ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 74 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1461 - 1480 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1461 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... | มท | 14/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลดอกไม้ และตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเพิ่มประเภทโรงงาน เช่น โรงงานประเภท ๑๐๑ ปรับคุณภาพของเสียรวม โรงงานประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล โรงงานประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม ในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ และในการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ลุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม และพิจารณามิให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดสร้างระบบรวบรวม หรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษ รวมทั้งการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมืองด้วย นอกจากนี้ ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแล และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรมและพื้นที่ริมฝั่งลำคลองหรือแหล่งน้ำสาธารณะ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนให้มีคุณภาพดีอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1462 | รายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2560 ไตรมาส (ตุลาคม - ธันวาคม 2559) | นร11 | 14/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๖๐ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๙) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรี (ไม่รวมกรอบเพิ่มเติมระหว่างปี) ประกอบด้วย (๑) ปรับลดตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยวงเงินดำเนินการและเบิกจ่ายสุทธิลดลง ๑,๘๓๘ ล้านบาท (๒) ปรับเพิ่มตามการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยอนุมัติการลงทุนเพิ่มเติม ๔ โครงการ วงเงินดำเนินการ ๕๕,๕๔๐ ล้านบาท โดยมีวงเงินเบิกจ่ายลงทุน ๕,๗๘๒ ล้านบาท และ (๓) ปรับเพิ่มตามการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยอนุมัติปรับเพิ่ม/ลดงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ๘ แห่ง ทำให้วงเงินเบิกจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้น ๑,๐๘๖ ล้านบาท รวมปรับเพิ่มขึ้น ๕,๐๓๐ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการปรับปรุงวงเงินลงทุนดังกล่าว ทำให้กรอบการเบิกจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เปลี่ยนแปลงไปจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติไว้ โดยมีกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นจาก ๕๒๐,๙๘๐ ล้านบาท เป็น ๕๒๖,๐๑๐ ล้านบาท ๒. เป้าหมายการเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๖๐ รายไตรมาส ประมาณการเบิกจ่ายลงทุนในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๒๙,๖๙๒ ล้านบาท (ร้อยละ ๕.๖ ของเป้าหมายทั้งปี) เดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑๐๑,๙๗๙ ล้านบาท (ร้อยละ ๑๙.๔) เดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๐ จำนวน ๑๑๓,๒๕๗ ล้านบาท (ร้อยละ ๒๑.๕) เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๐ จำนวน ๑๖๙,๑๐๑ ล้านบาท (ร้อยละ ๓๒.๒) และเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑๑๑,๙๘๑ ล้านบาท (ร้อยละ ๒๑.๓) ๓. ผลการเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๖๐ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๙) รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ ได้จำนวน ๑๗,๔๙๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๕๘.๙ ของเป้าหมายไตรมาส ๑ (จำนวน ๒๙,๖๙๒ ล้านบาท) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๗๓.๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1463 | ร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. .... | ทส | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้มีบทบัญญัติสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) และอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) เพื่อให้รองรับสิทธิของประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ในการมีส่วนร่วมบริหารจัดการ คุ้มครอง ดูแล รักษาหรือบำรุงทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ บางประการไปประกอบการพิจารณาด้วย รวมทั้งให้พิจารณาความเชื่อมโยงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ากับคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ที่จะเข้าศึกษาข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพต้องทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ทางการค้า เพื่อควบคุม ดูแล อนุรักษ์ ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้านเพื่อให้เกิดความรอบคอบในการตราพระราชบัญญัติฯ และในการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งจะต้องทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ควรมีการเตรียมความพร้อมในการดูแลการเข้าถึงความหลากหลายทางชีวภาพเมื่อร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับ รวมทั้งอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าตามร่างพระราชบัญญัติฯ ควรมีความเชื่อมโยงกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1464 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับไปดำเนินการจัดทำข้อฐานมูลของเด็กหรือบุคคลซึ่งมีอายุไม่เกินกว่าอายุที่กำหนดไว้ในมาตรา ๗๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่ถูกกล่าวหา และประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อจัดให้มีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลดังกล่าวต่อไป และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม รับไปดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการจ่ายค่าป่วยการแก่ที่ปรึกษากฎหมายในชั้นสอบสวน พ.ศ. .... ให้ครอบคลุมถึงเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายอื่นตามข้อสังเกตดังกล่าวเพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1465 | แนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ประกอบด้วย (๑) หลักการในการกำกับดูแลกิจการทางการเงินของสหกรณ์ฯ (๒) ร่างระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์ว่าด้วยการกำกับดูแลกิจการทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... (๓) การปรับปรุงโครงสร้างระบบการกำกับดูแลสหกรณ์ฯ และ (๔) การพัฒนาฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศของสหกรณ์ฯ ให้มีความทันสมัย และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างระบบการกำกับดูแลสหกรณ์ฯ ให้คำนึงถึงหลักสหกรณ์สากล ในหลักการปกครองตนเองและความเป็นอิสระเพื่อความยั่งยืนขององค์การสหกรณ์เรื่องความร่วมมือที่จะเกิดการพัฒนาความเป็นอยู่ของสมาชิกและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว และในการกำหนดข้อบังคับเพิ่มเติมใด ๆ ให้คำนึงถึงหลักการพื้นฐานของสหกรณ์ฯ คือ สหกรณ์จะดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้มีการวางแนวทางในการกำกับดูแลสหกรณ์ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... นอกจากนี้ ควรพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนควรเร่งสร้างความรู้ ความเข้าใจและการยอมรับจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้การปฏิรูประบบการบริหารจัดการ และการกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ฯ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. เพื่อให้การปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ฯ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้และเป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งพิจารณากำหนดแผนการดำเนินงานที่คำนึงถึงการให้โอกาสสหกรณ์ฯ ในการปรับตัวในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ฯ รวมทั้งจัดฝึกอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่สหกรณ์ฯ เพื่อให้สามารถนำแนวทางปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ฯ ไปขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับหลักเกณฑ์ตามแนวทางปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ฯ ในส่วนที่ต้องอาศัยการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในขั้นตอนของการตรวจร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1466 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจของบริษัทบริหารสินทรัพย์ ให้บริษัทบริหารสินทรัพย์สามารถรับซื้อ รับโอน หรือรับจ้างบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานของรัฐและนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจทางการเงิน และทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาให้แก่ลูกหนี้ สถาบันการเงิน หรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน รวมทั้งกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการและผู้มีอำนาจในการจัดการของบริษัทบริหารสินทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมที่เห็นควรชี้แจงในหลักการและเหตุผลเกี่ยวกับการโอนสินทรัพย์ที่ได้มาจากการยึดหรืออายัดของหน่วยงานของรัฐ และการโอนสินทรัพย์จากสถาบันการเงินไปให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ และตามร่างมาตรา ๓(๓) ของร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้ “การบริหารสินทรัพย์” หมายความรวมถึงการรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ที่มาจากการยึดหรืออายัดของหน่วยงานของรัฐตามประเภทสินทรัพย์และหน่วยงานที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาเพื่อนำมาบริหารหรือจำหน่ายจ่ายโอนต่อไป จะมีความหมายรวมถึงสินทรัพย์ที่ขายทอดตลาดของกรมบังคับคดีหรือไม่ นอกจากนี้ ตามร่างมาตรา ๓(๗) ของร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้ในการที่บริษัทบริหารสินทรัพย์จะรับเป็นที่ปรึกษาให้แก่ลูกหนี้ สถาบันการเงิน หรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และไกล่เกลี่ยหนี้ที่ลูกหนี้มีอยู่กับสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน บริษัทบริหารสินทรัพย์จะต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ควรมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และควรมีการควบคุมเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวให้มีมาตรฐาน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ที่ได้มาจากการยึดหรืออายัดของหน่วยงานของรัฐ ควรกำหนดให้มีหลักเกณฑ์ในการประเมินราคาสินทรัพย์ที่ทำการซื้อขายให้เป็นธรรมต่อทั้งผู้โอนและผู้รับโอนสินทรัพย์นั้น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1467 | ร่างพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... | รง | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวและกฎหมายว่าด้วยการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศไทย เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานและป้องกันมิให้มีการลักลอบการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนที่เห็นควรคงหลักการตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยกำหนดให้เงินค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บได้ให้นำส่งเข้ากองทุนเพื่อการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวได้ตามที่กระทรวงการคลังอนุญาต และควรให้มีการกำหนดกรอบหลักเกณฑ์การช่วยเหลือและอุดหนุนเงินกองทุนฯ ให้ชัดเจน เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานรัฐอื่นที่ได้ดำเนินการอยู่แล้ว สำหรับการกำหนดให้มีการทดรองจ่ายในการดำเนินงานกองทุนฯ สามารถดำเนินการได้โดยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินกองทุนฯ ตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนฯ รวมทั้งการกำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ และการจัดทำบัญชีของกองทุนฯ ส่งผู้ตรวจสอบบัญชีตามร่างพระราชกำหนดฯ ควรปรับปรุงให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๑๘ และมาตรา ๒๘ ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1468 | การปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณากำหนดค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทน ควรพิจารณาค่างานของแต่ละตำแหน่งซึ่งครอบคลุมผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมดที่ลูกจ้างได้รับ และหลักเกณฑ์การพิจารณาสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่าง ๆ ควรให้แก่พนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจเท่านั้น อีกทั้งควรพิจารณาเฉพาะสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐาน โดยยกเว้นสิทธิประโยชน์พิเศษเพื่อมิให้เป็นภาระแก่รัฐวิสาหกิจ และเพื่อให้สอดคล้องกับการให้สิทธิประโยชน์ของหน่วยงานรัฐประเภทอื่น ๆ ส่วนสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่เสนอให้ตัดสิทธิบุคคลในครอบครัว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างตามกฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ทำให้เกิดผลกระทบต่อพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ปฏิบัติงานเป็นจำนวนมาก จึงควรเริ่มใช้สวัสดิการดังกล่าวกับพนักงานใหม่ และการพิจารณาสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานควรอยู่ภายใต้บรรทัดฐานที่เป็นธรรมและเหมาะสม โดยเฉพาะสิทธิ์เดิมของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยได้รับ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งระบบให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ และวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ) และวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม) และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนหลักการของกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกลไกการใช้อำนาจในการกำหนดค่าตอบแทน โบนัส และสวัสดิการของพนักงาน ผู้บริหาร และกรรมการ เพื่อให้มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่เหมาะสม และเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว เช่น ร่างพระราชบัญญัติบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๔. ในส่วนของเรื่องขอความเห็นชอบการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงสุดของระดับหรือตำแหน่ง และเรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับปรุงการจ่ายโบนัสพนักงานการไฟฟ้านครหลวง ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งให้กระทรวงการคลังแล้ว นั้น ให้กระทรวงการคลังส่งเรื่องดังกล่าวคืนหน่วยงานเจ้าของเรื่องเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางและหลักเกณฑ์ตามที่กระทรวงการคลังได้เสนอในครั้งนี้ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1469 | ขอความเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี - สำนักงานเขตคลองสาน - ประชาธิปก) | มท | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๗ [เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดิน] ในการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก) เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ในการรองรับการเดินทางในบริเวณพื้นที่ฝั่งธนบุรี แก้ไขปัญหาการจราจร ประชาชนเดินทางสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กทม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรให้ กทม. ดำเนินการตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ [เรื่อง ขอความเห็นชอบดำเนินการโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก)] ให้ครบถ้วน และสำหรับการจัดหาแหล่งเงินทุนของโครงการฯ ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมทั้งควรกำกับดูแลให้โครงสร้างของโครงการฯ มีผลกระทบต่อทัศนียภาพของเมืองให้น้อยที่สุด โดยจะต้องไม่กระทบหรือกีดขวางการเข้าถึงของบริการสาธารณะอื่น ๆ เช่น รถดับเพลิง และระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น และประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มีความสมบูรณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รวมถึงให้เร่งรัดจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดข้อมูลตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางบกและอากาศ เพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ เห็นควรให้ กทม. พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของการแบ่งระยะการพัฒนาออกเป็นช่วง ๆ ของโครงการฯ โดยเร่งแผนการก่อสร้างและเปิดให้บริการโครงการฯ ให้สามารถเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ โดยเร็ว และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเร่งพิจารณาศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารของระบบขนส่งมวลชนทางรางทั้งขนาดใหญ่และขนาดรองที่เหมาะสมทั้งระบบ เพื่อให้สามารถใช้โครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมกันได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินโครงการของกรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามแผนการลงทุนที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1470 | รายงานผลการประชุม LNG Producer - Consumer Conference 2016 และการประชุม The 27th Meeting of Energy Charter Conference and Ministerial Meeting | พน | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม LNG Producer-Consumer Conference 2016 และการประชุม The 27th Meeting of Energy Charter Conference and Ministerial Meeting ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การสัมมนา LNG Producer-Consumer Conference 2016 โดยผู้บริหารระดับสูงทั้งจากภาครัฐและเอกชนทั่วโลกได้มีการหารือถึงแนวทางการสร้างความสมดุลระหว่างการผลิตและการใช้ ก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) เพื่อให้ราคา LNG อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยประเทศไทยได้นำเสนอที่ประชุมเรื่อง นโยบายเพื่อรองรับการเติบโตและการขยายตัวของการใช้เชื้อเพลิง LNG และการนำเข้า LNG ของประเทศว่าภาครัฐได้เตรียมมาตรการรองรับการขยายตัวการนำเข้า LNG อย่างเหมาะสม และประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการซื้อขาย LNG ในภูมิภาคอาเซียนเพื่อสร้างความร่วมมือในการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานร่วมกัน ๒. การประชุม Energy Charter Conference ครั้งที่ ๒๗ เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีพลังงานของประเทศที่เป็นสมาชิกของ Energy Charter มีแนวคิดหลักของการประชุมคือ ความสำคัญของ International Energy Charter กับความท้าทายของพลังงานโลก โดยเฉพาะการพัฒนาที่ยั่งยืนและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า Energy Charter Treaty ที่มีอยู่ในปัจจุบันควรมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับการลงทุนใหม่ ๆ รวมทั้งรองรับรูปแบบของความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีความแตกต่างและหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้หารือระดับทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น (METI) และประธานสถาบันวิจัยเศรษฐกิจพลังงานญี่ปุ่น (The Institute of Energy Economics of Japan : IEEJ) ซึ่งมีประเด็นหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการทั้งสองประเทศเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองร่วมกันให้ได้ราคาและปริมาณ LNG ที่เหมาะสมและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น การสนับสนุนเทคโนโลยีการบริหารจัดการ LNG ที่ทันสมัย ก้าวหน้า และมีประสิทธิภาพ การลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานในประเทศไทย และการจัดตั้งหน่วยงาน ศูนย์ข้อมูลพลังงานไทย (The Institute of Energy Economics of Thailand : IEET) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1471 | การดำเนินการเพื่อบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 12 | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบยอดเงินบริจาคเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย ๑๒ (Asian Development Fund 12 : ADF 12) ของประเทศไทยที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เป็นจำนวน ๙๑,๙๑๐,๐๐๐ บาท (ลดลงจากยอดเดิม ๑,๓๐๒ บาท) ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามใน Instrument of Contribution (IOC) เพื่อยืนยันการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุน ADF 12 และออกตั๋วสัญญาใช้เงินคลังประเภทจ่ายเงินเมื่อทวงถามและไม่มีดอกเบี้ย จำนวน ๔ ฉบับ ประกอบด้วย ฉบับที่ ๑ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ฉบับที่ ๒ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ฉบับที่ ๓ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และฉบับที่ ๔ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ สำหรับการบริจาคเงินเพิ่มทุนของไทยในกองทุน ADF 12
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1472 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1473 | ขอความเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี - สำนักงานเขตคลองสาน - ประชาธิปก) | มท | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๗ [เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดิน] ในการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก) เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ในการรองรับการเดินทางในบริเวณพื้นที่ฝั่งธนบุรี แก้ไขปัญหาการจราจร ประชาชนเดินทางสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กทม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรให้ กทม. ดำเนินการตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ [เรื่อง ขอความเห็นชอบดำเนินการโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก)] ให้ครบถ้วน และสำหรับการจัดหาแหล่งเงินทุนของโครงการฯ ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมทั้งควรกำกับดูแลให้โครงสร้างของโครงการฯ มีผลกระทบต่อทัศนียภาพของเมืองให้น้อยที่สุด โดยจะต้องไม่กระทบหรือกีดขวางการเข้าถึงของบริการสาธารณะอื่น ๆ เช่น รถดับเพลิง และระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น และประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มีความสมบูรณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รวมถึงให้เร่งรัดจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดข้อมูลตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางบกและอากาศ เพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ เห็นควรให้ กทม. พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของการแบ่งระยะการพัฒนาออกเป็นช่วง ๆ ของโครงการฯ โดยเร่งแผนการก่อสร้างและเปิดให้บริการโครงการฯ ให้สามารถเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ โดยเร็ว และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเร่งพิจารณาศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารของระบบขนส่งมวลชนทางรางทั้งขนาดใหญ่และขนาดรองที่เหมาะสมทั้งระบบ เพื่อให้สามารถใช้โครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมกันได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินโครงการของกรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามแผนการลงทุนที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1474 | การศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ดท | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยผลการประชุมดังกล่าว ประกอบด้วย การชี้แจงถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ได้รับการแก้ไขแล้วในชั้นการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๘๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ ก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมาย และการมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับถ้อยคำที่มีความหมายกว้างขวาง หรือไม่มีคำนิยามที่ชัดเจนในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปจัดทำเป็นคู่มือการบังคับใช้และประชาสัมพันธ์ให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่และประชาชนได้รับรู้รับทราบต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งดำเนินการจัดทำคู่มือในการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่และประชาชนได้รับรู้และรับทราบต่อไป โดยเฉพาะในการใช้ดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๔ (๒) มาตรา ๒๐ และเกี่ยวกับคำว่า “ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” นั้น ให้ยึดถือตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา ประกอบกับบริบทของสังคมไทยเป็นสำคัญ รวมทั้งในส่วนที่ศาลได้เคยมีคำพิพากษายกฟ้องไว้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1475 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ครั้งที่ 1 | กค | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๑๘๕,๐๗๖.๓๖ ล้านบาท จากเดิม ๑,๔๑๔,๓๖๖.๑๒ ล้านบาท เป็น ๑,๕๙๙,๔๔๒.๔๘ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๓,๗๖๑.๖๒ ล้านบาท จากเดิม ๑๔๖,๓๘๐.๑๒ ล้านบาท เป็น ๑๕๐,๑๔๑.๗๔ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๖ มอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการระบายยางคงค้างที่ชัดเจน พร้อมทั้งรายงานผลการระบายยางของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพยาง และโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพยาง ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะทราบเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ หากการยางแห่งประเทศไทยมีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต ขอให้การยางแห่งประเทศไทยพิจารณาดำเนินการให้ทันตามกำหนดเวลาก่อนที่หนี้จะครบกำหนดชำระด้วย ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้ ทั้งในส่วนของการดำเนินการตามแผนงานปกติและการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ใช้จ่ายจากงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ กำกับติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำกับติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งติดตามและผลักดันให้การใช้จ่ายของภาครัฐเป็นไปตามแผนงานและมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อลดภาระรายจ่ายดอกเบี้ยในการบริหารหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้ยืมเพื่อเตรียมการลงทุน รวมถึงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของภาครัฐและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้การยางแห่งประเทศไทยเร่งบริหารจัดการระบายยางพาราคงค้างของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพยางและโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพยางออกสู่ตลาด และรายงานผลการระบายยางของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพยางและโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพยางให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะทราบเป็นระยะ ๆ และหากการยางแห่งประเทศไทยมีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต ให้การยางแห่งประเทศไทยเร่งรัดการดำเนินการให้ทันตามกำหนดเวลาก่อนที่หนี้จะครบกำหนดชำระด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1476 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ | คค | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในบริการภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้ดำเนินงานใน ๓ กิจกรรม คือ (๑) จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (๒) จัดทำต้นแบบการปรับปรุงและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุในสถานที่ให้บริการภาคขนส่ง และ (๓) จัดทำคู่มือการให้ความช่วยเหลือคนพิการแต่ละประเภทและผู้สูงอายุ และคู่มือแปลภาษาหรือป้ายสัญลักษณ์ภาษาสำหรับหน่วยงานที่ให้บริการภาคขนส่ง และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ เห็นควรกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ชัดเจนของแผนงาน/กิจกรรม และเพิ่มกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบด้านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้อำนวยความสะดวกแก่คนพิการและผู้สูงอายุ รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อนในโอกาสแรก และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ของยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนดังกล่าวเป็นรูปธรรมและสอดคล้องตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงคมนาคมดำเนินการขับเคลื่อนแผนงาน/กิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุให้เป็นรูปธรรมต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมประสานกับกลุ่มองค์กรหรือเครือข่ายคนพิการและผู้สูงอายุ และสมาคมวิชาชีพด้านการออกแบบเพื่อคนทุกคน เพื่อขอความร่วมมือในการดำเนินการ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรับไปประสานและขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดกรอบเป้าหมายและกรอบงบประมาณในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุในแต่ละช่วงเวลาให้ชัดเจน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1477 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 | กต | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมคณะกรรมาธิการระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น (Thailand-Japan High Level Joint Commission : HLJC) ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งผลการประชุมฯ มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ (๑) ความร่วมมือด้านการค้า (๒) ความร่วมมือด้านเกษตรกรรม (๓) ความร่วมมือด้านการลงทุน (๔) ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๕) ความร่วมมือด้านการพัฒนาระบบรางในไทย (๖) ความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในไทย และ (๗) การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ เช่น การเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติม การปรับปรุงเงื่อนไขการตัดสิทธิ GSP ของญี่ปุ่น การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) การเชิญชวนให้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย การจัดตั้งสำนักงานสถาบันเทคโนโลยีของญี่ปุ่น (KOSEN) ที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาของไทย การร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และโครงการรถไฟขนส่งสินค้าเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (SEC) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1478 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 7/2560 เรื่อง การปรับปรุงระบบการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ | สลธ.คสช. | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗/๒๕๖๐ เรื่อง การปรับปรุงระบบการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ สั่ง ณ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1479 | ผลการประชุม World Economic Forum 2017 และการประชุมรัฐมนตรีการค้า WTO | พณ | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม World Economic Forum 2017 และการประชุมรัฐมนตรีการค้า WTO ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ มกราคม ๒๕๖๐ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมแทนนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุม World Economic Forum (WEF) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมประชุมเรื่อง The Future of Production และได้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการผลักดันนโยบาย Thailand 4.0 พร้อมกับนำเสนอแนวทางยกระดับอุตสาหกรรมด้วย New S-curve Eastern Economic Corridor และการขับเคลื่อนนโยบายด้วยกลไกประชารัฐ และได้ร่วมประชุมเรื่อง อนาคตเกษตรโลก โดยได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปร่วมหารือกับผู้นำโลก นอกจากนี้ ได้รับทราบการปรับปรุงวิธีการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันใหม่ของ WEF รวมทั้งได้หารือเกี่ยวกับทิศทางของอาเซียนหลังครบรอบ ๕๐ ปี ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบกับนักลงทุนจากประเทศต่าง ๆ ได้แก่ จีน (รองผู้ว่ามณฑลเทียนจิน) เนเธอร์แลนด์ (บริษัท Vopak) ฝรั่งเศส (เครือโรงแรม Intercontinental) รวมถึงประเทศอื่น ๆ ระหว่างการประชุม WEF ซึ่งทุกประเทศแสดงความมั่นใจในไทยและจะลงทุนในไทยต่อไป รวมทั้งขยายการลงทุนในอนาคต ๓. การประชุมรัฐมนตรีการค้าองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ (WTO Informal Ministerial Meeting) ที่ประชุมพิจารณาประเด็นสำคัญที่ต้องนำเสนอในการประชุมรัฐมนตรี WTO ครั้งที่ ๑๑ ในช่วงปลายปี ๒๕๖๐ โดยมีประเด็นที่ประเทศต่าง ๆ สนใจมากที่สุด คือ E-Commerce ที่มีการเสนอให้ทบทวนกฎเกณฑ์การค้าพหุภาคีที่เกี่ยวข้อง และประเด็นอื่น ๆ ที่มีหลายประเทศสนับสนุน เช่น การทบทวนการอุดหนุนสินค้าเกษตรโดยเฉพาะฝ้าย การปรับปรุงกฎระเบียบในประเทศด้านบริการ (Domestic Regulations on Services) การสนับสนุน SMEs มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Measures : NTMs) และการอำนวยความสะดวกทางการค้า ๔. กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ได้แก่ (๑) การเข้าร่วมโครงการศึกษาความพร้อมของประเทศเพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่บนฐานนวัตกรรม และโครงการศึกษาแนวทางการปรับตัวของภาคการผลิตของอาเซียน (๒) การร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงาน Partnership for Agricultural Trade and Inclusive Growth in Thailand ร่วมกับ Grow Asia (๓) การเชิญ WEF มาจัดงานสัมมนาเพื่ออธิบายข้อมูลและวิธีการใหม่ที่จะปรับใช้ในการวัดประเมินอันดับความสามารถทางการแข่งขัน (๔) การเผยแพร่สิทธิประโยชน์และขั้นตอนการขอรับการสนับสนุนทางการลงทุนในการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ให้ชัดเจน โปร่งใส และ (๕) การจัดหารือเพื่อเตรียมการประชุมรัฐมนตรีการค้า WTO ในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1480 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมปศุสัตว์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นสารวัตรตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมปศุสัตว์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นสารวัตรตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ ๗๓ (พ.ศ. ๒๕๒๔) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ เพื่อกำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษ การแต่งเครื่องแบบ และการกำหนดเครื่องหมายบนอินทรธนูและเครื่องหมายตำแหน่งบนปกเสื้อ สำหรับข้าราชการกรมปศุสัตว์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นสารวัตรตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
