ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | โครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2572 | ศธ. | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒ รวมระยะเวลา ๕ ปีงบประมาณ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๓๔๐,๐๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเริ่มดำเนินโครงการในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ นั้น
ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจัดให้มีระบบการติดตาม
และประเมินผลการดำเนินโครงการเป็นระยะ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ
รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในการแนะแนวอาชีพที่เหมาะสมและการเรียนต่อในสาขาที่สอดคล้องกับความถนัดและเชื่อมโยงกับการพัฒนาในพื้นที่
และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรมีการพัฒนากระบวนการติดตามนักเรียนทุนที่อยู่ระหว่างรับทุนจากปัจจัยต่าง
ๆ เพื่อการคงอยู่ในระบบทุน อาทิ ความสามารถทางวิชาการ
แรงจูงใจในการศึกษาด้านการเกษตร และความตั้งใจที่จะกลับไปพัฒนาท้องถิ่น
รวมทั้งการมีกลไกการบริหารจัดการร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านต่าง
ๆ อาทิ การจัดเก็บข้อมูล การกำกับติดตามผลการเรียน
การประเมินความคุ้มค่าการดำเนินโครงการ และการจัดทำข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดโควตาการจัดสรรทุนให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างประชากรในพื้นที่
และความต้องการแรงงานในและนอกภาคเกษตรในอนาคต เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | การแจ้งผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน | ตผ. | 27/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการตรวจสอบรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. ผลการตรวจสอบรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ มีสินทรัพย์ ๗๖.๔๖ ล้านบาท หนี้สิน ๑๓.๙๔ ล้านบาท
และมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ ๔๖.๒๑ ล้านบาท ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้ว
แสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไข (ไม่พบข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างมีสาระสำคัญ)
ทั้งนี้ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบแล้ว
เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗ ๒.
ผลการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ สรุปได้
ดังนี้ (๑) การประเมินผลการใช้จ่ายเงินและข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
เช่น การดำเนินโครงการระหว่างปีงบประมาณ พบว่า มีการยกเลิกโครงการตามแผนยุทธศาสตร์
จำนวน ๓ โครงการ จำนวน ๘.๗๒ ล้านบาท เนื่องจากวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอต่อการดำเนินโครงการ
และบางโครงการตั้งงบประมาณไว้สูงเกินจริง โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะ
เช่น ควรกำกับดูแลผู้ที่รับผิดชอบจัดทำโครงการด้วยความรอบคอบและมีแผนการดำเนินโครงการที่ชัดเจน
(๒) การประเมินผลการจัดการทรัพย์สิน เช่น สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีรายการที่ไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ทันในปีงบประมาณ
๒๕๖๖ และต้องไปดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ มีการยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้าง
และมีการยกเลิกโครงการที่มีการจัดซื้อจัดจ้างภายหลังการอนุมัติแผนการใช้จ่ายเงิน เนื่องจากการกำหนดราคากลางไม่สอดคล้องกับ
TOR โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
มีข้อเสนอแนะ เช่น ควรกำชับผู้ที่รับผิดชอบจัดทำโครงการที่มีรายละเอียดซับซ้อนปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมกำหนด
TOR และ (๓) การประเมินผลการบริหารโครงการ เช่น
มีโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากไม่มีการประกาศใช้กฎหมาย/ระเบียบที่เกี่ยวข้อง
จึงได้เปลี่ยนแปลงงบประมาณไปสมทบเป็นค่าวัสดุ โดย สตง. มีข้อเสนอแนะ เช่น
ควรกำกับดูแลผู้รับผิดชอบจัดทำโครงการด้วยความรอบคอบ กำหนดแนวทางการประเมินผลโครงการที่ชัดเจน
และกำกับติดตามการประเมินผลโครงการให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารอำนวยการ ผู้ป่วยนอก และอุบัติเหตุฉุกเฉิน เป็นอาคาร คสล. 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 23,765 ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร โรงพยาบาลตรัง จังหวัดตรัง 1 หลัง (งานส่วนที่เหลือ ครั้งที่ 3) | สธ. | 27/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างรายการอาคารอำนวยการ
ผู้ป่วยนอก และอุบัติเหตุฉุกเฉินเป็นอาคาร คสล. ๗ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒๓,๗๖๕ ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร
โรงพยาบาลตรัง ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ๑ หลัง
(งานส่วนที่เหลือ ครั้งที่ ๓) จำนวนเงิน ๒๘๔,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗จำนวน
๔๕,๘๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๒๓๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ - พ.ศ. ๒๕๗๐ รวมเป็นเงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๔๘๘,๐๙๖,๓๔๙.๗๗ บาท และอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารดังกล่าว
จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๗๐ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) กำกับ ติดตาม
และเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารอำนวยการ ผู้ป่วยนอก และอุบัติเหตุฉุกเฉิน
พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคารโรงพยาบาลตรังให้แล้วเสร็จ ภายในกรอบวงเงินและระยะเวลาที่ได้รับการอนุมัติไว้ในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง สำหรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากโครงการฯ
มีอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ ๒๓ เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่รวมกันทุกชั้นหรือชั้นหนึ่งชั้นใดในหลังเดียวกัน
ตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตรขึ้นไป
และตั้งอยู่ติดแม่น้ำตามเอกสารท้ายประกาศ ๒ ฝั่งทะเลหรือชายหาด
หรือที่ตั้งอยู่ติดหรืออยู่ในอุทยานแห่งชาติหรืออุทยานประวัติศาสตร์ จะเข้าข่ายเป็นโครงการ
กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ตามประกาศฯ ลำดับที่ ๒๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | การขอแก้ไขหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ | ตช. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเพิ่มรอบการดำเนินโครงการ รอบ ๑ เมษายน
โดยมีผลในการลาออกจากราชการตามโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายนด้วย นอกเหนือจากรอบ ๑
ตุลาคม ของแต่ละปี เฉพาะกรณีผู้มียศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท และต้องมีระยะเวลาครองยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโทมาแล้วไม่น้อยกว่า
๖ เดือน นับถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ ๑ เมษายน) หรือครองยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโทมาแล้วไม่น้อยกว่า
๖ เดือน นับถึงวันที่ ๓๐ กันยายนของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ ๑ ตุลาคม)
ทั้งนี้ หากเป็นการได้รับการแต่งตั้งยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท ในการแต่งตั้งตามวาระประจำปี
ให้เริ่มนับเวลาการครองยศนี้ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ของวาระประจำปีนั้น และมีเวลาราชการเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า
๖ เดือน นับแต่วันที่ ๑ เมษายน หรือ ๑ ตุลาคม แล้วแต่กรณี สำหรับคุณสมบัติและเงื่อนไขอื่น
ๆ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องที่จะพึงได้รับตามโครงการ
ให้เป็นไปตามแนวทางเดิม (ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีมีมติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องนำหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพลไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยจะต้องเวียนแจ้งหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการให้ข้าราชการตำรวจชั้นนายพลผู้สนใจเข้าร่วมโครงทราบ
จากนั้นจะเร่งตรวจสอบข้อมูลคุณสมบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องของแต่ละรายที่สมัครเข้าร่วมโครงการ
และต้องมีคำสั่งอนุญาตให้ลาออกจากราชการตามโครงการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน
๒๕๖๘ เป็นต้นไป) ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานโครงการ
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
หรือปรับแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี
ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรแล้วเป็นลำดับแรก
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ความประหยัด ต้นทุนและผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | แผนการอุดหนุนทางการเงินและให้ความช่วยเหลือด้านอื่นให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569-2572 | ศธ. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแผนการอุดหนุนทางการเงิน
และให้ความช่วยเหลือด้านอื่นให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
และโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๒ จำนวน ๒๐ โรงเรียน
กรอบวงเงินทั้งสิ้น ๑๓๓,๘๖๗,๗๑๗ บาท สำหรับปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ อยู่ในขั้นตอนกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๗๐ - ๒๕๗๒ ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งตรวจสอบความพร้อมด้านครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างของโรงเรียนเอกชนตามแผนการดำเนินงาน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นของภารกิจอย่างเหมาะสม
และ/หรือพิจารณาเงินนอกงบประมาณ
รวมถึงรายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามขั้นตอนต่อไป
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด
โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์เป็นสำคัญ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) รับความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินตามแผนดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณากำหนดกลไกการกำกับ
ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่องและจริงจัง
โดยอาจกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ต่อผู้เรียนในมิติคุณภาพการศึกษาจากการสนับสนุนงบประมาณของภาครัฐ
อาทิ ผลการประเมินตามโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล
(PISA) การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) และการวัดทักษะชีวิต และทักษะอาชีพ
เพื่อให้สามารถวางแผนในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ทางการศึกษาได้อย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย ช่วงที่ 3 ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง | มท. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย
ช่วงที่ ๓ ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง
ในวงเงิน ๘๗๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท
สัดส่วนเงินอุดหนุนของรัฐบาล ร้อยละ ๕๐ เป็นเงิน ๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๕๐ เป็นเงิน ๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท โดยในส่วนเงินอุดหนุนของรัฐบาล จำนวน
๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท จะดำเนินการโอนเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘
ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลผลิตการจัดบริการสาธารณะ
จากงบเงินอุดหนุนทั่วไป
รายการเงินอุดหนุนสำหรับชดเชยรายได้ไห้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
จำนวน ๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อไปตั้งจ่ายในรายการโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย
ช่วงที่ ๓ ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง
จำนวน ๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ
จำนวน ๓๘๘,๗๕๐,๐๐๐ บาท จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๐ ต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกายให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาอย่างเคร่งครัด ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกรุงเทพมหานครให้ดำเนินการโครงการก่อสร้างช่วงที่ ๑ และช่วงที่ ๒
ให้แล้วเสร็จตามแผนงาน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรด้วยการจำหน่ายหนี้เป็นสูญโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐ | กค. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติจำหน่ายหนี้เป็นสูญของโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ ๑.๑
โครงการส่งเสริมการปลูกชาจีนในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงราย ลูกหนี้ค้างชำระ จำนวน
๑๖๘ ราย วงเงินรวม ๘,๕๑๙,๓๔๖.๒๕
บาท ๑.๒
โครงการความร่วมมือไตรภาคี (ปลูกไผ่กิมซุ่ง) จังหวัดกาญจนบุรี ลูกหนี้ค้างชำระ จำนวน
๒๘๓ ราย วงเงินรวม ๑๗,๒๙๘,๗๕๙.๗๓
บาท ส่วนโครงการเลี้ยงวัวกลุ่มโล๊ะไม้อ้อในพื้นที่นิคมเศรษฐกิจพอเพียง
อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ลูกหนี้ค้างชำระ จำนวน ๔๑ ราย วงเงินรวม ๒,๐๐๗,๑๔๑.๗๓ บาท
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจำหน่ายหนี้เป็นสูญ ตามหน้าที่และอำนาจ
ตามนัยมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ (เรื่อง ขออนุมัติจำหน่ายบัญชีลูกหนี้ค่าจำหน่ายสลากของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและขออนุมัติในหลักการเรื่องจำหน่ายหนี้เงินและทรัพย์สินออกจากบัญชี) ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรพิจารณาถึงความจำเป็นและเหมาะสมในการดำเนินโครงการ
อาทิ การบริหารจัดการโครงการด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงสภาพพื้นที่ให้เหมาะสม ศักยภาพและโอกาสด้านการผลิต
การตลาด เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
มีการจัดทำแผนและติดตามประเมินผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
กำหนดแนวทางการบริหารจัดการด้านการเงินให้ครอบคลุม รวมทั้งเสริมสร้างองค์ความรู้ในการดำเนินโครงการและการบริหารจัดการด้านการเงินให้แก่เกษตรกรและองค์กรเกษตรกร
ตลอดจนถอดบทเรียนจากการดำเนินการที่ผ่านมา เพื่อเป็นการลดภาระการดำเนินงานของกองทุน
ภาระต่องบประมาณในอนาคต และลดปัญหาหนี้สูญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรจัดให้มีการวิเคราะห์และจัดทำแนวทางป้องกันและจัดการความเสี่ยง
รวมทั้งการติดตามความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถป้องกันและดำเนินการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของเกษตรกร
และส่งผลต่อเนื่องให้ต้องมีการขอจำหน่ายหนี้สูญให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าด้วยการรับเงิน
การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การจัดหาผลประโยชน์ การจัดการและการจำหน่ายทรัพย์สินของกองทุนพัฒนาสหกรณ์
พ.ศ. ๒๕๕๐ และมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ (เรื่อง
ขออนุมัติจำหน่ายบัญชีลูกหนี้ค่าจำหน่ายสลากของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและขออนุมัติในหลักการเรื่องจำหน่ายหนี้เงินและทรัพย์สินออกจากบัญชี)
ในส่วนของการกำหนดวงเงินการจำหน่ายหนี้เป็นสูญเกินกว่า ๕ ล้านบาท
ที่ต้องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๖ สิงหาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
ขอจำหน่ายหนี้สูญตามโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรด้วยการจำหน่ายหนี้เป็นสูญในกองทุนหรือเงินทุนในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ของสหกรณ์ประมงเกาะลันตา จำกัด) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 4/2566 เรื่อง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : ศูนย์ธุรกิจอีอีซีและเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ | สกพอ. | 11/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๖ เรื่อง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ :
ศูนย์ธุรกิจอีอีซีและเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น
ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๖
เพื่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกจะออกประกาศจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเร่งรัดการดำเนินงานและบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมและขนส่ง
และการบริหารจัดการน้ำ เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน
และการประปาส่วนภูมิภาค เป็นต้น รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการ
เพื่อลดปัญหาการดำเนินงานล่าช้าในอนาคต กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจและประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ
รวมทั้งผลกระทบและการป้องกันปัญหาจากการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นโดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
เพื่อส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนและน่าอยู่ของเมืองและพื้นที่โดยรอบ และการดำเนินการใด
ๆ ในพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 5/2567 เรื่อง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ: ศูนย์การแพทย์และสุขภาพ ปลวกแดง | สกพอ. | 11/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(กพอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เรื่อง
การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ศูนย์การแพทย์และสุขภาพ ปลวกแดง ทั้งนี้
หากคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยไม่มีข้อทักท้วง หรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น
ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติ กพอ. ดังกล่าว เพื่อ กพอ.
จะออกประกาศจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ
ประกาศมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำหนดขอบเขตงานและความรับผิดชอบระหว่างภาครัฐและเอกชน
โดยควรกำหนดลักษณะ/นิยามของทรัพย์สินและสินทรัพย์ที่เอกชนจะต้องส่งมอบให้ภาครัฐให้มีความชัดเจนโดยเฉพาะอุปกรณ์ทางการแพทย์
อาคารปฏิบัติงานต่าง ๆ เป็นต้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการดำเนินโครงการมีการระบุระยะเวลาดำเนินโครงการรวม ๕๐ ปี
หากในกรณีที่โครงการมีการสร้างอาคารและสิ่งก่อสร้างประกอบเพิ่มเติม ที่เข้าข่ายประเภทและขนาดที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ให้ดำเนินการตามข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการเพิ่มและดูแลพื้นที่สีเขียวในการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
: ศูนย์การแพทย์และสุขภาพ ปลวกแดง มีประเด็นที่ควรคำนึงถึง ได้แก่ ๑)
การออกแบบแนวกันชนพื้นที่สีเขียว ๒) การใช้ไม้พื้นถิ่นและไม้ยืนต้น รวมทั้งต้นไม้ที่มีประสิทธิภาพ
ในการดูดซับมลพิษ ๓) การนำพรรณไม้ที่มีคุณสมบัติต่าง
ๆ มาใช้ในการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเป็นศูนย์สุขภาพ และ ๔)
การเปิดพื้นที่สีเขียวเพื่อบริการสาธารณะ หรือสวนสุขภาพ เพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
เสริมสุขภาพให้กับชุมชน
เป็นแหล่งเรียนรู้และสร้างความมั่นคงทางอาหารอีกทางหนึ่งด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขติดตามประเมินผลการดำเนินการของโรงพยาบาลปลวกแดง
๒ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดเตรียมแผนรองรับการใช้ประโยชน์ในสินทรัพย์หรือทรัพย์สิน
ตลอดจนการบำรุงรักษาอาคารและอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายหลังสิ้นสุดระยะเวลาร่วมลงทุนเพื่อให้โรงพยาบาลสามารถให้บริการสาธารณสุขต่อไปได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 4 โครงการ | กษ. | 11/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่
จำนวน ๔ โครงการ ประกอบด้วย (๑)
โครงการประตูระบายน้ำศรีสองรักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
จากเดิม ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ - พ.ศ. ๒๕๖๖) เป็น ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๑ - พ.ศ. ๒๕๗๐) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม (๒)
โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดนครศรีธรรมราช จากเดิม ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ - พ.ศ. ๒๕๖๖) เป็น ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ - พ.ศ. ๒๕๗๐) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม (๓)
โครงการประตูระบายน้ำบ้านก่อพร้อมระบบส่งน้ำ จังหวัดสกลนคร จากเดิม ๕ ปี (ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ - พ.ศ. ๒๕๖๖) เป็น ๙ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ - พ.ศ. ๒๕๗๐)
ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม และ (๔) โครงการประตูระบายน้ำลำน้ำพุง
- น้ำก่ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร จากเดิม ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
- พ.ศ. ๒๕๖๖) เป็น ๙ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๗๐) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
เร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๐
ตามที่ได้ขอขยายเวลาในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้
รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่
ทั้ง ๔ โครงการ ต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบ
ทุก ๖ เดือน เพื่อติดตามและกำกับโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
เนื่องจากเป็นโครงการสำคัญต่อการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงอนุสรณ์สถาน - บางปะอิน พ.ศ. .... | คค. | 11/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข
๕ สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงอนุสรณ์สถาน - บางปะอิน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๕ สายทางยกระดับอุตราภิมุข
ช่วงอนุสรณ์สถาน - เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวง
และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ให้ดำเนินการต่อได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กรมทางหลวงเร่งรัดและกำกับการดำเนินโครงการทางหลวงพิเศษดังกล่าว
ให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนด โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของโครงการ
ประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | ขออนุมัติโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน | กษ. | 03/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ
เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน และกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบฯ
โดยมีงบประมาณค่าใช้จ่ายในการชดเชยเรือประมง จำนวน ๙๒๓ ลำ วงเงิน ๑,๖๒๒,๖๐๕,๓๐๐ บาท โดยขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัดต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการดังกล่าว
โดยให้กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการควบคุม กำกับ
ดูแลให้การดำเนินการนำเรือประมงออกนอกระบบให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ข้อกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | หนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant Agreement) ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Thai-German Cooperation on Energy, Mobility, and Climate: TGC-EMC) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft für Internationale Zusammenarbeit: GIZ) | ทส. | 03/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant Agreement) ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย - เยอรมัน
ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Thai - German Cooperation on Energy, Mobility, and Climate : TGC - EMC)
ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft
fur Internationale Zusammenarbeit : GIZ) และให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ โดยหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวงเงินสนับสนุนทั้งหมดไม่เกิน ๔.๔ ล้านยูโร (ประมาณ ๑๕๖.๕๗
ล้านบาท) โดยมีระยะเวลาการให้เงินสนับสนุนระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖ - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๐
รวมถึงกำหนดเงื่อนไขการรับเงินสนับสนุน เช่น การยื่นขอเบิกจ่ายเงินและรายงานต่าง ๆ
ต่อ GIZ การมอบสิทธิให้ GIZ ใช้ผลลัพธ์ของโครงการ
เงื่อนไขการระงับการให้เงินสนับสนุน เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant
Agreement) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณ รวมถึงข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด
(หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่ อส ๐๐๐๖/๑๖๐๓ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์
๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญาด้วยความรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดการชำระคืนเงินอุดหนุนดังกล่าว
กรณีผู้รับสัญญาไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าการจัดสรรเงินกองทุนควรพิจารณาตามหลักเกณฑ์
ความรับผิดชอบที่เท่าเทียมในระดับที่แตกต่างกันด้วย เพื่อบรรเทาปัญหาในระยะยาวในทุกมิติและหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขหนังสือสัญญาดังกล่าวให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | ขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อดำเนินงานขยายเขตไฟฟ้าตามแผนงานขยายเขตไฟฟ้าให้หมู่บ้านในโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดแม่ฮ่องสอน | มท. | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒
เรื่องขอผ่อนผันใช้พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์
๒๕๓๘ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ ภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก
และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ
(ลุ่มน้ำชายแดน)
ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นชอบต่อการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
เพื่อดำเนินงานขยายเขตไฟฟ้าตามแผนงานขยายเขตไฟฟ้าให้หมู่บ้าน ในโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดแม่ฮ่องสอน ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการดำเนินการในพื้นที่ของกรมป่าไม้
จะต้องยื่นคำขออนุญาตใช้พื้นที่โดยเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ เรื่อง
ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง
การดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า
และกรณีการดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
จะต้องได้รับอนุมัติ/อนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ก่อนดำเนินการ รวมทั้งต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒
และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะต้องถือปฏิบัติตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างเคร่งครัด เนื่องจากการขยายเขตไฟฟ้าดังกล่าวดำเนินการในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางทางระบบนิเวศ
รวมทั้งควรดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงาน โดยลดผลกระทบต่อระบบนิเวศให้มากที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | ขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตและยังไม่ได้ยื่นคำขออนุญาตภายในระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | ทส. | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ ผ่อนผันให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตและยังไม่ได้ยื่นคำขออนุญาตในระยะเวลาที่กำหนดตามมติดณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ (เรื่อง การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
และขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓
ในกรณีที่ปรากฏว่ายังมีส่วนราชการใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง
ขอขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓) สามารถยื่นคำขออนุญาตได้ภายใน ๑๘๐
วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติในครั้งนี้ (ภายในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๘)
โดยโครงการที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐจะขอยื่นคำขออนุญาตดังกล่าวข้างต้นได้
จะต้องเป็นโครงการที่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓
เท่านั้น
และให้ทุกส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกำหนดเวลาข้างต้น (ภายในวันที่
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๘) อย่างเคร่งครัด โดยไม่ต้องจัดสรรงบประมาณค่าปลูกป่าทดแทนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง
การดำเนินโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า) ๑.๒
อนุมัติให้คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นผู้อนุญาตให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม
(Zone C) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
และคำขออนุญาตที่ได้รับการผ่อนผันตามข้อ ๑.๑
ใช้พื้นที่หรือเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม
(Zone C) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง
การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง
ผลการจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้
ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพิ่มเติม) ๑.๓. ผ่อนผันให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ และคำขออนุญาตที่ได้รับการผ่อนผันตามข้อ
๑.๑ ใช้พื้นที่หรือเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกกำหนดเป็นเขตกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ได้ โดยไม่ต้องเสนอขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการห้ามใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ เป็นรายกรณีอีก ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐดังกล่าว ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม
(Environmental Accounting
Report : EAR) กำหนด
และต้องปฏิบัติตามมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ อย่างเคร่งครัด ๑.๔ ผ่อนผันให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้ยื่นคำขออนุญาตตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
และคำขออนุญาตที่ใด้รับการผ่อนผัน ตามข้อ ๑.๑
ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเข้าไปปรับปรุง ซ่อมแซม และบำรุงรักษาสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ตามคำขออนุญาตที่ได้ยื่นไว้ตามแต่กรณี
สามารถของบประมาณและเข้าไปดำเนินการดังกล่าวได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พิจารณาเพิ่มช่องทางเพื่อสร้างการรับรู้
และความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้กับทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง
เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาการเข้าใช้พื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่และสภาพพื้นที่ป่าให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | การชดเชยเยียวยาชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน | นร.04 | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน
เพื่อให้เกิดความสมดุลของจำนวนเรือประมงพาณิชย์กับปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ เพื่อให้การใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลมีความยั่งยืน
และแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) และไม่เป็นไปตามกฎระเบียบสากล
อย่างไรก็ตาม
ในขณะนี้ยังมีชาวประมงบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการดังกล่าวและยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาจากภาครัฐ
ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง)
รับเรื่องนี้ไปพิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาชาวประมงกลุ่มนี้ให้ถูกต้อง
เหมาะสม ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนในคราวประชุมครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย ระยะที่ 11 (พ.ศ. 2567 - 2571) | มท. | 18/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย
ระยะที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๑) ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๓๒,๖๓๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงศึกษาธิการ เห็นควรนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการขับเคลื่อนการดำเนินโครงการ
โดยการสร้างระบบออนไลน์ เช่น การรับสมัคร คู่มือ หรือการติดตามผู้เข้าร่วมโครงการ
เป็นต้น ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกำกับติดตามการดำเนินงานให้มีความสอดคล้องเพื่อมุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการการดำเนินกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD | นร.11 สศช | 18/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทย และ เห็นชอบการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๑๓,๒๑๕,๙๙๖ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการการดำเนินกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | ข้อเสนอโครงการของจังหวัดเพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค สาธารณูปการ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ชายแดน | นร.11 สศช | 18/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการจังหวัดเพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค
สาธารณูปการ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ ๓ จังหวัดภาคใต้ชายแดน
ที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน ๒๒ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๓๐๔,๗๙๕,๔๐๐ บาท โดยให้จังหวัดยะลา
จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดปัตตานี ขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความซ้ำช้อนของโครงการและงบประมาณต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
โดยในส่วนของงบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดยะลา
จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดปัตตานี) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยให้จังหวัดจัดทำโครงการและรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วน
พร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ การดำเนินโครงการควรคำนึงถึงความคุ้มค่า
ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณ
ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการดำเนินโครงการตามข้อเสนอดังกล่าว
ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | การพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยอย่างยั่งยืน | นร. | 18/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เมื่อเกิดสถานการณ์อุทกภัยขึ้นในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย
(จังหวัดสงขลา จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดชุมพร จังหวัดนครศรีธรรมราช
และจังหวัดพัทลุง)
การแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็ดำเนินการในลักษณะของการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นคราว
ๆ ไป ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมเท่าที่ควร
จึงมีมติมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเร่งพิจารณาจัดทำแผนการบริหารจัดการอุทกภัยในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยอย่างยั่งยืน
ให้เป็นระบบ ครบถ้วนทุกมิติ เช่น การวางแผนพื้นที่รองรับน้ำ การลดความเสี่ยงจากอุทกภัย
การขุดลอกคูคลองและกำจัดวัชพืช การบริหารจัดการการใช้ที่ดินให้สอดคล้องกับสภาพตามธรรมชาติและไม่กีดขวางทางน้ำไหล
เพื่อใช้เป็นกรอบ/แนวทางในการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในระยะยาวต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดสงขลา
จังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช) บริเวณริมทะเลสาบสงขลาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่
เพื่อสร้างพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ที่ช่วยกระจายรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ต่อไป
|