ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 76 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1501 - 1520 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1501 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๖ โดยแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจในการกระทำกิจการของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ในการคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันที่ได้มีการยกเลิกทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรเพิ่มเติมหลักการในการแก้ไขพระราชบัญญัติฯ ในครั้งนี้ โดยให้ตัดรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกจากองค์ประกอบของคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่กำหนดให้กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกฎหมายจัดตั้งในส่วนกรรมการโดยตำแหน่งที่ขัดหลักธรรมาภิบาลที่ดี กล่าวคือ กรรมการโดยตำแหน่งต้องไม่เป็นผู้กำกับดูแลรายสาขา (regulator) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งออกกฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อสร้างความชัดเจนในทางปฏิบัติแก่ผู้ส่งออก ผู้ลงทุน ธนาคารของผู้ส่งออกหรือของผู้ลงทุน รวมถึงสถาบันทางการเงินอื่น ๆ ที่จะทำธุรกรรมด้านการประกันกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1502 | รายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2559 | นร11 | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการพิจารณาปรับปรุงงบลงทุน ประจำปี ๒๕๕๙ ๑.๑ ช่วงไตรมาส ๔ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๙) มีการปรับลดกรอบวงเงินเบิกจ่ายสุทธิ จำนวน ๑๐,๘๐๗ ล้านบาท ประกอบด้วย การปรับลดวงเงินเบิกจ่ายลงทุน ๑๐,๙๕๘ ล้านบาท [รัฐวิสาหกิจที่ปรับลดวงเงินเบิกจ่ายที่สำคัญ ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ] และการปรับเพิ่มวงเงินเบิกจ่ายลงทุน ๑๕๑ ล้านบาท [รัฐวิสาหกิจที่ปรับเพิ่มวงเงินเบิกจ่ายที่สำคัญ เช่น บริษัทผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด และบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด] ๑.๒ ภาพรวมทั้งปีเบื้องต้น (ตุลาคม ๒๕๕๘-ธันวาคม ๒๕๕๙) มีการปรับปรุงวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจปี ๒๕๕๙ ระหว่างปีตามผลการจัดสรรเงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ การอนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมระหว่างปีของคณะรัฐมนตรี และการปรับเพิ่ม/ลดงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ๔๔ แห่ง จากทั้งหมด ๕๖ แห่ง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในการดำเนินการ ส่งผลให้กรอบการเบิกจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เปลี่ยนแปลงไปจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติไว้ จากเดิม ๕๓๓,๑๖๗ ล้านบาท เป็น ๔๑๓,๖๖๘ ล้านบาท ๒. ผลการเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ ผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้งในไตรมาส ๔ และในภาพรวมของปี ๒๕๕๙ ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยในเบื้องต้นรัฐวิสาหกิจคาดว่าจะเบิกจ่ายลงทุนในปี ๒๕๕๙ ได้ทั้งสิ้น ๓๐๒,๒๔๕ ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ ๗๒.๔ ของเป้าหมายรวม ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๒ กันยายน ๒๕๕๘) ที่กำหนดเป้าหมายไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของวงเงินเบิกจ่ายลงทุนที่ได้รับอนุมัติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1503 | สรุปผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | นร04 | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๗-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจ ระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๕ และร่วมกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ตลอดจนพบปะกับนักธุรกิจและนักลงทุนสำคัญของจีน และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลการประชุมฯ และผลการหารือในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าการค้า ๑๒๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๓ การเชิญนักลงทุนจีนมาลงทุนในไทย ความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร ด้านโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ด้านดิจิทัล ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรม และด้านอวกาศ ด้านการเงิน ด้านการท่องเที่ยว ด้านพลังงาน รวมทั้งความร่วมมือในระดับท้องถิ่น และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ตามตารางที่กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจัดทำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ เห็นควรให้พิจารณาหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดตั้งสถาบัน New Economy Academy (NEA) ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และเห็นควรพิจารณาให้บุคลากรในเครือข่ายโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีระบบขนส่งทางรางแห่งชาติเข้าร่วมสังเกตการณ์และเรียนรู้เทคโนโลยีที่ฝ่ายจีนใช้ในการสร้างและวางระบบราง รวมทั้งควรพิจารณาให้หน่วยงานฝ่ายไทยที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบินและอวกาศเตรียมบุคลากรให้เพียงพอสำหรับเตรียมรับและเรียนรู้เทคโนโลยีจากฝ่ายจีน โดยกรณีที่จีนเสนอให้ไทยใช้ประโยชน์จากกองทุน ASEAN-China Maritime สำหรับโครงการพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียม ควรพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อให้ได้เงื่อนไขที่เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ควรมีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างไทยและหน่วยงานท้องถิ่นทั้งภาครัฐและเอกชนของจีน และทำการศึกษาเชิงลึกในระดับพื้นที่เพื่อพัฒนาการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันให้มากขึ้น ตลอดจนจัดเรียงลำดับสาขาความร่วมมือที่มีโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-จีน โดยให้มีความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศไทย ๔.๐ อาทิ การพัฒนา ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย คลัสเตอร์อุตสาหกรรม ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก การยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงห่วงโซ่การผลิต และสามารถเชื่อมโยงนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน เช่น นโยบาย One Belt One Road เพื่อให้การจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณในการสนับสนุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1504 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับเครื่องสำอาง พ.ศ. .... | สธ | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับเครื่องสำอาง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงค่าธรรมเนียมสำหรับคำขอจดแจ้ง ใบรับจดแจ้งการผลิตเพื่อขาย ใบรับจดแจ้งการนำเข้าเพื่อขาย ใบรับจดแจ้งการรับจ้างผลิต ใบแทนใบรับจดแจ้ง คำขอแก้ไขรายการในใบรับจดแจ้งหนังสือรับรองต่าง ๆ การขอความเห็นการใช้ฉลาก การขอความเห็นการโฆษณา การต่ออายุใบรับจดแจ้งประเภทนั้น ๆ และคำขออื่น ๆ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1505 | ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ยกเว้นในส่วนของการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพระบบสหกรณ์และการแก้ไขวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาสหกรณ์ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างการกำกับดูแลสหกรณ์ให้มีความอิสระและคล่องตัว การกำหนดอำนาจนายทะเบียนสหกรณ์ในการออกเกณฑ์ความมั่นคงทางการเงินให้ชัดเจน การกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการดำเนินการสหกรณ์สามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน ๒ วาระติดต่อกัน การกำหนดอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการกองทุนรักษาเสถียรภาพระบบสหกรณ์ให้มีความชัดเจน การกำหนดให้ทุน ทรัพย์สิน หนี้สินและงบประมาณของกองทุนพัฒนาสหกรณ์เดิมมาเป็นของกองทุนพัฒนาสหกรณ์ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งพิจารณาภารกิจและอำนาจหน้าที่ของกองทุนรักษาเสถียรภาพระบบสหกรณ์และกองทุนพัฒนาสหกรณ์ให้เหมาะสมและชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและแจ้งเตือนปัญหาเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินให้สหกรณ์ได้ดำเนินการปรับปรุงและแก้ไขควบคู่ไปด้วย และเร่งปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลสหกรณ์ โดยเฉพาะสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน โดยปรับปรุงกรอบกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิผล เพื่อให้มีกระบวนการกำกับตรวจสอบที่รัดกุม เพื่อกำกับดูแลความเสี่ยงของสหกรณ์โดยเฉพาะที่ทำธุรกิจทางการเงินให้สอดคล้องกับปรัชญาการดำเนินการของสหกรณ์ อีกทั้งการแก้ไขกฎหมายควรจะครอบคลุมเรื่องที่สำคัญเพื่อให้มีการปฏิรูประบบสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ การกำกับดูแลสหกรณ์การเงินจะมีหลักปฏิบัติที่แตกต่างจากการกำกับดูแลสหกรณ์โดยทั่วไป จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการยกร่างกฎหมาย รวมทั้งกำหนดกลไกและแนวทางในการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนในลักษณะเดียวกันกับการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) เพื่อให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส และมีมาตรฐานในลักษณะเดียวกันกับสถาบันการเงินประเภทอื่น ๆ รวมทั้งพิจารณาความจำเป็นในการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพระบบสหกรณ์และการแก้ไขวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาสหกรณ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1506 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2558 | พม | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. สถานการณ์ผู้สูงวัยของโลก ปี ๒๕๕๘ ประชากรโลกมีจำนวน ๗,๓๔๙ ล้านคน โดยมีประชากรอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป จำนวน ๙๐๑ ล้านคน คิดเป็นร้อยละ ๑๒ สำหรับประเทศไทยมีประชากร จำนวน ๖๕.๑ ล้านคน มีประชากรอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป ประมาณ ๑๐.๓ ล้านคน คิดเป็นร้อยละ ๑๖ สาเหตุจากอัตราเกิดที่ลดลงและอายุของคนไทยที่ยืนยาวขึ้น ทำให้สัดส่วนของประชากรสูงอายุขยายมากขึ้น ทำให้ต่อไปอีก ๖ ปี ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ๒. การอยู่อาศัยของผู้สูงอายุไทย ปัจจุบันครัวเรือนไทยมีขนาดเฉลี่ยเพียง ๓ คน สถานที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุมี ๒ ประเภท ได้แก่ การอยู่อาศัยในที่อยู่อาศัยเดิมและสิ่งแวดล้อมเดิมที่ผู้สูงอายุคุ้นชิน และการอยู่อาศัยในที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งเป็นการจัดสวัสดิการของรัฐในเรื่องที่อยู่อาศัยหรือการจัดที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์สำหรับผู้สูงอายุในกรณีที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ในที่เดิมได้ ๓. สถานการณ์เด่นปี ๒๕๕๘ เช่น (๑) กระทรวงสาธารณสุขมอบนโยบายหมอครอบครัวเป็นของขวัญปีใหม่ ๒๕๕๘ แก่ประชาชน เพื่อทำหน้าที่ดูแลปัญหาด้านร่างกายและด้านจิตใจ บรรเทาทุกข์ พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ครอบครัว ชุมชน อย่างใกล้ชิด และ (๒) หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนให้ความสำคัญกับเรื่องผู้สูงอายุ เช่น การปฏิรูปสังคมสูงวัยภายใต้กรอบแนวคิด ๔ ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อมและบริการสาธารณะ รวมทั้งมีการผลักดันพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๔. งานวิจัยเพื่อสังคมสูงวัยปี ๒๕๕๘ เช่น ศึกษาเปรียบเทียบมาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการและสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สูงอายุของไทยและต่างประเทศเพื่อการปรับปรุงกฎหมายไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1507 | รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ประจำปี พ.ศ. 2558 | อื่นๆ | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอ มีผลงานที่สำคัญ ดังนี้
๑. การให้คำปรึกษาและสนับสนุนการดำเนินการเกี่ยวกับการร่างกฎหมายให้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ได้ดำเนินการพิจารณาตามคำขอของประชาชนที่ยื่นเข้ามาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด รวมทั้งสิ้น ๘ เรื่อง ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้แก่ (๑) ร่างพระราชบัญญัติสภาชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎหมายว่าด้วยผังเมือง (๓) ร่างกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม (๔) แนวทางการปฏิรูปกฎหมายข้าวและชาวนา (๕) กรณีขอให้หน่วยงานรัฐยุติการกระทำที่ขัดหลักความยุติธรรมและคืนความเป็นธรรม เยียวยาความเสียหาย และคุ้มครองสิทธิให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ (๖) ร่างพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... (๗) การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ และ (๘) ร่างพระราชบัญญัติจังหวัดปกครองตนเอง พ.ศ. .... ๒. ผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในฐานะหน่วยงานสนับสนุนคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ได้วางกรอบยุทธศาสตร์การปฏิบัติงานไว้ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย (๒) การสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (๓) การพัฒนาองค์ความรู้ และ (๔) การสร้างความพร้อมและพัฒนาองค์กร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1508 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... | นร09 | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ให้สอดคล้องกับภารกิจและเหมาะสมกับสภาพงาน อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1509 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงเพิ่มรายการลงทุน และวงเงินลงทุนรวมโครงการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงและโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล และให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ | นร | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (บมจ.อสมท) เปลี่ยนแปลงเพิ่มรายการลงทุน และวงเงินลงทุนรวมโครงการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงและโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล และให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ และมอบให้คณะกรรมการ บมจ.อสมท เป็นผู้พิจารณาอนุมัติการปรับปรุงการลงทุนโครงการดังกล่าว หากมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้ง และติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการออกอากาศ โดยหากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและวงเงินลงทุนรวมของโครงการ จำนวน ๑,๒๗๓.๐๔ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมติดตามประเมินผลแผนการเปลี่ยนระบบการรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์เป็นระบบดิจิตอล เพื่อให้ทราบผลสำเร็จและผลสัมฤทธิ์ของแผนงานดังกล่าวและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอลในระยะยาว ๒. ให้ บมจ.อสมท ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ บมจ.อสมท เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการลงทุนที่กำหนด และกำหนดกลยุทธ์ด้านการตลาดและการเงินเพื่อแก้ไขสถานการณ์การขาดสภาพคล่องทางการเงินของ บมจ.อสมท และดำเนินการจัดทำแผนบริหารทางการเงินและแผนธุรกิจให้ชัดเจนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสื่อยุคดิจิตอล และปรับรูปแบบรายการให้เหมาะสมและทันสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1510 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และขาดการควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU) เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง สรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ที่ให้ดำเนินการเพื่อขยายความร่วมมือด้านการทำประมงร่วมกับประเทศต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เช่น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เนการาบรูไนดารุสซาลาม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ ๑.๒ ให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะแรงงานในกิจการประมงทะเลและแรงงานในกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบระบบติดตามเรือ (Vessel Monitoring System : VMS) หากพบปัญหาให้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขเพื่อให้สามารถใช้การได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ๑.๔ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำน่านน้ำของเรือประมงให้มีความเหมาะสมโดยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อพิพาทกับต่างประเทศ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมได้เปิดการทดลองเดินเรือเฟอร์รี่เชื่อมอ่าวไทยตอนบน ระหว่างพัทยา-หัวหิน ไปแล้ว นั้น ให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการเดินเรือในเส้นทางดังกล่าวให้มีความปลอดภัยสูงสุด และเร่งรัดให้มีการนำเรือขนาดใหญ่มาใช้ในการเดินเรือ รวมทั้งให้พิจารณาเชิญชวนให้เอกชนรายใหม่มาร่วมดำเนินการเพื่อให้เกิดการแข่งขันในการให้บริการด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิรูปภาคการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ โดยเน้นการทำการเกษตรแบบแปลงใหญ่ การจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร การกำหนดมาตรการจูงใจให้มีการนำที่ดินว่างเปล่ามาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร รวมทั้งให้เร่งรัดการจัดทำ “เกษตรประชารัฐ” ที่เน้นการทำการเกษตรที่มีสัญญาแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันที่เป็นธรรมระหว่างเกษตรกรและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ร่วมปลูกและดูแลรักษาป่า โดยอาจนำแนวทางประชารัฐมาใช้ในการดำเนินการ เช่น การสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ดูแลรักษาป่าควบคู่ไปกับการเพาะปลูกไม้โตเร็ว การกำหนดมาตรการจูงใจเพื่อให้ภาคเอกชนสนับสนุนการปลูกและดูแลรักษาป่าของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้มุ่งเน้นการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ป่าที่เสื่อมสภาพ เช่น เขาหัวโล้น ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษาในแต่ละระดับให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปีข้างหน้า เช่น การเน้นการจัดการสะเต็มศึกษา (Science Technology Engineering and Mathematics Education : STEM Education) และความรู้ด้านภาษาอังกฤษ การปรับปรุงแบบเรียนและแบบทดสอบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันโดยเพิ่มเรื่องจริยธรรมอยู่ในแบบทดสอบ การให้ครูผู้สอนที่มีศักยภาพถ่ายทอดความรู้ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างสื่อการเรียนการสอนนำไปเผยแพร่ในโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล การพัฒนาระบบประเมินผลคุณภาพการศึกษาให้เทียบเท่าระดับสากล รวมทั้งการจัดทำเส้นทางการศึกษา (Education Path) เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เป็นข้อมูลในการเลือกเส้นทางการศึกษาที่เหมาะสมกับตนเอง ๓.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการจัดกลุ่มโรงเรียนสอนศาสนา เช่น โรงเรียนตาดีกา โรงเรียนปอเนาะ ให้เป็นระบบและครบถ้วนเพื่อให้ภาครัฐสามารถจัดสรรงบประมาณสนับสนุนแก่กลุ่มโรงเรียนดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมและนำไปสู่การจัดการเรียนการสอนแก่ผู้เรียนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทั้งในส่วนของการสอนศาสนาและวิชาสามัญ ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่ขณะนี้ในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ประสบอุทกภัยและทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและความเสียหายจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานต่าง ๆ ได้เร่งรัดดำเนินการให้การช่วยเหลือประชาชนไปแล้ว นั้น เพื่อให้การให้ความช่วยเหลือประชาชน รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันและการกำหนดมาตรการป้องกันในอนาคตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๔.๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับผิดชอบการกำกับดูแลการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็นการช่วยเหลือประชาชนตามความเร่งด่วนของสถานการณ์ การเตรียมการฟื้นฟูหลังน้ำลด และการกำหนดแนวทางการป้องกันอุทกภัยในอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อมิให้น้ำท่วมชุมชน สถานที่ราชการ และเส้นทางคมนาคม ๔.๑.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับผิดชอบการกำกับดูแลการรับบริจาคสิ่งของจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้สร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ทั่วถึงด้วย ๔.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชน เช่น การซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหาย พร้อมทั้งสำรวจผังเมืองในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยที่มีลักษณะเป็นการกีดขวางทางระบายน้ำ ขุดลอกคูคลอง รวมทั้งเร่งรัดกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาผังเมืองเพื่อมิให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังอีกในอนาคต และประสานให้กรุงเทพมหานครเตรียมมาตรการรองรับน้ำท่วมในเขตกรุงเทพมหานครที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป ๔.๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมสำรวจเส้นทางคมนาคมที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ เช่น ถนนเพชรเกษม โดยเร่งรัดการซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมที่ได้รับความเสียหายเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ในการสัญจร รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในอนาคต เช่น การปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงเส้นทางคมนาคมที่กีดขวางทางระบายน้ำ การสร้างช่องทางระบายน้ำ (Box Culvert) โดยให้ดำเนินการในพื้นที่ที่สามารถดำเนินการได้ก่อนเป็นลำดับแรก ๔.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำโครงการในลักษณะที่เป็นการให้ทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทั้งใน (ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก) และต่างประเทศร่วมกันบูรณาการการจัดสรรทุนการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของประเทศโดยเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลน นั้น ให้สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้ความสำคัญกับทุนการศึกษาในสาขาที่ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ เช่น สาขาที่สอดคล้องกับ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ สาขาที่สอดคล้องกับการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมของประเทศ (ประเทศไทย ๔.๐) ให้พิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการจูงใจให้ผู้ได้รับทุนการศึกษากลับไปทำงานในส่วนราชการหรือในภูมิลำเนาของตน โดยไม่โยกย้ายไปอยู่ส่วนกลาง เพื่อสนับสนุนการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1511 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาขอนแก่น - น้ำพอง และการประปาส่วนภูมิภาคสาขาพัทยา - แหลมฉบัง - ศรีราชา ปี 2559 | มท | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาขอนแก่น-น้ำพอง และ กปภ. สาขาพัทยา-แหลมฉบัง-ศรีราชา วงเงินลงทุนรวม ๕,๖๒๑.๑๒๙ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยใช้เงินกู้ภายในประเทศเต็มวงเงินโครงการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบประปาและขยายเขตการให้บริการน้ำประปาให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างเพียงพอและทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. ขอบรรจุโครงการฯ ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี ๒๕๖๐ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ อาทิ การให้ กปภ. หารือแนวทางการระดมทุน (การกู้เงิน) กับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะตามระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประสานงาน ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายภายใต้กรอบวงเงินลงทุนที่กำหนด การศึกษารูปแบบและแนวทางการจัดหาแหล่งเงินทุนอื่น การใช้เงินรายได้ชำระคืนการกู้เงิน การควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิตและบริหารจัดการโครงการฯ การจัดทำและดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นอย่างเคร่งครัด การจัดทำแผนการใช้น้ำตามข้อตกลงกับกรมชลประทาน การเร่งประสานการขอใช้ที่ดินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจน การศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีระบบการผลิตให้สามารถรองรับกับคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมได้มากขึ้น หรือมีกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบก่อนเข้าสู่ระบบ การศึกษาแนวทางให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในกิจการประปา นอกจากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อบูรณาการบริหารจัดการแผนปฏิบัติการรองรับปริมาณน้ำเสียที่จะเกิดขึ้น การวางแผนและกำกับดูแลการดำเนินโครงการโดยเคร่งครัดเพื่อให้การลงทุนโครงการฯ เป็นไปตามแผนการกู้เงิน ตลอดจนมีการดำเนินงานโดยโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการน้ำประปาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุม รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านน้ำอื่น ๆ ผลักดันให้มีการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) ในการพิจารณาการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม และมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำให้ชัดเจน โดยมีการบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1512 | ผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 17 (CITES CoP17) การประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 67 และครั้งที่ 68 (SC67 - SC68) และการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Lekgotla) | ทส | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๗ (CITES CoP17) การประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ครั้งที่ ๖๗ และครั้งที่ ๖๘ (SC67-SC68) และการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Lekgotla) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๓ กันยายน-๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ นครโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ซึ่งจากผลการประชุมดังกล่าวได้มีการลงมติรับรองมติที่ประชุม (Resolutions) และข้อตัดสินใจ (Decisions) เพื่อให้ภาคีแห่งอนุสัญญา CITES นำไปปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา รวมถึงมีการลงมติรับรองการเปลี่ยนแปลงบัญชีชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าแนบท้ายอนุสัญญา CITES ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมประมง กรมการปกครอง กรมปศุสัตว์ เป็นต้น ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น การออกระเบียบและกฎหมายกำหนดชนิดสัตว์ป่าและซากของสัตว์ป่าที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออก รวมถึงปรับปรุงพืชอนุรักษ์เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงบัญชีของชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าในการประชุม CITES CoP17 การพัฒนา/ปรับปรุงระบบฐานข้อมูล การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะในเรื่องการค้างาช้างภายในประเทศ เพื่อป้องกันมิให้มีการนำงาช้างที่ผิดกฎหมายมาสวมในตลาดค้างาช้าง เป็นต้น ๑.๓ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ออกไปอีกหนึ่งปี จนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (๓๐ กันยายน ๒๕๖๐) ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นภายหลังที่มีการปรับปรุงและแก้ไขกฎระเบียบกำหนดชนิดสัตว์ป่าและซากของสัตว์ป่าที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความจำเป็นและเหมาะสมไปดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วนก็ให้เสนอขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป นอกจากนี้ ควรมีแนวทางในการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎหมาย/มาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องเสือ และเรื่องช้าง สำหรับเรื่องไม้พะยูง ควรพิจารณาแนวทางเพื่อส่งเสริมการปลูกไม้พะยูงเพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1513 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย - มาบข่า จังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย - มาบข่า จังหวัดระยอง พ.ศ. 2555) | มท | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย-มาบข่า จังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย-มาบข่า จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๕๕ ในที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย และที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อยบางส่วน และที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมบางส่วน เป็นที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า และแก้ไขเพิ่มเติมรายการประกอบแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จำแนกประเภทท้ายกฎกระทรวงของที่ดินประเภทดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับข้อกำหนดของกฎกระทรวงฯ มีการใช้บัญชีกำหนดประเภทและจำพวกโรงงานท้ายกฎกระทรวงบังคับใช้ผังเมืองรวม/เมือง/ชุมชน ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) ให้ยกเลิกการใช้บัญชีกำหนดประเภทและจำพวกโรงงานท้ายกฎกระทรวงบังคับใช้ผังเมืองรวม/เมือง/ชุมชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม และในการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมืองด้วย นอกจากนี้ การใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และกรมโยธาธิการและผังเมืองควรกำกับดูแลเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ควบคุม บังคับ และอนุญาตการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองรวมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เว้นว่าง พื้นที่กันชน และที่ตั้งของพื้นที่อุตสาหกรรม รวมทั้งการอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1514 | กรอบการวิจัยด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรม | ยธ | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการวิจัยด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรม เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและสำนักงบประมาณใช้เป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต่อไป ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ โดยกรอบการวิจัยแบ่งออกเป็น ๖ ด้าน ประกอบด้วย ๑.๑ การวิจัยสำรวจความจำเป็นและความต้องการนวัตกรรมทางกฎหมายให้สอดคล้องและเหมาะสมกับพลวัตทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ๑.๒ การวิจัยประสิทธิภาพของขั้นตอนและการบังคับใช้กฎหมาย โดยศึกษาด้านการนำกฎหมายมาใช้ในทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ๑.๓ การวิจัยพัฒนา ปรับปรุงโครงสร้าง ระบบงาน และบุคลากรขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม ๑.๔ การวิจัยนวัตกรรมและนิติวิทยาศาสตร์ การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรม และการคลี่คลายคดี ๑.๕ การวิจัยพัฒนาและส่งเสริมมาตรการกระบวนการยุติธรรมทางเลือก และการมีส่วนร่วมในงานยุติธรรม ๑.๖ การวิจัยสร้างมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพในด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมสู่การรองรับการเป็นสมาชิกสมาคมประชาคมอาเซียน ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางหรือรูปแบบที่จะนำผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยตามกรอบดังกล่าวบูรณาการการดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม รวมทั้งรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรเพิ่มเติมเรื่องของกฎหมายที่มีความซ้ำซ้อนเป็นภาระ ล้าสมัย และมีปัญหาในการบังคับใช้ เพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมายในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และควรกำหนดกรอบวิจัยฯ เพิ่มเติม เช่น การศึกษาและพัฒนาศาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-court) ประสิทธิภาพการใช้กฎหมายของผู้มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย สภาพปัญหา ความต้องการ และความสะดวกของประชาชนในการใช้บริการของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม แนวทางและความเป็นไปได้ในการใช้ทรัพยากรร่วมกันของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม การพัฒนาปรับปรุงมาตรฐานระบบการบังคับคดีทั้งคดีแพ่งและพาณิชย์ โครงสร้างของระบบการสอนกฎหมาย รวมทั้งการศึกษาและพัฒนาศาลอิเล็กทรอนิกส์ไม่ควรให้ความสำคัญเฉพาะการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ควรมีการพัฒนาเพื่อเป็นทางเลือกในการให้บริการกับประชาชนภายในประเทศด้วย ตลอดจนควรศึกษาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ควรมีการทบทวนเรื่องผลการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรมอย่างรอบคอบกว่าในปัจจุบัน และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีอาญาที่มีความสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1515 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - เมียนมา ครั้งที่ 4 | กห | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีพลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลเอกอาวุโส มีน ออง ไลง์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพเมียนมา เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ รับทราบเรื่องต่างๆ ได้แก่ (๑) ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๓๐ (๒) การประชุม Navy to Navy Talks (๓) การประชุมคณะทำงานร่วมกองทัพอากาศไทยและกองทัพอากาศเมียนมา (๔) การประชุมแลกเปลี่ยนข่าวกรองไทย-เมียนมา (๕) การประชุมหารือฝ่ายเสนาธิการอาวุโส กองทัพไทย-กองทัพเมียนมา (๖) การแลกเปลี่ยนการเยือนของนายทหารระดับสูง (๗) ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และ (๘) เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ กองทัพไทยเชิญกองทัพเมียนมาส่งกำลังพลเข้าร่วมสังเกตการณ์การฝึกร่วม/ผสม Cobra Gold 2017 ณ ประเทศไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ การเข้าร่วมการฝึกร่วมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทหาร และคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ เป็นต้น ๒. ที่ประชุมฯ พิจารณาเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ความร่วมมือทางทหาร (๒) ความร่วมมือในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคี (๓) ความคืบหน้าในการปรับปรุงบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคปี ๒๕๓๓ และ (๔) โครงการพัฒนาทางเลือก ซึ่งประเทศไทยดำเนินโครงการฯ เช่น การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเมียนมาด้านเกษตรกรรม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1516 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 ณ วันที่ 30 กันยายน 2559 | กค | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ และวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ประกอบด้วย หนี้รัฐบาล หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง ๖,๐๑๓,๖๔๙.๘๖ ล้านบาท และ ๕,๙๘๘,๓๘๖.๕๓ ล้านบาท ตามลำดับ ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ โดยได้มีการปรับปรุงแผนฯ แล้ว ๓ ครั้ง มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๕๔๕,๖๐๐.๐๔ ล้านบาท ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑,๓๔๓,๐๘๕.๒๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๙๐ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของรัฐวิสาหกิจ คือ การกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการ โดยจากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๖ แห่ง พบว่า มีรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ แห่ง ที่มีการดำเนินโครงการล่าช้ากว่าแผนฯ ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และการเคหะแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1517 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ตช | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราโทษปรับสำหรับความผิดที่อยู่ในระดับลหุโทษ ซึ่งพนักงาน เจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบ ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์และสอดคล้องกับประมวลกฎหมายอาญาที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม และปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ เช่น มาตรการบังคับสำหรับผู้ขับขี่ที่ได้รับใบสั่งที่ไม่ชำระค่าปรับ มาตรการนำรถที่ใช้ในการกระทำความผิดมาเก็บรักษาและกำหนดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา รวมทั้งปรับปรุงมาตรการเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนให้สอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบันมากขึ้น ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานศาลยุติธรรม อาทิ มาตรการบังคับสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่งซึ่งให้นายทะเบียนชะลอการชำระภาษีไว้ก่อนตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ควรปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เช่น ให้นายทะเบียนรับชำระภาษีประจำปีและจะออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปีได้ก็ต่อเมื่อได้มีการชำระค่าปรับตามใบสั่งแล้ว โดยในระหว่างนั้นนายทะเบียนอาจออกหลักฐานแสดงการชำระภาษีประจำปีให้แก่ผู้ขับขี่เป็นการชั่วคราวไว้ก่อนได้ รวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับการเงินการคลังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามพระราชบัญญัติฯ นอกจากนี้ ในกรณีจำเป็นต้องมีการทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในปัสสาวะหรือเลือดของผู้ขับขี่ ต้องมีการระบุไว้ในกฎหมาย พร้อมกำหนดระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในทุกกรณี เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ทำการทดสอบ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1518 | โครงการดำเนินงานโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมเพื่อพลิกโฉมประเทศสู่ "Thailand 4.0" โดยใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | อื่นๆ | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการดำเนินงานโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมเพื่อพลิกโฉมประเทศสู่ “Thailand 4.0” โดยใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ ๒๕๕๙ จำนวน ๑๒๕,๖๐๕,๕๐๐ บาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดงาน “Opportunity Thailand” ควรพิจารณาการเผยแพร่ภาพและข้อความจากนิทรรศการดังกล่าวผ่านสื่อในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นสื่อระดับโลก เช่น CNBC และ Bloomberg ส่วนกลุ่มเป้าหมายที่จะเชิญชวนเข้าร่วมงานฯ ควรให้ความสำคัญกับนักลงทุนในประเทศเป้าหมายที่เป็นเจ้าขององค์ความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูงที่จำเป็นต่อการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ตลอดจนควรใช้โอกาสนี้ในการประชาสัมพันธ์สิทธิประโยชน์ตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุนที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไข และกฎหมายการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จัดทำขึ้นใหม่เพื่อให้นักลงทุนเห็นถึงโอกาสการลงทุนในประเทศไทยในอนาคต นอกจากนี้ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นหน่วยงานหลักประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดให้เกิดการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งติดตามและประเมินผลสำเร็จของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการโดยให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจ ๔.๐ การประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทย ๔.๐ รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาประชาชนให้พร้อมก้าวเข้าสู่ประเทศไทย ๔.๐ ทั้งนี้ ให้ประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมถึงประเด็นการปฏิรูปและยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1519 | รายงานผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เล่มที่ 2 : ด้านผลกระทบต่อคนพิการ | สว | 27/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เล่มที่ ๒ : ด้านผลกระทบต่อคนพิการ ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ประชุมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ รวม ๔ ประเด็น คือ (๑) ควรเร่งดำเนินการสนับสนุนและจัดตั้งศูนย์บริการคนพิการ (๒) ควรเร่งดำเนินการปรับปรุงนโยบาย และแผนงานด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติให้สอดคล้องกับกรอบการดำเนินงานลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเซนได (The Sendai Framework for Disaster Risk Reduction 2015-2030) (๓) ควรเร่งดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านคนพิการแบบบูรณาการและเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของประเทศ (๔) ควรพิจารณาให้การส่งเสริม สนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคมและพลังพลเมืองอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1520 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเกาะแตน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | มท | 27/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเกาะแตน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มเติมมาตรการห้ามสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้และในที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมกรณีเอกชนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย การกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง การกำหนดการใช้ประโยชนที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ลุ่มน้ำ และแหล่งศิลปกรรม รวมทั้งตามที่ระบุในร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๔ ถึงมาตรการและวิธีการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของผังเมืองรวมฉบับนี้ว่า “(๑) กำหนดพื้นที่และสนับสนุนให้มีการอนุรักษ์และส่งเสริมชุมชนดั้งเดิม และชุมชนการท่องเที่ยวที่สำคัญ” “(๔) อนุรักษ์และสงวนรักษาพื้นที่สำคัญทางศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีและพื้นที่ใช้ประโยชน์ร่วมอื่น ๆ” เมื่อพิจารณาจากข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละประเภทแล้ว ยังไม่ปรากฏถึงมาตรการและวิธีการ ในเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ เห็นควรให้ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุดโดยคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ การใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และเห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างเข้มงวด เพื่อสงวนรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้มีคุณภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
