ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 77 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1521 - 1540 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1521 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง) และร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... | คค | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง โดยยกฐานะสำนักงานโครงการพัฒนาระบบราง ในสังกัดสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม ขึ้นเป็นกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เพื่อทำหน้าที่ให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย กำหนดยุทธศาสตร์ แนวทางการพัฒนารูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการโครงข่ายการขนส่งทางรางของประเทศ และจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาการขนส่งทางราง กำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัย มาตรฐานการซ่อมบำรุงทาง และมาตรฐานการประกอบการขนส่งทางราง และบริหารการก่อสร้างและบำรุงรักษาการขนส่งทางราง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางขึ้นในสังกัดกระทรวงคมนาคม และร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางราง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ อัตรากำลังของกรมการขนส่งทางราง ควรปรับเกลี่ยอัตรากำลังภายในกระทรวงคมนาคมก่อน โดยจำนวนอัตรากำลังควรพิจารณาตามความจำเป็น และภารกิจที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่สำคัญ การกำหนดให้มีกลไกการพิจารณากำหนดนโยบายการพัฒนาด้านการขนส่งของประเทศในภาพรวมและรายสาขา เพื่อใช้เป็นแนวนโยบายของการพัฒนาระบบการขนส่งของประเทศทั้งในด้านการขนส่งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ การกำหนดคำนิยามของคำว่า “ผู้รับอนุญาต” ควรมีความชัดเจน การปรับโครงสร้างองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางรางให้มีความใกล้เคียงกับโครงสร้างองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายในระดับสาขา เพื่อให้เกิดความคล่องตัว การจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานอิสระเพื่อทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีมาตรฐานระบบรางและสนับสนุนภารกิจกำกับดูแลของกรมการขนส่งทางราง การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบกิจการขนส่งทางราง การทบทวนภารกิจและหน้าที่ของกรมการขนส่งทางราง เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... และรับทราบแผนการขนส่งทางรางที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง ได้แก่ (๑) แผนการปรับแก้พระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ เพื่อให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... และ (๒) แผนการจัดตั้งบริษัทใหม่ ๓ บริษัท ได้แก่ บริษัทเดินรถ บริษัทซ่อมบำรุงรางและล้อเลื่อน และบริษัทบริหารทรัพย์สิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๔. สำหรับการกำหนดอัตรากำลังของกรมการขนส่งทางราง ให้กระทรวงคมนาคมปรับเกลี่ยอัตรากำลังภายในกระทรวงคมนาคมก่อน หากไม่เพียงพอให้ขอบรรจุอัตรากำลังเพิ่มเติม โดยให้เสนอแผนบรรจุอัตรากำลังดังกล่าวเพิ่มเติมตามกรอบระยะเวลาต่อไป ๕. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรองเมื่อร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับแล้ว เพื่อรองรับการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งเร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทใหม่รวม ๓ บริษัท โดยเร็ว ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และให้รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1522 | ขอความเห็นชอบแผนพัฒนาการเดินเรือระหว่างประเทศในแม่น้ำล้านช้าง - แม่น้ำโขง ค.ศ. 2015 - 2025 และการดำเนินงานเบื้องต้นโครงการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง - แม่น้ำโขง | คค | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนพัฒนาการเดินเรือระหว่างประเทศในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๒๕ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาการขนส่งทางน้ำระหว่างประเทศในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศสมาชิก ตามเป้าหมายการปรับปรุงร่องน้ำ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินเรือ ความปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยแผนพัฒนาฯ ครอบคลุมพื้นที่แม่น้ำโขงระหว่างเมืองซือเหมาในจีนถึงเมืองหลวงพระบางในลาว ๑.๒ การดำเนินงานเบื้องต้นโครงการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง โดยศึกษา สำรวจ ออกแบบ แนวทางการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำโขงระหว่างชายแดนจีน-เมียนมา ถึงเมืองหลวงพระบางในลาว ระยะทางประมาณ ๖๓๑ กิโลเมตร เพื่อรองรับเรือขนาด ๕๐๐ ตัน (DWT) กรอบระยะเวลาดำเนินการ ๓๖๕ วัน (เดือนเมษายน ๒๕๕๙-เมษายน ๒๕๖๐) และให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ๑.๓ ให้กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานปฏิบัติและประสานงานหลักในการดำเนินการตามแผนพัฒนาการเดินเรือระหว่างประเทศ ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๒๕ และการดำเนินงานเบื้องต้นโครงการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรมแผนที่ทหาร อาทิ การปรับปรุงร่องน้ำ การพัฒนาท่าเรือเชียงแสนและท่าเรือเชียงของ การศึกษาถึงประเด็นความเสี่ยงในเรื่องเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศ การสำรวจพื้นที่อย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อร่องน้ำลึกซึ่งเป็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ การศึกษาและประเมินผลระดับน้ำที่เหมาะสมกับการเดินเรือรวมทั้งกำหนดระบบบริหารจัดการน้ำร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ไปประกอบการพิจารณาด้วย โดยเฉพาะในประเด็นการกำกับดูแลการศึกษาของการดำเนินงานเบื้องต้นโครงการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง โดยไม่ให้ส่งผลกระทบทางกายภาพต่อแม่น้ำในส่วนที่เป็นเขตแดนระหว่างประเทศสมาชิก และพิจารณาดำเนินการโดยมิให้ฝ่ายไทยเสียท่าทีในการเจรจาทางเทคนิคเพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในแม่น้ำโขงภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-ลาว ในอนาคต ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) เร่งสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงให้แก่ประชาชนในพื้นที่ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมนำผลการศึกษาของการดำเนินงานเบื้องต้นโครงการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง เสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาการเดินเรือระหว่างประเทศในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๒๕ เช่น การปรับปรุงร่องน้ำ การพัฒนาท่าเรือ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการให้เวียดนามและกัมพูชาเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจเกี่ยวกับแผนพัฒนาการเดินเรือดังกล่าวด้วย เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นผู้มีส่วนได้เสียจากการเดินเรือในแม่น้ำโขงเช่นกัน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1523 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานและเงินกู้ระยะสั้นของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | คค | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ รฟท. สำหรับ (๑) เงินกู้เพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ วงเงิน ๑๒,๑๐๐ ล้านบาท และ (๒) เงินกู้ระยะสั้น โดยต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. และกระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ อาทิ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแล รฟท. ในการใช้จ่ายเงินกู้ตามความเหมาะสมและจำเป็น และดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินและการดำเนินงานขององค์กร อาทิ แผนการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่าย และแผนปรับปรุงค่าโดยสารสำหรับการให้บริการเชิงพาณิชย์เพื่อลดภาระการก่อหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นจากการกู้เงินดังกล่าว และ รฟท. ควรเร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการเน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์จากทรัพย์สินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการควบคุมและลดรายจ่ายเพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้ รฟท. ต้องดำเนินการตามประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมกำกับการใช้จ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงินด้วย และให้ รฟท. รายงานผลการบริหารจัดการหนี้สินในภาพรวมขององค์กรให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจทราบทุก ๆ ๖ เดือน เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจสามารถติดตามการจัดการหนี้สินของ รฟท. ได้อย่างใกล้ชิด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1524 | ขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองโอ่งอ่าง) | มท | 20/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งกระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว เป็นเงิน ๓๒๕,๔๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองโอ่งอ่างจากบริเวณสะพานดำรงสถิตถึงบริเวณสะพานโอสถานนท์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1525 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 และครั้งที่ 3/2559 | ดท | 20/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติรับทราบและเห็นชอบ (๑) ในหลักการให้ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติชุดปัจจุบันดำรงตำแหน่งต่อไปอีก ๑ วาระ ยกเว้นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันประเทศและด้านการต่างประเทศ ให้เห็นชอบตามรายชื่อที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเสนอมา (๒) แนวทางการบริหารจัดการกิจการดาวเทียมสื่อสาร หลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ และ (๓) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อพัฒนา (THEOS-2) ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) ๑.๒ มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติรับทราบ (๑) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศในการพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการดาวเทียมสื่อสารภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศและภายใต้ระบบใบอนุญาต (๒) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย ได้แก่ แนวทางการบริหารจัดการกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศและโปรแกรมอวกาศแห่งชาติ (๓) ความคืบหน้าของการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการ THEOS-2 โดย สทอภ. อยู่ระหว่างการจัดทำข้อเสนอเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา (๔) ความก้าวหน้าผลการศึกษาแนวทางการดำเนินงานดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคง (๕) การนำเสนอผลงานดาวเทียม King Mongkut’s University of Technology North Bangkok Academic Challenge of Knowledge Satellite : KNACKSAT ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และเห็นชอบการแต่งตั้ง ผศ.ดร. ปิยะบุตร บุญอร่ามเรือง เป็นอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สทอภ. เร่งรัดดำเนินโครงการ THEOS-2 โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและสามารถพัฒนาต่อยอดได้ในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1526 | ขออนุมัติเงินอุดหนุนแก่องค์การอนามัยโลก | สธ | 20/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจ่ายเงินบำรุงค่าสมาชิกองค์การอนามัยโลกเพิ่มอีกร้อยละ ๑๐ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จ่ายเป็นเงินจำนวน ๑,๓๕๑,๖๙๐ ดอลลาร์สหรัฐ) เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โดยใช้งบประมาณหมวดเงินอุดหนุนของกระทรวงสาธารณสุข ๑.๒ การบริจาคเงินสนับสนุนกองทุนเพื่อภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South-East Asia Region Health Emergency Fund : SEARHEF) เป็นจำนวนเงิน ๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยใช้งบประมาณหมวดเงินอุดหนุนของกระทรวงสาธารณสุข ๑.๓ การจ่ายเงินสนับสนุนสำนักงานองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ในการปรับปรุงอาคารของสำนักงานองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นจำนวนเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยใช้งบประมาณหมวดเงินอุดหนุนของกระทรวงสาธารณสุข ๑.๔ การจ่ายเงินสนับสนุนสำนักงานใหญ่องค์การอนามัยโลก ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ในการปรับปรุงอาคารของสำนักงานองค์การอนามัยโลกสำนักงานใหญ่ เป็นจำนวนเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยใช้งบประมาณหมวดเงินอุดหนุนของกระทรวงสาธารณสุข ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ในการพิจารณาให้เงินอุดหนุนแก่องค์การระหว่างประเทศในคราวต่อไป ให้กระทรวงสาธารณสุขคำนึงถึงระดับการพัฒนาของประเทศในฐานะกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง รวมถึงความจำเป็นและความเหมาะสมกับภาระด้านการคลัง และประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1527 | การกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2560 จำนวน 500 ล้านบาท | พม | 13/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ได้เมื่อสำนักงานธนานุเคราะห์ได้รับการบรรจุการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และในการดำเนินกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ เห็นควรจัดทำแผนการบริหารความเสี่ยง การวางแผน การเงินและพัฒนาระบบการบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถให้บริการประชาชนได้ทันต่อสถานการณ์ในทุกช่วงเวลาและไม่ก่อให้เกิดเป็นภาระกับงบประมาณในอนาคต นอกจากนี้ หากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะขอกู้เงินเพิ่มเติม ให้เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อให้ความเห็นชอบการปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1528 | รายงานผลการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร จำนวน 478 ราย ตามโครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) และโครงการแผนฟื้นฟูการเกษตร (ผกก.) | กษ | 13/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร จำนวน ๔๗๘ ราย ตามโครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) และโครงการแผนฟื้นฟูการเกษตร (ผกก.) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. เกษตรกรเป้าหมาย จำนวน ๔๗๘ ราย (ต้นเงิน ๔๔.๙๖ ล้านบาท ดอกเบี้ย ๑๖.๙๒ ล้านบาท) ได้รับการปรับปรุงหนี้โดยต้นเงินกู้ลดให้กึ่งหนึ่ง และไม่ต้องชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระ โดยให้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ พร้อมกับงดคิดดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีเกษตรกรขึ้นทะเบียนประสงค์รับความช่วยเหลือ จำนวน ๔๒๙ ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ก่อนปรับปรุงหนี้ จำนวน ๓๙.๒๖ ล้านบาท จำแนกเป็น (๑) เกษตรกรขึ้นทะเบียนและปรับปรุงหนี้เรียบร้อยแล้ว จำนวน ๑๕๙ ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ก่อนปรับปรุงหนี้ จำนวน ๑๖.๔๙ ล้านบาท หลังปรับปรุงหนี้มีต้นเงินคงเป็นหนี้ จำนวน ๘.๒๔ ล้านบาท และ (๒) เกษตรกรขึ้นทะเบียนและอยู่ระหว่างการปรับปรุงหนี้ จำนวน ๒๗๐ ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ จำนวน ๒๒.๗๗ ล้านบาท ๒. เกษตรกรแสดงความประสงค์ไม่ขอรับความช่วยเหลือ จำนวน ๔๙ ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ จำนวน ๕.๗๐ ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักคือ เกษตรกรจะขอรับการช่วยเหลือจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเพื่อจำหน่ายหนี้สูญ ๓. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเสนอแผนผังขั้นตอนการปฏิบัติงานหลังการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินและดำเนินการในระยะต่อไปกับเกษตรกรในโครงการ คปร. และ ผกก. แบ่งเป็น ๕ ขั้นตอน คือ (๑) รวบรวมข้อมูล วางแผนการเยี่ยมเยียน/นัดประชุม (๒) เยี่ยมเยียนลูกหนี้ (๓) ตรวจ/ให้ความเห็น (๔) พิจารณา/สั่งการ และ (๕) จัดเก็บเอกสาร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1529 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนแม่บทพัฒนาแรงงานไทยในระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) โดยให้ศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจ การลงทุนและแรงงานในปัจจุบัน ความต้องการแรงงานของภาคส่วนต่าง ๆ ในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยให้มุ่งเน้นการพัฒนาฝีมือแรงงานไทยให้มีศักยภาพเพื่อรองรับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต รวมทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการก้าวสู่ประเทศไทย ๔.๐ ทั้งนี้ แผนแม่บทดังกล่าวให้ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว แรงงานภาคการประชุม การพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวกับแรงงาน การกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงาน และให้นำแผนแม่บทดังกล่าวเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาคให้ครอบคลุมทุกด้าน เช่น แหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมการท่องเที่ยวทางบก ทางน้ำ การคมนาคมขนส่ง การจัดหาที่พัก ร้านอาหาร และการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว โดยประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่าง ๆ ดังกล่าวผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการให้มีการนำสมุนไพรไทยและเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศไปใช้ประโยชน์ในส่วนราชการให้เป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการพึ่งพาตนเอง ประหยัดงบประมาณ และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศที่ส่วนราชการได้นำไปใช้ประโยชน์แล้วและรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ด้านสังคม ตามที่ผลการจัดอันดับของโครงการเพื่อการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (Programme for International Student Assessment : PISA) ซึ่งดำเนินการโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ได้จัดอันดับระบบการศึกษานานาชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยประเทศไทยมีอันดับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านทักษะการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ในอันดับที่ ๕๗ ๕๔ และ ๕๔ ตามลำดับ นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ๓ ด้านดังกล่าว เพื่อให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับในปีต่อไปที่ดีขึ้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการปรับปรุงข้อมูลสำหรับให้บริการแก่ประชาชนผ่านระบบแจ้งข้อมูลข่าวสารภาครัฐ (G-News) ให้มีความน่าสนใจและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ รวมทั้งให้มุ่งเน้นการนำเสนอสาระสำคัญโดยสรุปที่เป็นประโยชน์และสามารถสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐบาลที่ถูกต้องด้วย ๓.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ กันยายน ๒๕๕๘) รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงเรื่องการปฏิรูปสื่อด้วย นั้น ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ในฐานะประธานกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) รับไปประสานให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาประเด็นดังกล่าว ให้พิจารณาดำเนินการศึกษาเรื่องข้างต้นให้มีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยนำกฎหมายหรือแนวทางการดำเนินการของต่างประเทศมาประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1530 | การขยายระยะเวลาโครงการนำร่องระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ 1 | พณ | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ ๑ ออกไปจนกว่าระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน (ASEAN-wide Self-Certification) จะมีผลใช้บังคับ ๑.๒ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการให้ความเห็นชอบของไทยต่อการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๑ ออกไปจนกว่าระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน (ASEAN-wide Self-Certification) จะมีผลใช้บังคับ และนำส่งไปยังเลขาธิการอาเซียนก่อนวันสิ้นสุดอายุโครงการนำร่องฯ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการเจรจาระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในการปรับประสานระเบียบปฏิบัติของโครงการนำร่องระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ ๑ และโครงการที่ ๒ เพื่อให้สามารถจัดทำระเบียบปฏิบัติสำหรับระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน และประเทศภาคีสมาชิกใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงระเบียบปฏิบัติและกระบวนการทางกฎหมายภายในของตนเอง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้โดยเร็ว และส่งเสริมให้ผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาตใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากอาเซียนมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1531 | แผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ. 2560 - 2564) | สธ | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ต่าง ๆ เช่น โรคซาร์ส โรคเมอร์ส ไวรัสซิกา ซึ่งได้มีการปรับปรุงจากแผนฉบับก่อนโดยเพิ่มเติมประเด็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านความร่วมมือระหว่างประเทศและการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฯ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการแบบบูรณาการในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ ระดับพื้นที่เพื่อผลักดันไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ควรมีการเผยแพร่และถ่ายทอดแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียวให้แก่หน่วยงานทุกภาคส่วน ทุกระดับ รวมถึงประชาชนได้ตระหนักถึงความเชื่อมโยงของสุขภาพคน สัตว์ และระบบนิเวศ ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียวไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคระบาดที่มีความเกี่ยวข้องระหว่างคนกับสัตว์ ทั้งโรคติดต่อและโรคที่เกิดจากการบริโภคอาหาร ตลอดจนควรมีการควบคุมการใช้ยาต้านแบคทีเรียอย่างเหมาะสม โดยให้ความรู้แก่ประชาชน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย สำหรับงบประมาณในการดำเนินงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฯ ดังกล่าว ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. เมื่อแผนยุทธศาสตร์ชาติประกาศใช้แล้ว ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1532 | รายงานผลกิจกรรมเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีระหว่างการเยือนนครนิวยอร์ก วันที่ 19 - 23 กันยายน 2559 | นร04 | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลกิจกรรมเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีระหว่างการเยือนนครนิวยอร์ก วันที่ ๑๙-๒๓ กันยายน ๒๕๕๙ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลการหารือในประเด็นต่างๆ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นหารือของนายกรัฐมนตรี ย้ำถึงพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่แน่นแฟ้นและยาวนาน ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนกับต่างประเทศ และการผลักดันแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ทางการค้าบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงถึงนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาล เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) ๑๐ สาขา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการปรับปรุงมาตรฐานกฎหมาย ๑.๒ ประเด็นที่ภาคเอกชนสหรัฐฯ ให้ความสนใจกับนโยบายการปรับโครงสร้างประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย ๔.๐ และการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงมาตรการสนับสนุนต่างๆ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยมีบริษัทเอกชนสหรัฐฯ ที่สนใจลงทุน/ขยายการลงทุนในประเทศไทยในต่างๆ เช่น การพัฒนาการสร้างโครงข่ายเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ผ่านการนำเสนอแนวคิดการพัฒนา Smart City และการวางระบบโครงข่ายโทรคมนาคมเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงใต้น้ำเชื่อมต่อภูมิภาคต่างๆ ทั้งเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป โดยมีประเทศไทยเป็นจุดเชื่อมต่อระบบ ๑๔ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย การขยายกิจการผลิตยางล้อเครื่องบินและการเตรียมขยายฐานการผลิตยางล้อรถยนต์ส่วนบุคคลในอนาคต การปรับปรุง/ขยายโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาสินค้าในอนาคต เป็นต้น ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นรายกิจกรรม เพื่อกำหนดหัวข้อความร่วมมือที่ชัดเจนระหว่างฝ่ายไทยและเอกชนสหรัฐฯ การสนับสนุนการลงทุนในประเทศไทย โดยส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดความรู้ด้านวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานสากลให้กับหน่วยงานไทย การให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่ภาคเอกชนสหรัฐฯ ที่สนใจนโยบายประเทศไทย ๔.๐ ในเรื่องแผน EECi เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาเข้าร่วมโครงการ รวมทั้ง ควรคงการใช้ช่องทางการประสานกับกลุ่มคนไทย และนักธุรกิจสหรัฐฯ เพื่อประโยชน์ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างบรรยากาศและความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1533 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 24 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2558 - 30 กันยายน 2559) | นร | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๔ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๘-๓๐ กันยายน ๒๕๕๙) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ มีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การชี้แจงและจัดกิจกรรมผ่านศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูประดับจังหวัด/อำเภอ/ท้องถิ่น รวมทั้งคณะกรรมการหมู่บ้านและแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ กขร. ได้ติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป เช่น การปฏิรูปกิจการตำรวจ การปฏิรูปกฎหมายและระบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนของประเทศ การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว การมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินช่วงก่อนถึงโรงพยาบาล การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ และการปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้า ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการเฝ้าระวังเว็บไซต์ที่เข้าข่ายละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ การจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) และการสร้างความเข้าใจ เสริมสร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และทัศนคติที่ดีต่อไทย ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การพัฒนาเด็กในสถานรองรับ “เพชรน้ำหนึ่ง” การประชุมหารือทวิภาคีด้านการบริหารจัดการรายกรณีการส่งกลับและคืนสู่สังคมผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๑๘ และการลงนามเอกสารภาคผนวก SOP การจัดงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๘ “ร่วมพลังประชารัฐ ขับเคลื่อนสังคมคุณธรรม” ดำเนินโครงการถนนคนดี เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุในการจราจร ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น มาตรการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อย เพื่อดูแลช่วยเหลือแก่เกษตรกร ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร และส่งเสริมความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจฐานราก มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแก้ไขปัญหาธุรกิจท่องเที่ยวผิดกฎหมาย “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” การจัดงานวันท่องเที่ยวโลก ๒๕๕๙ “การท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลเข้าถึงอย่างเท่าเทียม” การส่งเสริมภาคเศรษฐกิจดิจิทัลและวางรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล การส่งเสริมการทำการเกษตรแปลงใหญ่โดยการผนึกกำลังนำไปสู่การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการซื้อขายผลผลิตข้าวนาแปลงใหญ่ทั่วประเทศ และการขยายร้านค้า OTOP สู่สนามบิน ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๘-๒๙ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN-EU High Level Dialogue on Maritime Security Cooperation ครั้งที่ ๓ ร่วมกับสหภาพยุโรป และการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๑๔ ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การให้ความช่วยเหลือเยียวยากรณีบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์เรือโดยสารล่มจังหวัดพระนครศรีอยุธยา การช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความเป็นธรรม ช่วยเหลือประชาชนตามกฎหมาย และการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา การปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1534 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 3/2559 | นร11 | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้รับนโยบายและความเห็นของกรรมการไปประกอบการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น การลงทุนในช่วง ๑ มกราคม ๒๕๕๘-๗ ตุลาคม ๒๕๕๙ มีเอกชนขอรับการส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๔๐ โครงการ วงเงินรวม ๗,๒๑๑.๕๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบผลการพิจารณาและมติ กนพ. เกี่ยวกับ (๑) ผังการจัดพื้นที่ราชพัสดุเพื่อรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ กาญจนบุรี (๒) โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงด้านการป้องกันประเทศในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ (กองพลทหารราบที่ ๙) (ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี) วงเงิน ๖๖.๗๙ ล้านบาท (๓) โครงการด้านการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงและการดูแลรักษาพื้นที่สงวนหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน พ.ศ. ๒๔๘๑ (มณฑลทหารบกที่ ๑๗) (ในพื้นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี) วงเงิน ๑๔๗.๗๖ ล้านบาท (๔) การคัดเลือกผู้ลงทุนในที่ราชพัสดุเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด (๕) การปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เพื่อการลงทุนในที่ราชพัสดุเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และ (๖) การจัดซื้อที่ดินเอกชนเพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรว่ารัฐบาลต้องให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส สำหรับการประกอบการด้านอุตสาหกรรมและบริการ โดยใช้วัตถุดิบและแรงงานในพื้นที่เพื่อให้โครงการนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาสบรรลุผลในเชิงรูปธรรมโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษศึกษาว่าโครงสร้างการทำงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของประเทศไทย และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) มีแนวทางใกล้เคียงกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษคันไซ ประเทศญี่ปุ่น หรือไม่อย่างไร เพื่อนำผลการศึกษามาประยุกต์ใช้สำหรับการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและโครงการ EEC ของประเทศไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1535 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) | กค | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้รับสัมปทานสามารถนำมูลค่าหลักประกันการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือวัสดุอื่นใดตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียมได้ และกำหนดหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ รวมทั้งวิธีการและระยะเวลาการขอคืนภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการกำหนดให้ใช้สกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลเงินไทยในการคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานไปประกอบการพิจารณาด้วยว่า หากกำหนดให้มูลค่าหลักประกันการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือวัสดุอื่นใดตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมให้สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้ปิโตรเลียมนั้น ยังไม่ครอบคลุมถึงกิจกรรมการรื้อถอนในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียซึ่งอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๕) จึงเห็นควรเร่งรัดให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำข้อมูลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการจัดเก็บรายได้ภาครัฐประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดความรัดกุม และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1536 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 คณะที่ 5.1 และ คณะที่ 5.2 | นร07 | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะที่ ๕.๑ เพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รองประธานกรรมการ และ ผู้แทนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรรมการและเลขานุการร่วม ๑.๒ คณะที่ ๕.๒ ยกเลิกองค์ประกอบคณะกรรมการ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รองประธานกรรมการ และผู้แทนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรรมการและเลขานุการร่วม ๑.๓ แก้ไขอำนาจหน้าที่ ข้อ ๔ พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของประเด็น ๑) การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และ ๒) การพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1537 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดยโสธร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดยโสธร พ.ศ. 2555) | มท | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดยโสธร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดยโสธร พ.ศ. ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมไม่ควรที่จะให้มีโรงงานอุตสาหกรรม หรือหากมีก็ควรเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ให้บริการแก่ชุมชนใกล้เคียง รวมทั้งการบังคับใช้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน นอกจากนี้ การใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงานซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เรื่อง หลักเกณฑ์และรายละเอียดของโครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับการยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม สำหรับการประกอบกิจการบางประเภท ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ ตลอจนให้กรมโยธาธิการและผังเมืองสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมและที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม เพื่อรักษาพื้นที่ที่เป็นแหล่งผลิตอาหารที่มีคุณค่าของประเทศ และให้มีการประเมินผลผังเมืองรวมจังหวัดยโสธรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีการปรับปรุงผังเมืองได้อย่างเหมาะสมทันการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1538 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการคมนาคมขนส่งในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ 3 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - สหพันธรัฐรัสเซีย และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการคมนาคมขนส่งในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ ๓ การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สหพันธรัฐรัสเซีย และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๘-๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Draft ministerial declaration on sustainable transport connectivity in Asia and the Pacific) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีด้านคมนาคมขนส่งที่จะรับรองแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ๑.๒ ร่างแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) [Draft regional action programme for sustainable transport connectivity in Asia and the Pacific, phase (2017-2021)] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแผนงานเพื่อความเชื่อมโยงด้านคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ระหว่างปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ครอบคลุมความเชื่อมโยงด้านการขนส่ง ๗ สาขา ได้แก่ (๑) ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งระดับภูมิภาค (๒) ความเชื่อมโยงด้านการดำเนินงานด้านการขนส่งระดับภูมิภาค (๓) ความเชื่อมโยงด้านการขนส่งระหว่างยุโรปและเอเชีย (๔) ความเชื่อมโยงด้านการขนส่งในประเทศที่มีการพัฒนาน้อย ประเทศหมู่เกาะ และประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะ (๕) การขนส่งในเมืองที่ยั่งยืน (๖) ความเชื่อมโยงด้านการขนส่งในชนบทสู่โครงข่ายที่กว้างขวาง และ (๗) การปรับปรุงด้านความปลอดภัยทางถนน ๑.๓ ร่างแถลงการณ์ร่วมมอสโกสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-รัสเซีย (Moscow Joint Declaration of the Russia-ASEAN Transportation Ministerial Meeting) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความยินดีกับกิจกรรมเฉลิมฉลองการครบรอบ ๒๐ ปีของความสัมพันธ์อาเซียน-รัสเซีย ผสานระบบการขนส่งเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ โดยการแลกเปลี่ยนการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการอบรมบุคลากรด้านการขนส่งให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งกำหนดกลไกและแนวทางการพิจารณาทบทวนการดำเนินโครงการความร่วมมือเป็นประจำทุกปี ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1539 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1540 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2559 (เพิ่มเติม) และ ครั้งที่ 4/2559 | ทส | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) และครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณห้วยคลิตี้ (จังหวัดกาญจนบุรี) ระยะที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ ๒. การประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ๒.๑ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ๒.๓ ร่างกรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๒๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ๒.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่อำเภอปลวกแดง อำเภอบ้านค่าย และอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ๒.๕ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) รวมจำนวน ๓๕ แปลง ใบอนุญาตปลูกสร้างอาคารเกี่ยวกับการทำเหมือง และจัดตั้งสถานที่เพื่อการแต่งแร่นอกเขตเหมืองแร่ จำนวน ๔ แปลง และคำขอใบอนุญาตปลูกสร้างอาคารเกี่ยวกับการทำเหมือง และจัดตั้งสถานที่เพื่อการแต่งแร่นอกเขตเหมืองแร่ จำนวน ๑ แปลง ตั้งอยู่ที่ตำบลทับกวาง และตำบลท่าคล้อ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ๒.๖ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และเพื่อทำปูนขาว คำขอประทานบัตรที่ ๒/๒๕๕๒ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนชาติแคลเซี่ยม 888 ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๒๘๐๔๔/๑๔๘๘๐ ของบริษัท เซเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี ๒.๗ การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการลำดับที่ ๓ โครงการระบบขนส่งปิโตรเลียมและน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อ ๒.๘ การขอยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นชอบขององค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ และบรรดาอนุบัญญัติทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
