องเร่งด่วนตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเฉพาะเรื่องการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะแรกของประเทศใน ๕ พื้นที่ชายแดน เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างสมบูรณ์ในปี ๒๕๕๘ และหากมีงบประมาณเหลือจ่ายขอให้ส่งคืนสำนักงบประมาณในโอกาสแรก เพื่อจะได้นำไปใช้จ่ายในรายการที่จำเป็นเร่งด่วนอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและมาตรฐานของทางราชการด้วย ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อทบทวนและจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนในการขอรับการสนับสนุนอัตราการจัดยุทโธปกรณ์ (อจย.) เช่น ยานพาหนะ อาวุธประจำกาย วิทยุ/เครื่องมือสื่อสาร เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของกำลังพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีประสิทธิภาพ รวมตลอดถึงการจัดทำโครงการด้านสวัสดิการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อย เช่น ที่พักอาศัย เป็นต้น ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำเป็นโครงการที่มีข้อมูลรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนครบถ้วน พร้อมจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนเพื่อเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
320 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชำระหนี้ค่าขยายเขตไฟฟ้าที่ยังค้างชำระให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | กษ | 13/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ค่าขยายเขตไฟฟ้าที่ยังค้างชำระให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในวงเงินทั้งสิ้น ๑๒๘,๘๗๓,๒๔๗.๕๘ บาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า จำนวน ๔๗,๐๕๓,๕๕๗.๐๙ บาท และค่าใช้จ่ายงานขยายเขตระบบจำหน่ายแรงสูง จำนวน ๘๑,๘๑๙,๖๙๐.๔๙ บาท โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
.....