ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2567 ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย | สธ. | 20/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง
- ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗
ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดแนวทางการดำเนินโครงการความร่วมมือในการพัฒนาสุขอนามัย
เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน
และโครงการเพื่อส่งเสริมสุขภาพของแม่และเด็กตามแนวชายแดนของไทย สปป. ลาว
และเวียดนาม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขระมัดระวังและไม่ดำเนินการใดที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศจากการแลกเปลี่ยนการใช้การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่มีความอ่อนไหว
หรือเป็นองค์ความรู้หรือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งควรเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทยเท่านั้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงาน
รวมถึงกำกับและดูแลการประเมินผลโครงการทั้งด้านการวางแผนโครงการและการดำเนินงานโครงการ
รวมถึงกิจกรรมและการบริหารงบประมาณให้เป็นไปตามข้อกำหนด
รวมถึงสื่อสารผลการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงได้รับ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช 2568 โดยไม่ถือเป็นวันลา | นร.01 | 20/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว
ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช ๒๕๖๘
โดยไม่ถือเป็นวันลา ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการเข้าร่วมบวชชีพรหมโพธิและบวชเนกขัมมะพรหมโพธิของสตรีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในครั้งนี้
ให้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
การให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม) ด้วย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบท ๙๙ รูป
และบวชชีพรหมโพธิ ๗๓ คน
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ในส่วนของการขอยกเว้นการดำเนินการตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
เรื่อง แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการ
เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ รวมถึงประกาศที่เกี่ยวข้อง นั้น
ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งประสานหารือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและดำเนินการให้ถูกต้องตามหน้าที่และอำนาจตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อโปโดยด่วน ๓.
ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเร่งรัดการพิจารณาปรับปรุงประกาศเกี่ยวกับสำนักปฏิบัติธรรมที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้เหมาะสมและเป็นปัจจุบัน
เพื่อสามารถรองรับให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | แนวทางการดำเนินการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (Outstanding Development Opportunity Scholarship: ODOS) | นร.10 | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ
(Outstanding Development
Opportunity Scholarship : ODOS) เพื่อให้นักเรียนซึ่งขาดแคลนโอกาส
มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี มีศักยภาพ ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพและมีศักดิ์ศรี
รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนซึ่งขาดแคลนโอกาส
ให้เข้าถึงการศึกษาและพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างมีคุณภาพ และปลูกฝังทัศนคติให้แก่เด็กและเยาวชนของประเทศในการพัฒนาตนเองอย่างมีเป้าหมายและต่อเนื่อง
ตามที่คณะกรรมการอำนวยการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศเสนอ ให้คณะกรรมการอำนวยการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ
และสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงศึกษาธิการ เห็นควรให้มีการกำหนดแนวทางแผนรองรับภายหลังสำเร็จการศึกษาของผู้รับทุนที่มีความชัดเจนและรัดกุม
โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผู้รับทุนในการสนับสนุนเป็นกำลังสำคัญของภาครัฐและภาคเอกชน
ให้มีความสอดคล้องตามความต้องการท้องถิ่นและทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินโครงการดังกล่าวในทุกปีการศึกษา เพื่อให้ทราบปัญหาอุปสรรคและนำผลการติดตามประเมินผลดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานโครงการและจัดสรรงบประมาณในระยะต่อไปด้วย โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประสิทธิภาพ ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | รายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือน ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๖๗ โดยมีผลการดำเนินการของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น (๑) การรายงานผลการลงทะเบียนเป็นจิตอาสาพระราชทาน (กระทรวงมหาดไทย) โดยมีประชาชนลงทะเบียนแล้ว ๗,๓๒๙,๐๐๕ คน (๒) การจัดกิจกรรมจิตอาสาของส่วนราชการต่าง ๆ (๑๙ หน่วยงาน) ประกอบด้วย จิตอาสาพัฒนา จิตอาสาภัยพิบัติ จิตอาสาเฉพาะกิจ และวิทยากรจิตอาสา ๙๐๔ มีการจัดกิจกรรม ๒๖,๐๓๔ ครั้ง (๓) การติดตามความก้าวหน้าโครงการในภารกิจของศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ โครงการพัฒนาพื้นที่สระบ่อดินขาว จังหวัดนครสวรรค์ ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขาวง (ถ้ำมุนี) และโครงการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันในพื้นที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ | อว. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงิน ๑๗๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท
โดยเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป
เพื่อดำเนินโครงการรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน
ในพื้นที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ๕ แห่ง ในลักษณะโครงการนำร่อง
ของมหาวิทยาลัยมหิดล ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยมหิดล)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | ปัญหาการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดสกลนครและนครพนม | นร. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการในจังหวัดสกลนครและนครพนม
เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๘ พบว่า การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ยังมีปัญหาในด้านการบูรณาการและการติดตามผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้
ทั้งในส่วนของการบริหารจัดการน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค
การบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรกรรม และการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง
ที่ยังไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุผลได้อย่างเป็นรูปธรรมเท่าที่ควร ดังนั้น
จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) รับเรื่องนี้ไปประสาน/กำกับให้หน่วยงานด้านการบริหารจัดการน้ำที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติแล้ว
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
เพื่อให้ความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในพื้นที่จังหวัดสกลนครและและนครพนม
รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงหมดสิ้นไปโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | โครงการสลากการกุศล | กค. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย
ของมูลนิธิต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย วงเงิน ๒๕๐ ล้านบาท
เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว ล่วงเลยระยะเวลาตามที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ มีนาคม ๒๕๖๖ เห็นชอบ เนื่องจากปัจจุบันมูลนิธิฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับกรมธนารักษ์เพื่อขอเช่าที่ดินแปลงอื่น ๑.๒ เห็นชอบให้มีการออกสลากการกุศลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการฯ
จำนวน ๗ โครงการ วงเงิน ๕,๓๐๘.๑๔ ล้านบาท ๑.๓
มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบบาล ดำเนินการดังนี้ ๑.๓.๑
เป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และจ่ายเงินรางวัลสลากการกุศลตามข้อ ๑.๒ ๑.๓.๒
ประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ ๑.๒
เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการออกสลากการกุศล การขออนุญาตการออกสลากการกุศล โดยปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และการนำส่งเงินให้หน่วยงานเจ้าของโครงการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
โดยให้ผู้รับใบอนุญาตการออกสลากการกุศลเสียภาษีการพนันเหลือร้อยละ ๐.๕
แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ ๑๒ (๔) ของกฎกระทรวงมหาดไทย
ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๐๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ๑.๓.๓
จัดทำแผนการออกสลากการกุศลและแผนการใช้เงินของแต่ละโครงการและรายงานต่อคณะกรรมการฯ
เพื่อประโยชน์ในการกำกับ ติดตามการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๑.๔
มอบหมายให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการดังนี้ ๑.๔.๑
ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจในการกำหนดระยะเวลาผูกพันวงเงินขยายระยะเวลาผูกพันวงเงิน
หรือขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนเบิกจ่ายตามเหตุผลความจำเป็นแล้วแต่กรณี ทั้งนี้
หากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศลพิจารณาแล้วเห็นว่า
โครงการดังกล่าวสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศลให้โครงการดังกล่าว
๑.๔.๒ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้เงินภายในโครงการที่ได้รับการสนับสนุน โดยจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากโครงการที่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
โดยโครงการที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ ๑.๒ เป็นในส่วนของทุนการศึกษา
จึงเห็นควรให้ดำเนินการสนับสนุน ตามจำนวนผู้รับทุนการศึกษาที่หน่วยงานเสนอขอรับการสนับสนุนเท่านั้น
โดยให้นำเงินเหลือจ่ายโอนเข้ารายได้แผ่นดิน ทั้งนี้
ในกระบวนการคัดเลือกผู้มีสิทธิรับทุน ควรดำเนินการอย่างโปร่งใส ชัดเจน รอบคอบ
และรัดกุม โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง และความเป็นธรรม เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการลดความเหลื่อมล้ำ
ตลอดจนเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับทุนอย่างเท่าเทียมตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าในการคัดเลือกผู้มีสิทธิรับทุนการศึกษา
หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ
อย่างโปร่งใส โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง และความเป็นธรรม
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการในการลดความเหลื่อมล้ำ และเปิดโอกาสให้ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับทุนการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เห็นควรให้ทุกหน่วยงานร่วมวางแผนวิจัยติดตามประเมินผลความคุ้มค่าหรือวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมของการดำเนินการโครงการสลากการกุศลดังกล่าวเพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการระยะยาวของรัฐบาลที่เหมาะสมต่อไป ๒.
ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดให้การเบิกจ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศลแล้วเสร็จโดยเร็ว
รวมทั้งให้ดำเนินการประเมินผลโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศล
ทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้วย เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๒ (นครพนม สกลนคร และมุกดาหาร) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2568 และวันจันทร์ที่ 28 เมษายน 2568 | นร.11 สศช | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๒ (นครพนม สกลนคร และมุกดาหาร) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๘ และวันจันทร์ที่
๒๘ เมษายน ๒๕๖๘ และเห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตอนบน ๒ จำนวน ๔ โครงการ กรอบวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
และให้สำนักงบประมาณพิจารณาความพร้อม
ความคุ้มค่าของโครงการและความเหมาะสมของวงเงินตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และโครงการที่เป็นข้อเสนอของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชน (กรอ. กลุ่มจังหวัด)
จำนวน ๕ โครงการ กรอบวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท โดยให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า
และผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ โดยมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดฯ
ของภาคเอกชน ในส่วนที่เหลือจำนวน ๒๑ โครงการ
เพื่อบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติที่ประชุมไปพิจารณาเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สำหรับวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการให้หน่วยรับงบประมาณที่เป็นเจ้าของโครงการดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 | นร.14 | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายใต้กรอบวงเงิน ๗,๔๐๔.๓๔๐๖ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี ๒๕๖๘ จำนวน ๒,๗๔๘ รายการ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๗/๔๑๖๗ ลงวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติตรวจสอบชื่อรายการให้ถูกต้องครบถ้วน
หากมีความคลาดเคลื่อนในชื่อรายการ สถานที่ ความซ้ำซ้อนของงบประมาณรายจ่ายประจำปีและเงินนอกงบประมาณ
ให้ประสานหน่วยรับงบประมาณเสนอปรับลดงบประมาณดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล
หรือผู้ที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็นผู้กำกับแผนงานบูรณาการกรณีเป็นการดำเนินการภายใต้แผนงานบูรณาการ
แล้วแต่กรณี ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติควรมีมาตรการกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินโครงการภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ
เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี ๒๕๖๘ โดยเฉพาะการซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์
การสร้างความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภค - บริโภค และการเพิ่มน้ำต้นทุน
ให้เกิดประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2567 | กษ. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
(Mekong-Lancang Cooperation Special Fund : MLCSF) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗
ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อมุ่งสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันแห่งสันติภาพและความมั่งคั่ง
ตามเจตนารมณ์ในการปรึกษาหารือ การประสานงาน
การร่วมมือและการได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน การเคารพกฎหมายและกฎระเบียบของไทยและจีน
และการร่วมติดตามประเมินผลโครงการและการใช้งบประมาณจาก MLCSF
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องระมัดระวังไม่ดำเนินการใดที่จะส่งผลกระทบต่อไทยจากการแลกเปลี่ยน
การใช้ การเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารที่มีความอ่อนไหว หรือเป็นองค์ความรู้
หรือทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งควรเป็นกรรมสิทธิ์ของไทยเท่านั้น ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ มกราคม ๒๕๖๘ (เรื่อง การจัดทำความร่วมมือ/การขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงาน
รวมถึงกำกับและดูแลการประเมินผลโครงการทั้งด้านการวางแผนและการดำเนินโครงการ
รวมถึงกิจกรรมและการบริหารงบประมาณให้เป็นไปตามข้อกำหนด
พร้อมทั้งสื่อสารผลการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงผลประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาสัมพันธ์ จำกัด ที่จังหวัดพัทลุง | อก. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันให้บริษัท
ศิลาสัมพันธ์ จำกัด ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่
๑/๒๕๕๙ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง
มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้
และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง
การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรมีการตรวจสอบ
กำกับ และติดตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่
พร้อมทั้งคำนึงถึงความสามารถในการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอันเนื่องมาจากการทำเหมืองแร่หินหรือกิจการที่ก่อให้เกิดมลพิษ
และควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง
ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงผลกระทบและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการทำเหมืองแร่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรดำเนินการติดตามตรวจสอบพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการดำเนินโครงการเหมืองแร่ดังกล่าว
เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่คำขอประทานบัตรว่ามีสภาพแวดล้อมและการใช้ประโยชน์พื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือไม่
และเพื่อป้องกันมลภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ที่อยู่รอบบริเวณของพื้นที่โครงการ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | การสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ | นร. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การดำเนินโครงการ
Maha Songkran World
Water Festival 2025 รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของภาคเอกชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์
ปี ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา
ถือเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ในรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สร้างรายได้ และยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก ดังนั้น
เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปี
๒๕๖๘ จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
โดยเน้นย้ำถึงมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุน
รวมตลอดถึงความพร้อมในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของต่างชาติด้วย ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินโครงการ
Maha Songkran World Water Festival 2025
ให้แพร่หลายและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดยให้เน้นย้ำถึงความสำเร็จในการดำเนินกิจกรรม
การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและเอกชน รวมถึงผลดีด้านเศรษฐกิจและรายได้ที่เพิ่มขึ้น
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและแรงจูงใจให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ตลอดจนเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในฐานะจดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมและงานเทศกาลระดับโลกต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | ขอความเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อปรับเปลี่ยนสาระสำคัญของความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา - ไทย | กต. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Notes of Exchange) ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา-ไทย
และให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามหนังสือแลกเปลี่ยนฯ
ดังกล่าว โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขสาระสำคัญของความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา-ไทย
ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๐ จำนวน ๗ ประเด็น
เช่น (๑) การเปลี่ยนชื่อหน่วยงาน จาก ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา-ไทย เป็น
สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา-ไทย (๒) การแก้ไขการจ้างงาน จาก บุคลากรชาวไทยจะได้รับการว่าจ้างให้ทำงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี
ช่างเทคนิค และแรงงานฝีมือ ในขณะที่แรงงานชาวกัมพูชาจะได้รับการว่าจ้างให้ทำงานก่อสร้าง
เป็นบุคลากรชาวไทยและ/หรือชาวกัมพูชาจะได้รับการว่าจ้างให้ทำงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี
ช่างเทคนิค และช่างฝีมือ ในขณะที่แรงงานชาวกัมพูชาจะได้รับการว่าจ้างให้ทำงานก่อสร้าง
และ (๓) การแก้ไขขอบเขตการก่อสร้าง จาก อาคารฝึกปฏิบัติ (๒ อาคาร) และอาคารฝึกอบรม
เป็น อาคาร ๔ ชั้น พร้อมดาดฟ้า โดยใช้งบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศ
(กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ)
จากงบเงินอุดหนุนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศประจำปี ๒๕๖๗ และ ๒๕๖๘
วงเงิน ๘๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการดังกล่าวให้สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โครงการขับเคลื่อนการทูตเศรษฐกิจและความร่วมมือเพื่อการพัฒนารายการเงินอุดหนุนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ
ซึ่งได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | ขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อดำเนินการโครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก | ทส. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงินทั้งสิ้น
๓๗๐,๓๙๐,๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรธรณี)
รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากรมทรัพยากรธรณีจำเป็นต้องบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งจัดทำแผนการใช้งบประมาณให้สามารถติดตาม
ตรวจสอบการดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า
และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ บริหารจัดการน้ำ และฟื้นฟูโครงการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย | กษ. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ บริหารจัดการน้ำ และฟื้นฟูโครงการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๕๕๔ รายการ วงเงิน ๑,๑๘๒,๓๙๖,๘๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กรมชลประทานจัดส่งรายการตามแผนงานโครงการดังกล่าวให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ตรวจสอบ เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนกับโครงการที่หน่วยงานอื่น ๆ ได้ขอรับจัดสรรงบประมาณไปแล้ว พร้อมทั้งจัดทำแผนการใช้งบประมาณ ให้สามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย พร้อมจัดทำและลงนามร่างความตกลงว่าด้วยการก่อสร้าง | คค. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก
- ลก ที่ อำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี สำหรับวงเงินลงทุนที่ฝ่ายไทยต้องรับผิดชอบ
จำนวนรวมทั้งสิ้น ๒๙๒.๖๕๐ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓๖ เดือน
ตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เสนอ ๑.๒
อนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลมาเลเซียว่าด้วยการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก - ลก แห่งที่สอง
และการปรับปรุงสะพานเดิมเชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส
ประเทศไทย และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ๑.๓
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยและมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตามร่างความตกลงว่าด้วยการก่อสร้าง ๑.๔
อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับหมาย ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าร่างความตกลงฯ เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและการดำเนินการให้มีผลผูกพัน
แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา กรณีนี้จึงเข้าลักษณะเรื่องที่สามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีได้
ตามนัย มาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒. ในส่วนของรายละเอียดและการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก
- ลก ที่ อำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส เชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส
และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ภายในกรอบวงเงินรวม ๒๙๒.๖๕
ล้านบาท ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ระบุไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม
โดยกรมทางหลวง หารือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | ขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อดำเนินงานก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า 22 kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี 4 ถึงจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 และงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า 115 kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี 4 ถึงสถานีไฟฟ้าบริเวณพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกาญจนบุรี | มท. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ เรื่อง
ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง
และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก
และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ
(ลุ่มน้ำชายแดน) เพื่อดำเนินงานก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า ๒๒ kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี ๔ ถึงจุดผ่านแดนถาวร บ้านพุน้ำร้อน
ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
ตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ และงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า
๑๑๕ kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี ๔
ถึงสถานีไฟฟ้าบริเวณพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกาญจนบุรี ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นด้วยกับแผนงานก่อสร้างดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้โครงการนำมาตรการการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พร้อมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และการดำเนินการก่อสร้างใด
ๆ ในเขตทางหลวงจะต้องขออนุญาตจากกรมทางหลวงตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางเป็นสำคัญ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ เรื่อง ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง
การดำเนินโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า หากมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ
ให้พิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | รายงานผลการดำเนินงานและขอขยายเวลาการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ลูกหนี้ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง | กษ. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรลูกหนี้ธนาคารของรัฐ
๔ แห่ง ๒.
เห็นชอบให้เกษตรกรที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑
ธันวาคม ๒๕๖๗
ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรถูกต้องครบถ้วนแล้ว
และเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non -
Performing Loan : NPLs) ภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ๓. เห็นชอบให้ธนาคารของรัฐทั้ง ๔ แห่ง
คิดดอกเบี้ยและเบิกจ่ายเงินชดเชยเงินต้นครึ่งหลัง (ร้อยละ ๕๐)
ที่พักไว้ทั้งจำนวนของเกษตรกร จำนวน ๑๖,๗๙๔ ราย และที่แจ้งเพิ่มเติมภายหลังที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ได้ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
ทั้งนี้ ให้ธนาคารของรัฐ ๔ แห่ง ต้องควบคุมกรอบวงเงินที่ได้รับจัดสรรของแต่ละธนาคาร
โดยไม่เกินกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน ๑๕,๔๘๑.๖๖ ล้านบาท
ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖ ๔. เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินโครงการฯ
ตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๘ โดยให้ระยะเวลาในการดำเนินโครงการสิ้นสุดลงภายใน ๑๕๐
วัน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ทั้งนี้
ต้องเป็นเกษตรกรที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒
มีนาคม ๒๕๖๕ และ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ที่มาแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ
ภายในวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๘ โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ ๔.๑
ให้เกษตรกรและสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.)
ส่งมอบเอกสารแบบแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ (ปคน.๑) (ปคน.๒) และแบบ (ผค.๑/๔) ให้สถาบันเจ้าหนี้ให้แล้วเสร็จ
ภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๔.๒
ให้สถาบันเจ้าหนี้ดำเนินการทำสัญญาให้แล้วเสร็จ ภายใน ๑๕๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๔.๓
ในกรณีที่เกษตรกรไม่สามารถทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ได้แล้วเสร็จ ภายใน ๑๕๐ วัน
เช่น ติดปัญหาเรื่องหลักประกัน
หรืออยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมายหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการ
ให้ขยายระยะเวลาการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารออกไปอีกแต่ไม่เกิน ๑๕๐ วัน
นับแต่วันที่ศาล มีคำสั่ง หรือคำพิพากษาถึงที่สุด หรือวันที่ได้รับแจ้งผลการดำเนินการจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ๔.๔
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับธนาคารของรัฐทั้ง ๔ แห่ง นำมติคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบการขยายเวลาข้างต้นตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรที่สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์
แนวทาง และขั้นตอนการดำเนินการตามโครงการฯ ในแต่ละส่วนให้มีความชัดเจน เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ
ตลอดจนจัดทำรายละเอียดข้อมูลจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ
และภาระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยของเกษตรกรแต่ละรายให้ชัดเจน เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรสนับสนุนให้เกษตรกรจัดทำแผนฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความพร้อมของเกษตรกรในการผลิตสินค้าเกษตร
ผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสและช่องทางการตลาดที่ชัดเจน
พร้อมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนและผลักดันให้เกษตรกรดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้
เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมีความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ
ตลอดจนการเสริมสร้างวินัยด้านการเงินให้กับเกษตรกร
เพื่อป้องกันปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคตอีก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | ขออนุมัติแนวทางดำเนินการโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ของบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด | คค. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินงานโครงการบ้านเพื่อคนไทย
นำร่องระยะที่ ๑ จำนวน ๔ โครงการ ของกระทรวงคมนาคม โดยให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย กฎ
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ธนาคารอาคารสงเคราะห์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าสิทธิของผู้เข้าร่วมโครงการนี้เป็นสิทธิการเช่าระยะยาว
(Leasehold) แต่โดยที่ปัจจุบันกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะเวลาการเช่าโดยกำหนดไว้ไม่เกิน
๓๐ ปี จึงอาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการที่มีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนมีสิทธิเช่าที่พักอาศัยในระยะยาว
(Leasehold) สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมของระบบการเช่าระยะยาว
(Leasehold) ในประเทศไทย
หากเห็นว่าสมควรที่จะปรับปรุงระบบการเช่าดังกล่าว ควรมอบหมายให้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณาดำเนินการศึกษาศักยภาพการพัฒนาของที่ดินแต่ละแห่งอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ที่หน่วยงานรับผิดชอบได้มีการศึกษา/จัดทำไว้
เพื่อให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายและรูปแบบที่อยู่อาศัยของโครงการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทการพัฒนาพื้นที่
และควรประสานและบูรณาการกับการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่
พร้อมกำหนดแนวทาง/แผนการรื้อย้ายในภาพรวม อาทิ กำหนดพื้นที่ดำเนินการ
ช่วงระยะเวลาดำเนินการ และมาตรการเยียวยาที่ชัดเจน
เพื่อเตรียมการรองรับการพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการดำเนินโครงการจำเป็นต้องพิจารณาศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการบริหารโครงการทั้งในส่วนของการจ้างเอกชน/รัฐวิสาหกิจอื่น
บริหารโครงการหรือดำเนินการเอง ซึ่งในกรณีที่บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด
จะดำเนินการเองจำเป็นต้องมีแผนธุรกิจที่ชัดเจนประกอบพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | การแจ้งผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | สตง. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการตรวจสอบรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
และผลการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและการจัดการทรัพย์สินประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖
สรุปได้ ดังนี้ ๑) การประเมินผลการใช้จ่ายเงิน เช่น ผลการดำเนินงานตัวชี้วัดของเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร
มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าเป้าหมาย ๒ ตัวชี้วัด (จาก ๘ ตัวชี้วัด)
เนื่องจากปัญหาจากการสำรวจข้อมูล โดย สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ให้ข้อเสนอแนะ
เช่น
ควรควบคุมดูแลให้มีการกำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวัดความสำเร็จของการดำเนินงานตามตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานได้จริง
๒) การประเมินผลการจัดการทรัพย์สิน เช่น การสำรวจความต้องการพัสดุของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลความต้องการใช้พัสดุไม่ครอบคลุมทุกหน่วยงาน และทุกประเภทรายการพัสดุ
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ให้ข้อเสนอแนะ เช่น ผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ควรควบคุม ดูแลให้มีการสำรวจความต้องการใช้งานพัสดุทุกประเภท
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปี และ ๓)
การประเมินผลการบริหารโครงการ เช่น การดำเนินโครงการล่าช้ากว่าแผนงานที่กำหนดเนื่องจากเป็นโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีความซับซ้อนทำให้การเขียนขอบเขตของงานล่าช้า
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ให้ข้อเสนอแนะ เช่น การจัดทำโครงการที่มีความซับซ้อนควรจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญร่วมกำหนดขอบเขตของงาน
หรือส่งเสริม พัฒนาให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบมีทักษะ ความรู้
ความเข้าใจเพิ่มขึ้นและเร่งรัดการบริหารสัญญาให้เป็นไปตามแผน
ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ
|