ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 57 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1121 - 1140 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1121 | ขอแจ้งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า | พณ | 03/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
๑. การแก้ไขบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า (Memorandum of Understanding between the Ministry of Industry and Trade of the Socialist Republic of Viet Nam and the Ministry of Commerce of the Kingdom of Thailand on Economic and Trade Cooperation) ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขวรรค ๒ ข้อ ๓ (i) บรรทัดที่ ๔ จากเดิม “protect the domestic industry, consumer, and public interests in each country.” เป็น “protect the domestic industry, consumers, and public interests in each country,” เพื่อให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ๑.๒ แก้ไขวรรค ๒ ข้อ ๔ (i) บรรทัดที่ ๒ จากเดิม “ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อรวมตัวทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศในการมุ่งสู่วิสัยทัศน์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒๐๒๕” เป็น “ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อรวมตัวทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศในการมุ่งสู่วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ๒๐๒๕” ๑.๓ แก้ไขวรรค ๓ ข้อ ๓ บรรทัดที่ ๑ และ ๒ จากเดิม “เมื่อมีความจำเป็นผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายจะพิจารณาจัดประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส” เป็น “เมื่อมีความจำเป็นผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายอาจจะพิจารณาจัดประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส” ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1122 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 03/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ประกอบด้วย (๑) การเปิดตลาดสินค้ากากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภคและเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับปี ๒๕๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ (๒) เห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตานำเข้าสินค้าเกษตรตามพันธกรณีตามความตกลง WTO สำหรับสินค้าเกษตร ๔ รายการ ได้แก่ มะพร้าวและมะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง น้ำมันมะพร้าว และกากถั่ว ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ เป็นต้นไป (๓) เห็นชอบเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้ามะพร้าวตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (๔) เห็นชอบหลักการยุทธศาสตร์มะพร้าวเพื่ออุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๙ และ (๕) เห็นชอบหลักการยุทธศาสตร์ถั่วเหลืองเพื่อความมั่นคงทางอาหาร พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมการค้าต่างประเทศเร่งรัดดำเนินการปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาและขั้นตอนการจัดสรรโควตาการนำเข้า สำหรับปี ๒๕๖๐ สินค้ากากถั่วเหลือง ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และติดตามผลการนำเข้ามะพร้าวตามกรอบการค้าต่าง ๆ พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมมะพร้าวในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง และรายงานคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชทราบ เพื่อให้แก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการในระยะที่ ๑ ภายใต้ยุทธศาสตร์มะพร้าวเพื่ออุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๙ และยุทธศาสตร์ถั่วเหลืองเพื่อความมั่นคงทางอาหาร พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๙ อย่างต่อเนื่อง และรายงานคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชทราบเป็นระยะ ๆ ก่อนการดำเนินการในระยะต่อไป หากผลการดำเนินโครงการในระยะแรกไม่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการให้เหมาะสมหรือยกเลิก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1123 | แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) ปีงบประมาณ 2561 | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ปีงบประมาณ ๒๕๖๑ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) จำนวน ๒๑๓ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๑,๐๓๔.๒๙ ล้านบาท จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม ๙ หน่วยงาน ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ มีมติอนุมัติแล้ว ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์การเร่งรัดทำการตลาดเชิงกลยุทธ์และผลักดันการส่งออก จำนวน ๑๘ โครงการ วงเงินรวม ๒๑๘.๐๘ ล้านบาท โดยมีกลยุทธ์สำคัญ ๓ ด้าน คือ (๑) การขยายส่วนแบ่งตลาดในตลาดหลักสำคัญให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน (๒) การพัฒนาตลาดใหม่และกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ และ (๓) การผลักดันการค้าผ่านช่องทางตลาดและช่องทางกระจายสินค้ารูปแบบใหม่ ผลักดันการส่งออกโดยใช้การตลาดนำการผลิต (Demand-Driven) และการกำหนดกลยุทธ์ในเชิงลึกลงถึงระดับเมือง (city-focus) ๒. ยุทธศาสตร์การเจรจาเชิงรุกเพื่อเปิดตลาด จำนวน ๑๒๗ โครงการ วงเงินรวม ๑๖.๗๕ ล้านบาท ได้แก่ การประชุมเจรจาเชิงรุก และการปกป้องผลประโยชน์ และการแก้ไขอุปสรรคทางการค้า ๓. ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๖๗ โครงการ วงเงินรวม ๗๔๙.๔๖ ล้านบาท เช่น การผลักดันคลัสเตอร์เป้าหมายสำคัญ การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการการค้าระหว่างประเทศของไทย การพัฒนาส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มและการสร้างภาพลักษณ์และส่งเสริมการสร้างแบรนด์สินค้าและบริการ (Innovation, Value Creation & Branding) และการพัฒนาองค์กรสู่อนาคต ๔. แผนงานตามนโยบายและมาตรการเร่งด่วน จำนวน ๑ โครงการ วงเงินรวม ๕๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1124 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นายสุชาติ สินรัตน์) | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุชาติ สินรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1125 | แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ 5 ปี (พ.ศ. 2560 - 2564) | สธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ปรับชื่อแผนยุทธศาสตร์นี้ให้เหมาะสม จากเดิม “แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)” เป็น “แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)” ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนปฏิบัติการ (Action Plan) โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ มีเป้าประสงค์เพื่อลดภาวะการป่วย การตาย และความพิการที่ป้องกันได้ อันมีผลสืบเนื่องจากโรคไม่ติดต่อ ด้วยวิธีการร่วมมือระหว่างภาคีภาคส่วนหลากหลายสาขาและการประสานงานในระดับชาติ ภูมิภาค และระดับโลก เพื่อให้ประชาชนมีภาวะสุขภาพที่ดีและสร้างให้เกิดผลผลิตตามมาตรฐานสูงสุดในทุกกลุ่มอายุ และโรคต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) พัฒนานโยบายสาธารณสุขและกฎหมายที่สนับสนุนการป้องกัน ควบคุมโรคไม่ติดต่อ (๒) เร่งขับเคลื่อนทางสังคม สื่อสารความเสี่ยงและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง (๓) การพัฒนาศักยภาพชุมชน/ท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย (๔) พัฒนาระบบเฝ้าระวังและการจัดการข้อมูล (๕) ปฏิรูปการจัดบริการเพื่อลดเสี่ยง และควบคุมโรคให้สอคดล้องกับสถานการณ์โรคและบริบทพื้นที่ และ (๖) พัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างบูรณาการ โดยมีกรอบวงเงินสำหรับดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ รวม ๘๑๗.๘๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณสำหรับดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ ๒๕๖๑ เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรร หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผลใช้บังคับแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ฯ เพื่อขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ภาคเอกชนเป็นภาคส่วนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ เนื่องจากภาคเอกชนเป็นภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ และส่งผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคของประชาชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1126 | ผลการประชุม Singapore - Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 5 | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๕ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายสิงคโปร์เข้าร่วมการประชุมฯ โดยได้มีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความร่วมมือด้านการลงทุน ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงทางอากาศ และความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ ระหว่าง IE Singapore กับเอกชนไทย ๒ ราย คือ บริษัท ซี เอ ซี จำกัด (c asean) กับบริษัท Hubba จำกัด โดยบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเน้นส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและสร้างเครือข่ายให้กับ Start-up ของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม STEER ครั้งที่ ๖ ในปี ๒๕๖๑ ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-สิงคโปร์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการอำนวยความสะดวกเพื่อการพัฒนาและเชื่อมโยงธุรกิจ Start-up ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ การนำประสบการณ์จากประเทศที่สร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart city) มาพิจารณาข้อดีข้อเสียประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ และการส่งเสริมการลงทุนแก่ภาคเอกชนสิงคโปร์ในการเข้ามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก รวมทั้งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ ของไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1127 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๗๑ (ค.ศ. ๒๐๑๗) เกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) โดยเป็นการยกระดับและเพิ่มการลงโทษมากขึ้น โดยเพิ่มเติมรายชื่อบุคคล องค์กร และสิ่งของที่ถูกกำหนด ขยายมาตรการทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมการห้ามนำเข้าอาหารทะเล ตะกั่วและแร่ตะกั่ว การห้ามนำเข้าถ่านหิน เหล็ก และแร่เหล็ก การห้ามเรือที่กำหนดเข้าเทียบท่า จำกัดจำนวนการอนุญาตการทำงานให้แก่บุคคลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และห้ามเปิดกิจการร่วมค้า (Joint venture) หรือสหกรณ์กับองค์กรหรือบุคคลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือขยายกิจการร่วมค้าที่มีอยู่ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ดำเนินการดังต่อไปนี้ ๒.๑ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ ปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (https//www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1718) ทั้งนี้ สหประชาชาติจะปรับปรุงรายชื่อบุคคล องค์กร และเรือที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ ๒.๓ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องพึงระวังและดำเนินการให้เป็นไปตามข้อมติฯ ๒.๔ แจ้งการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป และหากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ขอให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1128 | ขอความเห็นชอบในหลักการแนวทางการช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชน | กษ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชนด้านเงินทุน เพื่อยกระดับการพัฒนากิจการผ่านโครงการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับให้ยืมแก่วิสาหกิจชุมชน เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน และเพื่อให้การส่งเสริม สนับสนุน หรืออุดหนุนแก่วิสาหกิจชุมชน เครือข่ายวิสาหกิจขุมชนเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การบริหารจัดการ เทคโนโลยีด้านการผลิต การตลาด การรับรองคุณภาพและแหล่งกำเนิดสินค้า และการพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๐-๒๕๖๔ งบประมาณดำเนินการ ๓,๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมและพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการการส่งเสริมตลาดสินค้าวิสาหกิจชุมชนผ่านโครงการ “วิสาหกิจชุมชนแฟร์ ๒๐๑๘” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชน และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของวิสาหกิจชุมชนให้มากขึ้น กำหนดจัดงานประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ระยะเวลา ๕ วัน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล งบประมาณดำเนินการ ๒๕ ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หากมีความจำเป็นต้องขออนุมัติใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จะต้องจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย แผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนฯ ควรชี้แจงถึงแหล่งเงินที่จะใช้ในการจัดตั้งกองทุนฯ รวมทั้งประมาณการวงเงินดังกล่าว และควรต้องมีการเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งกองทุนฯ โดยเฉพาะการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุม พ.ศ. ๒๕๔๘ ให้ครอบคลุมถึงภารกิจการจัดตั้งและดำเนินงานกองทุนฯ ซึ่งควรสอดคล้องกับพระราชบัญญัติดังกล่าว ตลอดจนระเบียบและขั้นตอนการจัดตั้งทุนหมุนเวียนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ควรมีการพิจารณาถึงช่องทางการเพิ่มรายได้ของกองทุนฯ จากแหล่งอื่น เพื่อลดภาระด้านงบประมาณแผ่นดิน และควรพิจารณาประเด็นทางการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาให้เงินอุดหนุนหรือการให้กองทุนฯ เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการให้ยืมแก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1129 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ครั้งที่ 7 | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (Joint Commission : JC) ไทย-สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ครั้งที่ ๗ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเข้าร่วมการประชุมฯ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) ผลการประชุมฯ ที่ทั้งสองฝ่ายได้หารือแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อเพิ่มพูนและผลักดันความร่วมมือในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านการค้าและการลงทุน และด้านสาขาอื่น ๆ (เช่น ประมงและเกษตร พลังงาน และการท่องเที่ยว) รวมทั้งความร่วมมือระดับภูมิภาค และความร่วมมือในเวทีพหุภาคี (๒) ผลการหารือกับนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และ (๓) ผลการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1130 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย - บังกลาเทศ ครั้งที่ 4 | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ในประเด็นต่าง ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการค้า เช่น การตั้งเป้าหมายทางการค้าร่วมกันเป็นสองเท่า หรือ ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๔ (ค.ศ. ๒๐๒๑) การพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ระหว่างกัน บังกลาเทศเรียกร้องให้ไทยพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อขอรับสิทธิและการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตาสำหรับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (DFQF) อีก ๓๖ รายการ เป็นต้น ๑.๒ ด้านการลงทุน เช่น ความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุน และบังกลาเทศเชิญชวนไทยเข้ามาลงทุนในสาขา อาทิ อาหารแปรรูป ผลไม้แปรรูป ประมง เพาะเลี้ยงกุ้ง เครื่องจักร ยานยนต์ อัญมณีเทียม สิ่งทอ ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเกษตร ยา เทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อสร้าง บริการสุขภาพ และท่องเที่ยว เป็นต้น ๑.๓ ด้านความร่วมมือ เช่น เร่งรัดให้มีการจัดประชุมคณะทำงานร่วมด้านการเกษตรเพื่อแสวงหาความร่วมมือและความช่วยเหลือด้านเกษตรระหว่างกัน และสนับสนุนให้มีการทบทวนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือประมง เป็นต้น ๑.๔ ประเด็นอื่น ๆ เช่น การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ ปริมาณไม่เกิน ๑ ล้านตันต่อปี ระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๔ โดยจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตของทั้งสองประเทศและราคาในตลาดโลก ไทยแจ้งถึงข้อกังวลที่บังกลาเทศขึ้นภาษีแป้งมันสำปะหลัง (HS 1108.14) จากร้อยละ ๕ เป็นร้อยละ ๑๕ และบังกลาเทศแสดงความสนใจเกี่ยวกับโครงการสร้างถนนเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ ๓ ฝ่ายระหว่างอินเดีย-เมียนมา-ไทย (Trilateral highway) โดยขอให้ไทยช่วยสนับสนุนให้โครงการดังกล่าวเชื่อมไปยังบังกลาเทศด้วย เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรมีการติดตามผลการประชุมฯ อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการผลักดันการลงทุนในสาขาอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมเกษตร ก่อสร้าง และพลังงาน ซึ่งเป็นสาขาที่บังกลาเทศมีศักยภาพและไทยมีความเชี่ยวชาญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1131 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๗๕ (ค.ศ. ๒๐๑๗) เกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) โดยเป็นการยกระดับและเพิ่มการลงโทษมากขึ้นโดยเพิ่มเติมรายชื่อบุคคล องค์กร เรือ และสิ่งของที่ถูกกำหนด ขยายมาตรการทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมการห้ามนำเข้าสิ่งทอและการส่งออกทรัพยากรพลังงาน รวมทั้งเน้นย้ำมาตรการเกี่ยวกับการตรวจค้นเรือในทะเลหลวง ห้ามการอนุญาตการทำงานเพิ่มเติม และห้ามเปิดกิจการร่วมค้าหรือร่วมทุนกับองค์กรหรือบุคคลของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีโดยให้ปิดกิจการดังกล่าวที่มีอยู่ ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ดำเนินการดังต่อไปนี้ ๑.๒.๑ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๑.๒.๒ มอบหมายกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามวรรค ๔-๕ วรรค ๑๓-๑๖ และวรรค ๑๘ ของข้อมติฯ ที่ ๒๓๗๕ (ค.ศ. ๒๐๑๗) และมาตรการตามข้อมติฯ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาระสำคัญของวรรคดังกล่าว ๑.๒.๓ มอบหมายกระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามวรรค ๑๗ ของข้อมติฯ ที่ ๒๓๗๕ (ค.ศ. ๒๐๑๗) และมาตรการตามข้อมติฯ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาระสำคัญของวรรคดังกล่าว ๑.๒.๔ มอบหมายสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนดแนวทางการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อเรือที่มีความเกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือ ซึ่งรวมถึงมาตรการตามวรรค ๗-๑๒ และวรรค ๒๒ โดยเป็นไปตามกฎหมายภายในของไทย ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการประชุมเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามข้อมติ UNSC ซึ่งมีสาระสำคัญส่วนหนึ่งเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจต่อการดำเนินการต่อเรือข้างต้นตามพันธกรณีระหว่างประเทศจากข้อมติฯ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๒.๕ ปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็ปไซต์ของสหประชาชาติ (https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1718) ทั้งนี้ สหประชาชาติ (United Nations : UN) จะปรับปรุงรายชื่อบุคคล องค์กร และเรือที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ และจะกำหนดรายการสิ่งของภายใต้หัวข้อ “Prohibited Items” ในภายหลัง ๑.๒.๖ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องพึงระวังและดำเนินการให้เป็นไปตามข้อมติฯ ๑.๒.๗ แจ้งการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป และหากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ขอให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1132 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการฟื้นฟูฟื้นฟูชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2560 | กษ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๖๐ เป็นการดำเนินการในชุมชนตามโครงการฯ ที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๔๓ จังหวัด มีเป้าหมายเกษตรกร จำนวน ๔๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน มีลักษณะการดำเนินการเป็นการสนับสนุนกิจกรรมในลักษณะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประกอบด้วย (๑) การปลูกพืชอายุสั้น (๒) การเลี้ยงสัตว์ (การเลี้ยงสัตว์ปีกและแมลงเศรษฐกิจ เช่น จิ้งหรีด) (๓) การผลิตอาหาร แปรรูปผลผลิต และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และ (๔) การประมง (เช่น การเลี้ยงกบในกระชัง การเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน/พลาสติก) โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายปัจจัยการผลิต ครัวเรือนละไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท และส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มประกอบกิจกรรม กลุ่มละไม่น้อยกว่า ๑๐ ราย สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒,๒๙๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับกระบวนการถ่ายทอดความรู้และคำแนะนำในการผลิตตามกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทั่วถึง เพื่อมิให้เกิดความเสียหายกับเกษตรกรขึ้นอีก รวมทั้งติดตามการดำเนินงานของเกษตรกรอย่างใกล้ชิด เพื่อต่อยอดหรือให้คำแนะนำสำหรับใช้ประโยชน์จากกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้โครงการฯ เป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวของครอบครัวต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๓.๑ ในการดำเนินกิจกรรมของเกษตรกรภายใต้โครงการฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องสำรวจเกษตรกรที่มีความพร้อมและเต็มใจเข้าร่วมโครงการและให้การสนับสนุนและคำแนะนำแก่เกษตรกรในการเลือกกิจกรรมที่มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และศักยภาพของเกษตรกร รวมทั้งมีการติดตามและให้คำแนะนำการดำเนินกิจกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกษตรกรประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างแท้จริง ๓.๒ ให้เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่เป็นการใช้งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและต้องใช้จ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓.๓ ให้ติดตาม ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ หากโครงการใดหมดความจำเป็นหรือมีโครงการอื่นใดที่สมควรดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้น ก็ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1133 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซม ครั้งที่ 7 | พณ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อ (๑) ร่างแถลงการณ์ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซม ครั้งที่ ๗ (The 7th ASEM Economic Ministers’ Meeting : 7th ASEM EMM) เพื่อสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี (๒) ร่างเอกสารสรุปผลการประชุม ASEM EMM ครั้งที่ ๗ ของประธาน และ (๓) ร่างเอกสารข้อริเริ่มของที่ประชุม ASEM EMM ครั้งที่ ๗ ด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมASEM EMM ครั้งที่ ๗ ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างเอเชียและยุโรป โดยไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม ASEM EMM ครั้งที่ ๗ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม ASEM EMM ครั้งที่ ๗ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ประเทศไทยเข้าร่วมการเจรจาความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าสิ่งแวดล้อม (Environmental Goods Agreement : EGA) ก็ต่อเมื่อเป็นการเจรจาที่ให้ประเทศสมาชิกทั้งหมดขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization) เข้าร่วมเท่านั้น สำหรับร่างเอกสารข้อริเริ่มของที่ประชุม ASEM EMM ครั้งที่ ๗ ด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ ควรให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับการสร้างความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การพัฒนาทักษะแรงงานให้มีศักยภาพสอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ตามแนวทางการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ ของอาเซม รวมทั้งการพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในสาขาอาชีพที่มีโอกาสถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีและส่งเสริมสาขาอาชีพใหม่ ๆ ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับประเด็นความร่วมมือทางด้านกฎระเบียบที่ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตามแนวทางการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ ของแต่ละประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1134 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 1 | ทส | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๑ ในระหว่างวันที่ ๒๔-๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส รวมทั้งสิ้น ๓๗ คน ประกอบด้วย (๑) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย (๒) ประธานอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท (๓) ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๔) ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม (๕) ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข (๖) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (๗) ผู้แทนกระทรวงการคลัง และ (๘) ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒ เห็นชอบต่อท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๑ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายของอนุสัญญามินามาตะฯ ในการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ำของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ และความต้องการจำเพาะของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในระดับประเทศและภูมิภาคด้านการจัดการสารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจร โดยผ่านการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคและทางด้านการเงิน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคีต่าง ๆ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือและการบูรณาการร่วมกันในการดำเนินงานตามพันธกรณีข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีของไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ ๑ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับท่าทีของไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ ๑ ในข้อ ๔.๒ ประเด็นด้านเทคนิควิชาการและวิทยาศาสตร์ และข้อ ๔.๔ ประเด็นความช่วยเหลือด้านเทคนิควิชาการ ควรเพิ่มการกำหนดค่ามาตรฐานของปริมาณ และมาตรฐานวิธีการทดสอบเมทิลเมอร์คิวรี่ (Methyl Mercury) และขอรับการสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเครื่องมือในการตรวจวัดสารประกอบเมทิลเมอร์คิวรี่ และอนุพันธุ์ของสารดังกล่าวที่เกิดจากกระบวนการ Methylation ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมินามาตะ รวมทั้งประเด็นเกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1135 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บังคับบทบัญญัติมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... | พณ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บทบัญญัติเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1136 | โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร | กษ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบขยายระยะเวลาการจ่ายเงินกู้โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ๑.๒ กำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนการซื้อข้าวคุณภาพจากโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ๑.๓ มอบหมายกระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ในการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ ข้าว GAP และข้าวเพื่อสุขภาพระหว่างกลุ่มเกษตรกรกับผู้ประกอบการค้าในจังหวัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การอนุมัติสินเชื่อและการเบิกจ่ายเงินกู้ให้แก่กลุ่มเกษตรกรในโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๖ เดือน (๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑) ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการให้ทันตามกำหนดที่ได้ขอขยายระยะเวลาไว้และควรติดตามให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชอย่างต่อเนื่องในทุกฤดูการผลิต รวมทั้งควรมีการจัดทำแผนความร่วมมือทางการตลาดเพื่อให้ผลผลิตข้าวของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีตลาดรองรับที่ชัดเจน ควบคู่กับการส่งเสริมการผลิตและการรับรองมาตรฐาน พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการและปัญหาอุปสรรคให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว และคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติได้รับทราบเป็นระยะ เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางการส่งเสริมและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1137 | มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2560/61 ด้านการตลาด | พณ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร กรอบวงเงินงบประมาณ ๑๒,๙๐๖.๒๕ ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อ ๑๒,๕๐๐ ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด ๔๐๖.๒๕ ล้านบาท) และโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐/๖๑ กรอบวงเงินจำนวน ๗๓,๓๖๙.๙๒ ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อ ๒๑,๐๑๐ ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด ๕๒,๓๕๙.๙๒ ล้านบาท) โดยภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น ให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับการระบายข้าวเปลือก ให้ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินโครงการ บริหารจัดการการระบายข้าวที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างมีประสิทธิภาพ และจำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการดังกล่าว และในกรณีที่เกิดภาระส่วนต่างระหว่างราคาที่โครงการกำหนดในการให้สินเชื่อกับราคาที่ขายได้จากการระบายข้าวเปลือก ให้รัฐบาลรับภาระส่วนต่างดังกล่าว ๒. อนุมัติในหลักการโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๖๐/๖๑ วงเงิน ๙๔๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้เสนอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แก่ (๑) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาศักยภาพของสถาบันเกษตรกรในการให้สินเชื่ออย่างรอบคอบ และพิจารณาความเป็นไปได้ในการสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรแปรรูปข้าวสารเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร (๒) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาความพร้อมของเกษตรกรที่จะได้รับสินเชื่อ และภาระหนี้สินของเกษตรกร ซึ่งอาจมีเกษตรกรบางรายที่สนใจเข้าร่วมโครงการแต่ไม่สามารถขอสินเชื่อได้ รวมถึงคัดเลือกกลุ่มที่มีความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการ และเตรียมความพร้อมในด้านข้อมูลจำนวนยุ้งฉางที่ได้มาตรฐานและเครื่องอบลดความชื้น โดยมีการตรวจสอบและขึ้นทะเบียนเครื่องอบลดความชื้นซึ่งอยู่ในความดูแลของสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ และ (๓) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ควรให้ความสำคัญกับการติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าได้มีการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1138 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ๑.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคงเน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเข้มงวดในการตรวจตราผู้สัญจรผ่านแดน โดยกำหนดมาตรการและแนวปฏิบัติให้ชัดเจน เคร่งครัด เช่น การกำหนดให้รถยนต์ที่ผ่านจุดตรวจต้องเปิดกระจกทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสาร รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการตรวจสอบจุดเสี่ยงที่อาจมีการลักลอบผ่านแดน โดยเฉพาะพื้นที่เอกชนที่ติดชายแดนที่อาจยังไม่มีมาตรการด้านความมั่นคงรองรับ ทั้งนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นในการใช้อำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบผ่านแดนดังกล่าวด้วย ๑.๒ ให้คณะกรรมการบริหารการบูรณาการแผนและระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ทั่วประเทศ พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการติดตั้งกล้อง CCTV บริเวณจุดผ่านแดนหรือตามแนวชายแดนด้านต่าง ๆ ให้เพียงพอ ทั่วถึง รวมทั้งให้มีการตรวจสอบกล้อง CCTV ดังกล่าว ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเจรจากับฝ่ายมาเลเซียเกี่ยวกับความเหมาะสมในการขยายเวลาการเปิดจุดผ่านแดน โดยในเบื้องต้นอาจเปิดจุดผ่านแดน ๒๔ ชั่วโมง ให้เฉพาะการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์เท่านั้น โดยให้กำหนดประเภทรถยนต์และวัตถุประสงค์ของการขนผ่านให้รัดกุมและชัดเจนด้วย ทั้งนี้ สำหรับการเดินทางของผู้สัญจรผ่านแดนเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ เห็นควรให้คงจำกัดเวลาไว้ตามเดิม ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รับไปศึกษาและพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงาน บทบาท และภารกิจของสภาบันการเงินต่าง ๆ ของรัฐทั้งระบบ เพื่อให้สถาบันการเงินของรัฐเป็นองค์กรของรัฐที่สามารถดำเนินกิจการได้อย่างเหมาะสม ทั้งในด้านการให้บริการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินนโยบายสำคัญต่าง ๆ ของรัฐบาล และการให้บริการทางการเงินในฐานะสถาบันการเงินทั่วไป โดยไม่กระทบต่อสถานะทางการเงินโดยรวมของสถาบันการเงินของรัฐนั้น ๆ และให้รายงานผลการศึกษาต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๒.๒ ตามที่ได้มีการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ (การจัดเก็บภาษีจากสินค้าสุราและยาสูบ) เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ แล้ว นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำกับดูแลผู้ประกอบการเพื่อมิให้มีการแสวงประโยชน์จากการกักตุนและขึ้นราคาสินค้าสุราและยาสูบในลักษณะที่เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน ทั้งนี้ ให้ประสานกับฝ่ายความมั่นคงในการดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลผู้ประกอบการให้ทั่วถึงด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้มีการจัดตั้งตลาดกลางคืนเป็นศูนย์กลางการขายส่งสินค้าเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น สินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน (เช่น มาตรฐาน GAP) สินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) ระหว่างผู้ผลิต/เกษตรกรและผู้จำหน่ายสินค้าปลีกในพื้นที่ให้ครบทุกจังหวัดภายในปี ๒๕๖๑ โดยพิจารณากำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสม ทั้งนี้ อาจพิจารณานำกลไกประชารัฐมาสนับสนุนการดำเนินการด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการจัดให้มีหลักสูตรการเรียนรู้ โดยมุ่งเน้นการสร้างเสริมอาชีพในสาขาต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน และความต้องการของตลาดแรงงานไทย เช่น หลักสูตรเพื่อพัฒนาเกษตรรุ่นใหม่ (Smart Farmer) หลักสูตรเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ธุรกิจตั้งต้น (Startup) และภาคการท่องเที่ยวและบริการ ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขับเคลื่อนให้มีโรงเรียนชาวนาเพิ่มขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับเกษตรกร เช่น การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเพาะปลูกข้าว ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาความรู้ความสามารถของเกษตรกรไปสู่การเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ (Smart Farmer) ต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาทบทวนและปรับปรุงแผนการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และให้พิจารณาดำเนินโครงการ/งานที่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณและไม่ก่อให้เกิดภาระผูกพันในปีต่อ ๆ ไป เป็นลำดับแรก เพื่อให้งานบรรลุผลและเกิดประโยชน์แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๑ ๓.๒ เพื่อให้การดำเนินงานของรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นปีแห่งการปฏิรูปเน้นการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ (Agenda) นอกเหนือจากงานตามภารกิจปกติ (Function) จึงมอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านสรุปผลการปฏิบัติงานที่รับผิดชอบในช่วงการบริหารงานของรัฐบาลทั้งในส่วนของงานตามภารกิจ (Function) และงานตามยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาล (Agenda) ที่ต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น การบริหารจัดการน้ำ การลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่ามีการดำเนินการเรื่องใด อย่างไร ใครเป็นผู้รับผิดชอบหลัก และให้จัดทำแผนงานสำคัญที่จะดำเนินการต่อไปเป็นรายไตรมาสเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการแผ่นดินก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไปภายใน ๑ เดือน ๓.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดองให้เป็นการดำเนินงานภายใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ซึ่งจัดตั้งตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลำดับ ทั้งนี้ เพื่อลดภาระด้านการบริหารจัดการ รวมทั้งขั้นตอนการทำงานและปริมาณงานที่อาจซ้ำซ้อนกัน สำหรับสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (PMDU) นั้น ให้คงปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนเรื่องสำคัญเชิงนโยบายต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1139 | แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สับปะรด ปี 2560 - 2569 และการบริหารจัดการผลผลิตสับปะรดในช่วงปลายปี 2560 | กษ | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สับปะรด ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๙ และการบริหารจัดการผลผลิตสับปะรดในช่วงปลายปี ๒๕๖๐ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สับปะรด ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๙ ๑.๑ ด้านการผลิต เช่น กำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมและกลุ่มเป้าหมายในการเข้าไปพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสับปะรดโรงงาน และใช้กลไกระดับพื้นที่ผ่านทาง Single Command จังหวัด ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกสับปะรดจัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้ยุทธศาสตร์สับปะรด ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๙ ด้านการผลิต ระยะที่ ๑ ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๔ เป็นต้น ๑.๒ ด้านการแปรรูป เช่น ศึกษาวิจัยและส่งเสริมการนำนวัตกรรมมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ควบคุมคุณภาพบรรจุภัณฑ์สับปะรดให้ได้มาตรฐาน การใช้สิทธิประโยชน์หรือมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น ๑.๓ ด้านการตลาดและการส่งออก เช่น รณรงค์และส่งเสริมการบริโภคสับปะรดและผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ และแสดงคุณค่าทางโภชนาการผ่านสื่อต่าง ๆ ส่งเสริมการเจรจาทางการค้าเพื่อขยายตลาดใหม่ และส่งเสริมการส่งออกสับปะรดไปยังตลาดต่างประเทศ เป็นต้น ๒. แนวทางการบริหารจัดการผลผลิตสับปะรดในช่วงปลายปี ๒๕๖๐ (เดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐) ๒.๑ ผลผลิตส่วนเกิน ๑๕,๐๐๐ ตัน กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานระดับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม ประสานผู้ประกอบการ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร ผ่านกลไกประชารัฐเพื่อเชื่อมโยงการรับซื้อผลผลิตสับปะรดจากเกษตรกรกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยใช้งบประมาณปกติ ๒.๒ ส่งเสริมการส่งออกสับปะรดผลสดไปยังตลาดค้าชายแดน ๒.๓ ผลักดันการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างเกษตรกรและโรงงานแปรรูปเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1140 | ร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขภาคผนวก 2 และภาคผนวก 5 ของความตกลงการค้าเสรี ไทย - ออสเตรเลีย | พณ | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขภาคผนวก ๒ และภาคผนวก ๕ ของความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปริมาณสินค้าที่มีการใช้มาตรการโควตาภาษี (Tariff Rate Quota : TRQ) ตามบัญชีแนบท้ายภาคผนวก ๒ โดยเพิ่มปริมาณโควตานมผงขาดมันเนย ร้อยละ ๑๐ และแก้ไขปริมาณการนำเข้าสินค้าที่มีการใช้ปกป้องพิเศษ (Special Safeguard : SSG) ตามบัญชีแนบท้ายภาคผนวก ๕ โดยเพิ่มปริมาณการนำเข้า (Tigger Volume) ของสินค้า ๓ รายการ (๖ พิกัดสินค้า) ของไทย ได้แก่ หางนม ไขมันเนย และเนยแข็ง โดยมีผลในทางปฏิบัติภายในปี ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และเมื่อลงนามแล้ว ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภามีมติเห็นชอบพิธีสารฯ และกระทรวงพาณิชย์ได้มีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่าได้ดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของพิธีสารฯ เสร็จสิ้นแล้ว ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการส่งเสริมอุตสาหกรรมนมไทยเพื่อลดปริมาณการนำเข้า และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมโคนมไทย ซึ่งฝ่ายออสเตรเลียจะเสนอความร่วมมือให้กับฝ่ายไทยนั้น ควรระบุรายละเอียดโครงการให้เป็นรูปธรรมและชัดเจน และควรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการผู้มีส่วนได้เสียรับทราบถึงการดำเนินการจากการทบทวนพันธกรณีการเปิดตลาดสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นตามความตกลง TAFTA อย่างทั่วถึง รวมทั้งติดตามประเมินผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากมาตรการที่มีอยู่ของหน่วยงานภาครัฐอย่างเต็มที่ และเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรกรและสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็งเพื่อรองรับการแข่งขันจากการเปิดเสรีทางการค้าในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๖. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสินค้าที่มีการใช้มาตรการโควตาภาษี (TRQ) จำนวน ๘ รายการ โควตาภาษีดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ จำนวน ๖ รายการ ได้แก่ มั่นฝรั่ง (สดและแช่แข็ง) เมล็ดกาแฟ กาแฟสำเร็จรูป ชา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) และจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ นมดิบและนมพร้อมดื่ม นมผงขาดมันเนย และสินค้าที่มีการใช้มาตรการปกป้องพิเศษ (SSG) กำหนดเพดานปริมาณ Tigger Volume โดยเก็บภาษีนำเข้าในอัตราต่ำ ส่วนปริมาณที่นำเข้าเกินกำหนดจะเก็บภาษีในอัตราสูงกว่า จำนวน ๑๗ รายการ เช่น ไขมันเนย หางนม และเนยแข็ง จะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ หลังจากนั้นจะไม่กำหนดเพดานนำเข้าและอัตราภาษีนำเข้าจะเป็นร้อยละ ๐ จึงเห็นควรพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรดังกล่าวภายในประเทศ ไปพิจารณาต่อไปด้วย
|
.....