ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 75 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1481 - 1500 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1481 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... | มท | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลเกษตรวิสัย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงดังกล่าว และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุดโดยคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ ตลอดจนการกำนหดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม และพิจารณามิให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดสร้างระบบรวบรวมหรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษ รวมทั้งควรมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง นอกจากนี้ ควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับ ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและป้องกันผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1482 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 - 4 ปีงบประมาณ 2559 และไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2560 และแนวทางในการปรับลดอัตราอากรขาเข้าสินค้าในกลุ่มที่จะสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งสินค้าที่เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตภายในประเทศ | กค | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒-๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และแนวทางในการปรับลดอัตราอากรขาเข้าสินค้าในกลุ่มที่จะสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งสินค้าที่เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตภายในประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒-๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง สูท เสื้อ กระโปรง กางเกงสำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท สุราต่างประเทศ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้าจำแนกรายไตรมาส โดยไตรมาสที่ ๒/๒๕๕๙ มูลค่านำเข้า ๑,๐๓๕.๖๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไตรมาสที่ ๓/๒๕๕๙ มูลค่านำเข้า ๙๕๕.๘๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไตรมาสที่ ๔/๒๕๕๙ มูลค่านำเข้า ๙๙๔.๐๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไตรมาสที่ ๑/๒๕๖๐ มูลค่านำเข้า ๙๕๙.๐๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒. กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการนำร่องเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยจัดให้มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในลักษณะของการจัดงานแสดงสินค้าลดราคาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยสินค้าในประเทศไทย โดยกระทรวงการคลังเสนอให้ใช้มาตรการยกเว้นอากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ สำหรับสินค้าประเภทเครื่องสำอางและน้ำหอมที่นำไปจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวและคนไทยในโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษีศุลกากรสินค้าในกลุ่มวัตถุดิบ ปัจจัยการผลิตที่ไม่มีผู้ผลิตภายในประเทศ เครื่องจักร เครื่องมือ และวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องจักร เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๗ รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษีศุลกากรในส่วนที่เหลือให้มีอัตราอากรเป็นไปตามโครงสร้างที่เสนอใหม่และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1483 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | กค | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกอบด้วย งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบแสดงฐานะการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ๑.๑ รัฐบาลมีรายได้รวมทั้งสิ้น จำนวน ๒,๑๖๒,๙๘๔.๐๐ ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๑๑๐,๑๙๙.๓๑ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๔.๘๕ ส่วนใหญ่เป็นรายได้แผ่นดินที่หน่วยงานภาครัฐนำส่งซึ่งเป็นรายได้จากภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ รายได้จากการนำส่งกำไรและเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจ และรายได้ที่ไม่เป็นตัวเงิน ประกอบด้วย กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และส่วนเกินมูลค่าพันธบัตรตัดจำหน่ายซึ่งเป็นรายการปรับปรุงบัญชีเพื่อรับรู้รายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด และรายได้อื่น ๑.๒ รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น จำนวน ๒,๔๖๔,๐๘๔.๗๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๑๓.๙๒ ของรายได้รวม ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๑๕๑.๕๕ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๐.๐๑ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายจากเงินงบประมาณ (ปีปัจจุบันและปีก่อน) ดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมเงินกู้ และค่าใช้จ่ายอื่น ๑.๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รัฐบาลมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย จำนวน ๓๐๑,๑๐๐.๗๙ ล้านบาท ๒. งบแสดงฐานะการเงิน ๒.๑ รัฐบาลมีสินทรัพย์ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งสิ้น จำนวน ๖,๘๐๐,๕๑๙.๐๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๑๒๗,๐๕๙.๘๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๙๐ ประกอบด้วยสินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน ๕๗๘,๔๐๗.๔๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘.๕๑ ของสินทรัพย์รวม และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน จำนวน ๖,๒๒๒,๑๑๑.๖๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๑.๔๙ ของสินทรัพย์รวม ๒.๒ รัฐบาลมีหนี้สินและภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น จำนวน ๔,๓๑๐,๑๔๘.๕๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๓.๓๘ ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๒๐๓,๓๓๖.๔๙ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๙๕ ประกอบด้วย หนี้สินหมุนเวียน จำนวน ๗๗๙,๓๗๓.๒๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๑.๔๖ ของสินทรัพย์รวม และหนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน ๓,๕๓๐,๗๗๕.๓๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๑.๙๒ ของสินทรัพย์รวม ๒.๓ รัฐบาลมีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน จำนวน ๒,๔๙๐,๓๗๐.๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๖.๖๒ ของสินทรัพย์รวม ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๗๖,๒๗๖.๖๓ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๒.๙๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1484 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 26 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 30 พฤศจิกายน 2559) | นร | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๖ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ และให้ กขร. รวบรวมสรุปข้อมูลการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ ถึงปัจจุบัน เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลต่อไป มีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมพัฒนาต่าง ๆ และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ผ่านศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ กขร. ได้มีการติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป โดยกระทรวงการคลังได้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอประเด็นปฏิรูปตามแผนปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่องการป้องกันและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านอาหารและโภชนาการในประเด็นการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานสุขภาพ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการและเฝ้าระวังเว็บไซต์ที่เข้าข่ายละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) ให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั่วไปที่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย การพัฒนา กศน. ตำบล เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างและกระจายโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตในชุมชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลตามนโยบายรัฐบาล ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น โครงการห้องสมุดอาเซียน การจัดงาน CLMVT Forum 2016 เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และการติดตามการแก้ไขปัญหาการค้าชายแดนด้านประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และมาเลเซีย ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การจัดหน่วยบริการหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ โครงการมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1485 | การขอเช่าที่ดินสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (บริเวณซอยสีคาม) | ศย | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมทำสัญญาเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (บริเวณซอยสีคาม) ตามโฉนดเลขที่ ๔๒๑๖ และ ๔๒๑๘ แปลงหมายเลข ๑ ตำบลริมแม่น้ำเจ้าพระยา สามเสน เนื้อที่ประมาณ ๒๐๙.๔๒ ตารางวา ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ระยะเวลา ๑๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๔ ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งยกเว้นการปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) โดยให้สำนักงานศาลยุติธรรมก่อหนี้ผูกพันงบประมาณล่วงหน้าเกินกว่า ๕ ปี ได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย สำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดินที่จะเกิดขึ้นดังกล่าว เห็นควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ พร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามสัญญาในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1486 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร) | สผ | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีต่อไปได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนเมษายน ๒๕๖๐ รวม ๓ รายการ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ประกอบด้วย ๑.๑ งานออกแบบรายละเอียดการติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ วงเงินงบประมาณ ๕๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท (งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗) ๑.๒ โครงการปรับปรุงอาคารที่พักสวัสดิการเคหะสงเคราะห์สำหรับข้าราชการ วงเงินงบประมาณ ๑๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท (งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗) ๑.๓ จ้างที่ปรึกษาออกแบบและพัฒนาระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย วงเงินงบประมาณ ๑๐,๔๗๕,๐๐๐ บา (งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ๒. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเร่งรัดการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ตลอดจนปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1487 | ขออนุมัติการสนับสนุนการดำเนินโครงการ The Michelin Guide Thailand ในปี พ.ศ. 2560 - 2564 เป็นระยะเวลา 5 ปีงบประมาณ | กก | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการ The Michelin Guide Thailand ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เป็นระยะเวลา ๕ ปีงบประมาณ โดยการสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัท มิชลิน ทราเวล พาร์ทเนอร์ ในการดำเนินโครงการฯ เพื่อร่วมสนับสนุนการผลิตคู่มือแนะนำร้านอาหารในประเทศไทยที่ผ่านการคัดสรรตามมาตรฐานของมิชลิน สำหรับงบประมาณให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ ททท. ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและต่อรองให้ได้ราคาต่ำสุด เพื่อเสนอขอปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ ททท. ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ททท. ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ให้ครบถ้วน โดยในการเจรจาทำสัญญากับบริษัท มิชลินฯ สมควรระบุในสัญญาให้ชัดเจนเกี่ยวกับการขยายพื้นที่จัดโครงการฯ ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอื่น ๆ นอกเหนือจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรองของรัฐบาล รวมทั้งให้ ททท. จัดทำแผนงานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สนับสนุนหรือขยายผลจากการให้การสนับสนุนโครงการฯ และทิศทางของโครงการฯ ภายหลังสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินงาน ๕ ปี และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๒.๒ ติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่องทุกปี และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ทั้งนี้ ในการทำสัญญาควรต้องมีข้อกำหนดให้ ททท. สามารถขอยกเลิกการดำเนินโครงการก่อนครบกำหนดระยะ ๕ ปีได้ หากผลการประเมินรายปีไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาหรือมีเหตุอันควรอื่นใด โดยแจ้งให้บริษัท มิชลินฯ ทราบล่วงหน้า โดย ททท. ไม่ต้องเสียค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรมีระบบการติดตามและประเมินผลโครงการฯ เชิงลึก และหากมีความจำเป็น เพื่อให้มีความคุ้มค่าและเกิดผลสัมฤทธิ์อันเป็นประโยชน์ต่อทางราชการและไม่ทำให้ราชการเสียประโยชน์แล้ว เห็นควรจะต้องมีการปรับปรุงและแก้ไขเงื่อนไขในการดำเนินโครงการฯ ในโอกาสแรกให้เหมาะสมด้วย รวมถึงควรดำเนินการให้ครอบคลุมจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการกระจายการท่องเที่ยวและกระจายรายได้ไปยังจังหวัดอื่น ๆ นอกจากนี้ ในการทำสัญญา กำหนดข้อตกลง และเงื่อนไขของโครงการฯ ควรระบุเรื่องสิทธิประโยชน์ และความคุ้มค่าที่ประเทศไทยควรจะได้รับจากการสนับสนุนโครงการฯ ให้ชัดเจน เพื่อให้การประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1488 | การทบทวนแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดภายใน 2 ปี | นร | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดภายใน ๒ ปี เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบการดำเนินงานตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ นั้น ควรมีการปรับปรุงการดำเนินการเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสียคลองแสนแสบให้เป็นระบบและเกิดความยั่งยืน โดยให้ดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาโครงการตามแผนปฏิบัติการฯ โดยโครงการใดที่ได้มีการลงนามในสัญญาแล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ส่วนโครงการใดที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาให้ชะลอการดำเนินการไปก่อน ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงคมนาคม ทบทวนและจัดทำแผนการบำบัดน้ำเสียคลองแสนแสบในระยะยาวอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม โดยแบ่งการดำเนินการเป็น ๓ ระยะ คือ ระยะ ๑ ปี ระยะ ๕ ปี และระยะ ๒๐ ปี ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี ภายใน ๓๐ วัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1489 | ขอความเห็นชอบการดำเนินงานโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี 2559/60 | กษ | 07/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ โดยขยายระยะเวลาชำระคืนต้นเงินกู้ที่เกษตรกรมีอยู่กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ออกไปเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๒ ปีนับจากงวดชำระเดิม ไม่จำกัดวงเงินขั้นสูง โดยเกษตรกรยังต้องส่งดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ ตามกำหนดชำระเดิม สำหรับการลดอัตราดอกเบี้ย แยกเป็น ๒ กรณี คือ กรณีเกษตรกรที่ไม่เป็นหนี้ NPLs ธ.ก.ส. งดคิดดอกเบี้ยจากเกษตรกร โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. อัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ธ.ก.ส. รับภาระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี และกรณีเกษตรกรที่เป็นหนี้ NPLs ธ.ก.ส. งดคิดดอกเบี้ยจากเกษตรกร และรับภาระดอกเบี้ยทั้งหมดแทนเกษตรกร รวมทั้งเห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ ธ.ก.ส. แทนเกษตรกร ในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี เป็นเงินปีละ ๑,๙๖๕.๕๐ ล้านบาท รวมระยะเวลา ๒ ปี เป็นเงิน ๓,๙๓๑.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ ธ.ก.ส. แทนเกษตรกร ในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นั้น ให้รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรคัดกรองผู้เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ฯ ว่าเป็นเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างแท้จริง และตรวจสอบเป้าหมายเกษตรกรตามโครงการพักชำระหนี้ฯ ครั้งนี้ โดยจะต้องไม่ให้ซ้ำซ้อนกับโครงการต่าง ๆ ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐในลักษณะเดียวกัน รวมทั้งกำหนดมาตรการสำหรับเกษตรกรที่ยังมีศักยภาพในการชำระคืนเงินต้น หรือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยแต่ไม่ประสงค์จะขอรับการช่วยเหลือจากภาครัฐตามโครงการพักชำระหนี้ฯ เช่น การกำหนดมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยโครงการที่เกษตรกรขอใช้สินเชื่ออยู่ลง แทนที่จะกำหนดให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมดหยุดชำระเงินต้นของโครงการ เป็นต้น ตลอดจนควรกำหนดมาตรการในการปรับปรุงและฟื้นฟูประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ฯ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อที่เกษตรกรจะได้นำวงเงินค่าใช้จ่ายในส่วนที่ยังไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยไปดำเนินการปรับปรุงและฟื้นฟูประสิทธิภาพการผลิตให้เกิดผลสัมฤทธิ์และสามารถทำการเกษตรได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ควรมีการบูรณาการ การบริหารจัดการ การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณในการให้ความช่วยเหลือเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1490 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 07/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ โดยเพิ่มขั้นตอนและกิจกรรมการจัดทำรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ลำดับที่ ๑๔ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1491 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ย่านเก่ากับการปกป้อง คุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชน | มท | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ย่านเก่ากับการปกป้องคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะว่าควรให้มีการตรากฎหมายขึ้นมากำกับดูแลย่านเก่าโดยเฉพาะอย่างเป็นระบบ และในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายกำกับดูแลย่านเก่าโดยเฉพาะ ให้นำกฎหมายต่าง ๆ ที่มีอยู่ใช้บังคับไปพลางก่อน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยรายงานว่าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเห็นชอบในหลักการที่จะให้มีการตรากฎหมายขึ้นมากำกับดูแลย่านเก่าโดยเฉพาะ และในระหว่างที่ยังไม่ได้ดำเนินการตรากฎหมาย เห็นชอบให้นำกฎหมายต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมมาใช้บังคับไปพลางก่อน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดทำบัญชีทะเบียนย่านชุมชนเก่ารายภาค ยกเว้นกรุงเทพมหานคร ซึ่งเบื้องต้นมีทั้งหมด ๔๘๒ ชุมชน และได้จัดทำมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมศิลปกรรมประเภทย่านชุมชนเก่าที่จะเป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบแนวทางในการดำเนินงานให้เกิดความยั่งยืนของย่านเก่าและแนวทางการบริหารจัดการที่ส่งเสริมอนุรักษ์ย่านชุมชนเก่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1492 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและสถานะบุคคล อันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ กรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปลดสิทธิกลุ่มผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิที่เคยได้รับสิทธิกองทุนหลักประกันสุขภาพ จำนวน 202,139 คน | สธ | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและสถานะบุคคลอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ กรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปลดสิทธิกลุ่มผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิที่เคยได้รับสิทธิกองทุนหลักประกันสุขภาพ จำนวน ๒๐๒,๑๓๙ คน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเห็นด้วยกับรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้รับสิทธิด้านสาธารณสุขตามความเหมาะสมและเท่าที่จำเป็นตามหลักมนุษยธรรม ส่วนบุคคลที่ยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนสิทธิบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิได้ เห็นควรให้ซื้อบัตรประกันสุขภาพคนต่างด้าว กระทรวงสาธารณสุข เพื่อรองรับสิทธิด้านการรักษาพยาบาลไปพลางก่อน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1493 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การถูกคุมขังเกินกว่าโทษตามคำพิพากษา | ยธ | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การถูกคุมขังเกินกว่าโทษตามคำพิพากษาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยกระทรวงยุติธรรมได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรมคุมประพฤติ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมราชทัณฑ์ สำนักงานกิจการยุติธรรม สำนักงานกองทุนยุติธรรม และสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอเป็นส่วนใหญ่ โดยข้อเสนอที่เห็นว่าเหมาะสมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแล้ว และบางเรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการ สำหรับข้อเสนอบางประการอาจกระทบกับหลักการสำคัญของกฎหมาย ควรที่จะมีการศึกษาให้ละเอียดรอบคอบก่อนดำเนินการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1494 | แผนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยได้ตอบรับและให้คำมั่นโดยสมัครใจภายใต้กลไก Universal Periodic Review รอบที่ 2 (พ.ศ. 2559 - 2563) | กต | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเข้าร่วมการรับรองผลการนำเสนอรายงานประเทศตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๙ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส รวมทั้งการดำเนินการภายหลังการรับรองผลการนำเสนอรายงานฯ ซึ่งรวมถึงการจัดทำแผนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยได้ตอบรับและให้คำมั่นโดยสมัครใจ โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ยกร่างแผนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยได้ตอบรับและให้คำมั่นโดยสมัครใจเกี่ยวกับหัวข้อต่าง ๆ เช่น การเข้าเป็นภาคีกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน การปรับปรุงกฎหมายภายในประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกและแผนสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนศึกษาและการฝึกอบรม การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยแผนดังกล่าวระบุหัวข้อและหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดำเนินการในแต่ละหัวข้อไว้แล้ว จำนวนทั้งสิ้น ๑๘๗ ข้อ ทั้งนี้ ไทยจะต้องจัดทำรายงานระยะกลางรอบ (Midterm Report) เพื่อรายงานความคืบหน้าของการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะและคำมั่นโดยสมัครใจให้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติทราบประมาณช่วงต้นปี ๒๕๖๒ ๑.๒ เห็นชอบต่อร่างแผนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยได้ตอบรับและให้คำมั่นโดยสมัครใจภายใต้กลไก UPR รอบที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิบัติตามแผนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และการจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการดำเนินงานภายในประเทศให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งจัดให้มีกระบวนการติดตามผลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1495 | แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี 2551 - 2556 (ฉบับปรับปรุง) ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๕๖ (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุนรวม ๙,๐๘๘.๘ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๕,๔๐๐.๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟน. จำนวน ๓,๖๘๘.๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กฟน. เร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยไม่ให้มีการขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงินลงทุนอีก รวมทั้งให้รายงานผลการดำเนินการตามแผนงานดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความล่าช้าของแผนงานและกำหนดแผนงานให้สอดคล้องกับความสามารถในการดำเนินงาน การกำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและประหยัดมากที่สุด การประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าและการให้บริการไฟฟ้าในอนาคตเป็นหลัก การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการลงทุนและคุณภาพการให้บริการ การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงานและเพื่อให้โครงการสามารถดำเนินงานได้ตามแผนงานที่ตั้งเป้าหมายไว้ และการจัดทำการประเมินผลความคุ้มค่าการลงทุนตามแผนงานในด้านประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า ความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า คุณภาพการบริการ รวมถึงผลกระทบค่าไฟฟ้าในอนาคต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๒. ให้ กฟน. ควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานเพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่ออัตราค่าไฟโดยรวม และให้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงานด้วย ๓. ให้ กฟน. บูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรุงเทพมหานคร การประปานครหลวง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนงานดังกล่าวให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งลดผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และประชาชนผู้ใช้บริการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟน. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการโครงการลงทุนให้เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของน้ำหนักตัวชี้วัดในระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ในการวัดผลการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1496 | แนวทางความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงการขนส่งทางถนนระหว่างไทย - เมียนมา ภายใต้กรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง | คค | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การให้ความช่วยเหลือแก่เมียนมาในการปรับปรุงเส้นทางสายเอ็นดุ-ท่าตอน ในเมียนมา ระยะทาง ๖๐ กิโลเมตร โดยมีกรมทางหลวงเป็นหน่วยงานดำเนินการ และให้หารือร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณในการพิจารณารูปแบบการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวต่อไป ๑.๒ การเร่งรัดผลักดันเมียนมาให้มีการเจรจาเพื่อจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลง CBTA (Initial Implementation of the Cross-Border Transport Agreement : IICBTA) ณ จุดผ่านแดนแม่สอด-เมียวดี กับฝ่ายไทยเพื่อให้ได้ข้อยุติภายในระยะเวลา ๒ เดือน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดผลักดันให้มีการเจรจากับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนที่ยังไม่ได้เจรจาความตกลงด้านการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศกับประเทศไทย เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว พร้อมทั้งดำเนินการแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS CBTA) โดยเร็ว ทั้งนี้ ในการเจรจาควรพิจารณาถึงแนวโน้มและความต้องการขนส่งสินค้าข้ามแดนระหว่างผู้ประกอบการไทยกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์จากความร่วมมือดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1497 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดพิจารณาแนวทางการลงทุนโครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก และเร่งรัดการก่อสร้างทางเชื่อมทางพิเศษศรีรัชวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครกับทางพิเศษศรีรัชเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อการเดินทางไปยังทิศเหนือได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมให้มีการทำการเกษตรแบบแปลงใหญ่เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการสินค้าเกษตรร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถและโอกาสในการแข่งขัน โดยแนวทางการดำเนินการดังกล่าวอาจพิจารณานำปราชญ์ชาวบ้าน เกษตรกรตัวอย่าง และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องมาเป็นแบบอย่างและร่วมดำเนินการกับเกษตรกรด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ซึ่งมีคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองรวมอยู่ด้วย นั้น ให้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์พิจารณากำหนดกลไกการทำงานของส่วนราชการเพื่อให้เกิดการบูรณาการระหว่างส่วนราชการให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงและมีความยั่งยืน และให้คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศพิจารณากำหนดแนวทางในการคัดสรรบุคคลที่เป็นคนดีและคนเก่งเข้ามาทำงานในระบบราชการและงานการเมือง ๒.๒ ให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับข้าราชการรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูง โดยมุ่งเน้นกลุ่มข้าราชการพลเรือนระดับชำนาญการพิเศษ ข้าราชการทหารและข้าราชการตำรวจที่มีตำแหน่งเทียบเท่า เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการ และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการให้มีการทำงานในลักษณะบูรณาการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการดูแลและสร้างแรงจูงใจให้ผู้รับทุนรัฐบาล และหน่วยงานของรัฐให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศแล้วกลับมาทำงานใช้ทุนในหน่วยงานของรัฐ นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้ขยายผลถึงการกำหนดแนวทางและสร้างแรงจูงใจให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่จบการศึกษาจากต่างประเทศในสาขาวิชาต่าง ๆ กลับไปทำงานในภูมิภาคหรือภูมิลำเนาของตน เพื่อสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นของตนต่อไป ๒.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงแนวทางการประเมินผลการจัดการเรียนการสอนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สะท้อนถึงศักยภาพและความรู้ความสามารถในการทำการสอนได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ อาจศึกษาวิธีการประเมินผลของต่างประเทศที่มีระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยให้เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1498 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ตอนล่างเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้า | พน | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ตอนล่างเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ในวงเงินลงทุนรวม ๓๕,๔๐๐ ล้านบาท โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการในระยะที่ ๑ ก่อน และเมื่อโครงการโรงไฟฟ้าหลักในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (PDP 2015) ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว จึงจะดำเนินโครงการในระยะที่ ๒ ได้ ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงบประมาณ อาทิ เห็นควรให้ กฟผ. ใช้เงินรายได้ (Internal Cash Flow) เป็นลำดับแรกก่อนใช้เงินกู้ และบริหารจัดการการเงินและการลงทุนให้สอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาวเพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และหากจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการฯ เห็นควรให้กู้เงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ และเห็นควรให้ กฟผ. ตรวจสอบข้อมูลพื้นที่โครงการฯ และพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเร่งสร้างความเข้าใจกับประชาชนและชุมชนในพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อยุติในการพัฒนาโรงไฟฟ้าหลักในพื้นที่ภาคใต้โดยเร็ว และเร่งทบทวนปัจจัยที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ที่ประสบปัญหาการพัฒนาโรงไฟฟ้าเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานในอนาคตที่ชัดเจน นอกจากนี้ ควรมีการกำกับดูแลให้มีการดำเนินโครงการฯ ตามขั้นตอนของกฎหมาย การวางแผนการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าให้สอดคล้องกับแผน PDP 2015 และนโยบายการพัฒนาด้านพลังงานในภาพรวม ตลอดจนควรมีแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต ควรพิจารณาเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของอุปกรณ์ตามมาตรฐานสากล รวมทั้งผู้เสนอราคา อัตราแลกเปลี่ยน ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ประกอบการจัดซื้อ และควรกำกับดูแลให้แผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินเป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติอย่างเคร่งครัดและเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายงบลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ สำหรับโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ตอนล่างเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้ารวม เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑.๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1499 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 25 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 ตุลาคม 2559) | นร | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๕ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การชี้แจงและจัดกิจกรรมผ่านศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูประดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น และแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ผ่านศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การบูรณาการสถาบันการพลศึกษาเป็นมหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ การปฏิรูปกฎหมายการศึกษาและร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... การบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก แผนปฏิรูปเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษาภายในและการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอก การจัดการศึกษาตลอดชีวิตและร่างพระราชบัญญัติการศึกษาตลอดชีวิต พ.ศ. .... การปฏิรูปการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การปฏิรูประบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้าและร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... การปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญา และการจัดการพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการเฝ้าระวังเว็บไซต์ที่เข้าข่ายละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ การจัดตั้งศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์เพื่อติดตามสถานการณ์และเตรียมงานพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การจัดกิจกรรมเพื่อร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจัดทำร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี การจัดประชุมสุดยอดผู้นำ แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) และการส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การบริหารงานเพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน การมอบบ้านหลังใหม่ให้ชาวชุมชนริมฝั่งเจ้าพระยากว่า ๖๐ หลังคาเรือน การลงนามข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาบุคลากรด้านช่างไฟฟ้าและส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ทหารกองประจำการ การพัฒนาระบบบริหารจัดการที่ดินและแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ โดยยึดแนวพระราชดำริให้ประชาชนอยู่ร่วมกับป่าได้ การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนด้านคิดคำนวณและการอ่านออกเขียนได้ และการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ประจำปี ๒๕๕๙ ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปี ๒๕๕๙/๖๐ การบริหารจัดการข้าว แผนส่งเสริมเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการบริโภค การยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี ๒๕๖๐ มาตรการคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๗ ไปจนถึงวันที่ ๓๐กันยายน ๒๕๖๐ การส่งเสริมภาคเศรษฐกิจดิจิทัลและวางรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล และการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนและสหภาพยุโรป ครั้งที่ ๒๑ และการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง หรือ ACMECS ครั้งที่ ๗ ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยโดยประกาศราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้ว จำนวน ๑๗๘ ฉบับ และอยู่ระหว่างรอการบังคับใช้ จำนวน ๕ ฉบับ รวมทั้งการจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1500 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 16 ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | คค | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๑๖ (The 16th Meeting of the Joint Committee on Railway Cooperation between Thailand and China) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน-๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายหวัง เสี่ยวเทา รองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานร่วมการประชุมฯ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันเกี่ยวกับ “ร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕” (MOC) เพื่อยืนยันความพยายามที่จะพัฒนาโครงการรถไฟระยะที่ ๒ (นครราชสีมา-หนองคาย) และได้หารือในรายละเอียดของร่างสัญญา ๒.๑ (การออกแบบรายละเอียด) และร่างสัญญา ๒.๒ (ที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง) ซึ่งคณะทำงานทั้งสองฝ่ายจะเร่งดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อสรุปในทุกประเด็นของร่างสัญญาก่อนการประชุมฯ ครั้งที่ ๑๗ รวมทั้งเห็นชอบการปรับปรุงแผนงานโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธาและแผนงานความร่วมมือด้านการเงินให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของการดำเนินโครงการที่คาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างโครงการรถไฟระยะที่ ๑ (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) ได้ภายในปี ๒๕๖๐ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในหลักการให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๑๗ ในวันที่ ๑๖-๑๘ มกราคม ๒๕๖๐ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้โครงการรถไฟระยะที่ ๑ (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) สามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
