ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 6 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 101 - 120 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
101 | โครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ระยะที่ 2) | อว. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ระยะที่
๒) ภายในกรอบวงเงิน ๕๕,๐๘๗,๘๐๐ บาท ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๘๐ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา
(ระยะที่ ๒) ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ นั้น
เห็นควรให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินการตามวิธีการงบประมาณและขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน รวมถึงการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
102 | การแยกบัญชีโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) | กค. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแยกบัญชีโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ
(Public Service Account : PSA) พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชนเป็นการเร่งด่วน
ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นวงกว้าง
และเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการกำกับดูแล
การตรวจสอบและการประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐเพื่อฟื้นฟูและช่วยเหลือกลุ่มประชาชนและธุรกิจเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น
และเพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน)
รับความเสียหายที่เกิดจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing
Loans : NPLs) จากการดำเนินโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพของธนาคารออมสินไว้ทั้งหมด ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ผ่านสื่อทุกประเภท
โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงจัดทำสื่อที่เหมาะสมสำหรับคนพิการทุกประเภท อาทิ
เสียงบรรยายภาพ (Audio Description : AD) สำหรับคนพิการทางการเห็น
คำบรรยายแทนเสียง (Closed Captions : CC) สำหรับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย
และหนังสือที่อ่านเข้าใจง่าย (Easy Read) สำหรับคนพิการ ทางสติปัญญาหรือออทิสติก
ฯลฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
103 | การแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อซื้อ-สร้าง และการแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อซ่อม-แต่ง ภายใต้มาตรการสินเชื่อซื้อ-ซ่อม-สร้าง ของธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) | กค. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อซื้อ -
สร้าง และมาตรการสินเชื่อซ่อม - แต่ง และแยกเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) และแยกเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public
Service Account : PSA) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ภายในกรอบวงเงินรวม ๖,๓๗๒.๘๘ ล้านบาท โดยให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
และควรจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการ
และติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ด้วย
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารอาคารสงเคราะห์)
รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ผ่านสื่อทุกประเภท
โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงจัดทำสื่อที่เหมาะสมสำหรับคนพิการทุกประเภท อาทิ
เสียงบรรยายภาพ (Audio Description : AD) สำหรับคนพิการทางการเห็น
คำบรรยายแทนเสียง (Closed Captions : CC) สำหรับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย
และหนังสือที่อ่านเข้าใจง่าย (Easy Read) สำหรับคนพิการทางสติปัญญาหรือออทิสติก
ฯลฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
104 | ขออนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ในการเปลี่ยนแปลงหน่วยรับการสนับสนุนงบประมาณการดำเนินโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" จากมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็น มูลนิธิ "สานใจไทย สู่ใจใต้" | นร.52 | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการ “สานใจไทย
สู่ใจใต้” และเห็นชอบให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เป็นเงินอุดหนุนให้แก่มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๐๘๒,๐๐๐ บาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นต้นไป เปลี่ยนเป็น เห็นชอบในหลักการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการ “สานใจไทย
สู่ใจใต้” และเห็นชอบให้ ศอ.บต. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เป็นเงินอุดหนุนให้แก่มูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๐๘๒,๐๐๐ บาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้ ศอ.บต.
ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
105 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 | นร.01 | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๙๘,๕๐๓,๗๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)
มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย
เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
106 | การขอรับจัดสรรงบเงินอุดหนุนแก่ศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue) | กต. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศตั้งคำของบประมาณ
เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบเงินอุดหนุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและการดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่าง
ๆ ของศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา
๕ ปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒ ไม่เกินปีละ ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
โดยเห็นสมควรให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน
ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์อาเซียนฯ
ในช่วงเวลาดังกล่าวให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม
เพื่อประกอบการพิจารณาขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายในระยะถัดไป
สำหรับการกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณให้เป็นตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงาน ก.พ.
เห็นควรให้มีการจัดทำรายละเอียดการใช้จ่ายและกำหนดผลผลิต
และผลลัพธ์ในการดำเนินการที่ชัดเจน และการขอรับจัดสรรงบเงินอุดหนุนแก่ศูนย์อาเซียนฯ
ควรมีความยึดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามบริบท
ความจำเป็นและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี
เพื่อให้การดำเนินการของศูนย์อาเซียนฯ เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสอดรับกับวิสัยทัศน์ของประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยื่น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายชูศักดิ์ ศิรินิล) เห็นว่า
แม้การจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนขึ้นเป็นมูลนิธิจะทำให้ศูนย์อาเซียนฯ
มีสถานะเป็นนิติบุคคลและมีอิสระในการบริหารจัดการตนเองมากยิ่งขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศอาจมีข้อจำกัดในการกำกับดูแลศูนย์อาเซียนฯ
รวมถึงการนำเงินงบประมาณไปสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อาเซียนฯ ที่เปลี่ยนสถานะไปแล้ว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปให้เหมาะสม ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
107 | รายงานสถานะการเงินและการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | ดศ. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะการเงินและการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยรายงานสถานะทางการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๕ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว
เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
และการบริหารกองทุนฯ ได้มีการจัดสรรงบประมาณของกองทุนฯ ไปใช้ในการดำเนินโครงการ/กิจกรรม
ดังนี้ ๑)
เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือหน่วยงานของรัฐและเอกชนหรือบุคคลทั่วไปในการดำเนินการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
จำนวน ๔๑ โครงการ วงเงิน ๒,๔๙๙.๑๐ ล้านบาท ๒) จัดสรรเงินให้กับสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
จำนวน ๑๑ โครงการ วงเงิน ๕๙๐.๙๐ ล้านบาท.และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล จำนวน
๙ โครงการ วงเงิน ๑,๒๘๗.๓๒ ล้านบาท และ ๓)
สนับสนุนโครงการ/กิจกรรม เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศไทยในส่วนของการต่อยอดการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี
5G จำนวน ๘ โครงการ วงเงิน ๒๙๖.๖๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอรายงานดังกล่าวภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีของทุกปีเพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เห็นว่ารายงานสถานะการเงินควรมีการแสดงรายละเอียดแผนการให้เงินสนับสนุนเทียบกับผลการเบิกจ่ายที่เกิดขึ้นจริงประจำปี
ทั้งในรูปของจำนวนเงินและอัตราส่วนที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านรายงานสถานะการเงินมีความเข้าใจได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น และรายงานประจำปีควรเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการที่ส่งเสริม
สนับสนุน
หรือให้ทุนอุดหนุนไปในห้วงปีที่ผ่านมาว่าก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
108 | โครงการจัดทำรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 และรายงานแห่งชาติ ฉบับที่ 5 รวมกับรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 2 [Thailand's First Biennial Transparency Report (BTR1) and combined Fifth National Communication and Second Biennial Transparency Report (NC5/BTR2)] | ทส. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความตกลงระหว่างโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติและหน่วยดำเนินงาน
และร่างเอกสารโครงการภายใต้โครงการจัดทำรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ ๑ และรายงานแห่งชาติ
ฉบับที่ ๕ รวมกับรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ ๒ [Thailand’s First Biennial Transparency Report (BTR1) and combined Fifth National Communication and
Second Biennial Transparency Report (NC5/BTR2)] และให้เลขาธิการสำนักงานโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลงฯ โดยร่างความตกลงฯ เป็นข้อตกลงที่จะขอรับการสนับสนุน
จาก UNDP เพื่อให้อำนวยความสะดวกในการดำเนินโครงการจัดทำรายงาน
BTR/NC โดย UNDP จะให้การสนับสนุนและช่วยเหลือในกิจกรรมต่าง
ๆ ของโครงการฯ (เช่น สรรหาบุคลากรอำนวยความสะดวกในกิจกรรมการฝึกอบรม
ส่งรายงานความก้าวหน้าในการสนับสนุนการดำเนินโครงการ) ตามคำขอของประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้และสร้างความร่วมมือในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
109 | ขออนุมัติดำเนินโครงการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา จังหวัดสุโขทัย | กษ. | 01/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมชลประทาน ดำเนินโครงการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา จังหวัดสุโขทัย
มีกำหนดแผนงานโครงการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๓) กรอบวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น
๓,๕๕๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
110 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการ โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | กษ. | 01/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล
- บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากเดิม ๕ ปี (ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ - พ.ศ. ๒๕๖๖) เป็น ๘ ปี (ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ - พ.ศ. ๒๕๖๙) และให้เพิ่มกรอบวงเงินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล -
บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากเดิม ๒๑,๐๐๐ ล้านบาท เป็น ๒๕,๔๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่า เนื่องจากมีกิจกรรมการแก้ไขรูปแบบงานก่อสร้าง
เพิ่มเติมอาคารประกอบ และส่วนประกอบอื่นของโครงการ ควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมชลประทาน ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และประชาสัมพันธ์โครงการก่อนการก่อสร้าง
รวมทั้งควรพิจารณาเร่งรัดดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานดำเนินการภายในระยะเวลา และกรอบวงเงินอย่างเคร่งครัด
เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในเขตพื้นที่ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่อพื้นที่ชุมชน
และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดย กรมชลประทาน ควรรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล -
บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบ
ทุก ๖ เดือน เพื่อติดตามและกำกับโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
เนื่องจากเป็นโครงการสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
111 | รายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 01/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน
ประจำเดือน มกราคม-มีนาคม ๒๕๖๗ โดยมีผลการดำเนินการของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น ๑) การรายงานผลการลงทะเบียนเป็นจิตอาสาพระราชทาน
(มท.) โดยมีประชาชนลงทะเบียนแล้ว ๗,๑๖๓,๐๖๘ คน ๒)
การจัดกิจกรรมจิตอาสาของส่วนราชการต่าง ๆ (๑๘ หน่วยงาน) ประกอบด้วย จิตอาสาพัฒนา จิตอาสาภัยพิบัติ
จิตอาสาเฉพาะกิจ และวิทยากรจิตอาสา ๙๐๔ มีการจัดกิจกรรม ๒๐,๗๓๙
ครั้ง และ ๓) การติดตามความก้าวหน้าโครงการในภารกิจของศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน
เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรีโครงการพัฒนาคลองเปรมประชากร โครงการก่อสร้างสายพัฒนาคูน้ำริมถนนวิภาวดีรังสิต
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
112 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2568 | กค. | 01/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติและรับทราบตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ตามมติที่ประชุม
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๗ ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
อนุมัติแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ที่ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๑,๒๐๔,๓๐๔.๔๔ ล้านบาท
แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงินรวม ๑,๗๘๓,๘๘๙.๖๔
ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ วงเงินรวม ๔๘๙,๑๑๐.๗๐ ล้านบาท ๑.๒
อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ ขสมก. รฟท. กคช. และ ธพส. ที่มีสัดส่วน
DSCR ต่ำกว่า ๑ เท่า
สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง
๔ แห่งดังกล่าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย
รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่บรรจุกรอบวงเงินกู้ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘
เร่งรัดการดำเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวด้วย ๑.๓
รับทราบแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง ๕ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒) และมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดประสานงานกับรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการในกลุ่มโครงการที่ยังขาดความพร้อมในการดำเนินการ
เพื่อเร่งรัดการดำเนินการและการลงทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในระยะต่อไป ๒. อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่
การกู้มาและการนำให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้
และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะฯ
มาตรา ๗
แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา
และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘
และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน
วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น
ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง
ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นว่าการดำเนินโครงการภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ จะต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ
แผนการใช้จ่ายและการลงทุนต้องเป็นไปตามกฎหมาย
และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและความสามารถในการชำระหนี้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
113 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสิน | กค. | 01/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
(Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสิน
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และรับทราบโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยปี ๒๕๖๗ ภายใต้โครงการ PGS
๑๑ ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลัง สถาบันการเงิน
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรรับทราบการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยปี
๒๕๖๗ ภายใต้โครงการ PGS ๑๑ ของ บสย. ให้ผู้ประกอบการ SMEs
และผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงสินเชื่อกับสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการฟื้นฟูกิจการ
ทั้งนี้ บสย. ควรบริหารจัดการโครงการ PGS ๑๑
โดยไม่กระทบกรอบวงเงินการขอรับชดเชยจากรัฐบาลและเงื่อนไขอื่น ๆ ภายใต้โครงการ PGS
๑๑ ที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
114 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีการดำเนินโครงการเช่ารถเก็บขนมูลฝอย ของกรุงเทพมหานคร | ปช. | 24/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีการดำเนินโครงการเช่ารถเก็บขนมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร)
เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ
โดยให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร)
สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน
นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
115 | โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพังงา-ภูเก็ต | มท. | 24/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคดำเนินโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย
การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพังงา-ภูเก็ต จากวงเงินรวมเดิม ๓,๘๗๐.๙๐๘ ล้านบาท ปรับเพิ่มเป็น ๕,๒๙๔.๔๙๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
โดยในส่วนของการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค)
ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๔/๓๕๘๕ ลงวันที่
๔ มีนาคม ๒๕๖๗) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ นร ๑๑๐๖/๐๒๑ ลงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับแผนแม่บทการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียของการประปาส่วนภูมิภาค
ปี ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงานของ การประปาส่วนภูมิภาค
ส่วนโครงการลงทุนต่าง ๆ การประปาส่วนภูมิภาคควรกำกับติดตามการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแผนงานการดำเนินงานที่กำหนดไว้
รวมถึงเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
116 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการยกระดับและพัฒนาระบบบริการสุขภาพหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข | สธ. | 17/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมวงเงินทั้งสิ้น ๖๒๔,๘๐๐,๐๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการยกระดับและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ
หน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรพิจารณาจัดทำกรอบทิศทางและแนวทางการลงทุนในการขยายศักยภาพของสถานพยาบาลแต่ละระดับของเขตสุขภาพในภาพรวมของประเทศ
เพื่อให้มีการจัดลำดับความสำคัญและเป็นทิศทางในการจัดสรรงบประมาณที่สอดคล้องกับความจำเป็นและความคุ้มค่าในการดำเนินการในแต่ละเขตสุขภาพ
โดยคำนึงถึงรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคส่วนต่าง ๆ
ที่จะเข้ามาร่วมจัดบริการสุขภาพในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
117 | โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ | กค. | 17/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี ๒๕๖๗
ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยมอบหมายกระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินโครงการฯ
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมบังคับคดี
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมุ่งเน้นการกำกับดูแลการดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
รวมถึงรักษากรอบวินัยการเงินการคลังอย่างรอบคอบ เคร่งครัด
และจัดให้มีระบบการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ และรายงานปัญหา อุปสรรคและแนวทางการแก้ไข
การดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าในส่วนของกลุ่มเป้าหมายคนพิการ ปี ๒๕๖๖
สำนักงานสถิติแห่งชาติมีการสำรวจความพิการ พบว่า มีผู้พิการ ๔.๑๙ ล้านคน
แต่มีคนพิการขึ้นทะเบียนและมีบัตรประจำตัวคนพิการเพียง ๒.๒ ล้านคน
เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาใช้โอกาสนี้ในการจัดทำบัตรประจำตัวคนพิการให้ครอบคลุมคนพิการทุกกลุ่ม
เพื่อป้องกันการตกหล่นในการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการที่พึงจะได้รับในระยะยาวต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินที่กลุ่มเป้าหมายได้รับตามโครงการฯ
และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร)
พิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายและเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
118 | รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet | นร. | 03/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล) รายงาน และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายเผ่าภูมิ
โรจนสกุล) รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet (โครงการฯ) ว่า ปัจจุบันได้มีการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ
ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม - ๑๕ กันยายน ๒๕๖๗ และในขั้นตอนต่อไป จะต้องมีการตรวจสอบสิทธิของผู้ลงทะเบียนให้ถูกต้อง
ครบถ้วน เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
จึงเสนอให้ที่ประชุมรับทราบและพิจารณาความเหมาะสมในการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
โดยให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ดังนี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบ ภารกิจ กระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) ตรวจสอบข้อมูลรายได้ของประชาชน ณ ปีภาษี ๒๕๖๖ ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ นำส่งข้อมูลเงินฝาก ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม
๒๕๖๗ ไปยังสถาบันคุ้มครองเงินฝาก สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ช่วยประสานงานกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
ในการจัดเตรียมข้อมูลเงินฝากและช่วยประมวลผลข้อมูลเงินฝากดังกล่าว กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) ตรวจสอบข้อมูลผู้อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ หน่วยงานผู้รับผิดชอบมาตรการ ตรวจสอบข้อมูลผู้ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนหรือฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการหรือโครงการอื่น ๆ ของรัฐ หรือโครงการอื่น ๆ ของรัฐ ๒. รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความเห็นว่า กระทรวงการคลังควรเร่งจัดการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้างต้น
เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการตามภารกิจต่าง ๆ ให้ชัดเจน
ถูกต้องตรงกัน ๓. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า
การมอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ นั้น
แต่ละหน่วยงานสามารถปฏิบัติได้ตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานนั้น ๆ
อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หน่วยงานต่าง ๆ ควรเร่งรัดดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
119 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | รง. | 03/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๔๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะฝีมือบุคลากรเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้กระทรวงแรงงานดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
120 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการอาคารเรียน 212 ล./57-ข สำหรับก่อสร้างในเขตแผ่นดินไหว โรงเรียนชุมชนบ้านอุ้มผาง จังหวัดตาก | ศธ. | 03/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
รายการอาคารเรียน ๒๑๒ ล./๕๗-ข สำหรับก่อสร้างในเขตแผ่นดินไหว
โรงเรียนชุมชนบ้านอุ้มผาง ตำบลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ๑ หลัง วงเงิน ๒๐,๗๘๙,๐๐๐ บาท
ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ - พ.ศ. ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวขอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ นอกจากนี้ เพื่อมิให้งบประมาณตกเป็นพับไปโดยผลของกฎหมาย
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานควรเร่งดำเนินการและเบิกจ่ายงประมาณ ปี พ.ศ.
๒๕๖๖
ที่ได้รับการขยายเวลาเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน
๒๕๖๗
|