ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 58 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1141 - 1160 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1141 | นโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 - 2564 | พม | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ซึ่งมีวิสัยทัศน์ คือ “ประชารัฐร่วมใจ ประเทศไทยไร้การค้ามนุษย์” ประกอบด้วยประเด็นยุทธศาสตร์ ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านพัฒนากลไกเชิงนโยบายและการขับเคลื่อน (๒) ด้านดำเนินคดี (๓) ด้านคุ้มครองช่วยเหลือ (๔) ด้านป้องกัน และ (๕) ด้านพัฒนาความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า ในด้านการพัฒนากลไกเชิงนโยบายและการขับเคลื่อนจำเป็นต้องเร่งเสริมบทบาทศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในระดับจังหวัด รวมทั้งการเฝ้าระวังและการแจ้งเบาะแสจากประชาชนและเครือข่าย การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีส่วนร่วมและมีการประชาสัมพันธ์เพื่อขยายผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง การดำเนินการเชิงรุกในการเข้าถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และพิจารณาออกกฎระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคประชาชนและภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ในขั้นของการจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการดำเนินงานควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดในลักษณะบูรณาการที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความตระหนักรู้และเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างกว้างขวาง รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับภาระงบประมาณที่อาจจะเกิดขึ้นเห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อดำเนินการในโอกาสแรกก่อน ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลา นโยบาย ยุทธศาสตร์ดังกล่าว เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. เมื่อมียุทธศาสตร์ชาติแล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาทบทวนและปรับปรุงนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย ๕. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) จัดตั้งคณะกรรมการภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อติดตามการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ตามกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการติดตามการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการ ๖. ให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงการดำเนินการของไทยเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะความก้าวหน้าในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดให้ประเทศผู้ประเมินและจัดอันดับการค้ามนุษย์ทราบอย่างต่อเนื่องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1142 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (นางอินทิรา โภคปุณยารักษ์) | พณ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นางอินทิรา โภคปุณยารักษ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้นางอินทิรา โภคปุณยารักษ์ ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1143 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการขยายความร่วมมือการทำการเกษตรกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การปลูกข้าวโพด โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรทั้งสองฝ่ายมีการดำเนินการร่วมกันอย่างใกล้ชิดและเป็นระบบตั้งแต่ต้นทาง (การเพาะปลูก) ไปจนถึงปลายทาง (การตลาด) โดยให้พิจารณากำหนดช่วงเวลาเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนกับการออกสู่ฤดูกาลของผลผลิตในประเทศ ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ รับทราบและเห็นชอบมติคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปดำเนินการปรับโครงสร้างและรูปแบบการทำงานของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) โดยให้อยู่ภายใต้กำกับของนายกรัฐมนตรี มีการเชื่อมโยงการทำงานตั้งแต่ระดับนโยบายผ่านศูนย์ PMOC และศูนย์บริการครบวงจร (One Stop Service) ที่ผ่านการบูรณาการระดับกระทรวงในทุกกิจกรรม นั้น ให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ขับเคลื่อนการดำเนินงานในเรื่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) ให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) โดยประสานหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ นำข้อมูลที่พร้อมให้บริการมาดำเนินการเป็นโครงการนำร่องให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี ๒๕๖๐ ด้วย ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับดูแลให้กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการกำหนดค่าครองชีพและค่าตอบแทนให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐชั้นผู้น้อย ให้เหมาะสมและเป็นธรรม โดยให้ประสานงานกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อกำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ในประเด็นการปฏิรูปต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1144 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับรัฐลิเบีย | กต | 05/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) เกี่ยวกับรัฐลิเบีย จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ข้อมติฯ ที่ ๒๒๗๘ (ค.ศ. ๒๐๑๖) ข้อมติฯ ที่ ๒๒๙๒ (ค.ศ. ๒๐๑๖) ข้อมติฯ ที่ ๒๓๖๒ (ค.ศ. ๒๐๑๗) และข้อมติฯ ที่ ๒๓๕๗ (ค.ศ. ๒๐๑๗) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการตรวจสอบเรือที่ลักลอบส่งออกทรัพยากรปิโตรเลียมจากรัฐลิเบีย และการตรวจสอบเรือตามมาตรการลงโทษทางอาวุธ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามข้อมติ UNSC เกี่ยวกับรัฐลิเบีย ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุดถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ (United Nations : UN) ทั้งนี้ หากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว หรือประสงค์ที่จะขอรับความกระจ่างเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อมติฯ ให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1145 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ ตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ และตำบลมะขามสูง ตำบลบ้านป่า อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตสำรวจการจัดการที่ดิน พ.ศ. ....) | กษ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินเพื่อดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ และตำบลมะขามสูง ตำบลบ้านป่า อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลท่างาม ตำบลวัดโบสถ์ ตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ และตำบลหอกลอง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนาที่ดิน และกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกรมชลประทานในการสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ได้รับจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยพัฒนาเกษตรกรให้มีศักยภาพ รู้จักเทคโนโลยีในการผลิตและทำการเกษตรแผนใหม่ ส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงอย่างครบวงจรตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การผลิตและการตลาด รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางให้ความสำคัญกับการดำเนินการจัดรูปที่ดิน ตั้งแต่เริ่มโครงการอย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอน และวางแผนการดำเนินการอย่างรอบคอบโดยเฉพาะกระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาห้าปีที่กำหนดในพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1146 | ร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... | กษ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งชาติ ทำหน้าที่กำกับ ดูแล รับผิดชอบการบริหารจัดการระบบอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ จัดตั้งกองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มขึ้นในสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อสนับสนุนด้านการเงินสำหรับการศึกษา วิจัยและพัฒนา ด้านการผลิต การแปรรูป การตลาด การใช้ประโยชน์ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ และกำหนดบทลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มต้องไม่มีภารกิจในเรื่องการรักษาเสถียรภาพด้านราคาของปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และเมื่อจัดตั้งกองทุนแล้วต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับการใช้งบประมาณของหน่วยงานของรัฐใด ๆ ในเรื่องเกี่ยวกับการสนับสนุนการผลิตและการวิจัยพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม รวมทั้งวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนควรครอบคลุมด้านการป้องกันและหรือลดผลกระทบจากภัยที่เกิดจากศัตรูธรรมชาติทั้งโรคและแมลงระบาด นอกจากนี้ ควรเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการบริหารกองทุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรให้มีผู้ประสานงานกับกลุ่มเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ และการให้ผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่การผลิตทำรายงานปริมาณการผลิต การจำหน่าย ปริมาณคงเหลือ รวมถึงปริมาณนำเข้า ควรออกแบบระบบการเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลที่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการจัดทำตัวชี้วัดผลสำเร็จการทำงานในการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบให้ชัดเจน และมีการวางระบบการติดตามประเมินผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้มีส่วนได้เสียที่จะต้องมีเงินส่งเข้ากองทุนให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1147 | การร่วมรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 49 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการประกาศความสำเร็จของการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน-ฮ่องกง ที่ได้เริ่มการเจรจามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ และมีแผนที่จะลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ ๓๑ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๑.๒ เห็นชอบเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๔๙ และการประชุมอื่น ๆ จำนวน ๑๔ ฉบับ ประกอบด้วย เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในอาเซียน จำนวน ๙ ฉบับ และเอกสารที่ AEM จะรับรองร่วมกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน จำนวน ๕ ฉบับ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุม AEM ครั้งที่ ๔๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๖-๑๑ กันยายน ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อเสนอแนะของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในส่วนของเอกสารสรุปสาระแผนงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ปี ๒๐๑๗-๒๐๒๕ และข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมในส่วนของการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และแผนการดำเนินงานด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับรัสเซีย หลังปี ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1148 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - ภูฏาน ครั้งที่ 2 | พณ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๒ มีสาระสำคัญในประเด็นความร่วมมือด้านต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ด้านการค้าและการลงทุน (๒) ด้านการท่องเที่ยว (๓) ด้านการเกษตร (๔) ด้านการพัฒนาสินค้าหัตถกรรม และ (๕) การรักษาพยาบาลของชาวภูฏานในไทย ทั้งนี้ การประชุม JTC ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๒ จะเป็นเวทีการประชุมหารือระดับรัฐมนตรีการค้าซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางการปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับภูฏาน และจัดทำแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ หากในการประชุมดังกล่าวมีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับภูฏาน โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม JTC ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๒ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ และเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้โอกาสนี้ร่วมกันพิจารณาขยายปริมาณการค้าสินค้าและบริการที่แต่ละประเทศมีศักยภาพ โดยขยายความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนของไทยในภูฏานในสาขาบริการที่ไทยมีความเข้มแข็ง อาทิ บริการสุขภาพ และการอำนวยความสะดวกในการเดินทางเพื่อเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1149 | ข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการสำคัญตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๑ โครงการ ภายในวงเงินรวม ๒,๒๒๕.๔๒ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการด้านการบริหารจัดการน้ำ ๓ โครงการ วงเงิน ๑,๗๓๗.๓๐ ล้านบาท และ (๒) โครงการด้านการพัฒนาการเกษตร ๘ โครงการ วงเงิน ๔๘๘.๑๒ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ เร่งรัดการขอรับจัดสรรงบประมาณกับสำนักงบประมาณและเริ่มดำเนินการหรือก่อหนี้ผูกพันในโอกาสแรก แล้วจึงขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างโปร่งใส คุ้มค่า รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี เนื่องจากเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงเห็นควรให้ทำความตกลงกับกระทรวงการคลังในเรื่องดังกล่าวต่อไป และในการใช้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าวจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามแผนงาน/โครงการของหน่วยงานอื่น ๆ ที่ได้อนุมัติไปแล้ว นอกจากนี้ บางโครงการยังขาดรายละเอียดของตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเป้าหมาย โครงการ และแนวทางการติดตามประเมินผลโครงการ จึงควรปรับปรุงตัวชี้วัดให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการให้ชัดเจน ปรับปรุงบางโครงการให้มีรายละเอียดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น และมีการติดตามประเมินผลโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1150 | มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ | อก | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) กระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิต/ธุรกิจบริการมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (๒) ผลักดัน System Integrator (SI) ให้มีจำนวนเพียงพอต่อการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนการผลิตให้กับ SI ในประเทศ และ (๓) พัฒนาศักยภาพและบูรณาการความร่วมมือในเครือข่ายหน่วยงาน Center of Robotics Excellence (CoRE) และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายระหว่างกันและการเชื่อมโยงความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากรและธุรกิจไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งควรมีกลไกการติดตามประเมินผลที่เป็นระบบที่สามารถสะท้อนผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการติดตามการดำเนินงานตามมาตรการต่าง ๆ ในภาพรวมให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว เห็นควรให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศซึ่งมีความก้าวหน้าในการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เช่น ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น เพื่อนำองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของประเทศให้เหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1151 | ประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งประกอบด้วย (๑) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยให้วงเงิน ๒๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้มีสิทธิที่มีรายได้เกินกวา ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี และวงเงิน ๓๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้มีสิทธิที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี (๒) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด จำนวน ๔๕ บาทต่อคนต่อ ๓ เดือน (๓) วงเงินค่าโดยสารรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน (๔) วงเงินค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และ (๕) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ๒. ในส่วนของงบประมาณที่ใช้ดำเนินการตามแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการดังกล่าวให้ดำเนินการภายในวงเงิน ๔๖,๐๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดระเบียบกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการช่วยเหลือของแต่ละสวัสดิการโดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และหากเห็นว่ากองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเป็นแนวทางที่เหมาะสม ก็เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเป็นการเฉพาะต่อไป รวมทั้งควรยกเลิกประกาศ/มาตรการ หรือคำสั่งในส่วนที่ซ้ำซ้อนกับการกำหนดแนวปฏิบัติในการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้การใช้สิทธิประโยชน์จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ถือบัตรอย่างแท้จริง ตลอดจนติดตามตรวจสอบการใช้สิทธิ์ของบุคคลที่ได้รับสวัสดิการที่รัดกุมโดยเฉพาะการพิสูจน์ตัวตน หรือการยืนยันสิทธิในการใช้บัตร และทบทวนวงเงินสวัสดิการแต่ละประเภทให้สอดคล้องกับความต้องการของครัวเรือน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการให้ความช่วยเหลือด้านการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการในเขตกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัด ๔. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่กลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งซักซ้อมความเข้าใจกับหน่วยปฏิบัติ เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ๕. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามผลการดำเนินการและการเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวม และให้รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจในการพิจารณาทบทวน ปรับปรุง หรือเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1152 | ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่อีกหนึ่งวาระ (จำนวน 5 ราย) | นร04 | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่ง ๑ ปี ในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่อีกหนึ่งวาระ จำนวน ๕ ราย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้ลำดับที่ ๑-๔ มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไป และลำดับที่ ๕ มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐เป็นต้นไป ดังนี้
๑. พลตำรวจโท วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วันที่ครบวาระ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ ๒. นายธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข วันที่ครบวาระ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ ๓. พลเอก เจริญ นพสุวรรณ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน วันที่ครบวาระ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ ๔. พลเอก ปัฐมพงศ์ ประถมภัฏ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันที่ครบวาระ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ ๕. นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ วันที่ครบวาระ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1153 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ให้เป็นเขตสำรวจจัดรูปที่ดิน รวม 2 ฉบับ(ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ ตำบลท่าขาม ตำบลวัดโบสถ์ ตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ และตำบลหอกลอง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตสำรวจการจัดการที่ดิน พ.ศ. ....) | กษ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินเพื่อดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ และตำบลมะขามสูง ตำบลบ้านป่า อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลท่างาม ตำบลวัดโบสถ์ ตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ และตำบลหอกลอง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนาที่ดิน และกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกรมชลประทานในการสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ได้รับจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยพัฒนาเกษตรกรให้มีศักยภาพ รู้จักเทคโนโลยีในการผลิตและทำการเกษตรแผนใหม่ ส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงอย่างครบวงจรตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การผลิตและการตลาด รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางให้ความสำคัญกับการดำเนินการจัดรูปที่ดิน ตั้งแต่เริ่มโครงการอย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอน และวางแผนการดำเนินการอย่างรอบคอบโดยเฉพาะกระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาห้าปีที่กำหนดในพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1154 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำกับให้สถาบันอาชีวศึกษาทุกจังหวัดทั่วประเทศจัดหลักสูตรการฝึกอบรมวิชาชีพและช่างฝีมือในสาขาต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่ผู้ที่ไม่มีวุฒิการศึกษา ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อสร้างเครือข่ายและต่อยอดการพัฒนาฝีมือในอนาคตต่อไปด้วย ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลิตแรงงานในสาขาที่ต่างประเทศมีความต้องการ เช่น แม่ครัว คนเลี้ยงเด็ก คนดูแลคนชรา นั้น ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการผลิตแรงงานมีฝีมือกลุ่มดังกล่าวเพื่อให้มีโอกาสไปทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะพ่อครัว แม่ครัว หรือลูกจ้างร้านอาหารไทยในต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ร้านอาหารไทยในต่างประเทศสามารถประกอบอาหารที่มีคุณภาพและรสชาติที่มีความเป็นไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้รวมถึงอาชีพการนวดแผนไทยด้วย โดยประสานงานกับกลุ่มองค์กรไม่แสวงหากำไร (NGO) ที่เกี่ยวข้องมาร่วมขับเคลื่อนการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย ๑.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ เห็นชอบในหลักการแนวทางดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการดังกล่าวบรรลุผลและได้รับการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดีแล้ว นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาขยายผลการดำเนินการโครงการในระยะต่อไปโดยให้พิจารณาคัดเลือกพื้นที่โครงการตลอดจนแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ รวมทั้งความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศในประเด็นต่าง ๆ เช่น รูปแบบการปฏิบัติงาน หน้าที่และความรับผิดชอบเพื่อให้การขับเคลื่อนงานตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อรองรับการใช้ประโยชน์ที่ดินที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้มาเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๑/๒๕๖๐ ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการระบายน้ำที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การจัดทำพื้นที่แก้มลิงเพิ่มเติม (๒) การผันน้ำระหว่างแม่น้ำหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น การผันน้ำจากเขื่อนป่าสักไปยังอ่างเก็บน้ำลำตะคองซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อับฝน (๓) การสร้างหรือขยายเส้นทางระบายน้ำ เช่น โครงการคลองระบายน้ำหลาก บางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (จังหวัดชลบุรีและเมืองพัทยา) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการดังนี้ ๔.๑ เร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุงถนนสายหลักที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหรือระบายน้ำไม่ทันภายในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและพัทยาเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดในขณะฝนตก รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาวางแผนการระบายน้ำที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ต่อไป ๔.๒ พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการสร้างถนนเลียบชายทะเลเพิ่มเติมให้เชื่อมต่อกับถนนเลียบชายทะเลที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นเส้นทางคมนาคมสายรองสำหรับการสัญจรของประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความแออัดของการจราจรบนถนนสายหลัก ๕. ตามที่ส่วนราชการได้มีการจัดเตรียมข้อมูลสำหรับใช้ในการแถลงผลงานประจำปีของรัฐบาลนั้น ขอให้ส่วนราชการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันให้พร้อมในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หากมีกำหนดการที่ชัดเจนและเหมาะสมแล้ว สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะได้ประสานแจ้งส่วนราชการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1155 | การประชุมคณะกรรมการร่วม ภายใต้ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4 | กต | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยรับรองข้อกำหนดขอบเขต (Terms of Reference : ToR) ของการทบทวนทั่วไปความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น ในการประชุมคณะกรรมการร่วม (Joint Committee : JC) ภายใต้ JTEPA (JC-JTEPA) ครั้งที่ ๔ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กระทรวงการต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ส่วนประเด็นการขออนุมัติองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุม JC-JTEPA ครั้งที่ ๔ นั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับข้อกำหนดสำหรับการทบทวนทั่วไป JTEPA ควรระบุให้ชัดเจนว่า ภายหลังจากที่คณะอนุกรรมการว่าด้วยการทบทวนทั่วไปรายงานผลการทบทวนทั่วไปพร้อมข้อเสนอแนะแก่คณะกรรมการร่วมแล้ว ภารกิจของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะสิ้นสุดลง โดยหากทั้งสองฝ่ายมีมติร่วมกันให้มีการเจรจาเพิ่มเติมเพื่อแก้ไข JTEPA เห็นควรใช้คณะอนุกรรมการต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วภายใต้ JTEPA เป็นกลไกหลักในการทบทวนเพื่อแก้ไขเนื้อหาในความตกลงในส่วนที่รับผิดชอบ ส่วนร่างข้อกำหนดขอบเขต (ToR) สำหรับการทบทวนทั่วไป JTEPA ควรพิจารณาปรับปรุงกระบวนการทบทวนให้มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน รวมทั้งการดำเนินความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ภายใต้ JTEPA ควรพิจารณาปรับกรอบการดำเนินการในสาขาต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น และควรนำผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ได้ลงนามกันไว้แล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ รวมถึงข้อวิพากษ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความตกลงดังกล่าวมาทบทวนใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1156 | แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี 2560/61 | พณ | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ดำเนินการต่อเนื่องและสอดคล้องกับปีการผลิตที่ผ่านมา จำนวน ๓ โครงการ เห็นควรชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา FDR+1 เท่ากับการดำเนินโครงการในปีการผลิตที่ผ่านมา กรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยรวม ๑๘๐.๒๒๕ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และ (๓) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและการแปรรูปมันสำปะหลัง สำหรับภาระงบประมาณที่เกิดขึ้น เห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยส่วนต่างจากอัตราร้อยละ ๓ เห็นควรให้ ธ.ก.ส. รับภาระ และเนื่องจากการดำเนินโครงการในปีที่ผ่านมามีเกษตรกรและสถาบันการเกษตรสนใจเข้าร่วมโครงการน้อย ธ.ก.ส. จึงควรประมวลปัญหาอุปสรรคเพื่อนำมาปรับปรุงรายละเอียดการดำเนินโครงการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่เกษตรกรจะได้รับเป็นลำดับแรก และเมื่อสิ้นสุดโครงการควรประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าเพื่อประโยชน์ในการจัดทำโครงการในปีต่อไป ๑.๒ แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๐/๖๑ จำนวน ๘ โครงการ ให้ดำเนินการในกรอบวงเงิน ๓๗๑.๔๓๔ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้สมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลัง (๒) โครงการสนับสนุนเครื่องสับมันสำปะหลังให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อเพิ่มมูลค่า (๓) โครงการสนับสนุนเครื่องสับมันสำปะหลังขนาดเล็กให้วิสาหกิจชุมชน (๔) โครงการสนับสนุนเครื่องชั่งน้ำหนักรถบรรทุกให้ด่านที่มีการนำเข้ามันสำปะหลัง (๕) โครงการกำกับดูแลการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน (๖) โครงการแปรรูปมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (๗) โครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด (มันเส้นสะอาด) และ (๘) โครงการขยายโอกาสทางการค้าและพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดของค่าใช้จ่าย เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการชดเชยดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. ควรคำนึงถึงต้นทุนเงินและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อ โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกค้าและคำนึงถึงศักยภาพของลูกค้า ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรนำระบบการพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ รวมทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในกระบวนการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มจำนวนผลผลิตต่อไร่และลดพื้นที่เพาะปลูก โดยในระยะแรกอาจพิจารณาจัดทำแปลงเพาะปลูกมันสำปะหลังแปลงใหญ่เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่เกษตรกร และให้ประสานงานกับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพและคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดสามารถเข้าร่วมโครงการของ ธ.ก.ส. ได้อย่างทั่วถึง ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจในการดำเนินโครงการให้ทั่วถึงเพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ตลอดจนติดตามสถานการณ์การผลิตและการตลาดมันสำปะหลังอย่างใกล้ชิด และประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการที่กำหนดไว้ เพื่อใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลังในปีต่อไป และรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบเป็นระยะ ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1157 | ผลการจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum 2017 และกิจกรรมคู่ขนาน | พณ | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum 2017 และกิจกรรมคู่ขนาน ระหว่างวันที่ ๒-๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum 2017 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ภายในงานมีคูหา Country Pavilion ๑๑ ประเทศ และคูหาแสดงสินค้า ประกอบด้วย อินเดีย ๔๘ คูหา อาเซียน ๙๐ คูหา และไทย ๕๕ คูหา รวมทั้งมีการจัดสัมมนา (Forum) สำหรับการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐและภาคเอกชนจากอาเซียนและอินเดีย ภายใต้แนวคิด “Strategic Economic Partnership and Connectivity” ใน ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) การค้าและการลงทุน (๒) การท่องเที่ยวและความเชื่อมโยงของคน และ (๓) ความเชื่อมโยงระหว่างสองภูมิภาค ๒. การจัดกิจกรรมคู่ขนาน ได้แก่ (๑) การเจรจาธุรกิจระหว่างผู้บริหารระดับสูงภาคเอกชนของไทยกับของอาเซียนและอินเดีย (๒) การสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างนักธุรกิจรุ่นใหม่ (๓) การเลี้ยงต้อนรับคณะรัฐมนตรีและเอกชนอาเซียนและอินเดีย (๔) การเยี่ยมชมเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และ (๕) การจับคู่ธุรกิจยางพารา และผลิตภัณฑ์ยางเพื่อเร่งรัดการส่งออก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1158 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 5 | พณ | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าสำหรับการหารือกับสิงคโปร์ ในด้านสินค้าเกษตรและอาหาร ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ด้านการลงทุน ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ด้านการท่องเที่ยว ด้านการบิน และด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๕ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย รับรองผลการประชุมฯ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีไทยสำหรับการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศในการประชุมฯ และการสนับสนุนภาคเอกชนสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของไทย และโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โดยเฉพาะในสาขาที่สิงคโปร์มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งการสนับสนุนภาคเอกชนสิงคโปร์เข้าร่วมลงทุนในแผนงานและโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ในลักษณะการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) และการร่วมลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของ EEC ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1159 | การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า | พณ | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า (Memorandum of Understanding between the Ministry of Industry and Trade of the Socialist Republic of Viet Nam and the Ministry of Commerce of the Kingdom of Thailand on Economic and Trade Cooperation) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายบนพื้นฐานความสนใจร่วมกัน อำนวยความสะดวกและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในความร่วมมือด้านการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ และใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในระดับภูมิภาคและพหุภาคีที่ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายเป็นสมาชิก เพื่อเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าในระดับทวิภาคี โดยจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในช่วงการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาอังกฤษ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1160 | ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการสนับสนุนปัจจัยการผลิตปศุสัตว์ "โคบาลบูรพา" | กษ | 08/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้กรมปศุสัตว์ สำหรับดำเนินการตามโครงการสนับสนุนปัจจัยการผลิตปศุสัตว์ “โคบาลบูรพา” โดยมีกำหนดชำระคืนสำหรับกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงโคเนื้อภายใน ๖ ปี และกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงแพะภายใน ๕ ปี ระยะเวลาโครงการ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕ โดยอนุมัติวงเงินยืม (เงินหมุนเวียน) จำนวน ๓๕๘,๘๐๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ ต่อปี ระยะเวลาปลอดการชำระหนี้สำหรับกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงโคเนื้อใน ๓ ปีแรก และกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงแพะใน ๒ ปีแรก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการสนับสนุนเงินยืมจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรสำหรับการก่อสร้างโรงเรือนและการจัดหาแหล่งน้ำให้ถึงมือเกษตรกรโดยเร็ว เพื่อให้สอดรับกับการอุดหนุนพันธุ์แม่โคเนื้อและพันธุ์แพะเนื้อให้แก่เกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ (เรื่อง ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการกำกับดูแลและติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการฯ และควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์และอบรมให้ความรู้/ถ่ายทอดเทคโนโลยี การให้ความรู้และสนับสนุนการดำเนินงานให้กับสหกรณ์ที่จะจัดตั้งใหม่ การป้องกันการหมุนเวียนโคเข้าโครงการของรัฐซ้ำซ้อน และการตรวจเยี่ยมติดตามและประเมินผลโครงการฯ อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งกำกับดูแลการดำเนินงานของกรมปศุสัตว์และหน่วยงานสนับสนุนให้มีการบูรณาการกันอย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเงื่อนไขและวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตลอดจนกำกับดูแลการชำระคืนเงินจากเกษตรกรให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....