ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 46 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 901 - 920 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง  | 
									วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 901 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2562 | นร | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ 
											    												    		๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๒ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมฯ รับทราบการกำหนดนโยบายการส่งเสริมการลงทุน และมาตรการรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการขยายการลงทุนและรองรับการย้ายฐานการผลิตภายใต้กรอบและแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุน (Thailand Plus Package) ๗ ด้าน และรับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Mega Projects) ของกระทรวงคมนาคม ๑.๒ ที่ประชุมฯ พิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในประเด็นรูปแบบการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับการก่อสร้างงานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก และการให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มทั้งส่วนตะวันออกและตะวันตก ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย รวมถึงสำนักงบประมาณขอแก้ไขสาระสำคัญที่ได้เสนอความเห็นที่ประชุมฯ ให้ตรงตามข้อเท็จจริงว่า “การให้เอกชนลงทุนค่างานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก และรัฐทยอยชำระคืนให้เอกชนเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี พร้อมดอกเบี้ยตามที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเสนอ นั้น เมื่อพิจารณารายละเอียดของวงเงินค่างานโยธา จำนวน ๘๘,๕๖๘ ล้านบาทดังกล่าว ซึ่งได้คำนวณรวมอัตราเงินเฟ้อที่ร้อยละ ๒.๕ ต่อปี ไว้แล้ว ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายที่เป็นงบสำรองที่จัดเตรียมไว้ (Provisional Sum งานโยธา) จำนวน ๔,๐๒๙ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานโยธา จำนวน ๓,๒๒๓ ล้านบาท ดังนั้น จึงเห็นควรที่รัฐจะชำระคืนเงินร่วมทุนแก่เอกชนตามที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินวงเงินค่างานโยธาของโครงการฯ ส่วนตะวันตก ในกรอบวงเงิน ๙๖,๐๑๒ ล้านบาท เท่านั้น โดยไม่นับรวมอัตราคิดลด” ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป และให้คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ การกำหนดหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนที่จะทำงานในอุตสาหกรรม ควรพิจารณาการกำหนดหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนในสายงานด้านการบริการที่มีมูลค่าสูง (High value service) เช่น การท่องเที่ยวคุณภาพสูง รวมทั้งควรพิจารณาความต้องการสาขาวิชาชีพในอนาคตประกอบด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 902 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติลงนามเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 3 | พณ | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ 
											    												    		๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๓ มีสาระสำคัญเป็นการหารือเกี่ยวกับกลไกของคณะทำงานฯ เพื่อที่จะเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการปรับปรุงแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจข้ามพรมแดน และแผนสำหรับความร่วมมือในอนาคตระหว่างประเทศสมาชิกของคณะทำงานฯ ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในการประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation under Mekong-Lancang Cooperation JWG-CBEC under MLC) ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาถึงประเด็นที่เป็นจุดเน้นหลักของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนที่สอดคล้องกับกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อให้หน่วยงานปฏิบัติสามารถผลักดันขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และส่งผลให้ไทยใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างได้อย่างเต็มที่ และควรผลักดันให้จีนในฐานะประเทศผู้ริเริ่มจัดตั้งกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ได้มีบทบาทนำในการแลกเปลี่ยน และถ่ายทอดองค์ความรู้ในสาขาที่จีนมีความเชี่ยวชาญร่วมกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ อาทิ การนำใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกิจกรรมโลจิสติกส์ และการผลิตในอุตสาหกรรมเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 903 | ร่างกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พ.ศ. .... | ปง | 01/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (International Standards on Combating Money Laundering and the Financing of Terrorism & Proliferation) ตามข้อแนะนำของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (The FATF Recommendations) และเพื่อให้การบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับร่างข้อ ๓๒ มิได้บัญญัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกำหนดแนวทางในเรื่องการพิจารณาปัจจัยและลักษณะของลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำเช่นเดียวกับกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พ.ศ. ๒๕๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๖ และกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าสำหรับผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๑๐) พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๑๕ ซึ่งในกรณีดังกล่าวจะใช้หลักเกณฑ์หรือแนวทางใดในการพิจารณา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เห็นควรจัดให้มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลให้เป็นไปตามมาตรฐาน หรือจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 904 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารราชการในต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กต | 01/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารราชการในต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารราชการในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการจัดหน่วยงานในต่างประเทศกรณีการไม่เพิ่มจำนวนหน่วยงาน เพื่อให้มีความคล่องตัวในการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงาน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับกรณีที่มีผลเป็นการเพิ่มจำนวนหน่วยงานในต่างประเทศ ให้กระทำได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.พ.ร. และในการพิจารณาให้ความเห็นชอบดังกล่าว ให้ร่วมพิจารณากับผู้แทนสำนักงาน ก.พ. ผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีการจัดตั้งหน่วยงานในต่างประเทศที่มีผลเป็นการเพิ่มจำนวนหน่วยงานในต่างประเทศ การยุบเลิกหรือการรวมหน่วยงานในต่างประเทศตามร่างระเบียบฯ เห็นควรพิจารณาถึงความเหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประโยชน์ ความคุ้มค่าของประเทศ และภาระด้านงบประมาณ รวมทั้งการบริหารราชการที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 905 | ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 จำนวน 3 ฉบับ | อก | 01/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 
											    												    		๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการขออนุญาต การตรวจสอบ และการออกใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และการนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการการขออนุญาต การตรวจสอบ และการออกใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และการนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร ตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการขอและการออกใบแทนใบอนุญาตการย้ายสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาต และการโอนใบอนุญาต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการขอและการออกใบแทนใบอนุญาต การย้ายสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาต และการโอนใบอนุญาต ตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมายมาตรฐานและหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการแสดงเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 906 | ข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ | นร12 | 01/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ 
											    												    		๑. เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (โครงการ นปร.) ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไปพิจารณาทบทวนและหารือร่วมกับสำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องในประเด็นต่าง ๆ ให้เหมาะสมชัดเจน ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) ทั้งในด้านวิชาการและการฝึกปฏิบัติราชการควรจะต้องสอดคล้องและตรงตามความต้องการของแต่ละส่วนราชการซึ่งมีบทบาทและภารกิจที่แตกต่างกัน มากยิ่งขึ้น ๑.๒ การบรรจุและแต่งตั้ง นปร. เข้ารับราชการ ควรพิจารณาดำเนินการให้มีการกระจายตัวไปยังส่วนราชการต่าง ๆ อย่างเหมาะสมและทั่วถึง (ไม่กระจุกตัวอยู่ในส่วนราชการเดิม ๆ เพียง ๒-๓ แห่ง เท่านั้น) ๑.๓ นอกเหนือจากการพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมของการขยายกรอบอัตรากำลังของ นปร. เป็นจำนวน ๑๕๐ อัตราแล้ว ควรพิจารณาแนวทางการกำหนดอัตรากำลังรองรับการบรรจุและแต่งตั้ง นปร. ของแต่ละส่วนราชการให้เหมาะสมและมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นด้วย ๑.๔ เมื่อ นปร. ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้รับราชการแล้ว ควรมีกลไกการติดตาม กำกับ ดูแล เพื่อให้ นปร. ดังกล่าวสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ส่วนราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคงไว้ซึ่งความเป็นข้าราชการที่มีความสามารถสูง มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้แก่องค์กร ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น (๑) ควรมุ่งเน้นส่งเสริมสร้างขีดสมรรถนะในการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Management) ในการพัฒนา นปร. รวมทั้งควรศึกษาและกำหนดกรอบแนวทางจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ตลอดจนรูปแบบ วิธีการประเมินผล และแนวทางการบรรจุ นปร. กลับไปยังส่วนราชการนั้น ๆ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการอย่างเป็นระบบ และ (๒) ควรเพิ่มการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติทางด้านเทคโนโลยีในอนาคตที่มีผลต่อการพัฒนาระบบราชการ เพื่อประโยชน์ต่อการสร้างนวัตกรรมในระบบราชการ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการดังกล่าวด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการพัฒนาและบริหารจัดการบุคลากรภาครัฐในภาพรวม ตั้งแต่กระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ระบบราชการ การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรภาครัฐที่อยู่ในระบบราชการแล้วให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะต่าง ๆ ที่สอดคล้องและเท่าทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรักษาบุคลากรภาครัฐไว้ในระบบราชการ เพื่อให้กลุ่มบุคลากรดังกล่าวเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบราชการให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนต่อไป  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 907 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 01/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้ 
											    												    		๑. ด้านสังคม ให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำหลักการ “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” ซึ่งถือเป็นสถาบันที่มีบทบาทใกล้ชิดต่อวิถีชีวิตของคนไทยไปขับเคลื่อนและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้เป็นแหล่งปลูกฝัง บ่มเพาะ และเผยแพร่องค์ความรู้ที่มีประโยชน์ เพื่อพัฒนาจิตใจและจิตสำนึกด้านจริยธรรมให้แก่ประชาชนทุกระดับให้มีสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม รู้รักสามัคคี เสียสละ และกตัญญูรู้คุณ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของคนไทยที่ควรธำรงรักษาไว้ รวมทั้งให้เป็นแหล่งกระจายข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อให้ประชาชนเข้าใจและเข้าถึงโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ เร่งตรวจสอบสภาพพนังกั้นน้ำ ฝายชะลอน้ำ หรือคันกั้นน้ำที่ชำรุดทรุดโทรมเพื่อดำเนินการปรับปรุงและซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพปกติและพร้อมใช้งานโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้ครอบคลุมถึงกรณีพนังกั้นน้ำ ฝายชะลอน้ำ หรือคันกั้นน้ำที่เป็นดินซึ่งชำรุดเสียหายซ้ำซากจากเหตุอุทกภัย และสมควรเปลี่ยนแปลงรูปแบบและวัสดุการก่อสร้างให้มั่นคงถาวรกว่าเดิม 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 908 | ระบบทะเบียนประวัติข้าราชการอิเล็กทรอนิกส์ | นร10 | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการปรับปรุงระบบทะเบียนประวัติข้าราชการ (ก.พ. ๗) จากเดิม ใช้วิธีการบันทึกด้วยมือใน ก.พ. ๗ แนบกระดาษ เป็น ระบบทะเบียนประวัติข้าราชการอิเล็กทรอนิกส์ (Smart ก.พ. ๗) ที่สามารถเชื่อมโยงและเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง และข้อมูลการศึกษาจากฐานข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (เดิม) ทำให้ลดการบันทึกข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ลดความผิดพลาดของการบันทีกข้อมูล และเป็นการใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 909 | ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ 
											    												    		๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๒ เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปเปิดเผยในเว็บไซต์ของสำนักงบประมาณ (www.bb.go.th) และจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 910 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง | กษ | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. เห็นชอบในหลักการโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดวงจรการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังไม่ให้แพร่ระบาดไปยังพื้นที่แห่งใหม่ และเพื่อชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๒ ให้ครบถ้วนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้ครบถ้วน ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ จะต้องตรวจสอบพื้นที่และจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบให้ถูกต้อง โดยคำนึงถึงภารกิจของหน่วยงาน ความพร้อม ศักยภาพและความสามารถ วิธีการดำเนินการที่โปร่งใส ส่วนแหล่งเงินและอัตราค่าใช้จ่าย เห็นควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรกก่อน และ/หรือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้วแต่กรณี และเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินโครงการฯ ควบคู่กับมาตรการอื่น ๆ อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสใบด่างไปยังพื้นที่อื่น อาทิ การควบคุมการนำเข้าหัวมันสด การจัดเตรียมและการใช้ท่อนพันธุ์ปลอดเชื้อโรค การป้องกันและกำจัดแมลงหวี่ขาวซึ่งเป็นพาหะนำโรค ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรในเรื่องโรคระบาด เพื่อประโยชน์ในการดูแลเฝ้าระวังในพื้นที่ของตนเอง และควรสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ภาคเอกชนหรือสมาคมที่เกี่ยวข้องในการป้องกันโรคใบด่างมันสำปะหลัง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะกรณีการขอใช้งบประมาณเพื่อดำเนินโครงการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 911 | การปรับปรุงแก้ไขการจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงาน อำนาจหน้าที่ของส่วนงาน และอัตรากำลังของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร | นร51 | 10/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. เห็นชอบในหลักการการจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงาน อำนาจหน้าที่ของส่วนงานและอัตรากำลังของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นการปรับปรุงการจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงาน หน้าที่และอำนาจของส่วนงาน และอัตรากำลังของ กอ.รมน. เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป และรองรับการปฏิบัติภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กอ.รมน. ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (๑) ประเด็นด้านความมั่นคง (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ตามที่ กอ.รมน. เสนอ และให้ส่งร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ /๒๕๖๒ เรื่อง การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงาน หน้าที่และอำนาจของส่วนงาน และอัตรากำลังของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้ กอ.รมน. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การจัดโครงสร้างของ กอ.รมน. ควรคำนึงถึงความเหมาะสม สอดคล้องกับภารกิจ และการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุตามยุทธศาสตร์และเป้าหมายที่กำหนด ส่วนกรณีการขออนุมัติกรอบอัตรากำลังเพื่อปฏิบัติงานใน กอ.รมน. นั้น อัตรากำลังช่วยราชการ เห็นควรให้พิจารณาตามเหตุผลความจำเป็นของภารกิจตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และควรมีการทบทวนกรอบอัตรากำลังช่วยราชการเป็นรายปี เพื่อให้สอดคล้องกับแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรประจำปี สำหรับอัตรากำลังประจำ เห็นควรให้ กอ.รมน. บริหารจัดการภายใต้กรอบอัตรากำลังที่มีอยู่เดิม เพื่อควบคุมงบประมาณด้านบุคลากรไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นตามแนวทางที่ กอ.รมน. ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 912 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2562 | นร11 | 10/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ 
											    												    		๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๒ เกี่ยวกับกรอบแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนเพื่อชักจูงและรองรับการลงทุนจากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติมาประเทศไทย (Thailand Plus Package) และการแก้ไขปัญหาโรคไวรัสใบด่างในมันสำปะหลัง ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝายเศรษฐกิจเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ ๑.๑ กรณีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากกรอบแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนเพื่อชักจูงและรองรับการลงทุนจากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติมาประเทศไทย (Thailand Plus Package) เห็นควรที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสม และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ความประหยัดและความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับ รวมถึงการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ๑.๒ สำหรับการแก้ไขปัญหาโรคไวรัสใบด่างในมันสำปะหลัง เห็นควรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องตรวจสอบพื้นที่และจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงภารกิจของหน่วยงาน ความพร้อม ศักยภาพและความสามารถ วิธีการดำเนินการที่โปร่งใส ส่วนแหล่งเงินและอัตราค่าใช้จ่าย เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณใสโอกาสแรกก่อน พร้อมปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้วแต่กรณี และขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 913 | ขออนุมัติงบกลางปี 2562 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเนื่องจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ | นร | 10/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๖๑,๕๓๓,๒๐๐ บาท สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเนื่องจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการแก้ไขป้องกันอุทกภัยอย่างยั่งยืน ความคุ้มค่าในการดำเนินงานและประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน และสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๒ และเมื่อดำเนินโครงการแล้วเสร็จ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินโครงการต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในโอกาสแรก เพื่อรายงานถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอเรื่องต่อรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเห็นชอบสั่งการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการ ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๑๐ (๓) ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเฉพาะโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเสียหายของสิ่งก่อสร้างภาครัฐจากอุทกภัย ซึ่งหากไม่ดำเนินการจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและทางราชการ ได้แก่ การปรับปรุงซ่อมแซมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๓. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ได้รับอิทธิพลจากพายุและการดูแลช่วยเหลือประชาชน) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการระบายน้ำและกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและสามารถเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในฤดูแล้ง โดยให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมเป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินการก่อน นั้น ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดพื้นที่ของประชาชนที่เป็นบริเวณท่วมซ้ำซากที่เหมาะสมเป็นพื้นที่รับน้ำ (แก้มลิง) และกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งให้เหมาะสมและชัดเจนโดยเร็ว โดยหากมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ของประชาชน ก็ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น การจ่ายเงินชดเชย การเช่าใช้พื้นที่ เป็นต้น รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแหล่งเงินและอัตราค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 914 | การร่วมลงนาม รับรอง และให้ความเห็นชอบเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 51 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวม 12 ฉบับ | พณ | 03/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. เห็นชอบร่างข้อตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition Arrangement on Type Approval for Automotive Products) เป็นการอำนวยความสะดวกในการยอมรับรายงานผลการทดสอบผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียนซึ่งกันและกัน รวมถึงการยกระดับการค้าของอาเซียน ขจัดอุปสรรคที่ไม่จำเป็นต่อการค้าอันเนื่องมาจากกฎระเบียบทางเทคนิค และเพื่อกระชับและขยายความร่วมมือโดยเฉพาะการรับรองแบบยานยนต์ เพื่อสนับสนุนให้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเกิดขึ้นจริง และร่างพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (ASEAN Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism) เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓-๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร และเมื่อลงนามแล้ว ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบข้อตกลงฯ และพิธีสารฯ ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้ร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ มีผลผูกพัน เมื่อรัฐสภามีมติให้ความเห็นชอบร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ แล้ว ๖. เห็นชอบร่างเอกสาร รวม ๑๐ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างแผนการดำเนินงานตามกรอบการบูรณาการด้านดิจิทัลของอาเซียน ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๘ (ASEAN Digital Integration Framework Action Plan 2019-2025) (๒) ร่างแนวทางการพัฒนาแรงงานมีทักษะ/ผู้ประกอบวิชาชีพเพื่อรับมือกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ (Guideline on Skilled Labor/Professional Services Development in Response to the Fourth Industrial Revolution) (๓) ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมอาเซียนไปสู่อุตสาหกรรม ๔.๐ (ASEAN Declaration on Industrial Transformation to Industry 4.0) (๔) ร่างแนวทางในการส่งเสริมการใช้ดิจิทัลสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยอาเซียน (Policy Guideline on Digitalization of ASEAN Micro Enterprises) (๕) ร่างการปรับปรุงข้อบทว่าด้วยระเบียบวิธีปฏิบัติด้านหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อรองรับระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียน (Amended ATIGA Operational Certification Procedure to allow for ASEAN-wide Self-Certification Scheme) (๖) ร่างการปรับปรุงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียน (Amended CO Form D) (๗) ร่างขอบเขตการดำเนินงานของการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (TOR : General Review of the ASEAN Trade in Goods Agreement) (๘) ร่างแผนความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Programme of Cooperation between the Eurasian Economic Commission and the Association of Southeast Asian Nations for 2019-2020) (๙) ร่างแผนงานเพื่อยกระดับการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA FJC Work Plan for the Upgrade Negotiations) และ (๑๐) ร่างแถลงการณ์ของรัฐมนตรีในโอกาสครบรอบ ๑๐ ปีความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (Ministerial Statement on the 10th Year Anniversary of the AANZFTA) จะเป็นผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (AEM) ในครั้งนี้ ซึ่งจะทำให้องค์กรรายสาขาด้านเศรษฐกิจของอาเซียนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคู่เจรจาของอาเซียนไปดำเนินงานตามแผนงานได้ และเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับอาเซียนในการรับมือและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทต่อการประกอบธุรกิจการค้าและระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้าให้มีความทันสมัย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและชั้นตอนการดำเนินงานและช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังเป็นการประสานความร่วมมือกับประเทศนอกภูมิภาคซึ่งจะเป็นการขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๗. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมรับรองร่างเอกสารตาม (๑)-(๔) และให้ความเห็นชอบร่างเอกสารตาม (๕)-(๑๐) ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (AEM) ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓-๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำในร่างเอกสารดังกล่าวที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๘. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับร่างข้อตกลงฯ และร่างพิธีสารฯ เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่จะกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองและวรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ กระทรวงพาณิชย์จะต้องเป็นผู้พิจารณาว่าเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๙. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดและกำกับติดตามโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ระยะที่ ๒ ให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ เพื่อรองรับการบังคับใช้ตามร่างข้อตกลงฯ รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานยานยนต์ในอาเซียนในอนาคต เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ภายในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 915 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญฯ (เดือนเมษายน - มิถุนายน 2562) | นร11 | 03/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา ๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๒) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ 
											    												    		๑. ความคืบหน้า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) กิจกรรม/ประเด็นย่อยภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ มีความคืบหน้าแบ่งได้เป็น ๔ กลุ่ม คือ กิจกรรมที่ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๑๒๑ กิจกรรม (ร้อยละ ๑๐) กิจกรรมที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฯ จำนวน ๙๗๔ กิจกรรม (ร้อยละ ๗๙) กิจกรรมที่อยู่ระหว่างการดำเนินการแต่ล่าช้ากว่าแผนฯ จำนวน ๙๒ กิจกรรม (ร้อยละ ๘) และกิจกรรมที่ต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๔๒ กิจกรรม (ร้อยละ ๓) และ (๒) กฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ จำนวน ๒๒๑ ฉบับ พบว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ มีความคืบหน้าในการออกกฎหมายใต้แผนการปฏิรูปประเทศทั้งสิ้น ๔๕ ฉบับ (ร้อยละ ๒๐.๓๖ จากกฎหมายทั้งหมด) ๒. ปัญหาอุปสรรค ได้แก่ การปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ อยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดความสอดคล้องของแผนการปฏิรูปประเทศกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ อยู่ระหว่างการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวในตำแหน่งที่ว่างอยู่ตามขั้นตอนของกฎหมาย ๓. ข้อเสนอแนะ ได้แก่ การให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบตามแผนการปฏิรูปประเทศเร่งดำเนินการและรายงานผลผ่านระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) และการให้คณะกรรมการปฏิรูประเทศนำกิจกรรมที่ต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาเตรียมการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 916 | ผลการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีและภาคเอกชนกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 12 และการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 11 | นร11 | 03/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ 
											    												    		๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีและภาคเอกชนกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๒ (12th Mekong-Japan Industry and Government Dialogue) เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ เห็นชอบประเด็นหารือของไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๑ และร่างแถลงข่าวร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๑ เพื่อให้รัฐมนตรีประจำกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทย ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองร่างแถลงข่าวร่วมฯ โดยไม่มีการลงนาม ในการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๑ (11th Mekong-Japan Economic Ministers Meeting) ในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร และเห็นชอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถปรับปรุงถ้อยคำในแถลงข่าวร่วมฯ ได้ในกรณีที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขพร้อมด้วยเหตุผลประกอบอีกครั้งหนึ่ง ๑.๓ เห็นชอบมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีประจำกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทย และเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๑ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่ขอเสนอถ้อยคำเพิ่มเติมในร่างแถลงข่าวร่วมฯ ข้อ ๓. (ข) “เร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต่อไป เพื่อเพิ่มผลิตภาพและขีดความสามารถของแรงงานในอุตสาหกรรมหลักคือเกษตรและการผลิต และอุตสาหกรรมชั้นสูงที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 917 | รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 03/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ 
											    												    		๑. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงงบประมาณด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ รวมถึงงบประมาณของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้เหมาะสมเป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่สำนักงบประมาณได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในครั้งนี้ และให้ประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการต่อไป ๑.๒ ขอแก้ไขคำผิด จากเดิม คำว่า “สำนักงานสภาเกษตรแห่งชาติ” ที่ปรากฎในเอกสารที่เสนอคณะรัฐมนตรีทุกแห่ง เป็น “สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ” ๒. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของหน่วยรับงบประมาณ รวมทั้งแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และให้สำนักงบประมาณนำรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของหน่วยรับงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปรับฟังความคิดเห็นให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๗๗ วรรค ๒ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 918 | แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ได้รับอิทธิพลจากพายุและการดูแลช่วยเหลือประชาชน | นร04 | 03/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ในแต่ละปีประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากมรสุมและพายุต่าง ๆ ส่งผลให้มีฝนตกหนัก มีปริมาณน้ำมากจนทำให้เกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ แต่ก็ไม่สามารถกักเก็บน้ำดังกล่าวไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งระบายน้ำพร้อมกับให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย และได้จ่ายเงินเยียวยาให้แก่ประชาชนที่เสียสละยอมรับน้ำเข้าไปในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งทำให้ต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากทั้งเพื่อการระบายน้ำและการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน จึงสมควรที่จะพิจารณาทบทวนแนวทางในการดำเนินการทั้งในช่วงฤดูฝนและฤดูแล้งให้เหมาะสม คุ้มค่า และมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เช่น ในพื้นที่ที่ไม่สามารถระบายน้ำได้อย่างคล่องตัวทำให้ต้องระดมสรรพกำลังหรืองบประมาณมากจนเกินความจำเป็น อาจขอความร่วมมือให้ประชาชนในพื้นที่รับน้ำเข้าไปในพื้นที่ของตนเองโดยรัฐชดเชยความเสียหายให้ในอัตราที่เหมาะสม และส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่น้ำท่วม รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่รับน้ำ (แก้มลิง) ชั่วคราวที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นพื้นที่กักเก็บน้ำถาวร การจัดทำธนาคารน้ำใต้ดินที่มีการควบคุมคุณภาพน้ำที่กักเก็บให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีความสะอาด ปลอดภัยเพียงพอสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ต่อ 
											    												    		คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการระบายน้ำและกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและสามารถเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้ในฤดูแล้ง โดยให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมเป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินการก่อน ทั้งนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนต่อไป 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 919 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 12 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (The 12th IMT - GT Summit) | นร11 | 27/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ 
											    												    		๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๒ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมประชุมฯ โดยที่ประชุมฯ ได้ให้ความเห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ได้แก่ ผลสำเร็จด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ในปี ๒๕๗๙ และความก้าวหน้าของแผน IMT-GT ในรอบปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ได้แก่ ด้านคมนาคม ด้านการท่องเที่ยว ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านการพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการพัฒนาความร่วมมือกับสภาธุรกิจ IMT-GT ด้านความร่วมมือกับสำนักเลขาธิการ IMT-GT และหุ้นส่วนการพัฒนา รวมทั้งเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขแถลงการณ์ร่วมการประชุมผู้นำครั้งที่ ๑๒ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนการดำเนินแผนงาน IMT-GT ได้แก่ (๑) การศึกษาทบทวนระเบียงเศรษฐกิจ IMT-GT และจัดทำการบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าข้ามแดนระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศ IMT-GT ในผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ อาทิ ยาง ปาล์มน้ำมัน อาหารฮาลาล (๒) การทบทวนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยพิจารณาปัจจัยการเปลี่ยนแปลงในโลกและภูมิภาค (๓) การเร่งรัดโครงการที่เป็นผลประโยชน์อย่างสูงต่อไทย (๔) การปรับปรุงด้านตัวชี้วัดความก้าวหน้าและความสำเร็จในการขับเคลื่อนแผนงานที่ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง และ (๕) การเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคีการพัฒนาเดิม ได้แก่ สำนักเลขาธิการอาเซียน และธนาคารพัฒนาเอเชีย พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาใหม่ที่มีศักยภาพ ๑.๒ เห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยรับทราบผลการประชุมที่สำคัญ แผนดำเนินการระยะต่อไป และพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติซึ่งมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นด้านความมั่นคง เช่น การดำเนินโครงการสะพานถนนเชื่อมโยงจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส โดยเน้นพื้นฐานบนผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมตามบริเวณชายแดน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสันปันน้ำและหลักเขตแดน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 920 | การปรับปรุงคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | ปช | 27/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จำนวน ๓,๔๙๔,๓๕๔,๖๐๐ บาท และงบประมาณกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จำนวน ๒๖๙,๔๙๓,๒๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ถือว่าการเสนอคำของบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และหลักเกณฑ์การปรับปรุงคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
					.....
									
			