ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 5 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 81 - 100 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
81 | โครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน 3 GeV และห้องปฏิบัติการ | อว. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม โครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน ๓
พันล้านอิเล็กตรอนโวลต์ (GeV) และห้องปฏิบัติการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำนักงบประมาณ เห็นควรให้สถาบันแสงซินโครตรอน
(องค์การมหาชน) คำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ประโยชน์ที่จะได้รับ
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน
ศักยภาพในการดำเนินการ ตลอดจนสถานะการเงินการคลังของประเทศ และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มผู้ใช้บริการเดิมรับทราบถึงแผนการดำเนินงานโครงการในช่วงเปลี่ยนผ่าน
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการใช้บริการเครื่องกำเนิดแสงเพื่อพัฒนางานวิจัยที่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลานานในการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลสรุป
รวมทั้งกำหนดแผนการตลาดเชิงรุกเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนจากภาคเอกชนและกำหนดแผนการขยายกลุ่มผู้ใช้บริการให้หลากหลายมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทั้งในและต่างประเทศ
และควรพิจารณาทบทวนอัตราค่าบริการให้มีความเหมาะสมและเพียงพอต่อการบริหารโครงการในระยะยาวและเพื่อสามารถลดการพึ่งพางบประมาณจากทางภาครัฐ
พร้อมทั้งวางแผนการบริหารโครงการอย่างรัดกุมและรอบคอบเพื่อให้โครงการสามารถแล้วเสร็จได้ตามกำหนด ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณฯ ตามข้อ ๑ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุนและรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไปทั้งหมดให้เหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา แล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนและกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
82 | โครงการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะ (Skill/Credit Portfolio) รายบุคคลระดับอุดมศึกษาสำหรับการวางแผนและพัฒนากำลังคน ของประเทศ | อว. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม โครงการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะ (Skill/Credit Portfolio) รายบุคคลระดับอุดมศึกษาสำหรับการวางแผนและพัฒนากำลังคนของประเทศ
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๕,๔๑๓.๗๕ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี
(พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๒) ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรเชื่อมโยงหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกับหน่วยงานด้านการศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและการจัดหาระบบคลาวด์ควรดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย
มาตรฐาน และกรอบกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว สำหรับการกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ
ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหากจะมีการพัฒนาระบบในการสะสมและจัดการข้อมูลทักษะที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างการศึกษาและอาชีพ
ควรมีการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน
สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ในการออกแบบพิมพ์เขียว (blueprint) ระดับประเทศ
โดยพิจารณาต่อยอดจากแพลตฟอร์มการพัฒนาทักษะและยกระดับทักษะของบุคคลที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว
และออกแบบองค์ประกอบภายในแพลตฟอร์ม (module) ที่มีการกำหนดบทบาทหน้าที่และผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนอย่างเป็นเอกภาพบนมาตรฐานเดียวกัน
ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐสามารถวางแผนพัฒนาทักษะของกำลังคนได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณฯ ตามข้อ
๑ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุนและรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด
ให้เหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา แล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนและกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
83 | ขออนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ (The Digital Skill/Credit Portfolio: Empowering Educations) | ศธ. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ ของกระทรวงศึกษาธิการ โครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ
(The Digital Skill/Credit Portfolio : Empowering
Educations) งบประมาณจำนวน ๔,๒๑๔,๗๓๘,๐๙๐ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบบประมาณ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำแผนการดำเนินการ
และยืนยันความพร้อมของรายการดังกล่าว โดยกำหนดวัตถุประสงค์และสาระสำคัญของรายการ
รายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ ประมาณการราคาหรือผลการสอบราคา
สถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการให้ชัดเจนและเนื่องจากเป็นโครงการที่จัดหาคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีงบประมาณตั้งแต่
๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ
ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/๑๓๑๗๖ ลงวันที่ ๑๒
พฤษภาคม ๒๕๕๔ เพื่อประกอบการพิจารณา
รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมตามความจำเป็นเร่งด่วน
ศักยภาพในการดำเนินการ ตลอดจนสถานะการเงินการคลังของประเทศ
ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นตามวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหากจะมีการดำเนินการพัฒนาระบบเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและต่อยอดจากระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้แห่งชาติแทนการพัฒนาระบบใหม่
เพื่อลดความซ้ำซ้อนและต้นทุนในการดำเนินงาน
พร้อมทั้งควรมีการออกแบบแนวทางและพัฒนากลไกอื่น ๆ
ในระบบนิเวศของการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล อาทิ การพัฒนาทักษะดิจิทัลของครูในการใช้สื่อการเรียนรู้ออนไลน์
การส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน
การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการสถานศึกษา
เพื่อให้การขับเคลื่อนแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลของประเทศสามารถนำไปสู่การพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณฯ ตามข้อ
๑ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุนและรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด ให้เหมาะสม
สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา แล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนและกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ต่อไป ๓.
ในขั้นการดำเนินโครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ
(The Digital Skill/Credit Portfolio :
Empowering Educations) ของกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าว ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนและเหมาะสมเกี่ยวกับแนวทางการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้
รวมทั้งการจัดทำระบบคลังหน่วยกิตของโครงการฯ เพื่อให้สอดคล้อง เชื่อมโยง
เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
และไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับการดำเนินโครงการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะ (Skill/Credit
Portfolio) รายบุคคลระดับอุดมศึกษาสำหรับการวางแผนและพัฒนากำลังคนของประเทศของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และสามารถตอบสนองต่อการวางแผนการพัฒนากำลังคนของประเทศได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
84 | ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๔
รายการ (ภายใต้โครงการ จำนวน ๔ โครงการ) วงเงินรวม ๑,๖๓๓.๓๙๔๗
ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และยืนยันความพร้อมของโครงการและรายการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ
ประมาณการราคา และกำหนดแบบรูปรายการก่อสร้างให้มีความเหมาะสม
รวมถึงการดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด
การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เห็นควรดำเนินการอย่างรัดกุมและเร่งรัดการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงาน
สำหรับโครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดเพชรบุรี เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีวงเงินงบประมาณเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ยังไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
เห็นควรให้นำเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
85 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับใช้ในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบพื้นที่สถานีรถไฟที่มีศักยภาพ | คค. | 13/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๖๖
ล้านบาท เพื่อสำหรับใช้ในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบพื้นที่สถานีรถไฟที่มีศักยภาพ
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าหากการดำเนินโครงการเข้าข่ายตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ
ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๖ ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๖
จะต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามประกาศฉบับดังกล่าว และจะต้องจัดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชน ในกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๖ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
86 | การขอปรับแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายงบประมาณของการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) | ดศ. | 13/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
กิจกรรมที่ ๒
การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน
(ASEAN Digital Hub) และอนุมัติการปรับแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายงบประมาณของการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
กิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน
(ASEAN Digital Hub) จากปี พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นดังนี้ ๑)
การขยายแผนการดำเนินโครงการฯ ASEAN Digital Hub กิจกรรมย่อยที่
๓ การร่วมก่อสร้างโครงข่ายเคเบิ้ลใต้น้ำระหว่างประเทศระบบใหม่ ASIA Direct
Cable (ADC) เป็นภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ และ๒) การขยายแผนเบิกจ่ายงบประมาณของการดำเนินโครงการฯ
ASEAN Digital Hub กิจกรรมย่อยที่ ๓
การร่วมก่อสร้างโครงข่ายเคเบิ้ลใต้น้ำระหว่างประเทศระบบใหม่ ASIA Direct Cable (ADC) เป็นภายใน พ.ศ. ๒๕๗๓ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย สำนักงบประมาณ เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่รัฐและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
และดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการปรับแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมฯ
กิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศฯ กิจกรรมย่อยที่
๓ การร่วมก่อสร้างโครงข่ายเคเบิ้ลใต้น้ำ ADC หากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยืนยันว่าเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมฯ
คณะรัฐมนตรีก็สามารถพิจารณาให้ความเห็นชอบได้ แต่สมควรเร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดเพื่อมิให้เสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
87 | การทบทวนหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล | กค. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล
โดยกระทรวงการคลังได้จัดทำแบบรายงานข้อมูลโครงการสลากการกุศลตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้การพิจารณาและการติดตามการออกสลากการกุศลครั้งต่อไปเป็นไปอย่างเหมาะสม
มีความรอบคอบ ชัดเจนยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับสถานการณ์และข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นว่าในการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินจากโครงการสลากการกุศลควรคำนึงถึงผลกระทบ
ความจำเป็น และความพร้อมของการดำเนินโครงการที่มุ่งให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและสังคมทุกมิติในวงกว้าง
โดยเฉพาะการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง อาทิ คนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส
ฯลฯ
เพื่อพัฒนาศักยภาพให้พร้อมรับมือกับสภาพปัญหาสังคมที่ผันผวนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วย
และควรมีการติดตามและประเมินผลความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ
ทั้ง ๓๐ โครงการ อย่างเป็นระบบและมีความต่อเนื่อง
เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ เกิดความคุ้มค่า
และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างแท้จริง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
88 | โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย | กค. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond.ติดปีก SME ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
(ธพว.) โดยในปีที่ ๑ - ๓ ให้ ธพว. คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่จากผู้ประกอบการ SME
ร้อยละ ๓ ต่อปี สำหรับปีที่ ๔ - ๑๐ ให้คิดอัตราดอกเบี้ย ตามที่ ธพว.
กำหนด และรัฐบาลจ่ายชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี
ในปีที่ ๑ - ๓ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน ๑,๘๐๐ ล้านบาท
และเมื่อใกล้ครบกำหนดระยะเวลา ๓ ปี ให้กระทรวงการคลัง (ธพว.)
ดำเนินการประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการ SME ที่เข้าร่วมโครงการว่ายังคงมีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่
ประการใด
เพื่อพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการขอรับการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยฯ ต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธพว.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
รวมทั้งให้จัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing Loans : NPLs) ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแล ธพว.
ในการให้สินเชื่อของทั้ง ๒ โครงการ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
และไม่ซ้ำช้อนกับการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของภาครัฐ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
(ธพว.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME ในปีที่ ๖ - ๑๐
ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับข้อมูลครบถ้วนสำหรับประกอบการตัดสินใจ และควรทบทวนอัตราดอกเบี้ยชดเชยให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของงบประมาณภาครัฐที่ต้องชดเชยภายใต้การดำเนินงานโครงการดังกล่าว ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นควรกำหนดกระบวนการคัดกรองลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ
เพื่อให้การสนับสนุนสินเชื่อเป็นไปตามเจตนารมณ์และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ
และควรมีกระบวนการติดตามตรวจสอบการใช้สินเชื่อว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การกู้ยืม
รวมถึงมีกลไกในการบริหารความเสี่ยงของโครงการให้อยู่ในระดับที่ธนาคารยอมรับได้
เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับ
ธพว.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำสรุปผลการดำเนินมาตรการ/โครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
SME ของภาครัฐในภาพรวมให้ถูกต้อง
ครบถ้วน และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบทุกไตรมาส
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
89 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและขอปรับกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและขอปรับกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม
ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ในกรอบวงเงิน
๖,๔๗๓.๙๘
ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทย
ดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (E -
Bidding) ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือที่ประกาศใช้ล่าสุด และรายละเอียดอื่นที่มิได้มีการเปลี่ยนแปลง
ให้ยึดถือตามมติคณะรัฐมนตรีเดิมเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) เร่งรัดการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม
ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการพิจารณาเสนอเรื่อง
การปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมของโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในโอกาสแรก และสร้างความชัดเจนของนโยบายรูปแบบการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) และในกรณีที่มีความเหมาะสมที่จะใช้รูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
เห็นควรให้มีการกำหนดทิศทางการดำเนินงานของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.)
ในอนาคต เนื่องจากปัจจุบัน รฟฟท. เป็นผู้ดำเนินการเดินรถในโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) รวมทั้งเร่งดำเนินการให้ได้มาซึ่งเอกชนร่วมลงทุน
เพื่อให้การลงทุนก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองฯ มีความสอดคล้องกับการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
และป้องกันไม่ให้เกิดภาระงบประมาณในการดูแลรักษาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมจากความล่าช้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
90 | การขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร-UNDP (Bangkok-UNDP Regional Innovation Center: RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (Thailand Policy Lab: TPLab) | นร.11 สศช | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development
Programme : UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร - UNDP (Bangkok - UNDP Regional Innovation Center :
RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (TPLab) (โครงการความร่วมมือ RIC) นับแต่วันสิ้นสุดความตกลงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลไทยกับ
UNDP ในการดำเนินงานศูนย์ RIC ในประเทศไทย
ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ เป็นวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ภายใต้กรอบวงเงินโครงการความร่วมมือ RIC ที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม
และเห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลไทยกับ UNDPในการดำเนินงานศูนย์ RIC ในประเทศไทย โดยให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างพิธีสารฯ
ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
91 | รายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน (ธันวาคม 2567) | นร.01 | 24/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน
ประจำเดือนเมษายน - มิถุนายน ๒๕๖๗ โดยมีผลการดำเนินการของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น
(๑) การรายงานผลการลงทะเบียนเป็นจิตอาสาพระราชทาน
(กระทรวงมหาดไทย) โดยมีประชาชนลงทะเบียนแล้ว ๗,๑๙๔,๒๙๒ คน (๒) การจัดกิจกรรมจิตอาสาของส่วนราชการต่าง ๆ (๑๗ หน่วยงาน) ประกอบด้วย
จิตอาสาพัฒนา จิตอาสาภัยพิบัติ จิตอาสาเฉพาะกิจ และวิทยากรจิตอาสา ๙๐๔ มีการจัดกิจกรรม
๒๖,๐๘๖ ครั้ง
(๓) การติดตามความก้าวหน้าโครงการในภารกิจของศูนย์อำนวยการใหญ่ จิตอาสาพระราชทาน
เช่น โครงการพัฒนาคลองโอ่งอ่าง โครงการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่
โครงการพัฒนาพื้นที่บึงบอระเพ็ดและโครงการพัฒนาพื้นที่สระบ่อดินขาว จังหวัดนครสวรรค์
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
92 | โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ | กค. | 24/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ
(โครงการฯ) โดยมอบหมายกระทรวงการคลังดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพ
และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. .... งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
จำนวนไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินที่กลุ่มเป้าหมายได้รับตามโครงการฯ
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เช่น สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
นำส่งฐานข้อมูลผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ เมษายน ๒๕๖๗ สำเร็จ ที่มีสัญชาติไทยและมีอายุตั้งแต่ ๖๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยสำนักงานปลัดกระทรวงการคลังเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลและผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้รับความเห็นและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ธนาคารแห่งประเทศไทย
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงการคลังควรเตรียมแนวทางการประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าว
เพื่อสร้างความเข้าใจในวงกว้างและลดปัญหาการร้องเรียนที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมุ่งเน้นการกำกับดูแลการดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ข้อกฎหมาย
รวมถึงรักษากรอบวินัยการเงินการคลังอย่างรอบคอบ เคร่งครัด
และจัดให้มีการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่า รวมทั้งรายงานปัญหาอุปสรรค
และแนวทางการแก้ไขการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
93 | ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ | ตช. | 24/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ
ออกไปอีก ๕ ปี (พ.ศ.๒๕๖๘ - ๒๕๗๒) ในวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม
๒๕๖๑ ได้อนุมัติไว้ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่ได้รับการขยายในครั้งนี้
โดยดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพลังงาน เห็นควรพิจารณาการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ
ประหยัดคุ้มค่า และให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้กำชับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบกำหนดแผนการดำเนินงานในเรื่องนี้ให้ชัดเจน
มีกำหนดแล้วเสร็จแน่นอน เพื่อให้การดำเนินการตามกฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน) เพื่อพิจารณาทบทวนและปรับปรุงรายละเอียดของโครงการฯ ให้เหมาะสม
ทันสมัย เป็นปัจจุบัน มีช่องทางการแจ้งเหตุฉุกเฉินที่หลากหลาย ครบถ้วน
แล้วให้กำหนดแผนการดำเนินงานต่าง ๆ
และกรอบระยะเวลาของแผนดังกล่าวให้ชัดเจนก่อนดำเนินการต่อไป
โดยไม่ควรมีการขยายระยะเวลาอีก |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
94 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลไม้รูด อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด พ.ศ. .... | มท. | 24/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
ในท้องที่ตำบลไม้รูด อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
แปลง “ตะกาดคลองเจดีย์สาธารณประโยชน์” ในท้องที่ตำบลไม้รูด อำเภอคลองใหญ่
จังหวัดตราด เนื้อที่ประมาณ ๓๖ ไร่ ๑ งาน ๖๑ ตารางวา เพื่อมอบหมายให้องค์การบริหารส่วนตำบลไม้รูดใช้เป็นพื้นที่ดำเนินโครงการระบบจัดการขยะ
เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงและปุ๋ยอินทรีย์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรจัดเตรียมสถานที่แหล่งรับซื้อเชื้อเพลิงขยะบริเวณใกล้เคียงไว้ด้วย
เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
95 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี 2567/68 | พณ. | 17/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๖/๖๗ การดำเนินโครงการเพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าพืชโร่ ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘
และแนวทางมาตรการในการขยายตลาดส่งออกสินค้ามันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๗/๖๘ และอนุมัติในหลักการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี
๒๕๖๗/๖๘ จำนวน ๔ โครงการ ภายในกรอบวงเงิน ๓๖๘,๙๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้มาตรการฯ ดังกล่าว
เพื่อให้การดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๗/๖๘
บรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.)
ควรกำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเพื่อลดความเสี่ยงกรณีที่หลักประกันมีคุณภาพเสื่อมลง
และมีการควบคุมและตรวจสอบสต็อกของหลักประกัน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำหนดแนวทางชดเชยความเสียหายให้
ธ.ก.ส. เพิ่มเติม หากโครงการเกิดความเสียหายมากกว่าที่ประมาณการไว้
รวมทั้งควรประเมินผลการดำเนินของมาตรการ
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และนำมาใช้ประโยชน์สำหรับการออกแบบมาตรการในระยะต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสนับสนุนและส่งเสริมการนำมันสำปะหลังมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้มากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าของมันสำปะหลัง
และเพื่อช่วยระบายสต๊อกในช่วงที่ผลผลิตมันสำปะหลังภายในประเทศมีแนวโน้มกระจุกตัวอันเนื่องมาจากการส่งออกมันสำปะหลังไปยังต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
96 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ และมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | นร.07 | 11/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ และมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
และให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมุ่งเน้นให้เกิดการบูรณาการการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินโครงการสำคัญที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย
รวมถึงมุ่งสนับสนุนการเชื่อมโยงภารกิจของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ต้นน้ำ
กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำอย่างครอบคลุม และควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของงบประมาณรายจ่ายบูรณาการอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
และใช้ผลการประเมินดังกล่าว มาประกอบการทบทวนและพัฒนาแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการในปีต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
97 | ขอยกเลิกโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และขอเสนอโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 | กษ. | 03/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยกเลิกโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๗ (เรื่อง โครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒.
เห็นชอบโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต
๒๕๖๗/๖๘ ภายในกรอบวงเงิน ๓๘,๕๗๘.๒๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้นำข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
(นบข.) ไปประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้
การชดเชยต้นทุนเงินให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ให้คงหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชดเชยอัตราต้นทุนทางการเงินที่ต้องขอรับชดเชยจากภาครัฐในอัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ประจำไตรมาส บวก ๑ เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการชดเชยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการดำเนินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘ ดังกล่าว ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน
เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทันสถานการณ์ รวมทั้งบูรณาการข้อมูลการลงทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
จำนวนเกษตรกร จำนวนพื้นที่เพาะปลูก ราคาซื้อขายในตลาด ปริมาณผลผลิตต่อไร่
ต้นทุนการผลิตต่อไร่ เพื่อจัดทำอัตราการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีความเหมาะสมตามความจำเป็น
ข้อมูลเกษตรกรไม่ตกหล่นและไม่ซ้ำซ้อนในทุกมิติ
โดยดำเนินการในพื้นที่ที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๖
รวมทั้งการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนจัดทำระบบการรายงาน การติดตาม
และการประเมินผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากการดำเนินโครงการ
เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน และการกำหนดนโยบายภาครัฐที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นควรติดตามการปฏิบัติตามเงื่อนไขของเกษตรกรผู้รับเงินสนับสนุนอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และในระยะต่อไป
ควรกำหนดแผนในการยกระดับผลิตภาพเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั้งการลดต้นทุนการผลิต
และเพิ่มผลิตภาพผ่านการใช้เทคโนโลยีให้มีความต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
รวมถึงจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรของภาครัฐ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
98 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 03/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖
กรกฎาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
แนวทางในการส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติเพื่อรองรับการเกษียณผ่านโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ)
โดยเปลี่ยนชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ” เป็น
“โครงการสลากออมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ (สลากเกษียณ)”
และเพิ่มเติมหลักการกรณีผู้ที่มีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์
ให้ซื้อสลากของกองทุนต่อไปได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
ให้รวมถึงการส่งเสริมการออมทรัพย์โดยการออกและขายสลากและกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกที่ซื้อสลากให้ครอบคลุมทั้งสมาชิก
กอช. ในปัจจุบันและผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
(บุคคลทั่วไปที่ประกอบอาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบที่ไม่มีนายจ้าง เช่น พ่อค้า
แม่ค้า แม่บ้าน รับจ้างทั่วไป ฟรีแลนซ์) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกมีการซื้อสลากเป็นการออมเงินอีกรูปแบบหนึ่ง
รวมทั้งสามารถเป็นกลไกการออมเพื่อการชราภาพสำหรับแรงงานนอกระบบให้มีการสะสมเงินออมได้อย่างเพียงพอและต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อรองรับการเกษียณ
และการเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged
Society) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
ที่เห็นควรพิจารณาออกแบบโครงสร้างการดำเนินโครงการ รูปแบบ จำนวนเงินรางวัล และการใช้แหล่งเงินให้มีความเหมาะสมที่จะทำให้โครงการมีความยั่งยืนและไม่พึ่งพางบประมาณเพียงแหล่งเงินเดียว
และต้องมีแผนบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่ชัดเจนทั้งในด้านกระบวนการบริหารจัดการโครงการ
การบริหารการออกสลาก ความพร้อมของระบบงานที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีที่ ๑
เมื่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว และค่าใช้จ่ายในปีที่ ๒ และ ๓
รวมทั้งเงินรางวัลที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำทุกปีให้กระทรวงการคลังและกองทุนการออมแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ให้กระทรวงการคลังและกองทุนการออมแห่งชาติบริหารจัดการกองทุนเพื่อจัดหาประโยชน์
และการลงทุนจากเงินที่สมาชิกซื้อสลากเพื่อการออมให้เป็นไปด้วยความรอบคอบและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกตามนัยมาตรา
๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ อย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เห็นควรให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการเงินสะสมของสมาชิกอย่างมีประสิทธิภาพ
มั่นคง และปลอดภัย โดยควรหาแนวทางการบริหารจัดการเงินสะสมให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราผลตอบแทนความคาดหวัง
(Benchmark) ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสมตามแผนการลงทุนระยะยาวต่อไป
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากระทรวงการคลัง
และ กอช. ควรร่วมกันเตรียมความพร้อมในการศึกษาความเหมาะสมของการเพิ่มทางเลือกให้สมาชิกสามารถเลือกออมเงินต่อไปได้หลังอายุครบ
๖๐ ปี โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอาชีพอิสระและยังต้องประกอบอาชีพต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
99 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน | กษ. | 29/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน
ซึ่งเป็นการรายงานถึงสภาพปัญหาจากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา ได้แก่ (๑)
ปัญหาข้อมูลจำนวนปริมาณน้ำนมโคภายในประเทศถูกโต้แย้งว่าไม่มีความน่าเชื่อถือ (๒)
ปัญหาสัดส่วนสิทธิการจำหน่ายนมโรงเรียนระหว่างสถาบันเกษตรกรกับภาคเอกชนยังไม่มีความเหมาะสม
(๓) ปัญหาเกณฑ์คุณภาพน้ำนมในโครงการ กำหนดปริมาณเนื้อนมรวม (Total Solid) มีมาตรฐานสูงเกินความจำเป็น (๔)
ปัญหาผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมซึ่งเป็นสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการฯ
บางส่วนไม่มีโคนมเป็นของตนเอง และแนวทางการแก้ปัญหาสำหรับโครงการอาหารเสริม (นม)
โรงเรียน ปีการศึกษา ๒๕๖๗ รวมทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะว่า
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวบรวมและจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน
โดยมีการประเมินผลด้วยตัวชี้วัดอย่างเป็นรูปธรรม
พร้อมทั้งแสดงรายละเอียดข้อมูลสถิติ
ตลอดจนรายงานปัญหาและอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาเบื้องต้นเสนอคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยปีละ
๑ ครั้ง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ในคราวต่อไปให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม
(นม) โรงเรียนให้มีข้อมูลครบถ้วนและเสนอคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง
ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
100 | รายงานผลการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการและแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินตามโครงการ | กค. | 19/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|