ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | รายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | รายงานผลการดำเนินโครงการขยายตลาดเชิงรุกเพื่อเพิ่มการจ้างแรงงานไทยในต่างประเทศ กิจกรรม "MOL Overseas Matching" | รง. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการขยายตลาดเชิงรุกเพื่อเพิ่มการจ้างแรงงานไทยในต่างประเทศ
กิจกรรม “MOL Overseas Matching” ซึ่งมีสาระสำคัญของการดำเนินโครงการฯ
ใน ๓ ประเทศ ๔ พื้นที่ เพื่อกระตุ้นการจ้างงาน การรักษาและขยายตลาดแรงงานไทย และกระชับความสัมพันธ์ด้านแรงงานกับประเทศผู้รับเพื่อนำไปสู่การจ้างแรงงานไทย
เช่น (๑) ญี่ปุ่นมีความต้องการแรงงานไทย จำนวน ๒,๐๒๗ อัตรา
ส่วนใหญ่เป็นงานบริบาล งานโรงแรม งานร้านอาหาร งานอุตสาหกรรม และงานก่อสร้าง
(ดำเนินการระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๗) (๒) อิสราเอลมีความต้องการแรงงานไทย
จำนวน ๒๑,๕๐๐ อัตรา แบ่งเป็น ภาคเกษตร ๑๓,๐๐๐ อัตรา และภาคก่อสร้าง ๘,๕๐๐ อัตรา
(ดำเนินการระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๗ มกราคม ๒๕๖๘) และ (๓)
เขตบริหารพิเศษฮ่องกงและมาเก๊ามีความต้องการแรงงานไทย จำนวน ๑๘,๔๕๙ อัตรา แบ่งเป็น พนักงานในร้านอาหาร ๒,๒๕๙ อัตรา
ผู้ฝึกสอนมวยไทย ๖๐๐ อัตรา ช่างเทคนิค ๑,๐๐๐ อัตรา
ภาคบริการสายการบิน ๖๐๐ อัตรา (ดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘)
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการ โครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย | กษ. | 05/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน
จังหวัดสุโขทัย จากระยะเวลาดำเนินโครงการเดิม
๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ. ๒๕๖๗) เป็น ๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ.
๒๕๗๐) และขยายกรอบวงเงินโครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย จากกรอบวงเงินโครงการเดิม ๒,๘๗๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๓,๐๖๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
และกระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้
รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมชลประทานควรเร่งรัดการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้างในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
โดยการจ่ายค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สินให้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการวางแผนบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำยมให้มีประสิทธิภาพ
ทั้งในฤดูน้ำหลากและฤดูแล้ง เพื่อลดอุปสรรคต่อการก่อสร้างโครงการ
และการประชาสัมพันธ์แผนการดำเนินโครงการและแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
เพื่อให้การดำเนินการโครงการแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ โดยไม่ต้องขอขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการเพิ่มเติมอีก สำหรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้น
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการ โครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา | กษ. | 05/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการและเพิ่มกรอบวงเงินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดพะเยา จากระยะเวลาดำเนินโครงการเดิม ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ - พ.ศ.
๒๕๖๘) เป็น ๑๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙ - พ.ศ. ๒๕๗๑) และขยายกรอบวงเงินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา จากกรอบวงเงินโครงการเดิม ๓,๙๘๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๕,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้น
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีแผนการติดตามตรวจสอบและเร่งรัดให้การดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่ยังคงเหลือ
โดยเฉพาะงานก่อสร้างเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามแผนและระยะเวลาที่ขอขยายไว้
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดพะเยา
ในการเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุน การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่เพาะปลูก
และการรองรับความต้องการใช้น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค ปศุสัตว์ และอุตสาหกรรม
รวมถึงบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำเจ้าพระยา สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เห็นว่ากรมชลประทานควรเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่เสนอ
เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพโดยเร็ว โดยปฏิบัติตามระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งให้รายงานความก้าวหน้าของโครงการฯ ต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ทุก
๖ เดือน ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมชลประทาน)
เร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดพะเยา ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๑ อย่างเคร่งครัด
โดยจะไม่ให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวออกไปอีก |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | ข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีสระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Implementation Agreement Pursuant to Article 6 of the Paris Agreement between the Government of the Republic of Singapore and the Government of the Kingdom of Thailand) | ทส. | 05/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า
การจัดทำข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ข้อ ๖ ของความตกลงปารีสระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรลุเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution : NDC) ของประเทศไทย โดยปัจจุบันประเทศไทยสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าที่แผนกำหนดไว้ ๒. เห็นชอบต่อข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ข้อ ๖
ของความตกลงปารีสระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Implementation Agreement Pursuant to
Article 6 of the Paris Agreement between the Government of
the Republic of Singapore and the Government of the
Kingdom of Thailand) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจลงนามในข้อตกลงฯ
รวมทั้งมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน
ลงนามในข้อตกลงฯ และมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามข้อตกลงฯ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความเหมาะสมและจำเป็น แล้วแต่กรณี
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ที่จะได้รับเป็นสำคัญด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาถึงความเป็นธรรมของการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการที่จะเกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงฯ
เนื่องจากต้นทุนดำเนินงานและราคาคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยและสาธารณรัฐสิงคโปร์มีราคาที่แตกต่างกัน
และควรระวังการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ (Internationally Transferred Mitigation Outcomes
: ITMOs) ไม่ให้มีปริมาณมากเกินไป
เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย NDC ของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 28 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กก. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน
ครั้งที่ ๒๘ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๐ มกราคม
๒๕๖๘ ณ เมืองยะโฮร์บาห์รู สหพันธรัฐมาเลเซีย โดยมีรายละเอียด เช่น (๑) ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน
ครั้งที่ ๒๘ รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินกิจกรรมภายใต้แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอาเซียนและแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ซึ่งดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วกว่าร้อยละ ๖๔ และ ๕๓.๗ ตามลำดับ
และเห็นชอบข้อเสนอโครงการใหม่จากสมาชิกอาเซียนและหารือแนวทางสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
เช่น การพัฒนามาตรฐานการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน
การขยายการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ รวมถึงการส่งเสริมการเชื่อมโยงในภูมิภาคกับประเทศคู่เจรจา
โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน และเครือรัฐออสเตรเลีย และ
(๒) ผลการประชุมที่เกี่ยวข้อง เช่น การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม
ครั้งที่ ๒๔ รับทราบความคืบหน้าของแผนงานอาเซียนบวกสาม พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๘
ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จกว่าร้อยละ ๖๑.๕ โดยในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินกิจกรรมสำคัญ
เช่น การจัดนิทรรศการ การศึกษาดูงาน และการส่งเสริมทักษะดิจิทัล โดยเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่
และการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๑๒
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการภายใต้แผนงานอาเซียน-อินเดีย พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐
ซึ่งมีความคืบหน้าเพียงร้อยละ ๖ โดยในปีที่ผ่านมาได้มีการดำเนินกิจกรรมสำคัญ เช่น การจัดสัมมนาด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญ
และการเฉลิมฉลองปีแห่งการท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | การขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร - UNDP (Bangkok-UNDP Regional Innovation Center: RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (Thailand Policy Lab: TPLab) | นร.11 สศช | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development
Programme : UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร - UNDP
(Bangkok - UNDP Regional Innovation
Center : RIC) และอนุมัติให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างพิธีสารฯ ของฝ่ายไทย
พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม รวมทั้งเห็นชอบกรอบวงเงินโครงการฯ
รวมทั้งสิ้นจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐
ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๗๒,๐๐๐,๐๐๐
บาท โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
โดยร่างพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม
๒๕๗๐ โดยมีกรอบความร่วมมือ ๕ ด้าน ได้แก่ (๑)
การพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์และนวัตกรรมนโยบาย (๒)
การเสริมสร้างศักยภาพด้านนวัตกรรมนโยบาย (๓)
การพัฒนาข้อเสนอแนะด้านนวัตกรรมนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญ (๔) การเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ของสังคมนวัตกรรมที่เข้มแข็ง
และ (๕) การให้บริการที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมนโยบาย
โดยไทยจะให้เงินอุดหนุนเพิ่มเติมแก่ UNDP เป็นจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มเติมจากเดิม ๓,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ) และขยายระยะเวลาออกไปตั้งแต่
๑ มีนาคม ๒๕๖๘ - ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่องการจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งให้รับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | โครงการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน | กค. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน
และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หารือเพื่อกำหนดระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ
ที่เหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) รวมทั้งความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามมาตรฐาน หลักเกณฑ์
และแนวทางการปฏิบัติงานดิจิทัลในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ การเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ
กระบวนการหรือการดำเนินงานทางดิจิทัล และการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัล
รวมถึงความมั่นคงปลอดภัยและความน่าเชื่อถือตามแนวทางการพัฒนามาตรฐานที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
ดำเนินโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น
การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ของผู้ประกอบการรายที่ ๒ โดยโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ ๒ มีสาระสำคัญเพื่อพิจารณาให้สิทธิกับผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติเหมาะสมล่วงหน้าก่อนที่สัญญาของผู้ประกอบการรายที่
๒ จะสิ้นสุดลง (สิ้นสัญญาปี ๒๕๖๙) ตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ (บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลงอย่างน้อย
๕ ปี ก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุด) เพื่อให้การบริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น ณ
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและมีความต่อเนื่องในการให้บริการ
และเพื่อให้มีจำนวนผู้ประกอบการที่เหมาะสมและเพียงพอสำหรับรองรับการเติบโตของจราจรทางอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและครบถ้วนต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน
กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย
โดยเฉพาะประเด็นการดำเนินการรองรับช่วงการเปลี่ยนผ่านของสัญญา
เพื่อให้โครงการให้บริการลานจอดฯ รายที่ ๒ มีความต่อเนื่องและไม่กระทบกับผู้รับบริการ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และคณะกรรมการคัดเลือก
รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งควรมีการจัดทำแผนการปฏิบัติงานในภาพรวมของโครงการ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
และเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ตลอดจนการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน
มีความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และมีกลไกในการบริหารความเสี่ยงและป้องกันการทุจริตหรือกรณีที่ทางราชการจะเสียผลประโยชน์อย่างรอบคอบในทุกขั้นตอนของการดำเนินโครงการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม "โครงการคุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 2" และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการคุณสู้
เราช่วย ระยะที่ ๒ ของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรรเพื่อดำเนินโครงการคุณสู้
เราช่วยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗
และได้มีการปรับปรุงกรอบวงเงินงบประมาณของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions : SFIs) ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ทั้ง ๖ แห่ง ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งต่อไป
และเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และรับทราบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งรับทราบเป้าหมายลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือลดภาระหนี้ผ่านมาตรการของกระทรวงการคลัง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นว่ามาตรการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ขอให้หน่วยงานปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
อย่างเคร่งครัดและรอบคอบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการดำเนินการและผลการพิจารณากลั่นกรองโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงเพิ่มเติม ๒.
เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่
๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๘ จำนวน ๕๐ หน่วยรับงบประมาณ ๔๘๑ โครงการ ๘,๙๓๙ รายการ ภายในกรอบวงเงินรวม ๑๑๕,๓๗๕.๒๗๑๕ ล้านบาท
และอนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณ ทั้ง ๕๐
หน่วยงานเป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป
โดยให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
พ.ศ. ๒๕๖๗ รวมทั้งกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตั้งแต่กระบวนการจัดทำคำขอรับจัดสรรงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง การดำเนินโครงการ
ตลอดจนการติดตามและประเมินผล และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด/หน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแล
ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รอบคอบ เป็นธรรม และทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้งบประมาณพับไป
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด ผลสัมฤทธิ์
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมทั้งให้คณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจกำกับการปฏิบัติตามโครงการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง
ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ
Three Lines of Defense ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณและให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรกำหนดเงื่อนไขสำหรับโครงการที่เกี่ยวกับการจ้างงานและฝึกอบรม
ให้ใช้วิธีการจ่ายค่าจ้างผ่านบัญชีธนาคารไปยังผู้ที่ได้รับการจ้างงานเพื่อให้การดำเนินการในทุกขั้นตอนมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
สำหรับการดำเนินโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ภายใต้งบประมาณในส่วนที่เหลือ
ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกเป็นสำคัญ
เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | การขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี 2568 | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
(ปรับปรุงใหม่) ปี ๒๕๖๘ พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณวงเงินรวมไม่เกิน ๗๕๐
ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
ธนาคารออมสินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่ากระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าธนาคารออมสิน
และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
ควรพิจารณาให้การอนุมัติสินเชื่อการสอบทานกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ
และการสุ่มสอบทานลูกหนี้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีกระบวนการทบทวนความจำเป็นและกำหนดแนวทางการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้โครงการบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขหรือต่ออายุโครงการในระยะต่อไป ๓. เพื่อให้การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี ๒๕๖๘ (โครงการฯ) เป็นไปอย่างเหมาะสม
มีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาวินัยทางการเงินของผู้กู้
รวมทั้งป้องกันการเกิด Moral
Hazard ให้กระทรวงการคลังและธนาคารออมสินดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑
พิจารณาให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายใหม่เป็นลำดับแรกก่อน
รวมทั้งดำเนินการประชาสัมพันธ์ ชี้แจง
และสร้างการรับรู้ให้แก่กลุ่มเป้าหมายเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าร่วมโครงการฯ
เพิ่มมากขึ้น ๓.๒
กำกับดูแลให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดทำแผนการชำระคืนให้มีความสอดคล้อง
เหมาะสม กับช่วงระยะเวลาโครงการฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการภายใต้โครงการฯ
สามารถชำระหนี้คืนได้ตามกำหนดระยะเวลาโครงการฯ ๓.๓
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการปิดโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ
ในปี ๒๕๗๐ โดยไม่ให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก
และให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ต่อไปอีก ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดทำเป็นโครงการใหม่
โดยให้นำผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ พร้อมทั้งปัญหา
อุปสรรคที่เกิดขึ้นมาเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการใหม่ดังกล่าวให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์และบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 30 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๓๐
และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๑ - ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้ (๑) ที่ประชุมได้พิจารณาความคืบหน้าการดำเนินโครงการความร่วมมือด้านการขนส่งตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งอาเซียน ปี ๒๕๕๙ - ๒๕๖๘
การทบทวนระยะสุดท้ายของแผนยุทธศาสตร์ฯ
และความคืบหน้าการจัดทำร่างแผนงานรายสาขาการขนส่งของอาเซียน ปี ๒๕๖๙ - ๒๕๗๓ มุ่งเน้นให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน
ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ทางถนน และทางรถไฟ
ตลอดจนส่งเสริมและผลักดันการขนส่งที่ยั่งยืนในอาเซียน และ (๒)
ที่ประชุมได้พิจารณาผลการดำเนินความร่วมมือด้านการขนส่งกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน
เช่น ๑) นิวชีแลนด์ การเตรียมการสำหรับการลงนามร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างอาเซียนกับนิวซีแลนด์
ที่จะมีขึ้นในปี ๒๕๖๘ และ ๒) ญี่ปุ่น ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานความเป็นหุ้นส่วนด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน
- ญี่ปุ่นปี ๒๕๖๖ - ๒๕๖๗ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยในการขนส่งทางน้ำ เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและขออนุมัติรวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย-กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว | คค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้รวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงตลิ่งชัน - ศิริราช เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น “โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี
(สถานีสะพานพระราม ๖ สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี)”และอนุมัติกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) โดยแบ่งเป็น
ค่าจ้างที่ปรึกษาจัดประกวดราคา จำนวน ๑๔.๗๘ ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาคุมงาน (CSC) จำนวน ๓๙๒.๑๓ ล้านบาท
ค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ (ICE) จำนวน ๓๙.๕๕ ล้านบาท ค่างานโยธาและระบบราง
จำนวน ๑๐,๗๗๔.๗๒ ล้านบาท ค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล จำนวน ๓,๙๕๕.๐๓ ล้านบาท รวมกรอบวงเงินโครงการ จำนวน ๑๕,๑๗๖.๒๑
ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี รวมทั้งอนุมัติรายละเอียดอื่นที่มิได้มีการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองโครงการ
ให้ยึดถือตามมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติไว้เดิมเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
และเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการดำเนินงานโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและสามารถเปิดให้บริการได้ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในปี
๒๕๗๒ อย่างเคร่งครัด ตลอดจนให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการให้อยู่ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ด้วย ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๒๖๑๗ ลงวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องไปยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงบประมาณ เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยควรให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยง
รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้า
และกระทรวงคมนาคมควรกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา | สกพอ. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๗
และเห็นชอบยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ทั้งนี้
ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิก ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม
เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภาให้บรรลุวัตถุประสงค์
เป้าหมาย และดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
การดำเนินการต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงความถูกต้อง โปร่งใส และประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | ขออนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อให้กรมชลประทาน ดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดน่าน | กษ. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
เพื่อให้กรมชลประทานเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ จำนวนเนื้อที่ ๕๕๐ ไร่ ๓
งาน ๗๒ ตารางวา ดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดน่าน ดังนี้ ๑) มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๙ เรื่อง
มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเรื่องการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยมและน่าน
และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน
ระบุไว้ว่า “ข้อ ๑.๑ ห้ามมิให้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นที่ป่าไม้เป็นรูปแบบอื่นอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้เป็น พื้นที่ต้นน้ำลำธารอย่างแท้จริง” และ ๒) มติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง
“ข้อ ๒. ต่อไปจะไม่อนุมัติให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
อีก ไม่ว่ากรณีใด” ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรคำนึงถึงผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พื้นที่ลุ่มน้ำ และระบบนิเวศของสัตว์ป่า โดยเฉพาะการสูญเสียทรัพยากรป่าไม้
ซึ่งส่งผลต่อการสูญเสียพื้นที่ที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
รวมทั้งการปฏิบัติของผู้ขออนุญาต ในการปฏิบัติตามกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี
และระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ตามแผนที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ขอให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามระเบียบและกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง
การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ)
ให้ถูกต้อง ครบถ้วน อย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | มท. | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมการปกครองดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ วงเงินทั้งสิ้น ๑๒๓,๕๓๘,๕๓๐
บาท โดยใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จากงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรให้ความสำคัญในลำดับต้นกับการแก้ไขปัญหาเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติที่เกิดในราชอาณาจักร
และการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Global Alliance to End
Statelessness |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงศึกษาธิการ) | ศธ. | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
ของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๕ คณะ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ๒.
คณะกรรมการอำนวยการโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ๓. คณะกรรมการ PISA และพัฒนาคุณภาพการศึกษาแห่งชาติ เดิมชื่อ คณะกรรมการ PISA แห่งชาติ ๔.
คณะกรรมการกำหนดนโยบายผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕.
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ซีมีโอ) ๖. คณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ
เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการศึกษา ๗. คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๘.
คณะกรรมการฝ่ายการศึกษาของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๙. คณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรมของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๐. คณะกรรมการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๑. คณะกรรมการฝ่ายสังคมศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๑๒. คณะกรรมการฝ่ายสื่อสารมวลชนของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๓.
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ๑๔.
คณะกรรมการโครงการมนุษย์และชีวมณฑลของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ๑๕. คณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน
ทั้งนี้ ในส่วนของคณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน ให้มีหน้าที่และอำนาจเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการ
๑ อำเภอ ๑ ทุน ที่ได้รับการขยายเวลาการดำเนินโครงการไว้แล้ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง ขออนุมัติขยายกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน
รุ่นที่ ๔ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๖๙) เท่านั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | งบการเงินแสดงฐานะการเงิน และรายงานผลการปฏิบัติงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตามมาตรา 26 | สทบ. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบการเงินแสดงฐานะการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗
ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และรายงานผลการปฏิบัติงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามมาตรา ๒๖ ซึ่งกองทุนหมู่บ้านฯ มีแผนการเบิกจ่าย
ทั้งสิ้น ๓,๖๕๔.๔๕ ล้านบาท และสามารถเบิกจ่ายงบประมาณ
๓,๕๖๔.๓๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๕๓ โดยมีการดำเนินโครงการและกิจกรรมสำคัญ
เช่น ๑) โครงการส่งเสริมการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืนในหมู่บ้านและชุมชนเมือง
๒) โครงการติดตามประเมินผลสถานะการเงินและศักยภาพการบริหารกองทุนหมู่บ้านฯ ๓) โครงการพัฒนาระบบคลังข้อมูลกลางสำหรับประเมินศักยภาพและประสิทธิภาพของกองทุนหมู่บ้านฯ
(SOFT POWER) และ ๔) โครงการพัฒนาขีดความสามารถบุคลากร สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
อย่างไรก็ตามผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐประจำปีงบงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ อยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุง โดยมีคะแนนอยู่ที่ ๘๔.๕๒ คะแนน (จากคะแนนเต็ม
๑๐๐ คะแนน) ตามที่สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) เพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2 | คค. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง
K (Price Adjustment) เพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง)
ช่วงบางซื่อ - รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง
K (Price Adjustment) เพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นกรณีเฉพาะโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต เฉพาะในส่วนงานโยธาของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒
ดังนี้ ๑.๑
การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง (ค่า K) ที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้
ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง (ค่า K) ตามที่ระบุไว้ในสัญญา
โดยใช้ดัชนีราคาฐาน ๒๘ วัน ก่อนยื่นซองประกวดราคา สำหรับสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒
เป็นฐานในการคำนวณ สำหรับประเภทงานก่อสร้าง
สูตรและวิธีคำนวณให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ ๑.๒
การขอเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างที่จะต้องเรียกร้องภายใน
๙๐ วัน โดยนับจากวันที่ส่งมอบงานงวดสุดท้าย ๒.
มอบหมายให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือลด
และจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างตามเงื่อนไขของสัญญาแบบปรับราคาได้ตามข้อผูกพันของสัญญาที่ได้ลงนามไปแล้ว
และหากการจ่ายเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างดังกล่าว ทำให้เกินกรอบวงเงินที่ได้รับจากคณะรัฐมนตรีก็ถือว่าได้รับการอนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย
ส่วนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อเบิกจ่ายเงินชดเชยค่าก่อสร้าง K ให้แก่ผู้รับจ้าง
ขอให้สำนักงบประมาณเป็นผู้วินิจฉัย และขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งต่อไป ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองในอนาคตขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยนำเงื่อนไข
หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตร
และวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ของการประกวดราคานานาชาติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ มาใช้ อย่างเคร่งครัด โดยกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว
ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป |