ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 59 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1161 - 1180 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1161 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (นางอินทิรา โภคปุณยารักษ์) | พณ | 08/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า คืนไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1162 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) (จำนวน 4 ราย 1. นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ฯลฯ) | พณ | 08/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียนและทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางกุลณี อิศดิศัย ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ๓. นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าภายใน ๔. นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1163 | การประกาศเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย - ตุรกี | พณ | 01/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการประกาศเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระหว่างไทย-ตุรกี การหารือทวิภาคีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และการเจรจาจัดทำ FTA ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมลงนามในปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศเริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ตุรกี (Joint Declaration on the Launch of Negotiations for the Turkey-Thailand Free Trade Agreement) กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจตุรกี เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐ สำหรับการเจรจาจัดทำ FTA ระหว่างไทย-ตุรกี ครั้งที่ ๑ เริ่มต้นหลังจากการประกาศเปิดการเจรจา โดยมีอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและอธิบดีกรมกิจการสหภาพยุโรป กระทรวงเศรษฐกิจตุรกี เป็นประธานร่วม ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้กำหนดระยะเวลา แผนงานการเจรจา และแบ่งกลุ่มคณะทำงานเพื่อเร่งสรุปผลการเจรจาในปลายปี ๒๕๖๑ ตามที่รัฐมนตรีสองฝ่ายได้ตกลงไว้ร่วมกัน ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจตุรกี โดยประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ประกอบด้วย (๑) การใช้จุดแข็งด้านที่ตั้งยุทธศาสตร์เป็นประตูการค้าและการลงทุนระหว่างกัน (๒) เป้าหมายการค้าทวิภาคี (๓) เป้าหมายการเจรจา FTA (เฉพาะการค้าสินค้า) (๔) การรื้อฟื้นกรอบการหารือทวิภาคี (๕) การขยายการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกัน และ (๖) ความร่วมมือด้านอื่น ๆ ที่มีความสนใจร่วมกัน เช่น อุตสาหกรรมสินค้าและบริการฮาลาล การเรียนรู้ประสบการณ์ด้านการสนับสนุน/ส่งเสริมเกษตรกรตุรกี รวมทั้งได้หารือกับผู้บริหารบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทยเพียงบริษัทเดียวในตุรกีในการทำธุรกิจอาหารสัตว์ เพาะพันธุ์ไก่ แปรรูปเนื้อไก่ ไข่ และอาหารสำเร็จรูปครบวงจรในตุรกี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1164 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 01/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนพ. เสนอ โดยมีผลการพิจารณาและมติที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เอกชนเช่าที่ราชพัสดุที่ได้มาตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗๔/๒๕๕๙ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรีและนครพนม และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับนักลงทุนเกี่ยวกับรายละเอียดอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียม รวมทั้งเงื่อนไขในการเช่าให้ละเอียด ชัดเจน และครบถ้วน ๑.๒ เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี และนครพนม ซึ่งให้ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเป็นเวลา ๒ ปี นับตั้งแต่วันจัดทำสัญญาเช่า และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณามาตรการเร่งรัดการลงทุนและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนมากขึ้น ๑.๓ เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกของการตรวจสอบเอกสารและพิธีการศุลกากรผ่านการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ระบบ CIQ (Customs, Immigration and Quarantine) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งนำพื้นที่มาก่อสร้างด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ ๒ และเร่งเจรจากับมาเลเซียเพื่อกำหนดจุดผ่านแดน ณ ด่านสะเดาแห่งใหม่ ๑.๔ เห็นชอบการแก้ไขคำสั่ง กนพ. ที่ ๒/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมปรับปรุงคำสั่งดังกล่าว และดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศในการประชาสัมพันธ์เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑.๕ เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระดับพื้นที่ ประกอบด้วย ๓ กลไก คือ (๑) กำหนดแนวปฏิบัติในการประสานงานระหว่างอนุกรรมการภายใต้ กนพ. และกลไกระดับพื้นที่ (๒) ให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระดับพื้นที่ติดตามและขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และ (๓) วางแนวทางการจัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑๐ พื้นที่ และเชื่อมโยงกับหน่วยงานในส่วนกลาง ๑.๖ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้รับนโยบายและความเห็นของ กนพ. ไปประกอบการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านลงทุน (One Stop Service : OSS) และการแก้ไขปัญหากรณีภาระค่าใช้จ่าย (ค่าสาธารณูปโภค) ในศูนย์ OSS การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว และการดำเนินโครงการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ได้รับจัดสรรงบประมาณระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ สามารถดำเนินการได้ตามแผน เป็นต้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับกรณีที่กรมศุลกากรมีความต้องการอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่ออนุมัติกรอบอัตรากำลังนั้น มิใช่อำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ก.พ.ร. จึงขอแก้ไขเป็นสำนักงาน ก.พ. ไปดำเนินการ ๓. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม กนพ. ต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1165 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 25/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการเกี่ยวกับการนำปาล์มน้ำมันไปใช้ในการผลิตไบโอดีเซลและส่งเสริมให้มีการใช้ไบโอดีเซลให้มากยิ่งขึ้น โดยให้พิจารณาแนวทางการลดต้นทุนการผลิตไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมันให้มีราคาจำหน่ายที่เหมาะสมและแข่งขันได้ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงจูงใจให้มีการใช้ไบโอดีเซลมากขึ้นต่อไป นั้น ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันทั้งระบบตั้งแต่การเพาะปลูก การผลิต และการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันโดยใช้พันธุ์ปาล์มที่ให้ปริมาณน้ำมันมาก การวางแผนการผลิตให้มีปริมาณที่เหมาะสม สอดคล้องกับปริมาณความต้องการใช้ในแต่ละช่วงเวลา การส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันตามแนวทางประชารัฐ การพิจารณาแนวทางการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อลดต้นทุนการผลิตและการจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมัน การปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานของโรงกลั่นน้ำมันปาล์มให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้มีการบูรณาการการทำงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันให้ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อให้การกำหนดมาตรการต่าง ๆ ของแต่ละกระทรวงสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และให้นำผลการพิจารณาเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วน ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางส่งเสริมการใช้สินค้าไทยชนิดต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐานให้แพร่หลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคแทนการใช้สินค้านำเข้า โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีราคาสูง เช่น เครื่องสำอาง ๑.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยด่วน เพื่อให้สามารถดำเนินการขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ และรองรับการเข้าสู่ประเทศไทย ๔.๐ ต่อไป นั้น ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการขยายผลการนำงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ที่ได้วิจัยศึกษาเสร็จสิ้นและได้ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมแล้วไปสู่การผลิตและการขยายผลงานนวัตกรรมออกสู่ตลาดผู้บริโภค เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างกว้างขวางและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้มุ่งวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ผลผลิตทางการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะในผลผลิตที่มีปริมาณการผลิตมากจนเกิดปัญหาล้นตลาด ๑.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมการลงทุนรูปแบบใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยอาจศึกษาจากรูปแบบต่าง ๆ จากต่างประเทศที่มีศักยภาพ เช่น การจัดตั้งศูนย์เพื่อวิจัยและพัฒนาด้านการลงทุนร่วมกันระหว่างประเทศจีนและมาเลเซีย และนำแนวทางต่าง ๆ ดังกล่าวมาปรับใช้เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาการลงทุนให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยต่อไป นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เร่งรัดการดำเนินการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรีทุกท่านกำกับและติดตามให้กระทรวงและหน่วยงานในกำกับรวบรวมงานเชิงนโยบาย (agenda) ที่มีประเด็นปัญหาติดขัด หรือควรมีการเร่งรัด ขับเคลื่อนการดำเนินงานในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปภาครัฐ (Government Reform) ทั้งด้านกฎหมาย (Regulatory) และด้านการบริหารงาน (Administrative) เสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อพิจารณาและบูรณาการแนวทางการปฏิรูปในระยะเร่งด่วนเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและให้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) นำไปพิจารณาขับเคลื่อนต่อไป โดยความสำเร็จของการปฏิรูปในแต่ละหน่วยงานจะนำไปใช้ประกอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐมนตรีต่อไปด้วย ๒.๒ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่จะมีการปรับปรุงโครงสร้างและ/หรือขออัตรากำลังเพิ่มเพื่อรองรับภารกิจที่เพิ่มขึ้น ให้พิจารณานำเทคโนโลยีสารสนเทศหรือการจ้างงานในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การจ้างพนักงานชั่วคราว (Part time) การจ้างทำงานพิเศษ เป็นต้น มาทดแทนการบรรจุอัตรากำลังเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณและลดภาระผูกพันค่าใช้จ่ายในระยะยาว ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการจัดทำทะเบียนรายชื่อผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันระดับชาติและระดับนานาชาติประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม วิชาชีพเฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนกลุ่มบุคคลดังกล่าวโดยจัดทำเป็นฐานข้อมูลด้วย และต่อมาได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานนำร่องในการดำเนินการให้การสนับสนุนผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันต่าง ๆ เช่น การให้ทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความสามารถในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม แล้วรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป นั้น ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับทะเบียนรายชื่อผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันระดับชาติและระดับนานาชาติประเภทต่าง ๆ ดังกล่าวเพิ่มเติม โดยเฉพาะการแข่งขันด้านวิชาการ และดำเนินการปรับปรุงฐานข้อมูลของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ให้มีรายละเอียดที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน เช่น ประวัติการศึกษา ผลงาน และอาชีพปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถที่จะขับเคลื่อนประเทศให้มีความก้าวหน้าต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1166 | การทบทวนมาตรการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ | พณ | 18/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการทบทวนมาตรการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กรมปศุสัตว์ได้รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การบริหารจัดการการนำเข้าวัตถุดิบอื่นทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) โดยตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม-๒๗ เมษายน ๒๕๖๐ มีการอนุญาตนำเข้าข้าวสาลี รวม ๕๕ ราย จำนวน ๔๗๖,๔๕๔.๒๒๙ ตัน และปริมาณการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน ๑,๔๓๙,๗๐๕.๔๑๙ ตัน ๑.๒ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๐ มีมติให้ปรับอัตราการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ จากเดิมกำหนดอัตราส่วน ๑ : ๓ เป็นอัตราส่วน ๑ : ๒ เฉพาะผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่นำเข้าทั้งข้าวสาลีคุณภาพสูง และไม่มีบริษัทในเครือรองรับการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์อื่น ๆ และมอบหมายให้กรมปศุสัตว์ดำเนินการติดตามตรวจสอบปริมาณการใช้และปริมาณการนำเข้าข้าวสาลีของผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง และในการประชุม นบขพ. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ มีมติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลีแก่กลุ่มผู้ผลิตกุ้ง จำนวน ๖ ราย ตามปริมาณที่สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยเสนอ ปริมาณรวมไม่เกิน ๑๕๐,๔๒๓ ตัน/ปี ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับการดำเนินการตามมาตรการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาทบทวนความเป็นไปได้ในการกำหนดอัตราอากรข้าวสาลีที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรให้มีความเหมาะสมและเป็นปัจจุบัน ภายใต้พันธกรณีกับองค์การการค้าโลก (WTO) และ/หรือพันธกรณีระหว่างประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุ้มครองดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและพืชอื่นที่เกี่ยวข้องในประเทศ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1167 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤษภาคม 2560 | พณ | 18/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการส่งออก เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๑๙,๙๔๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยการส่งออกขยายตัวดีขึ้นในทุกตลาดสำคัญ และขยายตัวในระดับสูงในทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่เติบโตต่อเนื่องทั้งในด้านราคาและปริมาณ ๒. มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๖๘๐,๑๒๕ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๑๑.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๖๕๕,๙๘๕ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๑๖.๑ ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๒๔,๑๔๐ ล้านบาท สำหรับมูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๑๙,๙๔๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๑๙,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๘.๒ ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๙๔๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การส่งออกรายสินค้า เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวร้อยละ ๑๗.๖ (YoY) โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป น้ำตาลทราย ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป และข้าว ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๑๒.๘ (YoY) โดยสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ๔. การส่งออกไปตลาดสำคัญ ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนที่ขยายตัวคิดเป็นมากกว่าร้อยละ ๙๐ ของตลาดทั้งหมด ๕. การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ มีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๑๒,๓๓๙ ล้านบาท ขยายตัวที่ร้อยละ ๑๓.๒ (YoY) เป็นผลจากการขยายตัวของการค้าชายแดนเป็นหลัก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1168 | การรับรองร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศเริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรี ไทย - ตุรกี | พณ | 18/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศเริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ตุรกี (Joint Declaration on the Launch of Negotiations for the Turkey-Thailand Free Trade Agreement) มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศคู่เจรจาในการประกาศเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ไทย-ตุรกี และรับรองที่จะดำเนินการตามเอกสารกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ในการเจรจาความตกลงฯ (Terms of Reference Negotiations Guidelines for Turkey-Thailand FTA) และเอกสารแนวทางการเจรจาบทว่าด้วยการค้าสินค้าในความตกลงการค้าเสรีไทย-ตุรกี (The Guidelines for Trade in Goods Negotiations for Turkey-Thailand FTA) โดยจะมีการลงนามร่างปฏิญญาฯ ในระหว่างการประชุมเจรจา FTA ไทย-ตุรกี (เฉพาะการค้าสินค้า) รอบที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐตุรกี ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบและอนุมัติไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ควรให้ความสำคัญกับการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการกำหนดท่าทีการเจรจาในรายละเอียดของประเด็นความตกลงฯ จากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนบนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1169 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน | กต | 18/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๕๓ (ค.ศ. ๒๐๑๗) เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเซาท์ซูดานออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุด ถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ (United Nations : UN) ต่อไป ทั้งนี้ หากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติฯ ดังกล่าว หรือประสงค์ที่จะขอรับความกระจ่างเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อมติฯ ให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1170 | ขอความเห็นชอบยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560 - 2564) | ศธ | 18/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) มีเป้าหมายในการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และรองรับความต้องการกำลังคนในอุตสาหกรรม ๔.๐ และภาคบริการ โดยดำเนินการภายใต้ความร่วมมือกับสถานประกอบการและหน่วยงานในพื้นที่ทุกภาคส่วน ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) จัดการอาชีวศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ (๒) ผลิตและพัฒนากำลังคนระดับอาชีวศึกษา การวิจัย และนวัตกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (๓) การพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านอาชีวศึกษาทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ (๔) การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันด้านอาชีวศึกษา (๕) การสอน การแนะนำทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อสร้างการเติบโตของคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๖) การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศด้วยงานวิจัยทุกระดับ เพื่อการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการจัดการบริหารจัดการภาครัฐ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่มีการบูรณาการการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภารกิจหน้าที่ของหน่วยงานตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เช่น ควรเพิ่มคำสำคัญในวิสัยทัศน์ อาทิ อุตสาหกรรมเป้าหมาย เศรษฐกิจฐานคุณค่า นโยบายประเทศไทย ๔.๐ เพื่อเน้นย้ำเป้าหมายของการพัฒนากำลังคน ควรเน้นการพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและธุรกิจ ควรเพิ่มด้านอุดมศึกษาโดยเฉพาะวิชาชีพที่มีนัยสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ วิศวกร นักวิจัย โปรแกรมเมอร์ นักออกแบบ นักวิเคราะห์ นักบัญชี นักบริหาร ควรให้น้ำหนักเป็นพิเศษในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยยังขาดแคลนเทคโนโลยี องค์ความรู้ และบุคลากร ควรสร้างเครือข่ายบุคลากรผู้เชี่ยวชาญระหว่างสถานประกอบการต่าง ๆ และเชื่อมโยงกับสถานศึกษา ควรมีกลไกสนับสนุนและพัฒนากำลังคนที่สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน และควรให้ความสำคัญกับลักษณะของบุคลากรในอนาคต นอกจากนี้ ควรเพิ่มความชัดเจนในการส่งเสริมพัฒนากำลังคนเพื่อสนับสนุนและรองรับการท่องเที่ยวสุขภาพ ควรจัดทำมาตรฐานของหลักสูตรสำหรับอุตสาหกรรม New S curve ให้ครอบคลุม มีระบบทดสอบและรับรองมาตรฐาน และร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดให้มีห้องทดลองกลาง (Central lab) ที่เน้นเฉพาะอุตสาหกรรม New S curve ควรเพิ่มเติมให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของยุทธศาสตร์ และแผนงาน/โครงการภายใต้ยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคนฯ กับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี โดยเฉพาะความเชื่อมโยงกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาของแผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) รวมถึงกลไกการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ และควรมีการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคนฯ เป็นระยะ ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ให้คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมการยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1171 | ขออนุมัติเอกสารขอบเขตอำนาจหน้าที่สำหรับคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง | พณ | 18/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ (Terms of Reference : TOR) สำหรับคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งคณะทำงานร่วมในการดำเนินการโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนตามที่กำหนดไว้ในปฏิญญาซานย่าในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ และสร้างกลไกการหารือทางด้านเศรษฐกิจระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) โดยคณะทำงานดังกล่าวมีหน้าที่ส่งเสริมการค้า การลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก ส่งเสริมความร่วมมือโดยครอบคลุมประเด็นด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ อาทิ การลงทุน ความเชื่อมโยง (กายภาพและกฎระเบียบ) โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอุทยานอุตสาหกรรม เขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือทางการเงิน และด้านอื่น ๆ ที่ประเทศสมาชิกเห็นชอบร่วมกัน โดยร่างเอกสารดังกล่าวจะมีการลงนามในการประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในส่วนของการดำเนินงานต่อไป เห็นควรมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนให้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างดำเนินการต่อยอดและบูรณาการกับแผนงาน/โครงการภายใต้แผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ซึ่งจีนเป็นสมาชิกที่มีบทบาทสำคัญด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ควรร่วมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะหน่วยประสานงานหลักระดับประเทศแผนงาน GMS เพื่อมุ่งให้การดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-ล้านช้าง สามารถบูรณาการร่วมกับแผนงาน GMS ได้อย่างมีเอกภาพและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1172 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) (นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค) | พณ | 18/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1173 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 18/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการสำรวจปริมาณความต้องการใช้ยางพาราภายในหน่วยงาน เพื่อจัดทำแผนสำหรับการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อยางพารา นั้น ให้หน่วยงานที่แจ้งความจำนงจะใช้ยางพาราในภารกิจของตนเองเร่งดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อกระตุ้นการรับซื้อยางพาราภายในประเทศ สำหรับหน่วยงานใดที่จำเป็นต้องขอใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้ประสานกับสำนักงบประมาณและเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งให้การยางแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายางพาราให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย เพื่อเป็นกลไกกำกับให้ราคายางพาราอยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีความยั่งยืนในระยะยาวต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดพันธุ์เอ็มดีทู (MD2) ที่กำลังประสบปัญหาสับปะรดพันธุ์ดังกล่าวล้นตลาดที่มีสาเหตุหลักจากการขาดตลาดรองรับที่ชัดเจน ผลผลิตโดยรวมยังไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน และมีราคาจำหน่ายค่อนข้างสูง ๑.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากผลผลิตทางการเกษตรชนิดต่าง ๆ เช่น การร่วมมือกับกระทรวงพลังงานเพื่อนำปาล์มน้ำมันไปใช้ในการผลิตไบโอดีเซลและส่งเสริมให้มีการใช้ไบโอดีเซลให้มากยิ่งขึ้น นั้น ให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้พิจารณาแนวทางการลดต้นทุนการผลิตไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมันให้มีราคาจำหน่ายที่เหมาะสมและแข่งขันได้ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงจูงใจให้มีการใช้ไบโอดีเซลมากขึ้นต่อไป ๑.๔ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการตรวจลงตราสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และบุคลากรจากต่างชาติ (Tech Visa) ให้ได้รับความสะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการประกอบการอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมาย ตอบสนองการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนนโยบายประเทศไทย ๔.๐ ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเร่งพัฒนาปรับปรุงกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ณ ท่าอากาศยานต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้นเพื่อลดระยะเวลารอตรวจและลดความแออัดของผู้โดยสารที่เดินทางเข้า-ออกประเทศ โดยให้เร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็นเหมาะสม กรณีกำหนดให้ผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศ ต้องกรอกเอกสาร ตม. ๖ โดยหากสามารถยกเลิกการใช้เอกสารดังกล่าวได้กับผู้เดินทางเข้า-ออกบางประเภทโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใด ๆ ก็ให้เร่งดำเนินการด้วย เพื่อให้เกิดความสะดวก คล่องตัว และลดภาระแก่ผู้เดินทาง ๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนเผชิญเหตุสำหรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เช่น ภัยพิบัติและภัยธรรมชาติต่าง ๆ (อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย คลื่นสึนามิ) รวมทั้งเหตุการณ์อื่นที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมาก ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่อื่นทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยดังกล่าว ทั้งนี้ การจัดทำแผนเผชิญเหตุข้างต้นให้กำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมทั้งในเรื่องข้อมูลพื้นที่จอดเฮลิคอปเตอร์บนอาคารสูง มาตรการปิดล้อมพื้นที่ในกรณีเกิดเหตุการณ์ และบัญชีข้อมูลเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ที่ต้องขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาคเอกชนด้วย แล้วให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เร่งพิจารณาแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดต่าง ๆ เช่น ยางพารา ข้าวโพด โดยให้พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการยึดคืนพื้นที่ป่าภายหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต และไม่ให้มีการบุกรุกเพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการเกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ๒.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการระดมกำลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐบาล ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการปลูกป่าตามศาสตร์พระราชาในพื้นที่ชุมชนที่มีความเหมาะสมให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปลูกไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงาและการปลูกต้นไม้บริเวณใกล้แหล่งน้ำของชุมชน ๒.๕ ตามที่คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศได้มีการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยมีการพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นการปฏิรูป ๗ ประเด็น เพื่อเตรียมไปสู่การเป็นรัฐบาล ๔.๐ ได้แก่ (๑) การปฏิรูปกฎหมาย (๒) การปฏิรูประบบตัวชี้วัดของภาครัฐ (๓) การปฏิรูปให้รัฐบาลมีความคล่องตัว (๔) การจัดการกำลังคนภาครัฐ (๕) การปฏิรูปงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (๖) การปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัล และ (๗) การยกระดับการให้บริการภาคประชาชน นั้น ให้ทุกส่วนราชการเร่งพิจารณาทบทวนแผนการดำเนินงานของหน่วยงานว่าจะต้องมีการเตรียมการและดำเนินการในประเด็นใดบ้าง และให้พิจารณาปรับแผนการดำเนินงานของหน่วยงานให้สอดคล้องกับประเด็นการปฏิรูปดังกล่าว เพื่อสนับสนุนให้การเป็นรัฐบาล ๔.๐ เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1174 | ร่างกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ ฉบับปี ค.ศ. 2017 - 2021 | กต | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ (United Nations Partnership Framework : UNPAF) ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับหน่วยงานสหประชาชาติในประเทศไทยสำหรับช่วงระยะเวลา ๕ ปีข้างหน้า (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) โดยมียุทธศาสตร์เกี่ยวกับความร่วมมือเชิงกระบวนการ (process-oriented) ได้แก่ (๑) การกำหนดและบังคับใช้นโยบาย (๒) การส่งเสริมบทบาทของภาคประชาสังคม (๓) การให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในฐานะหุ้นส่วนในการพัฒนา และ (๔) การขยายการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ๑.๒ ให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่าง UNPAF ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นว่า หากมีการเพิ่มเติมเรื่องความร่วมมือในการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมในยุทธศาสตร์ผลลัพธ์ที่ ๓ ก็จะแสดงให้เห็นถึงการนำแนวปฏิบัติด้านการดำเนินธุรกิจ และการลงทุน ที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนและยั่งยืนมาใช้ด้วย นอกจากนี้ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ ที่มุ่งเน้นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม อาจจะเพิ่มประเด็นเรื่องการขยายการแลกเปลี่ยนด้านนวัตกรรมในยุทธศาสตร์ผลลัพธ์ที่ ๔ ด้วย และในยุทธศาสตร์ผลลัพธ์ที่ ๔ อาจพิจารณานำประเด็นด้านอุบัติภัยบนท้องถนนและความเสี่ยงจากการขนส่งสารเคมีอันตรายเข้าสู่เวทีระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน Logistics ของอาเซียนมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนถึงขั้นเสียชีวิตอยู่ในอันดับสูงของโลก หากนำประเด็นเหล่านี้เข้าสู่ระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการในการดำเนินการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1175 | ข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition Arrangement for Bioequivalence Study Reports of Generic Medicinal Products: ASEAN BE MRA) | สธ | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การลงนามข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition Arrangement for Bioequivalence Study Reports of Generic Medicinal Products : ASEAN BE MRA) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ประเทศสมาชิกจะต้องยอมรับพิจารณารายงานการศึกษาชีวสมมูลที่จัดทำโดยศูนย์การศึกษาชีวสมมูลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและขึ้นบัญชีของอาเซียน (ASEAN Listed BE centre) ซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญ (Panel of Experts) เพื่อตรวจสอบศูนย์การศึกษาชีวสมมูลของประเทศสมาชิกที่จะขอสมัครเพื่อขึ้นบัญชีของอาเซียน โดยทุกประเทศมีเวลาไม่เกิน ๕ ปี หลังการลงนามในการที่จะยอมรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลที่ทำขึ้นโดยศูนย์การศึกษาชีวสมมูลที่ได้ขึ้นบัญชีแล้วมาเพื่อพิจารณา ๑.๒ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามข้อตกลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนรองรับการดำเนินการตามข้อตกลงฯ ที่เหมาะสม โดยให้ครอบคลุมถึงมาตรการรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบในด้านต่าง ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศ ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยาในประเทศ และการเข้าถึงยาของประชาชนทั้งในด้านคุณภาพและราคา ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอแผนดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบภายใน ๖ เดือน ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความเข้าใจกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เกี่ยวกับเหตุผลความจำเป็นในการลงนามในข้อตกลงฯ ผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ และมาตรการรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบให้ถูกต้อง ทั่วถึงด้วย ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการขึ้นทะเบียนยาทั้งระบบ ให้มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยาของประเทศต่อไป ๖. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรพิจารณารวมมาตรการเยียวยาต่อข้อเสนอของภาคเอกชนภายใต้การดำเนินการของอนุกรรมการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้จัดตั้งขึ้นด้วย และควรพิจารณาดำเนินการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศและเอกชนไทยให้มีศักยภาพทัดเทียมนานาชาติ เพื่อลดการสูญเสียเงินตราในการนำเข้า/สั่งยาจากต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1176 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการที่มีความต้องการใช้ยางพารา เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข สำรวจปริมาณความต้องการใช้ยางพาราสำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หรือใช้เป็นส่วนผสมต่าง ๆ ภายในหน่วยงานให้ชัดเจน เพื่อจัดทำแผนสำหรับการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อยางพารา ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการโดยด่วน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น นั้น ขอให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วและมีการนำยางพาราไปใช้ได้จริงภายในปี ๒๕๖๐ ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการจูงใจภาคเอกชนในการสนับสนุนการเพาะปลูกของเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพด เช่น การกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะตอบแทนให้แก่ภาคเอกชน การกำหนดส่วนแบ่งรายได้ที่ได้จากผลผลิตในพื้นที่ระหว่างเกษตรกรและภาคเอกชน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดดำเนินการส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในปัจจุบันให้มีการพัฒนาคุณภาพให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกพืชของเกษตรกรให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกพืชสมุนไพรให้มากยิ่งขึ้นเพื่อนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรต่อไป นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งพัฒนาพืชสมุนไพรให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทย รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแนวทางการส่งเสริมและขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชสมุนไพรไปยังจังหวัดต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นอย่างเหมาะสมด้วย ๑.๔ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) เพื่อกำหนดมาตรการหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งระบบ โดยให้เร่งดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างรวดเร็วต่อไป ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำกับติดตามการดำเนินการของส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเฉพาะในส่วนงานบริการประชาชนทั้งในด้านการลดขั้นตอนการดำเนินงาน ลดการใช้เอกสาร การลดการใช้ทรัพยากร รวมทั้งให้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้แทน ทั้งนี้ ให้กำหนดตัวชี้วัดที่สามารถแสดงผลการดำเนินการของส่วนราชการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ชัดเจน และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะด้วย นั้น ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) แต่งตั้งคณะทำงานขึ้น ประกอบด้วยผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้แทนสำนักงาน ก.พ.ร. ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำหน้าที่เร่งรัดการปรับปรุงประสิทธิภาพของงานให้บริการประชาชนของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยให้มีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อลดภาระของประชาชนในการที่ต้องนำสำเนาเอกสารมาติดต่อราชการ และพิจารณาแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รองรับการติดต่อราชการผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ ให้นำเสนอแนวทางการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางจัดหาพื้นที่กักเก็บน้ำ ทำทางระบายน้ำ หรือพัฒนาแหล่งน้ำสำหรับใช้ประโยชนร่วมกันในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยให้ประสานความร่วมมือในการดำเนินการดังกล่าวกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐบาล ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทั้งนี้ ให้เตรียมการเพื่อให้เริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป นั้น ขอให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เร่งหารือกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำแผนการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในรูปแบบของโครงการจิตอาสาในพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม แล้วให้เสนอแผนดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๒.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เห็นชอบ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ (ฉบับที่ ๑) (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่ถูกร้องเรียนในแต่ละประเภทกิจการให้เชื่อมต่อไปยังหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการได้ รวมทั้งให้นำข้อมูลการออกใบอนุญาตมาใช้เป็นฐานข้อมูลในการติดตามการคุ้มครองผู้บริโภคต่อไปด้วย นั้น ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) ร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายออมสิน ชีวะพฤกษ์) กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดปราบปรามการประกอบธุรกิจค้าขายออนไลน์ที่ไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ รวมทั้งการค้าขายสินค้าผิดกฎหมายผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย และให้รายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๒.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำ Application การสอนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันตามกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ และต่อมากระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำ Application การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารระดับพื้นฐานสำหรับประชาชนทั่วไปเสร็จเรียบร้อยแล้วในชื่อ “Echo English” โดยเน้นการฝึกฝนทักษะฟัง พูด อ่าน เขียนจากสถานการณ์จำลองต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกที่ทุกเวลา นั้น ให้ทุกส่วนราชการประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดติดตั้ง (download) และใช้ประโยชน์จาก Application ดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของบุคลากรทุกระดับให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1177 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นางสาวเรวดี วีระวุฒิพล) | พณ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งเรวดี วีรวุฒิพล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1178 | โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 | พณ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ครบวงจร ซึ่งเป็นการดำเนินการเชื่อมโยงกับโครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่หลักเกณฑ์ใหม่) และโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โดยการส่งเสริมเชื่อมโยงตลาดระหว่างกลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวอินทรีย์และข้าว GAP กับผู้ประกอบการค้าข้าว เพื่อให้กลุ่มชาวนาทั้ง ๒ ประเภทสามารถขายข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ได้ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๘๗๓,๒๗๖,๔๐๐ บาท และมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ประกอบด้วย ค่าชดเชยดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ประกอบการค้าข้าวที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และควรมีการกำกับดูแลการให้สินเชื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการฯ เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ประโยชน์สูงสุด ตลอดจนมีการวางระบบการติดตามการดำเนินงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงาน ให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ รวมทั้งมีการเตรียมแผนการตลาดให้เชื่อมโยงรองรับผลผลิตจากโครงการฯ โดยเฉพาะการจับคู่กับผู้ประกอบการที่ใช้ผลผลิตข้าวเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ข้าวต่าง ๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น นอกเหนือจากการแปรรูปเป็นข้าวสารเพื่อจำหน่ายในท้องตลาดเท่านั้น รวมถึงการจัดหาตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น และขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ ในการรับซื้อผลผลิตไปใช้ในหน่วยงาน นอกจากนี้ ควรเร่งกระบวนการตรวจสอบรับรองมาตรฐานเพื่อปิดช่องว่างปัญหาที่มีอยู่ และเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้บริโภคได้ตระหนักถึงการบริโภคสินค้าปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดในระยะยาวอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาการจับคู่กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวอินทรีย์และข้าว GAP กับผู้ประกอบการค้าข้าวที่มีโรงสี/จุดรับซื้อที่มีระยะทางไม่ไกลจากพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและตรวจสอบให้ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาสูงกว่าตลาดตามเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวไป EU สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1179 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน 2560 | พณ | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการส่งออก เดือนเมษายน ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๘.๕ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๑๖,๘๖๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยการส่งออกขยายตัวในเกือบทุกตลาด (ยกเว้นสหภาพยุโรปและตะวันออกกลาง) และในทุกกลุ่มสินค้า ๒. มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนเมษายน ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๕๘๑,๗๑๗ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๕๘๖,๘๙๓ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๑๒.๖ ส่งผลให้การค้าขาดดุล ๕,๑๗๖ ล้านบาท สำหรับมูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนเมษายน ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๑๖,๘๖๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๘.๕ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๑๖,๘๐๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๔ ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๕๖.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การส่งออกรายสินค้า เดือนเมษายน ๒๕๖๐ มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวร้อยละ ๑๑.๙ (YoY) โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา น้ำตาลทราย ข้าว และอาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๗.๙ (YoY) โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป ทองคำ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ๔. การส่งออกไปตลาดสำคัญขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนตลาดที่ขยายตัวคิดเป็นร้อยละ ๘๕.๔ ของตลาดทั้งหมด ๕. แนวโน้มการส่งออกของไทยในปี ๒๕๖๐ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ร้อยละ ๕.๐ โดยมีปัจจัยสำคัญจากราคาน้ำมันดิบที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรสำคัญและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีราคาเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญล้วนมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1180 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... | นร09 | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
|
.....