ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
141 | ร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet | กค. | 09/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒๖๒/๒๕๖๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน
๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet
ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๖ ตามนัยข้อ ๓.๗
ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะลงนามในร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา
๑๑ (๖) และ (๙) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีการแก้ไข ดังนี้ ๑. แก้ไของค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายฯ
ให้มีความเหมาะสมและเป็นปัจจุบัน เช่น จากรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (รองประธานกรรมการคนที่
๒) เป็น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการการคลัง (รองประธานกรรมการคนที่
๒) ๒. ยกเลิกความในข้อ ๒.๒ ของคำสั่ง นร. ที่ ๒๖๒/๒๕๖๖
เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายฯ ที่ระบุว่า
“กำกับ ดูแล ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินโครงการ ให้เป็นไปตามที่ ครม. มีมติเห็นชอบ”
เป็น “กำกับ ดูแล ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินโครงการในภาพรวม
รวมทั้งการกระทำที่เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ให้เป็นไปตามที่ ครม. มีมติเห็นชอบ” ๓. ยกเลิกความในวรรคท้ายของคำสั่ง นร. ที่ ๒๖๒/๒๕๖๖
เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายฯ ที่ระบุว่า
“สำหรับการเบิกจ่ายเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายของคณะกรรมการนโยบายฯ
ให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ หรือตามระเบียบทางราชการ
แล้วแต่กรณี โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
ส่วนการเบิกจ่ายเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ
พ.ศ. ๒๕๔๗ หรือตามระเบียบทางราชการแล้วแต่กรณี
โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง” ๔. เพิ่มความข้อ ๓ ของคำสั่ง นร. ที่ ๒๖๒/๒๕๖๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายฯ “๓.
สำหรับการเบิกจ่ายเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายของกรรมการนโยบายฯ และคณะอนุกรรมการ
ให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
หรือตามระเบียบทางราชการ แล้วแต่กรณี ดังนี้ ๓.๑ คณะกรรมการ
ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ๓.๒
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital wallet และคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเติมเงิน
๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๓.๓ คณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการเติมเงิน
๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
142 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2567 | นร.11 สศช | 02/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอเพิ่มเติมว่า
เพื่อให้การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาวนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง
เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และสุขภาพสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน
จึงขอแก้ไขข้อเสนอเกี่ยวกับระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการดังกล่าว จากเดิม “สิ้นสุดเดือนเมษายน
๒๕๖๗” เป็น “สิ้นสุดเดือนสิงหาคม ๒๕๖๗” ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติอนุมัติ
เห็นชอบ และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๗ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอและที่เสนอเพิ่มเติม ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย กระทรวงการคลัง ที่เห็นควรให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดเพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า
มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่ได้กำหนดไว้ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ข้อ ๒๒ และ ๒๓ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน ๓
เดือนนับจากวันที่สิ้นสุดการดำเนินโครงการพัฒนาวนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง
ที่ได้รับอนุมัติให้ขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถรวบรวมข้อมูลและนำส่งเงินกู้เหลือจ่ายคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
รวมทั้งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
143 | ขออนุมัติดำเนินโครงการรายจ่ายลงทุนเพื่อใช้จ่ายเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (โครงการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข) | สธ. | 02/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขดำเนินงานโครงการรายจ่ายลงทุนเพื่อใช้จ่ายเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
(โครงการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข)
ทั้ง ๕ โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์
จังหวัดนครสวรรค์ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี โรงพยาบาลมะการักษ์
จังหวัดกาญจนบุรี และโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
ภายใต้กรอบวงเงินรวม ๘,๕๑๐,๐๘๐,๙๐๐ บาท โดยให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ตามแผนบริหารหนี้สาธารณะ โดยอัตราส่วนของแหล่งเงินกู้และเงินงบประมาณให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังทำความตกลงกับแหล่งเงินกู้
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๘/๘๗๓
ลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการเบิกจ่ายเงินทั้งในส่วนของเงินกู้ต่างประเทศและเงินงบประมาณสมทบ
เงินกู้ในแต่ละปีส่งให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ เห็นว่าหากโครงการดังกล่าวมีความจำเป็นต้องก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เห็นว่าควรมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาจัดทำประมาณการผลกระทบงบประมาณในด้านการให้บริการสาธารณสุขที่จะเกิดขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
144 | โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2572 | กษ. | 02/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประมูลสิทธิ์จัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๗๒ อนุมัติองค์ประกอบของคณะกรรมการอำนวยการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๗๒ ตามที่เสนอ และเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณารายละเอียดเอกสารสัญญา ให้มีความรอบคอบ รัดกุม
และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์
เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการดำเนินการใด ๆ
ในเขตพื้นที่ป่า ขอให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
145 | การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซาก | นร. | 02/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
หลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้มักประสบกับปัญหาน้ำท่วม
น้ำแล้งช้ำซาก ซึ่งสร้างความเดือดร้อนเสียหายทั้งแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๗
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายใต้กรอบวงเงิน ๗,๖๐๖.๔๙๗๒ ล้านบาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ในช่วงฤดูฝน
ปี ๒๕๖๗ และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้งปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ ไปแล้ว
จึงขอเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมชลประทาน) เร่งรัดการดำเนินโครงการในความรับผิดชอบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซากให้หมดไป
ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงสภาพปัญหา ความเร่งด่วน และสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ประกอบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
146 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน (สำนักงบประมาณ) | นร.07 | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในความรับผิดชอบของสำนักงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ กันยายน ๒๕๖๖ (เรื่อง
การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน)
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๔ เรื่อง
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๒.๑
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ (เรื่อง
การกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีและการขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณสมทบโครงการเงินกู้จากต่างประเทศ) ๒.๒
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
การวิเคราะห์ระดับความสำเร็จของการดำเนินงานจากการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑) ๒.๓
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น)
๒.๔
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง
การเสนอขอตั้งและอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และการดำเนินโครงการเกี่ยวกับความมั่นคงหรือความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
147 | โครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 | กษ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า
เนื่องจากในฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้รับความช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต
(ไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท) ผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๖/๖๗ ซึ่งสร้างภาระงบประมาณจำนวนมาก (ประมาณ ๕๖,๐๐๐๐ ล้านบาท)
ในครั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงขอปรับเปลี่ยนเป็นการจัดทำโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘ มาทดแทนโครงการดังกล่าว
และจะไม่มีการจัดทำโครงการในลักษณะเป็นการจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต
(ไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท) อีกต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(อธิบดีกรมการข้าว) ได้ชี้แจงด้วยว่า
กรมการข้าวได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ทราบอย่างทั่วถึงแล้ว ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริง
ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
การชดเชยต้นทุนเงินให้แก่ ธ.ก.ส.
ให้คงหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชดเชยอัตราต้นทุนทางการเงินที่ต้องขอรับชดเชยจากภาครัฐในอัตราต้นทุนทางการเงินของ
ธ.ก.ส. ประจำไตรมาส บวก ๑ เช่นเดียวกับที่ได้เคยดำเนินการมา
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ รวมทั้งเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เสนอความเห็นเพิ่มเติมว่า ในส่วนของ ธ.ก.ส. แจ้งว่า
ไม่มีข้อขัดข้องในการดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ ขอความเห็นชอบให้ ธ.ก.ส.
สามารถนำส่วนต่างระหว่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ได้รับชดเชย
เพื่อบวกกลับในการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้และเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจได้ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง (ธ.ก.ส.)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ ๓.๑
เร่งรัดดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในคราวประชุมครั้งที่
๒/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ ที่ให้จัดหาผู้ประกอบการผลิตปุ๋ยและชีวภัณฑ์ที่เข้าร่วมโครงการฯ
ให้มีจำนวนหลากหลาย เพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในการใช้ปุ๋ยให้สอดคล้องกับความต้องการอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ราคาปุ๋ยและชีวภัณฑ์ที่จำหน่ายตามโครงการฯ
จะต้องเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไป ๓.๒
กำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและรัดกุมรวมถึงติดตามผลการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้และรายงานผลการดำเนินโครงการฯ ให้ นบข.
ทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
148 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2567 และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี 2567/2568 | นร.14 | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายใต้กรอบวงเงิน
๗,๖๐๖.๔๙๗๒ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ในช่วงฤดูฝน
ปี ๒๕๖๗ และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ จำนวน ๒,๖๖๘
รายการ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และการมีมาตรการกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าว
โดยเฉพาะโครงการประเภทการซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ และการขุดลอกคูคลองในช่วงฤดูน้ำหลาก
ให้มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุดด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยให้เร่งรัดดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
149 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... | คค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ
ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบทถนนสาย
ก ๗ ถนนสาย ง ๘ และถนนสาย จ ตามโครงการผังเมืองรวมอุดรธานี และถนนต่อเชื่อม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เห็นควรจะเร่งดำเนินการสำรวจพื้นที่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
หากยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จและยังประสงค์จะทำการสำรวจต่อไปก็ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา
๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
150 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้าง หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยไม่ถือเป็นวันลา | วธ. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท
พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท
เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ระหว่างวันที่ ๑๘ - ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เป็นเวลา ๑๓ วัน
โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน
และได้รับเงินเดือนตามปกติ และให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ
ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เป็นสตรี
ที่เข้าร่วมบวชชีพรหมโพธิ ถวายเป็นพระราชกุศลในครั้งนี้ สามารถลาปฏิบัติธรรมเป็นเวลา
๑๓ วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน และได้รับเงินเดือนตามปกติ
ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน
และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
การให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม)
ในส่วนของการลาปฏิบัติธรรม ครั้งหนึ่งตลอดอายุราชการเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๑
เดือน แต่ไม่เกิน ๓ เดือน และยกเว้นการปฏิบัติธรรมในสถานที่ปฏิบัติธรรม
ตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง
แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการขอยกเว้นการดำเนินการตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง
แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ นั้น ให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามหน้าที่และอำนาจต่อไป ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบท ๗๓ รูป
และบวชชีพรหมโพธิ ๗๓ คน เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณีตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
151 | โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว | พน. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว กำลังผลิตติดตั้งรวม ๖.๗๕
เมกะวัตต์ โดยมีวงเงินขออนุมัติ ๙๕๙.๗๖ ล้านบาท แบ่งเป็น เงินตราต่างประเทศ ๒๔๓.๘๓
ล้านบาท และเงินบาท ๗๑๕.๙๓ ล้านบาท
โดยให้สามารถเกลี่ยงบประมาณระหว่างโครงการได้ และหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ถือว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อการลงทุนตามแผนการประมาณการเบิกจ่ายประจำปี ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการขออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว ให้แล้วเสร็จก่อนการลงนามผูกพันสัญญาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน
(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต้องขออนุญาตทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗
และต้องดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้พื้นที่เป็นสถานที่ปฏิบัติงานหรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงสำหรับการบริหารจัดการน้ำ
โดยต้องครอบคลุมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภูมิรัฐศาสตร์ต่อปริมาณน้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้า
รวมทั้งกำหนดให้มีกลไกในการติดตามประเมินผลโครงการฯ ร่วมกับกรมชลประทาน เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และเห็นควรให้กระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาทบทวนแผนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทุกชนิดในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่
โดยให้ความสำคัญกับการเร่งพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นสอดรับกับแนวโน้มการพัฒนาตลาดพลังงานในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
152 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการของจังหวัดสืบเนื่องจากการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรี (จังหวัดนครพนม จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดนครศรีธรรมราช) | นร.04 | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัด
จำนวน ๙ โครงการ ภายในกรอบวงเงิน ๒๗๒,๗๑๘,๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการของจังหวัดนครพนม
จำนวน ๓ โครงการ ภายในวงเงิน ๑๐๘,๑๙๓,๒๐๐
บาท จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๕ โครงการ ภายในวงเงิน ๑๓๔,๕๒๕,๐๐๐ บาท และจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน ๑ โครงการ ภายในวงเงิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้
ให้จังหวัดจัดทำโครงการและรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้จังหวัดนครพนม จังหวัดนครราชสีมา
จังหวัดนครศรีธรรมราช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน
และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
153 | (ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น | ทส. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบ
(ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
พร้อมเอกสารแนบ ข้อ Attachment 1-3
และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงนามในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
โดย (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ เป็นการปรับปรุงความร่วมมือทวิภาคี Joint
Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่นที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยยังคงมีสาระสำคัญเช่นเดิม คือ เป็นการจัดตั้งกลไก JCM เพื่อส่งเสริมให้ประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนเงินลงทุนและเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับโครงการต่าง
ๆ ที่ดำเนินการโดยภาครัฐหรือเอกชนของไทย เพื่อแลกกับการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตที่ลดลงจากการดำเนินโครงการให้กับประเทศญี่ปุ่น
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงพลังงาน
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงพลังงาน
เห็นว่าการกำหนดสัดส่วนการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตตามสัดส่วนเงินสนับสนุนจากฝ่ายญี่ปุ่นต่อเงินลงทุนในโครงการแต่ละโครงการต้องมีการพิจารณาผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำที่ทันสมัยให้กับผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ที่มีศักยภาพและความพร้อมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง)
บันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
154 | รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่สำนักงบประมาณเสนอให้มีการพิจารณาผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเติมเงิน
๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet
(โครงการ Digital Wallet) ที่เป็นประชาชนกลุ่มเปราะบาง
นั้น
เนื่องจากตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งสิ้นสุดภายในวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๗ ดังนั้น
จึงอาจพิจารณาให้มีการใช้จ่ายงบประมาณกับประชาชนกลุ่มเปราะบางก่อนเพื่อให้สามารถใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ได้ตามวัตถุประสงค์และสอดคล้องกับสถานการณ์ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) ชี้แจงว่า
กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับข้อเสนอของสำนักงบประมาณข้างต้นไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการ
Digital Wallet ต่อไป โดยจะดำเนินการให้เหมาะสม ถูกต้อง
เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ และให้สำนักงบประมาณนำรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑)
ไปรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา ๗๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ (เรื่อง
การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒
และสำนักงบประมาณจะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นระยะเวลา ๗ วัน ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
155 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2566 | ทส. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขงล้านช้าง
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดสำหรับการดำเนินโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวิเคราะห์และประเมินผลจากการร่วมรับรองร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
156 | โครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND | กค. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติโครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาล
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงการคลัง [ธนาคารออมสิน
และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)]
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรดำเนินการตามแผนและใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญ
รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้บรรจุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ตลอดจนขอให้ดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
และควรมีแนวทางในการชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐให้เป็นไปตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบฐานข้อมูล SMEs เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการใช้กลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อรายย่อย
(Risk-Based Pricing) เพื่อให้ต้นทุนทางการเงินสะท้อนตามความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละราย ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับเพิ่มกลุ่มเป้าหมายของโครงการสินเชื่อ
IGNITE THAILAND ให้ครอบคลุมถึงวิสาหกิจรายย่อย (Micro SMEs) สถาบันเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนด้วย
รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล) เสนอความเห็นเพิ่มเติมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
157 | (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566 - 2580) | นร.14 | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบ (ร่าง)
แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (ปรับปรุงช่วงที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๘๐)
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน
รวมถึงแผนปฏิบัติการ รวมทั้งจัดทำรายละเอียดเป้าหมายรายลุ่มน้ำให้สอดคล้องกับ
(ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (ปรับปรุงช่วงที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๖ -
๒๕๘๐) ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการจัดหาน้ำให้เพียงพอสำหรับใช้ในภาคอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงต่อไปในอนาคตและจะมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นในปริมาณมาก
รวมทั้งให้พิจารณาบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งระบบให้เกิดความสมดุล
ครอบคลุมถึงภาคการเกษตร การอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศ และด้านอื่น ๆ ด้วย ๒.ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ
เห็นควรที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน
โดยคำนึงถึงวงเงินงบประมาณของประเทศที่จะดำเนินการตามแผนให้ประสบผลสำเร็จ
ประโยชน์ที่ได้รับ รวมทั้งประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการ
และมอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
กำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานให้เป็นไปตามแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ
๒๐ ปี (ปรับปรุงช่วงที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๘๐) และรายงานต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ตามนัยมาตรา ๑๘ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เห็นควรให้มีการปรับปรุงรายละเอียดเป้าหมาย การดำเนินงาน
และหน่วยงานรับผิดชอบ ในภาคผนวก ก ค่าเป้าหมาย พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ ในด้านที่ ๕ การบริหารจัดการ
ให้สอดคล้องกับ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (ปรับปรุงช่วงที่
๑) พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๘๐ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค)
ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้
ในการดำเนินโครงการผันน้ำจากจังหวัดสระแก้วไปยังจังหวัดฉะเชิงเทราและจังหวัดชลบุรี
เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค และภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่
EEC ให้เพียงพอและมีความยั่งยืน
โดยให้มีการพิจารณาเปรียบเทียบระบบการผันน้ำ โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การก่อสร้างท่อส่งน้ำ
การก่อสร้างคลองส่งน้ำ เพื่อให้การดำเนินโครงการมีความเหมาะสม คุ้มค่า
และเกิดประโยชน์สูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
158 | การขับเคลื่อนความร่วมมือและการเข้าเป็นภาคีความตกลงในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) | กต. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการเข้าร่วมกิจกรรมระดับผู้นำกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก
และการรับรองถ้อยแถลงระดับผู้นำฯ ๒. เห็นชอบต่อร่างความตกลงว่าด้วยกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง (Agreement on the Indo-Pacific Economic
Framework for Prosperity) ร่างความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
(Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity
Agreement Relating to a Clean Economy) และร่างความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
(Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity
Agreement Relating to a Fair Economy) ๓. เห็นชอบการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงฯ
ข้างต้นทั้ง ๓ ฉบับ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างความตกลงฯ
ข้างต้น ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้แทนดังกล่าวลงนามร่างความตกลงฯ ๔.
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความตกลงฯ ข้างต้นทั้ง
๓ ฉบับมีผลใช้บังคับกับประเทศไทย ๕.
มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารของความตกลงฯ ข้างต้นทั้ง
๓ ฉบับ เพื่อมอบให้กับผู้เก็บรักษา (Depositary)
ความตกลงฯ ต่อไป
เมื่อฝ่ายไทยได้ดำเนินกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
เสร็จสิ้นแล้ว โดยผลการประชุมและการเข้าร่วมกิจกรรมระดับผู้นำ IPEF เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
รับทราบการจัดทำข้อริเริ่มและการดำเนินโครงการความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมที่สำคัญ
เช่น และการจัดตั้งกองทุน IPEF Catalytic Capital Fund เป็นต้น
และการรับรองถ้อยแถลงระดับผู้นำ IPEF มีสาระสำคัญ เช่น
การลงนามร่างความตกลงสำหรับเสาความร่วมมือทั้ง ๔ เสา และการแสวงหาความร่วมมือเพิ่มเติมที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกัน
เช่น กลไกความร่วมมือด้านพลังงานและเทคโนโลยี เป็นต้น และต่อมาไทยและสหรัฐอเมริกา
ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับรัฐมนตรี IPEF ผ่านระบบทางไกล
(๑๔ มีนาคม ๒๕๖๗) ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบว่า จะมีการประชุมระดับรัฐมนตรี
IPEF ณ สิงคโปร์
ระหว่างวันที่ ๕ - ๖ มิถุนายน ๒๕๖๗ และจะมีการรับรองร่างความตกลงฯ จำนวน ๓ ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นไปตามกรอบการเจรจาฯ
ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว (๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ และ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๖)
แล้ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว
รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์ การดำเนินงานให้ภาคเอกชน
ประชาสังคมและสาธารณชนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการดำเนินงานของประเทศไทยภายใต้กรอบ
IPEF ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
159 | แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.14 | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ และใช้พิจารณาในการจัดทำงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามความนัยมาตรา
๑๗ (๒) แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยแผนปฏิบัติการฯ จะแบ่งโครงการ/กิจกรรมออกเป็น
๕ ด้าน ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี ได้แก่ ด้านที่ ๑
การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค ด้านที่ ๒ การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต ด้านที่ ๓
การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย ด้านที่ ๔ การอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ และด้านที่
๕ การบริหารจัดการ ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
รวมทั้งควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างยั่งยืน สำนักงบประมาณ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้ง่ายงบประมาณ
ตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ภายในปีงบประมาณ
ที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
เป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาค และยืนยันความพร้อมเกี่ยวกับรายละเอียด
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ/กิจกรรมให้ถูกต้อง ครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ศักยภาพ และความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณ
ความคุ้มค่า ความประหยัด เป้าหมาย
และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ควรจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ
ให้สอดคล้องกับกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับจัดสรรในแต่ละปีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
160 | การดำเนินโครงการ/กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 | นร. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศโครงการหลักและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ จำนวน ๑๐ โครงการ เมื่อวันที่
๙ พฤษภาคม ๒๕๖๗ นั้น ขอเน้นย้ำว่า
รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับโครงการหลักและกิจกรรมดังกล่าว และขอให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดและให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโครงการและกิจกรรมดังกล่าวข้างต้น
เช่น ความสำคัญ ความเป็นมาของโครงการ และกิจกรรม
ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมและประชาชน ให้ถูกต้อง ทั่วถึง และต่อเนื่องด้วย
|