ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 55 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1081 - 1100 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1081 | ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... | นร | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความรับผิดชอบของผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้า อันเป็นมาตรการสำคัญทางกฎหมายที่จะคุ้มครองผู้บริโภค โดยกำหนดให้ผู้บริโภคมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ประกอบธุรกิจรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้าเพิ่มเติมจากหลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า การที่ไม่ได้นิยามความหมายของคำว่า “ความชำรุดบกพร่องเพียงเล็กน้อย” ไว้อย่างชัดเจน อาจทำให้เกิดปัญหาในการตีความ และเป็นเหตุให้ผู้บริโภคไม่ได้รับการเยียวยาในความชำรุดบกพร่องของสินค้า หากผู้ประกอบธุรกิจพิจารณาว่าความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นเป็นความชำรุดบกพร่องเพียงเล็กน้อย และร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ได้กำหนดบทเฉพาะกาลให้ชัดเจนว่าจะใช้บังคับหรือไม่ใช้บังคับกับสินค้าที่ได้ขายแก่ผู้บริโภคก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งจะทำให้เกิดการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ รวมทั้งควรพิจารณาความเหมาะสมของบทนิยามคำว่า “สินค้า” ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ว่าควรจะครอบคลุมถึงสินค้าประเภทใดบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1082 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสมภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 (ด้านการผลิต) | กษ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสม ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (กรมส่งเสริมการเกษตร) และ (๒) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (กรมพัฒนาที่ดิน) ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว กรอบวงเงิน ๔๘๘.๑๕ ล้านบาท แยกเป็น (๑) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท และ (๒) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ วงเงิน ๑๘๘.๑๕ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ส่งเสริมความรู้ทางวิชาการด้านการเกษตรผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร เครือข่ายหมอดินอาสา ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดิน และศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร กำหนดให้มีคู่มือ หลักเกณฑ์ ขั้นตอนในการขอรับการจัดสรรงบประมาณและเบิกจ่ายเงิน มีการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ ให้เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตได้อย่างแท้จริง และดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ และส่งเสริมองค์ความรู้เพื่อจูงใจให้เกษตรกรหันมาปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๖๑ ให้บรรลุตามเป้าหมายภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมสอดคล้องกับปริมาณความต้องการของตลาด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ และรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1083 | การขอใช้และเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนในความครอบครองของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ | นร06 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเข้าใช้และเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนในความครอบครองของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ และให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติ หน่วยงานเจ้าของข้อมูล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับการใช้และเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรมีมาตรการ และ/หรือระบบที่ชัดเจน เพื่อตรวจสอบข้อมูลตามภารกิจและป้องกันการนำข้อมูลไปใช้นอกเหนือภารกิจหรือกระทำการใด ๆ และเมื่อสำนักข่าวกรองแห่งชาติได้เชื่อมโยงข้อมูลแล้ว การนำข้อมูลไปใช้ในการประมวลผล วิเคราะห์ เผยแพร่ และแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลควรระวังและกำหนดมาตรการบริหารจัดการที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. เมื่อมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนดังกล่าวแล้ว ให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดมาตรการคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งระบบการตรวจสอบหรือการป้องกันการนำข้อมูลไปใช้นอกเหนือภารกิจหรือการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลให้ชัดเจนด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาดำเนินการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้สามารถรองรับการดำเนินการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลในการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและบริการภาครัฐตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง แนวทางการดำเนินการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและบริการภาครัฐ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งพิจารณาวิธีการหรือแนวทางในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อมูลในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร (Doing Business Portal) เพื่อเป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1084 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมาในราชอาณาจักร โดยเพิ่มเติมให้ผู้นำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังต้องแจ้งข้อมูลการนำเข้าต่อกรมการค้าต่างประเทศก่อนนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร และต้องพร้อมให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปในสถานที่เก็บ หรือยานพาหนะที่บรรทุกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพื่อตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานของสินค้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาโดยด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ตัดร่างข้อ ๗ (๔) ออก เนื่องจากการกำหนดการใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปในสถานที่ทำการ สถานที่ผลิต หรือสถานที่เก็บสินค้า หรือยานพาหนะเพื่อตรวจค้นสินค้าหรือตรวจสอบเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยให้ความคุ้มครองไว้ให้จำกัดได้เฉพาะเมื่อมีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรคำนึงถึงผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่ รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ การทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบถึงรายละเอียดของแนวทางการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประกาศ ตลอดจนเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบปริมาณมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่นำเข้ามาในประเทศที่แจ้งให้กับกรมการค้าต่างประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1085 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวง การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 พ.ศ. ....) | สธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการ (๑) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิตซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๓) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... และ (๔) ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ซึ่งสันนิษฐานว่าผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต การขาย การนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อะโมบาร์บิตาล (AMOBARBITAL) บูพรีนอร์ฟีน (BUPRENORPHINE) และบิวตาลบิตาล (BUTALBITAL) หรือประเภท ๔ วัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อัลโลบาร์บิตาล (ALLOBARBITAL) อัลปราโซแลม (ALPRAZOLAM) และบาร์บิตาล (BARBITAL) และกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ เช่น คาทิโนน (cathinone) อัลปราโซแลม (alprazolam) และโคลนาซีแพม (clonazepam) ที่สามารถผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองได้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... เนื่องจากปัจจุบันกรมศุลกากรและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ National Single Window (NSW) ในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร และกรมศุลกากรได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง ซึ่งได้ดำเนินการตรวจร่วมสินค้าร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง รวมทั้งได้ส่งข้อมูลใบขนสินค้าให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทราบอยู่แล้ว จึงไม่จำต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องสลักหลังสำเนาใบอนุญาตหมายเลข ๓ และส่งกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด ประกอบกับเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ไม่ได้ระบุถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวไว้แต่อย่างใด ดังนั้น ในขั้นต่อไปเมื่อมีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าว ควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐซึ่งมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการตามพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตลอดจนต้องไม่เป็นการขัดต่อหลักการค้าและข้อตกลงระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1086 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวง การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 พ.ศ. ....) | สธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการ (๑) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิตซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๓) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... และ (๔) ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ซึ่งสันนิษฐานว่าผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต การขาย การนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อะโมบาร์บิตาล (AMOBARBITAL) บูพรีนอร์ฟีน (BUPRENORPHINE) และบิวตาลบิตาล (BUTALBITAL) หรือประเภท ๔ วัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อัลโลบาร์บิตาล (ALLOBARBITAL) อัลปราโซแลม (ALPRAZOLAM) และบาร์บิตาล (BARBITAL) และกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ เช่น คาทิโนน (cathinone) อัลปราโซแลม (alprazolam) และโคลนาซีแพม (clonazepam) ที่สามารถผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองได้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... เนื่องจากปัจจุบันกรมศุลกากรและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ National Single Window (NSW) ในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร และกรมศุลกากรได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง ซึ่งได้ดำเนินการตรวจร่วมสินค้าร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง รวมทั้งได้ส่งข้อมูลใบขนสินค้าให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทราบอยู่แล้ว จึงไม่จำต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องสลักหลังสำเนาใบอนุญาตหมายเลข ๓ และส่งกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด ประกอบกับเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ไม่ได้ระบุถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวไว้แต่อย่างใด ดังนั้น ในขั้นต่อไปเมื่อมีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าว ควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐซึ่งมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการตามพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตลอดจนต้องไม่เป็นการขัดต่อหลักการค้าและข้อตกลงระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1087 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ใซึ่งสันนิษฐานว่าผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย พ.ศ. ....) | สธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการ (๑) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิตซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๓) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... และ (๔) ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ซึ่งสันนิษฐานว่าผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต การขาย การนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อะโมบาร์บิตาล (AMOBARBITAL) บูพรีนอร์ฟีน (BUPRENORPHINE) และบิวตาลบิตาล (BUTALBITAL) หรือประเภท ๔ วัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อัลโลบาร์บิตาล (ALLOBARBITAL) อัลปราโซแลม (ALPRAZOLAM) และบาร์บิตาล (BARBITAL) และกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ เช่น คาทิโนน (cathinone) อัลปราโซแลม (alprazolam) และโคลนาซีแพม (clonazepam) ที่สามารถผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองได้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... เนื่องจากปัจจุบันกรมศุลกากรและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ National Single Window (NSW) ในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร และกรมศุลกากรได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง ซึ่งได้ดำเนินการตรวจร่วมสินค้าร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง รวมทั้งได้ส่งข้อมูลใบขนสินค้าให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทราบอยู่แล้ว จึงไม่จำต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องสลักหลังสำเนาใบอนุญาตหมายเลข ๓ และส่งกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด ประกอบกับเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ไม่ได้ระบุถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวไว้แต่อย่างใด ดังนั้น ในขั้นต่อไปเมื่อมีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าว ควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐซึ่งมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการตามพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตลอดจนต้องไม่เป็นการขัดต่อหลักการค้าและข้อตกลงระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1088 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | กค | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (เดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๐) โดยสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท สุราต่างประเทศ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๙๐๒.๓๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๖๗ ของมูลค่านำเข้ารวม) ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๕๔.๒๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๕.๖๘ โดยสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง และผลไม้ สำหรับการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๙-มิถุนายน ๒๕๖๐) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม มีมูลค่านำเข้ารวม ๒,๗๖๗.๕๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๒๗๒.๑๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๘.๙๕ โดยสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง ผลไม้ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมการใช้สินค้าไทยชนิดต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐานให้แพร่หลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคแทนการใช้สินค้านำเข้า โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีราคาสูง เช่น เครื่องสำอาง ให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1089 | การแก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2541 (ร่างระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ....) | พณ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๑ เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรทบทวนข้อความในร่างข้อ ๙ ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกับข้อความตามร่างข้อ ๖ และไม่มีความจำเป็นต้องนิยามคำว่า “สินค้า” ไว้ในร่างระเบียบนี้ รวมทั้งการจัดตั้งสำนักงานกองทุนขึ้นในกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอาจมีความซ้ำซ้อนกับการกำหนดภารกิจของสำนักงานแผนพัฒนาการส่งออกเกี่ยวกับงานเลขานุการของคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนไม่มีความจำเป็นต้องนำเรื่องรายรับของกองทุนฯ มากำหนดไว้ในร่างระเบียบนี้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม แผนงาน โครงการ ตามแผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประทศ (แผนปฏิบัติการประจำปี) ควรให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1090 | ขอถอนร่างกฎกระทรวงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด พ.ศ. .... ฉบับเดิม และเสนอร่างกฎกระทรวงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด พ.ศ. .... ฉบับปรับปรุงแก้ไขใหม่ | พณ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้เพิ่มเติมวันมีผลใช้บังคับในร่างกฎกระทรวงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยเพิ่มเติมวันใช้บังคับของร่างกฎกระทรวงให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับวันที่พิธีสารมาดริดมีผลผูกพันประเทศไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้เป็นเรื่องด่วนอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1091 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนสิงหาคม 2560 | พณ | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การส่งออกของไทย เดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ขยายตัวสูงสุดในรอบ ๕๕ เดือน ที่ร้อยละ ๑๓.๒ หรือคิดเป็นมูลค่า ๒๑,๒๒๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับการนำเข้าที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ ๑๔.๙ ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ เกินดุล ๒,๐๙๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒. มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๗๐๗,๒๑๔ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๘.๖ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๖๔๕,๓๔๗ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๑๐.๒ ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๖๑,๘๖๗ ล้านบาท สำหรับมูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๒๑,๒๒๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๑๙,๑๓๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๙ ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๒,๐๙๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การส่งออกสินค้าเกษตร และเกษตรแปรรูป ขยายตัวได้ดีต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๐ ในเกือบทุกรายการ โดยเฉพาะข้าวมีอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ ๔๗.๑ ขยายตัวสูงขึ้นมากในตลาดเบนิน สหรัฐอเมริกา และแอฟริกาใต้ ขณะที่ยางพาราและน้ำตาลทรายยังคงขยายตัวระดับสูงต่อเนื่อง สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๖ โดยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวในระดับสูง ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกไปตลาดจีน และสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และแผงวงจรไฟฟ้า สำหรับการส่งออกรายตลาดสำคัญ ๆ ยังคงขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง และขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ ๔. แนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือปี ๒๕๖๐ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะจีน และสหรัฐอเมริกา รวมถึงคู่ค้าสำคัญในแถบอาเซียนที่มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งจะส่งผลดีต่อมูลค่าส่งออกในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินบาท คาดว่าจะเป็นปัจจัยผันผวนในระยะสั้น และไม่น่ากระทบต่อการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีมากนัก เนื่องจากผู้ส่งออกส่วนใหญ่มีการทำสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า แต่ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1092 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 5/2560 : การเร่งรัดและขับเคลื่อนประเด็นการปฏิรูปเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และเชิงวัฒนธรรม การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และโครงการยกระดับ SMEs และวิสาหกิจชุมชนสู่ตลาดโลก | นร04 | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป เรื่อง การปฏิรูปเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และเชิงวัฒนธรรม การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และโครงการยกระดับ SMEs และวิสาหกิจชุมชนสู่ตลาดโลก และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ ดังนี้
๑. การปฏิรูปเศรษฐกิจชีวภาพ ให้สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพจัดทำแผนงานการขับเคลื่อนให้ชัดเจน มีการกำหนดเป้าหมายที่จะบรรลุผลสำเร็จและระยะเวลาดำเนินการ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ พ.ศ. .... และมอบหมายให้นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ รวมทั้งให้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประสานเชื่อมโยงข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพและบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลกลางให้มีประสิทธิภาพต่อไป ๒. การปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และเชิงวัฒนธรรม มอบหมายให้นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา และศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ศสบ.) จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนและเร่งรัดการเสนอระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... รวมทั้งให้ ศสบ. และกรุงเทพมหานครร่วมกันเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนาย่านเศรษฐกิจสร้างต้นแบบ ๓. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... แล้วเสร็จได้ภายใน ๓ เดือน (ธันวาคม ๒๕๖๐) ๔. โครงการยกระดับ SMEs และวิสาหกิจชุมชนสู่ตลาดโลก ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามความเห็นของประธาน กขร. ได้แก่ (๑) ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินการความร่วมมือกับอาลี บาบา ให้เป็นรูปธรรม (๒) ให้กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานความคืบหน้าการจัดตั้งสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการค้ายุคใหม่ การจัดตั้ง MOC Biz Club และการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ไทย-ประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มประเทศ CLMV การดำเนินการตามข้อตกลงความร่วมมือในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และ (๓) เรื่องวิสาหกิจชุมชนในการดำเนินการยกระดับ SMEs ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการการทำงานเพื่อยกระดับ SMEs และวิสาหกิจชุมชนสู่ตลาดโลกในภาพรวมของประเทศต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1093 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของไทย โอกาสและศักยภาพในการแข่งขันของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของไทย โอกาสและศักยภาพในการแข่งขัน สรุปได้ว่า กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้สมาชิกอาเซียนพิจารณาทบทวนรายการสินค้าอ่อนไหวสูงต่อไป กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามสถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจการค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อไทยอย่างใกล้ชิด ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อเจรจาจัดทำความตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยการผ่านแดนทางบกกับประเทศที่มีความประสงค์จะผ่านแดนสินค้าทางบกกับประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ได้ให้การส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs มาอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1094 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 2/2560 | อก | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ซึ่งมีมติเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เกี่ยวกับการจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) การจัดทำแผนสิ่งแวดล้อม การวางแนวทางให้การรถไฟทางคู่เชื่อมโยงจากพื้นที่ EEC สามารถต่อไปยังทวาย-ย่างกุ้ง-ติลาวา ซึ่งจะเชื่อมโยงไปจนถึงอินเดีย (๒) โครงการลงทุนท่าเรือหลัก ๓ แห่ง และการเชื่อมโยงโดยระบบรถไฟทางคู่อย่างไร้รอยต่อ (๓) ระเบียบการร่วมทุนเอกชนให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนใน EEC (๔) หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC และการประกาศเป็นเขตส่งเสริมในเบื้องต้น (๕) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) และ (๖) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายและรายงานผลการดำเนินการต่อสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มเติมในพื้นที่ EEC จะต้องพิจารณาเงื่อนไขและแนวทางการส่งเสริมให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกันในแต่ละเขตส่งเสริม เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสนับสนุนให้การปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่น และควรเร่งรัดการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนา EEC เพื่อให้การดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนงานมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานในภาพรวมได้อย่างเป็นระบบ เป็นต้น รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ในประเด็นที่หน่วยงานภาครัฐจำเป็นต้องตระหนักถึงและควรมีการดำเนินการแบบบูรณาการร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศที่ยังขาดความเชื่อมโยงทั้งภายในประเทศและกับประเทศอาเซียน รวมถึงการให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติ และ SMEs ภายในประเทศเข้ามาลงทุนใน EEC ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1095 | การเข้าเป็นภาคีความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - ฮ่องกง และความตกลงด้านการลงทุนระหว่างรัฐบาลของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนกับรัฐบาลของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | พณ | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (๑) ร่างความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง (ASEAN-Hong Kong, China Free Trade Agreement : AHKFTA) มีเนื้อหาครอบคลุมการเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ และ (๒) ร่างความตกลงด้านการลงทุนระหว่างรัฐบาลของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนกับรัฐบาลของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Agreement on Investment among the Government of the Hong Kong Special Administrative Region of the People’s Republic of China and the Member States of the Association of Southeast Asian Nations : AHKIA) มีเนื้อหาครอบคลุมการคุ้มครองการลงทุนและการส่งเสริมและการอำนวยความสะดวกการลงทุน โดยร่างความตกลงทั้งสองฉบับมีกำหนดการลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ (31st ASEAN Summit) ในวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลง AHKFTA และร่างความตกลง AHKIA ๑.๓ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย โดยมอบหมายให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลง AHKFTA และร่างความตกลง AHKIA ๑.๕ นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อความตกลง AHKFTA และร่างความตกลง AHKIA ก่อนการลงนามรับรองต่อไป ๑.๖ มอบหมายกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความตกลง AHKFTA มีผลใช้บังคับภายในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ ตามที่ระบุไว้ในร่างความตกลง AHKFTA เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อความตกลง AHKFTA แล้ว ๑.๗ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารของความตกลง AHKFTA และร่างความตกลง AHKIA ให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบันความตกลงทั้งสองฉบับ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อความตกลงดังกล่าวแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาการใช้ประโยชน์จากความตกลงทั้งสองฉบับเพื่อการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะในภาคบริการ เช่น การดึงดูดแรงงานที่มีทักษะสูง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่อำนวยให้เกิดการเติบโตของภาคบริการในสาขาใหม่ ๆ และให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างกัน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1096 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับการเจรจา RCEP ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 | พณ | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับการเจรจา (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ (31st ASEAN Summit) ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ผู้นำจะรับทราบถึงศักยภาพของภูมิภาค RCEP ในการเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการเจริญเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม และเน้นย้ำที่จะสรุปผลการเจรจาเพื่อให้ RCEP เป็นความตกลงที่ทันสมัย ครอบคลุม คุณภาพสูง และเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน มีการปฏิบัติที่พิเศษและแตกต่าง มีการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ รวมทั้งที่ประชุมจะมีการประกาศผลลัพธ์จากการเจรจาที่ผ่านมา ครอบคลุม ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน (๒) กฎเกณฑ์ และ (๓) ความร่วมมือ ๑.๒ เห็นชอบที่ไทยจะร่วมในการแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับการเจรจา RCEP ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ โดยให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมในการแถลงการณ์ร่วมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1097 | เอกสารสำคัญที่จะมีการรับรองในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 25 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 29 | กต | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๕ เป็นเอกสารที่แสดงถึงความมุ่งมั่นและปฏิญาณของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคภายใต้ “การสร้างพลวัตใหม่และการส่งเสริมการพัฒนาไปสู่อนาคตร่วมกัน” และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนรับรองเอกสารดังกล่าว ซึ่งการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๕ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๑.๒ ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๙ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมเพื่อสรุปความก้าวหน้าในการดำเนินการต่าง ๆ ของเอเปค และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ซึ่งการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๙ จะจัดขึ้นในวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ และร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้สาระสำคัญในร่างปฏิญญาฯ มีความครบถ้วนสะท้อนถึงประเด็นที่คณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปคได้ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เห็นควรเพิ่มเติมการปฏิรูปกฎระเบียบ ภายใต้การขับเคลื่อนวาระใหม่สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค (Renewed APEC Agenda for Structural Reform : RAASR) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1098 | การร่วมรับรองเอกสารภายใต้ความรับผิดชอบของคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน | พณ | 31/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสาร ASEAN Declaration on Innovation ซึ่งเป็นเอกสารที่แสดงถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน การสร้างงาน และส่งเสริมการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีในสังคม โดยใช้นวัตกรรมเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตและการแข่งขันของอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และส่วนราชการเจ้าของเรื่องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมประเด็นการส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงและร่วมมือในการพัฒนาและใช้นวัตกรรมระหว่างบริษัทขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยในระดับท้องถิ่น เพื่อจูงใจให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมในตลอดห่วงโซ่ของการพัฒนาไว้ในร่างเอกสารดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองเอกสาร ๓ ฉบับ คือ (๑) เอกสาร ASEAN Declaration on Innovation (๒) เอกสาร AEC 2025 Trade Facilitation Strategic Action Plan และ (๓) เอกสาร ASEAN Work Programme on Electronic Commerce 2017-2025 เพื่อนำเสนอผู้นำในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ ที่จะมีขึ้นในวันที่ ๑๓-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์และส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1099 | แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2560/61 | พณ | 31/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๐/๖๑ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๖๐/๖๑ วงเงินงบประมาณ ๔๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาถึงศักยภาพของสถาบันเกษตรกรในการให้สินเชื่ออย่างรอบคอบ และคำนึงถึงวงเงินกู้อื่นตามสัญญากู้เงินเดิม เพื่อมิให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับภาระหนี้สินตามมาภายหลัง และรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทราบเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะต้องไม่ก่อให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์เพื่อทำการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และใช้กลไกตลาดในการบริหารจัดการราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณของภาครัฐในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๖๐/๖๑ และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการในภาพรวม รวมถึงเงื่อนไขในการเข้าร่วมโครงการให้ถูกต้องทั่วถึง เพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ ของสถาบันเกษตรกรต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1100 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจเอเชีย - ยุโรป (อาเซม) ครั้งที่ 7 | พณ | 31/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซม ครั้งที่ ๗ (The 7th ASEM Economic Minister''s Meeting : 7th ASEM EMM) และผลการหารือทวิภาคี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ และมอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ และการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน สำหรับผลการหารือทวิภาคี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของฝรั่งเศส โดยไทยได้เชิญชวนฝรั่งเศสลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมยางพาราไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพัฒนาความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซมให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และการพัฒนาธุรกิจ Start-up รวมทั้งควรเชื่อมโยงข้อริเริ่มโซลด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ (Seoul Initiative on the 4th Industrial Revolution) กับนโยบายการพัฒนาที่สำคัญของไทย อาทิ นโยบายประเทศไทย ๔.๐ การพัฒนา ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย และโครงการ EEC เพื่อประโยชน์ในการผลักดันนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงควรให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาอย่างยั่งยืนและผู้ประกอบการรายย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลาง MSMEs โดยส่งเสริมให้มีการจัดประชุมทางวิชาการในประเด็นดังกล่าวร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซม นอกจากนี้ ควรส่งเสริมกระบวนผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมให้เกิด Eco-innovation and Sustainability ให้กับผู้ประกอบการ MSMEs ของไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....