ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 56 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1101 - 1120 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1101 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าบริการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับมาตรฐานบังคับ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 31/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าบริการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับมาตรฐานบังคับ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าบริการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับมาตรฐานบังคับสำหรับศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ และโรงงานผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง ซึ่งอัตราค่าบริการจะจำแนกตามขนาดของศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบหรือโรงงานผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง เพื่อให้ผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานมีหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าบริการตรวจสอบและค่าใบรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตรที่มีกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานบังคับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่ควรมีการกำกับ ดูแลการให้บริการตรวจสอบและรับรองของภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง และการเก็บค่าบริการตรวจสอบและรับรองอาจมีผลกระทบกับราคาผลผลิตที่เกษตรกรขายได้ จึงควรมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในระยะแรกที่กฎกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1102 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า | พณ | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๗ มกราคม ๒๕๖๐) เรื่อง การรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกรัฐมนตรี และสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้องได้หารือแนวทางการจัดทำระเบียบการใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่าและตราสัญลักษณ์กลางสำหรับประทับรับรอง ซึ่งระเบียบดังกล่าวระบุให้สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ เป็นหน่วยงานกลาง โดยผู้ผลิตจะต้องขอจดทะเบียนตราผู้ผลิตและผู้จำหน่ายตามที่สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ กำหนด และการประทับตราชุดตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานจะประกอบด้วยตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน ๓ ตราประทับ คือ ตราสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ ตรารับรองชนิดและความบริสุทธิ์ของโลหะมีค่า และตราผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย โดยจะประทับตราลงบนตำแหน่งบริเวณเนื้อโลหะของเครื่องประดับโลหะมีค่าชนิดนั้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1103 | เอกสารขอบเขตอำนาจหน้าที่สำหรับคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง (Terms of Reference for the Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation under Mekong - Lancang Cooperation) | พณ | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงเอกสารขอบเขตอำนาจหน้าที่สำหรับคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Terms of Reference for the Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation under Mekong-Lancang Cooperation) ในการประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนฯ ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งการปรับปรุงเอกสารขอบเขตฯ ดังกล่าว ได้มีการเปลี่ยนชื่อคณะทำงานเป็น Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation (JWG-TEC) และเพิ่มหน้าที่ของคณะทำงานในการตรวจสอบและการดำเนินการตามผลลัพธ์และข้อตกลงความร่วมมือต่าง ๆ ที่ได้มีการรับรองในที่ประชุม และนำเสนอผลลัพธ์ต่อที่ประชุม รวมทั้งปรับปรุงหน้าที่ในการหารือข้อเสนอโครงการต่าง ๆ ให้ครอบคลุมสาขาวิชาต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้เพิ่มการกำหนดให้จีนเป็นประธานร่วมกับประเทศเจ้าภาพในการประชุมคณะทำงานทุกครั้ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1104 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (จำนวน 7 คน 1. นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ ฯลฯ) | พณ | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป จำนวน ๗ คน ดังนี้
๑. นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ ประธานกรรมการ ๒. นายเอกชัย วงศ์วรกุล กรรมการผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ๓. นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา กรรมการผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประทศไทย ๔. นายสมาน คลังจัตุรัส กรรมการผู้แทนศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ๕. นางสาวพจนา สีมันตร กรรมการผู้แทนศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ๖. นายสุมนต์ วัฒนะประเสริฐ กรรมการผู้แทนศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ๗. นายมนู เสตะกลัมพ์ กรรมการผู้แทนศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1105 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... | พณ | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มวันใช้บังคับของประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่ใช้ได้สองทางเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และกำหนดสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยกำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับชื่อร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ เห็นควรตัดการระบุหมายเลขฉบับที่ออก เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบการร่างกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้กำกับดูแลเส้นทางเดินของปุ๋ยยูเรียมิให้นำไปใช้เป็นวัตถุระเบิด สามารถดำเนินการได้เช่นเดียวกับกระทรวงกลาโหม และเห็นควรประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจในข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับสินค้าที่ใช้ได้สองทางเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตามแนวทางของภาครัฐซึ่งสอดคล้องกับหลักสากลได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1106 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [แก้ไขเพิ่มเติมให้บริษัทจำกัดดำเนินการได้ในประเด็นหุ้นกู้แปลงสภาพการทยอยให้หุ้น (Vesting) สิทธิที่จะซื้อหุ้นในราคาที่กำหนด (ESOP) และหุ้นบุริมสิทธิ] และร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วน จดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | พณ | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการกำหนดข้อยกเว้นให้บริษัทจำกัดสามารถซื้อหุ้นคืนได้ต้องมีความชัดเจนและเป็นกรณีที่จำเป็นเท่านั้น โดยอาจเทียบเคียงได้กับมาตรา ๖๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ และควรมีการประเมินผลกระทบและความคุ้มค่าในการเสนอปรับปรุงกฎหมายในส่วนนี้ ตลอดจนแนวทางอื่นที่จะทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยไม่ขัดหรือแย้งกับแนวทางการประเมินตามโครงการ Ease of Doing Business ของธนาคารโลก (World Bank) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ ลักษณะ ๒๒ หุ้นส่วนและบริษัท เพื่อลดอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ และเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะที่เป็นวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความผิดและบทกำหนดโทษในส่วนของการแปลงหุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นสามัญ ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเตรียมการพิจารณาออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการออกหลักทรัพย์และการเสนอขายหลักทรัพย์แก่ประชาชน รวมทั้งควรกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน และสนับสนุนให้บริษัทจำกัดสามารถใช้เครื่องมือดังกล่าวในการระดมทุนได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1107 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 49 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ ๔๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ระหว่างวันที่ ๗-๑๑ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลสำเร็จของการประชุมฯ ได้แก่ (๑) รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและฮ่องกงได้ร่วมประกาศความสำเร็จของการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน-ฮ่องกง และ (๒) รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ให้การรับรอง/เห็นชอบเอกสารรวม ๑๔ ฉบับ อาทิ แผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน ปี ๒๕๖๘ แผนงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๘ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามในเอกสาร ๓ ฉบับ ได้แก่ พิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ ๓ ข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญ และข้อตกลงยอมรับร่วมว่าด้วยระบบการตรวจสอบและการให้การรับรองด้านสุขลักษณะสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปของอาเซียน ๑.๒ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้หารือกับประเทศคู่เจรจาที่สำคัญ เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) โดยรับทราบความคืบหน้าการเจรจาเปิดตลาดและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคู่เจรจายังมีความเห็นแตกต่างกัน ที่ประชุมฯ จึงขอให้สมาชิกพิจารณาข้อเสนอของอาเซียนและทบทวนท่าทีก่อนที่คณะเจรจา RCEP จะประชุมในเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ เพื่อรายงานความคืบหน้าที่มีนัยสำคัญในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน เป็นต้น ๑.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจรัสเซียเกี่ยวกับการใช้กลไกที่มีอยู่เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องโอกาสทางธุรกิจให้กับนักธุรกิจทั้งสองฝ่ายเพื่อเป็นพื้นฐานในการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) และเร่งรัดจัดตั้งคณะทำงานสำหรับความร่วมมือโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของไทย (Eastern Economic Corridor : EEC) และโครงการของรัสเซีย ซึ่งรัสเซียรับจะจัดคณะนักธุรกิจมาเยี่ยมชมและร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับ EEC โดยเร็ว รวมทั้งหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจฮ่องกงเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและและการค้าฮ่องกงในไทย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เร่งรัดให้การเจรจา RCEP บรรลุผลโดยเร็ว รวมถึงสนับสนุนการสร้างพันธมิตรนอกภูมิภาคอาเซียน เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากภายอกให้เข้ามาลงทุนโครงการ EEC ของไทย และเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises : MSMEs) และผู้ประกอบการสตรีและเยาวชนในห่วงโซ่มูลค่า ตามหลักการของอาเซียนที่มุ่งหน้าไปด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1108 | ขอความเห็นชอบโครงการตลาดประชารัฐไทยช่วยไทย | มท | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ปรับเปลี่ยนชื่อโครงการนี้จากเดิม “โครงการตลาดประชารัฐไทยช่วยไทย” เป็น “โครงการตลาดประชารัฐ” และชื่อประเภทตลาดที่ดำเนินการโดยกรมการพัฒนาชุมชน จากเดิม “โครงการตลาดประชารัฐไทยช่วยไทยคนไทยยิ้มได้” เป็น “โครงการตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้” ๒. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการตลาดประชารัฐ โดยให้เพิ่มโครงการตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม ของกระทรวงวัฒนธรรม เป็นตลาดประชารัฐอีก ๑ ประเภท รวมเป็น ๙ ประเภท ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด โดยบูรณาการตลาดประชารัฐทั้ง ๙ ประเภท ภายใต้โครงการตลาดประชารัฐ และให้ดำเนินการพร้อมกันตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายและเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ได้รับอนุมัติจากกรมบัญชีกลางให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๑๕,๔๘๗,๕๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๔๔๖,๗๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๕๖๒,๑๘๗,๕๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ส่งเสริมการตลาด การประชาสัมพันธ์ การค้าขาย การท่องเที่ยว รวมทั้งการสร้างแรงกระตุ้นการขาย ภายใต้การส่งเสริมตลาดประชารัฐต้องชม เพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมตลาดประชารัฐทุกประเภทที่เข้าร่วมโครงการฯ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดสรรพื้นที่ตลาดประชารัฐแต่ละแห่งให้เหมาะสม มีความโปร่งใส เป็นธรรม และสามารถกระจายพื้นที่ให้ผู้ประกอบการได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการเพิ่มช่องทางการขายสินค้าเพิ่มเติม เช่น การขายผ่านช่องทางออนไลน์ การขยายตลาดในต่างประเทศ การนำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาใช้ร่วมกับตลาดรประชารัฐ ทั้งนี้ ในการดำเนินการบริหารจัดการตลาดประชารัฐ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น กฎหมายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับการรักษาความสะอาด เป็นต้น ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีส่วนร่วมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะโครงการที่มีความเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันในพื้นที่ และควรให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานของตลาดและการกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ อย่างสม่ำเสมอ สอดคล้องกับหลักการของโครงการฯ รวมทั้งควรมีการประสานและบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการอย่างเป็นระบบครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการควบคุมการผลิตให้ได้คุณภาพมาตรฐานและมีความปลอดภัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายสอดคล้องกับความต้องการ รวมถึงการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๖. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1109 | การเปิดทบทวนสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยนอกรอบ (Out-of-Cycle Review : OCR) ภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐอเมริกา มาตรา 301 พิเศษ | พณ | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการเปิดทบทวนสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยนอกรอบ (Out-of-Cycle Review : OCR) ภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐอเมริกา มาตรา ๓๐๑ พิเศษ โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (United States Trade Representative : USTR) ได้ประกาศเปิดการทบทวนสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยนอกรอบ (OCR) อย่างเป็นทางการทาง Federal Register เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐ โดยเปิดรับฟังความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งรัฐบาลไทยสามารถยื่นความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษร ภายในวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมศุลกากร ควรดำเนินการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวดและต่อเนื่องต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เพื่อแสดงให้สหรัฐอเมริกาเห็นถึงความจริงจังและจริงใจของรัฐบาลไทยในการดำเนินการเรื่องนี้ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้สหรัฐอเมริกาปรับสถานะไทยออกจากบัญชี PML ต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมศุลกากร ดำเนินการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวดและจริงจังในพื้นที่ ๑๑ แห่ง ได้แก่ ศูนย์การค้ามาบุญครอง ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ตลาดนัดจตุจักร ย่านการค้าคลองถม ย่านการค้าบ้านหม้อ ย่านการค้าริมถนนสุขุมวิท (ซอย ๓-๑๙) ย่านการค้าพัฒน์พงศ์ ตลาดโรงเกลือ (จังหวัดสระแก้ว) ศูนย์การค้าไอทีซิตี้ (เมืองพัทยา) หาดป่าตอง (จังหวัดภูเก็ต) และหาดกะรน (จังหวัดภูเก็ต) ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกาพิจารณาทบทวนนอกรอบ และให้ดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่องตลอดไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1110 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาแนวทางในการดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมให้นักโทษที่มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพด้านต่าง ๆ สามารถประกอบวิชาชีพนั้นให้เกิดประโยชน์ได้ในระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่ รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการนำนักโทษดังกล่าวมาปฏิบัติงานนอกสถานที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้มีการนำความสามารถนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญของประเทศ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการชำระเงินค่าโดยสารรถประจำทางแบบใหม่ผ่านระบบ E-Ticket และที่ติดตั้งจุดหยอดเหรียญให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย ชัดเจน และทั่วถึง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและลดปัญหาความล่าช้าเมื่อมีการเปิดใช้งานจริง ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งพัฒนาพืชสมุนไพรให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทย นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์พืชสมุนไพรให้มากยิ่งขึ้น เช่น การวางจำหน่ายในร้านค้าธงฟ้า โครงการธงน้ำเงินของกระทรวงกลาโหม การจำหน่ายทางออนไลน์ เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาส่งเสริมสนับสนุนผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการประกอบหรือดัดแปลงรถยนต์ให้สามารถพัฒนาปรับปรุงผลงานให้ดียิ่งขึ้น มีความถูกต้อง เป็นไปตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นพื้นฐานในการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาแนวทางในการนำเกณฑ์ในการพิจารณาการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ ๗ ประการ ตามผลการวิจัยของ Measuring Sustainability Disclosure 2017 มาปรับใช้กับส่วนราชการตามความเหมาะสม เช่น อัตราการลาออก ค่าใช้จ่ายของบุคลากร การบริหารจัดการเกี่ยวกับด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของหน่วยงาน การใช้น้ำ การจัดการของเสีย เป็นต้น เพื่อให้ส่วนราชการสามารถวางแผนการบริหารจัดการในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ให้พิจารณาคัดเลือกส่วนราชการที่มีความพร้อมในการดำเนินการเป็นหน่วยงานนำร่องก่อน ๓.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งดังกล่าวในการจัดทำแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวที่สอดคล้องกับภารกิจหลักขององค์กรและการจัดทำแผนปฏิบัติการรายปีที่มีความชัดเจนและเป็นไปตามแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ๓.๓ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ร่วมกับสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีจัดทำรายละเอียดข้อเสนอโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยแบบมุ่งเป้าและยั่งยืน (Precision Government Initiative for Poverty Eradication) ให้มีความชัดเจนและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แล้วนำข้อเสนอดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพิจารณาดำเนินการขับเคลื่อนต่อไป ๓.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมด้านการกีฬา ดังนี้ ๓.๔.๑ กำกับดูแลการดำเนินการจัดการแข่งขันกีฬาภายในประเทศและระดับชาติให้มีมาตรฐาน โดยอาจกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุญาตให้มีการจัดการแข่งขันทั้งในเรื่องความเหมาะสมของสถานที่โดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการจราจร เช่น กีฬาสปาร์ตัน (Spartan) ที่สามารถจัดการแข่งขันในตึกสูงได้ เป็นต้น การกำหนดให้มีสถานที่จอดรถอย่างเพียงพอ การจัดที่พักให้แก่นักกีฬาอย่างเหมาะสม รวมทั้งการวางแผนการบริหารจัดการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การติดป้ายประกาศโฆษณา และการดูแลนักกีฬาต่างชาติด้วย ๓.๔.๒ พิจารณาจัดทำโครงการเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการกีฬาของเยาวชนไทย โดยให้พิจารณาคัดเลือกเยาวชนที่มีอายุระหว่าง ๗-๑๐ ปี ที่มีความสามารถด้านการกีฬาชนิดต่าง ๆ เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน มาฝึกฝนเพื่อก้าวไปสู่การเป็นเยาวชนทีมชาติไทยต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานผลการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งระบายน้ำในพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขัง รวมทั้งเตรียมการป้องกันและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนอุบลรัตน์ ทั้งนี้ ให้เร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานด้วย เช่น จัดบริการห้องสุขา จัดหาน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค โดยให้ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานเพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ถูกต้องทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1111 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องปรับอากาศที่ใช้สารเอชซีเอฟซี - 22 (สารคลอโรไดฟลูออโรมีเทน) ที่มีขนาดทำความเย็นต่ำกว่า 50,000 บีทียูต่อชั่วโมง เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องปรับอากาศที่ใช้สารเอชซีเอฟซี-22 (สารคลอโรไดฟลูออโรมีเทน) ที่มีขนาดทำความเย็นต่ำกว่า ๕๐,๐๐๐ บีทียูต่อชั่วโมง เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารเอชซีเอฟซี-22 (สารคลอโรไดฟลูออโรมีเทน) ที่มีขนาดทำความเย็นต่ำกว่า ๕๐,๐๐๐ บีทียูต่อชั่วโมง เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีของไทยภายใต้พิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่อาจพิจารณาปรับถ้อยคำในย่อหน้าแรกของร่างประกาศฯ เป็น “โดยที่มีความจำเป็นเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข การคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และเพื่อให้เป็นไปโดยสอดคล้องกับพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ค.ศ. ๑๙๘๗ ในการลดและเลิกการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน สมควรกำหนดให้ ...” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการรับทราบร่างประกาศฯ อย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1112 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต นำเข้า หรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ ในประเภท 2 พ.ศ. ....) | สธ | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาต และการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต นำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ ประเภท ๓ หรือประเภท ๔ ในปริมาณเท่าที่จำเป็นต้องใช้ประจำในการปฐมพยาบาลหรือในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร และกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่ไม่จำเป็นต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องสลักหลังสำเนาใบอนุญาตหมายเลข ๓ ส่งกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตามร่างข้อ ๑๗ (๔) ในร่างกฎกระทรวงข้อ ๑.๑ แต่อย่างใด ประกอบกับเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงทั้ง ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต นำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ ประเภท ๓ หรือประเภท ๔ เฉพาะเพื่อใช้ในยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสารเคลนบิวเตอรอล อัลบิวเตอรอลหรือซัลบิวตามอล และยา เภสัชเคมีภัณฑ์ฯ ๑๖ กลุ่ม โดยไม่ต้องใช้มาตรการควบคุมภายใต้พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1113 | การระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2551/52 | พณ | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๑/๕๒ ในการดูแลของรัฐบาล จำนวน ๙๔,๑๖๘.๙๘ ตัน ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๐ โดยในเบื้องต้น ให้ระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน ๘๔,๑๓๔.๗๓ ตัน ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขที่สามารถระบายได้ก่อน สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ยังไม่มีข้อยุติในส่วนของคดีความทางกฎหมาย จำนวน ๑๐,๐๓๔.๒๕ ตัน ให้องค์การคลังสินค้า (อ.ค.ส.) เสนอ นบขพ. ระบายเมื่อมีข้อยุติในทางคดี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมว่า เนื่องจากการตรวจสอบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๑/๕๒ ได้ดำเนินการครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการสำรวจและตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือโครงการร่วมกับผู้ตรวจสอบสินค้ากลาง (Surveyor) อีกครั้งหนึ่งให้ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นปัจจุบัน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้ นบขพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และแล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ โดย อ.ค.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการระบายโดยแบ่งตามคุณภาพของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่รัดกุม รวมทั้งต้องกำกับ ดูแล และกำหนดมาตรการที่เข้มงวดไม่ให้มีการนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ระบายออกมากลับเข้าสู่วงจรตลาดปกติได้อีก และให้ อ.ค.ส. เจรจากับคลังสินค้าหรือผู้ซื้อที่เสนอราคาซื้อสูงสุดแต่ละคลัง แล้วนำเสนอประธาน นบขพ. พิจารณาอนุมัติการระบาย นอกจากนี้ ควรมีมาตรการป้องกันไม่ให้มีการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารที่อาจจะส่งผลต่อสุขอนามัยคนและสัตว์ แต่อาจนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เป็นต้น และเร่งดำเนินการติดตามข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ยังไม่มีข้อยุติในส่วนของคดีความทางกฎหมาย เพื่อให้ได้ข้อสรุปก่อนที่จะเสนอ นบขพ. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1114 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง [ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอดิสัย ธรรมคุปต์)] | พณ | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายอดิสัย ธรรมคุปต์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1115 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่ได้จัดทำความร่วมมือ/ความตกลงในเรื่องต่าง ๆ กับหน่วยงานของประเทศบรูไนดารุสซาลามไว้แล้ว เร่งรัด ติดตาม และขับเคลื่อนการดำเนินการตามความร่วมมือ/ความตกลงดังกล่าวให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการขยายความร่วมมือ/ความตกลงดังกล่าวให้ครอบคลุมด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินผลการจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการของประชาชนในช่วง ๓ เดือนแรก และนำข้อมูลสัดส่วนการใช้จ่ายของประชาชนในแต่ละประเภทสินค้าและบริการมาประกอบการปรับปรุงสัดส่วนการจัดสรรเงินช่วยเหลือในส่วนของค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้แก่ประชาชนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็วด้วย ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งรัดการจัดการท่องเที่ยวทางเรือ โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือระหว่างประเทศ รวมทั้งให้มีการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนด้วย นั้น ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเมืองชายฝั่งเชื่อมโยงกับเมืองต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศ CLMV และให้พิจารณาส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยใช้เรือเฟอร์รี่ในเส้นทางพัทยา-หัวหิน ให้มากยิ่งขึ้นด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ในช่วงวันที่ ๙-๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๐ บริเวณประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันและแก้ไขเหตุอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อเตรียมการระบายน้ำเมื่อมีฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ลุ่มต่ำที่มักประสบปัญหาน้ำท่วมขัง และให้เตรียมการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการเกิดน้ำท่วมให้ทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานสถานการณ์ให้ประชาชนรับทราบโดยเร็วและต่อเนื่องด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ สมควรดำเนินการจัดกิจกรรมประกวดผลการดำเนินการเกี่ยวกับการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ เพื่อเป็นตัวอย่างในการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนให้ถูกต้องและทั่วถึงเกี่ยวกับความหมายและประโยชน์ที่แท้จริงของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยการจัดการประกวดดังกล่าวอาจพิจารณาแบ่งประเภทการประกวดออกเป็นการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชนตามความเหมาะสมได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1116 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ประเภท 3 หรือประเภท 4 เฉพาะเพื่อใช้่ในยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร พ.ศ. ....) | สธ | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาต และการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต นำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ ประเภท ๓ หรือประเภท ๔ ในปริมาณเท่าที่จำเป็นต้องใช้ประจำในการปฐมพยาบาลหรือในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร และกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่ไม่จำเป็นต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องสลักหลังสำเนาใบอนุญาตหมายเลข ๓ ส่งกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตามร่างข้อ ๑๗ (๔) ในร่างกฎกระทรวงข้อ ๑.๑ แต่อย่างใด ประกอบกับเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงทั้ง ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต นำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ ประเภท ๓ หรือประเภท ๔ เฉพาะเพื่อใช้ในยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสารเคลนบิวเตอรอล อัลบิวเตอรอลหรือซัลบิวตามอล และยา เภสัชเคมีภัณฑ์ฯ ๑๖ กลุ่ม โดยไม่ต้องใช้มาตรการควบคุมภายใต้พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1117 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ....) | สธ | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาต และการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต นำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ ประเภท ๓ หรือประเภท ๔ ในปริมาณเท่าที่จำเป็นต้องใช้ประจำในการปฐมพยาบาลหรือในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร และกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่ไม่จำเป็นต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องสลักหลังสำเนาใบอนุญาตหมายเลข ๓ ส่งกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตามร่างข้อ ๑๗ (๔) ในร่างกฎกระทรวงข้อ ๑.๑ แต่อย่างใด ประกอบกับเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงทั้ง ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต นำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ ประเภท ๓ หรือประเภท ๔ เฉพาะเพื่อใช้ในยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสารเคลนบิวเตอรอล อัลบิวเตอรอลหรือซัลบิวตามอล และยา เภสัชเคมีภัณฑ์ฯ ๑๖ กลุ่ม โดยไม่ต้องใช้มาตรการควบคุมภายใต้พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1118 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี เรื่อง การจัดประกวดแข่งขันระดับนานาชาติ | วธ | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมรายงานผลการดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ที่ให้ทุกส่วนราชการจัดทำทะเบียนรายชื่อผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันระดับชาติ และระดับนานาชาติประเภทต่าง ๆ โดยกระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการ ดังนี้
๑. จัดทำทะเบียนรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันทางศิลปวัฒนธรรมระดับชาติ และนานาชาติ โดยจัดส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้ว ๒. รวบรวมข้อมูลการส่งเสริม สนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ในรอบปี ๒๕๕๗-๒๕๖๐ โดยมีสรุปผลการประกวดแข่งขันการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมระดับนานาชาติ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ จำนวน ๓๐ รายการ ประกอบด้วย (๑) ด้านศาสนา จำนวน ๑ รายการ ได้รับรางวัลที่ ๔ จาก ๕ รางวัล (๒) ด้านดนตรี จำนวน ๒๕ รายการ ได้รับรางวัลเหรียญทอง/รางวัลชนะเลิศ/รางวัลยอดเยี่ยม รวม ๙๓ รางวัล และ (๓) ด้านศิลปะ จำนวน ๔ รายการ ได้รับรางวัลเหรียญทอง/รางวัลรองชนะเลิศ/รางวัลยอดเยี่ยม รวม ๑๕ รางวัล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1119 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกรกฎาคม 2560 | พณ | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การส่งออกของไทย เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๕ ที่ร้อยละ ๑๐๕ หรือคิดเป็นมูลค่า ๑๘,๘๕๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ ๖ ปีเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ในส่วนของการนำเข้ามีอัตราการขยายตัวสูงกว่าการส่งออกเล็กน้อยที่ร้อยละ ๑๘.๔ ๒. มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๖๓๕,๗๙๑ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๖.๖ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๖๕๐,๐๔๙ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๓ ส่งผลให้การค้าขาดดุล ๑๔,๒๕๘ ล้านบาท สำหรับมูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๑๘,๘๕๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๐.๕ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๑๙,๐๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๘.๕ ส่งผลให้การค้าขาดดุล ๑๘๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ขยายตัวได้ดีต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๙ ในเกือบทุกรายการ ทั้งปริมาณและราคา โดยเฉพาะข้าวที่มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒๑.๗ ในส่วนของสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๕ โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ยางต่างขยายตัวระดับสูง สำหรับการส่งออกรายตลาด ยังคงขยายตัวได้ดีในทุกตลาดสำคัญ ๔. แนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือปี ๒๕๖๐ จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการส่งออกปี ๒๕๖๐ จะขยายตัวได้มากกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ ๕.๐ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังติดตามปัจจัยในระดับมหภาคอย่างใกล้ชิด เช่น นโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา นโยบายดอกเบี้ยและมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing : QE) ของประเทศใหญ่ และจุดเปราะบางในภูมิภาคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1120 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย - ภูฏาน ครั้งที่ 2 | พณ | 03/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามตารางติดตามผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า Joint Trade Committee : JTC) ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๒ ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร โดยผลการประชุม JTC ไทย-ภูฏาน มีประเด็นสำคัญครอบคลุมเกี่ยวกับการกระชับความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการท่องเที่ยว ด้านการเกษตร ด้านหัตถกรรม การรักษาพยาบาลในไทย และการติดฉลากสินค้าอาหาร รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ เช่น ความช่วยเหลือทางเทคนิค การฝึกอบรมบุคลากร และการช่วยเหลือทางการเงินเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
.....