ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 54 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1061 - 1080 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1061 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 15 และการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนที่เกี่ยวข้อง ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | พณ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economics Community Council : AEC Council) ครั้งที่ ๑๕ และการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนที่เกี่ยวข้อง ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมการประชุม AEC Council ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประสบผลสำเร็จหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถสรุปผลการเจรจาบทบาทการลงทุนของความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่นได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ความตกลงการค้าเสรีระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นมีความครอบคลุมครบถ้วน ทั้งเรื่องการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน และการลงนามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง รวมทั้งความตกลงว่าด้วยการลงทุนระหว่างอาเซียนกับฮ่องกง ซึ่งจะทำให้อาเซียนสามารถใช้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้า และเป็นประตูสู่ตลาดใหญ่อย่างจีนและประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังได้รับประโยชน์จากความร่วมมือภายใต้ความตกลงฯ ที่ฮ่องกงจะให้เงินสนับสนุน จำนวน ๒๕ ล้านเหรีญฮ่องกง ซึ่งครอบคลุมสาขาที่ไทยกำลังผลักดัน อาทิ SMEs พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และโลจิสติกส์ ๒. การประชุม AEC Council ครั้งนี้การเจรจาไม่คืบหน้าเท่าที่ควร โดยหลายประเทศเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายแสดงความยืดหยุ่นและหาจุดสมดุลร่วม โดยคำนึงถึงความแตกต่างของระดับการพัฒนาของสมาชิก ในขณะที่ประเทศคู่เจรจาที่พัฒนาแล้วแม้จะสนับสนุนแนวทางการแสดงความยืดหยุ่นแต่ยังคงเน้นย้ำให้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) เป็นความตกลงที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานสูง ประกอบกับขณะนี้สมาชิก (Trans-Pacific Partnership : TPP) ๑๑ ประเทศ (สมาชิกเดิมยกเว้นสหรัฐอเมริกา) กำลังเร่งสรุปความตกลง TPP เพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับโดยเร็ว ดังนั้น การเจรจา RCEP ในปีหน้า ไทยและอาเซียนจึงต้องเร่งผลักดันให้ RCEP หาจุดสมดุลร่วมและสรุปการเจรจาให้ได้โดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1062 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออก นำเข้า และนำผ่าน ราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... | พณ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออก นำเข้า และนำผ่าน ราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า โดยให้สามารถรองรับการขออนุญาตและการอนุญาตนำผ่านซึ่งสินค้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายและความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรปรับถ้อยคำในร่างข้อ ๕ และร่างข้อ ๑๐ ของร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อให้สอดคล้องกับร่างข้อ ๑๑ และร่างข้อ ๑๒ โดยใช้ถ้อยคำว่า “...เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามความตกลงหรือพันธกรณีระหว่างประเทศ...” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์แนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ อย่างทั่วถึงหลังมีผลใช้บังคับ เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1063 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ สินค้าฟุ่มเฟือย น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ และ เรือเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ สินค้าแร่ และรูปปั้นที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ สินค้าฟุ่มเฟือย น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ เรือ สินค้าแร่ และรูปปั้น เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออก ห้ามนำเข้า และห้ามนำผ่านราชอาณาจักร ไปยังกองกำลังติดอาวุธ เพื่อใช้สนับสนุนกองกำลังติดอาวุธของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. .... | พณ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ สินค้าฟุ่มเฟือย น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ และ เรือเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ สินค้าแร่ และรูปปั้นที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ สินค้าฟุ่มเฟือย น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ เรือ สินค้าแร่ และรูปปั้น เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออก ห้ามนำเข้า และห้ามนำผ่านราชอาณาจักร ไปยังกองกำลังติดอาวุธ เพื่อใช้สนับสนุนกองกำลังติดอาวุธของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๒๗๐ (ค.ศ. ๒๐๑๖) และที่ ๒๓๒๑ (ค.ศ. ๒๐๑๖) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศไปประกอบการพิจารณาด้วยว่า หากกระทรวงพาณิชย์ประสงค์จะประกาศใช้ร่างประกาศฯ ไปพลางก่อน เห็นควรเพิ่มข้อ ๘(๙) ในร่างประกาศฯ เพื่อเป็นข้อยกเว้นสำหรับ “การส่งออก นำเข้า หรือนำผ่านอื่นใดที่ได้รับความเห็นชอบจากสหประชาชาติเป็นรายกรณี โดยเป็นไปตามเงื่อนไขของข้อมติ” รวมทั้งเพิ่มเติมรายการสินค้าบางรายที่ยังไม่ได้กำหนดอยู่ในบัญชีแนบท้ายประกาศให้ครบถ้วนด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรออกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับใหม่เพื่อให้ครอบคลุมข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้ครบถ้วนโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1064 | ผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 25 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 29 | กต | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๙ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๘-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมการประชุมฯ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ และผลการหารือต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๕ และถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๙ โดยสมาชิกเอเปคส่วนใหญ่เห็นว่า เอเปคควรแสดงบทบาทนำในการเรียกความเชื่อมั่นต่อการค้าเสรี การยึดมั่นต่อระบบการค้าพหุภาคี และสนับสนุนการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) ที่มีคุณภาพสูง ๒. นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีแจ้งว่าจะเร่งดำเนินกระบวนการภายในโดยเร็ว รวมทั้งได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ฝ่ายเวียดนามพิจารณาแก้ปัญหาเรื่องข้อกำหนดเกี่ยวกับการนำเข้ารถยนต์ของเวียดนาม และช่วยดูแลการลงทุนของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ที่จังหวัดบาเหรี่ยะ-หวุงเต่า ๓. นายกรัฐมนตรีได้เสนอต่อที่ประชุมฯ ให้เอเปคและอาเซียนพิจารณากระชับความร่วมมือกันในรูปแบบ “หุ้นส่วนเชิงสร้างสรรค์” โดยเฉพาะการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยต่อยอดจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคไปสู่การจัดตั้ง FTAAP ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เน้นความสำคัญของการศึกษาที่มีคุณภาพควบคู่กับการเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัลของคนทุกกลุ่ม รวมถึงการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1065 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 29 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 25 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน | พณ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๙ และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๕ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ระหว่างวันที่ ๘-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งสาระสำคัญของการประชุมครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การพัฒนาศักยภาพและนวัตกรรมสำหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย และวิสัยทัศน์เอเปค ทั้งนี้ การประชุมมีประเด็นที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องและมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานรับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุน เพื่อผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี การก้าวสู่การรวมกลุ่มเศรษฐกิจในภูมิภาค การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไปสู่ตลาดโลก และการลงทุนในการพัฒนามนุษย์ เป็นต้น รวมทั้งประเด็นที่ควรพิจารณาในการกำหนดท่าทีของไทย ได้แก่ การแสดงจุดยืนในการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี การเร่งดำเนินการทบทวนและประเมินผลการดำเนินการเพื่อเปิดเสรีการค้าการลงทุน (เป้าหมายโบกอร์) ในปี ๒๕๖๑ การกำหนดท่าทีและพิจารณาใช้ประโยชน์จากความร่วมมือเอเปคในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายการค้าดิจิทัล เศรษฐกิจอินเทอร์เน็ต และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินนโยบายของไทยไปสู่ Thailand 4.0 และการร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนาเพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1066 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 | กษ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ โดยให้ผู้ส่งออก โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเร่งส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน และให้กระทรวงพลังงานประสานผู้ค้าน้ำมันซื้อน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นไบโอดีเซลเพื่อสต็อก จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน นอกเหนือจากที่ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ สำรองไว้เดิม รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาให้การสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกการส่งออก เช่น การขนส่งน้ำมันปาล์มและเรือในการส่งออก ในส่วนการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย ให้องค์การคลังสินค้าหารือร่วมกับเกษตรกรและโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มกำหนดแนวทางการช่วยเหลือเพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่ดีขึ้น โดยเน้นการผลิตปาล์มคุณภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการเพื่อให้การบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของประเทศทั้งระบบมีความยั่งยืน และช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่เป็นธรรม ดังนี้ ๒.๑ จัดทำแผนการบริหารจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มเติมจากแนวทางการแก้ไขปัญหาสต็อกน้ำมันปาล์มดิบตามข้อ ๑ โดยให้พิจารณากำหนดแนวทางบริหารจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มดิบที่มีอยู่เดิมและน้ำมันปาล์มดิบที่เป็นผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในอนาคตแยกออกจากกันให้ชัดเจน ๒.๒ กำหนดแนวทางใช้น้ำมันปาล์มภายในประเทศให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงรูปแบบการใช้และลักษณะตลาดที่มีความแตกต่างกันระหว่างการใช้เป็นอาหารและการใช้เป็นพลังงาน ทั้งนี้ ควรพิจารณากำหนดแนวทางการจูงใจให้มีการใช้น้ำมันปาล์มภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพลังงาน ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดให้มีการกำหนดแผนการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของประเทศทั้งระบบอย่างครบวงจร โดยกำหนดเป้าหมายปริมาณปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มให้เหมาะสมกับความต้องการใช้ภายในประเทศและสนับสนุนการส่งออกให้มากขึ้น และบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันเกษตรกร เกษตรกร ในการรักษาสมดุลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มภายในประเทศให้มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน รวมทั้งช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพื่อให้ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพได้มาตรฐาน สามารถขายได้ในราคาดีและมีรายได้เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1067 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางดวงพร รอดพยาธิ์ และนายวรวุฒิ โปษกานนท์) | พณ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นางดวงพร รอดพยาธิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายวรวุฒิ โปษกานนท์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1068 | แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา) | นร04 | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1069 | นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี 2561 - 2563 | พณ | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ (กากถั่วเหลือง ปลาป่น และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๗๘) เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยเป็นการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้า คราวละ ๓ ปี ทุกกรอบการค้าและจากประเทศนอกความตกลง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายอาหารเสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ครอบคลุมถึงวัตถุดิบทดแทนอาหารสัตว์อื่น ๆ นอกเหนือจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ ๓ ชนิด (กากถั่วเหลือง ปลาป่น และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ด้วย เช่น ข้าวสาลี กากข้าวโพดเอทานอล เป็นต้น รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางการบริหารจัดการวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศเพื่อให้มีการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศ (กากถั่วเหลือง ปลาป่น และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) มากยิ่งขึ้น เพื่อลดปริมาณการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากต่างประเทศ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการนโยบายอาหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การพิจารณาปรับแก้ความคลาดเคลื่อนของอัตราภาษีของรายการสินค้านำเข้าที่กำหนดไว้ในร่างนโยบายและมาตรการฯ ให้ตรงตามข้อผูกพันของไทยภายใต้ความตกลงการค้าเสรีต่าง ๆ ของไทย การชี้แจงให้ประเทศเพื่อนบ้านได้เข้าใจนโยบายและมาตรการนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางส่วนเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลที่มีผลผลิตจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และแสวงหาวิธีการที่จะช่วยผ่อนคลายหรือระบายวัตถุดิบอาหารสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่กระทบกับผลประโยชน์ในภาพรวมของไทย การติดตามการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เพื่อเฝ้าระวังและวิเคราะห์ผลกระทบต่อเกษตรกรในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกำกับดูแลการนำไปใช้ประโยชน์ให้ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ที่นำเข้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยอาหารของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1070 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการแบบผังภูมิ (จำนวน 12 คน 1. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ ฯลฯ) | พณ | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการแบบผังภูมิชุดใหม่ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป จำนวน ๑๒ คน ดังนี้
๑. ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ๑.๑ นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๑.๒ นายพิศิษฐ์ แสง-ชูโต สาขาอุตสาหกรรม ๑.๓ นายกำพล วรดิษฐ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๑.๔ นางสาวอรพินท์ เจียรถาวร สาขาวิทยาศาสตร์ ๑.๕ นายชำนาญ ปัญญาใส สาขาวิทยาศาสตร์ ๑.๖ นางสาวนุชนารถ เกษมพิบูลย์ไชย สาขานิติศาสตร์ ๑.๗ นายวิมาน กฤตพลวิมาน สาขานิติศาสตร์ ๑.๘ นายเศรษฐบุตร อิทธิธรรมวินิจ สาขานิติศาสตร์ ๒. ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๒.๑ นายนันทชัย ทองแป้น สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒.๒ นายวันชัย รัตนวงษ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒.๓ นายจิรศักดิ์ รอดจันทร์ สาขานิติศาสตร์ ๒.๔ นายปิยะบุตร บุญอร่ามเรือง สาขานิติศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1071 | การขยายระยะเวลาการลดค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. ....) | พณ | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราค่าธรรมเนียม การจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา เฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล) ลงกึ่งหนึ่ง ต่อไปอีก ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ในวงกว้างเพื่อให้ผู้ประกอบการทราบถึงการขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าว รวมทั้งควรมีการติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1072 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกันยายน 2560 | พณ | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การส่งออกของไทยในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ มีมูลค่า ๒๑,๘๑๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมการส่งออกใน ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๖๐ (มกราคม-กันยายน ๒๕๖๐) ขยายตัวที่ร้อยละ ๙.๓ (YoY) เป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ ๖ ปี เทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน และการนำเข้าของไทยในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ คิดเป็นมูลค่า ๑๘,๔๕๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวม ๙ เดือน (มกราคม-กันยายน ๒๕๖๐) ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๘ (YoY) ๒. มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนกันยายน ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๗๒๐,๑๗๖ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๖๑๗,๐๒๗ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๕.๔ ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๑๐๓,๑๔๙ ล้านบาท รวม ๙ เดือนแรก การส่งออกมีมูลค่า ๖,๐๐๑,๓๗๖ ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๔) การนำเข้ามีมูลค่า ๕,๖๕๔,๔๐๖ ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๙) และการค้าเกินดุล ๓๔๖,๙๗๐ ล้านบาท สำหรับมูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนกันยายน ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๒๑,๘๑๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๒.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๑๘,๔๕๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๙.๗ ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๓,๓๕๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวม ๙ เดือนแรก การส่งออกมีมูลค่า ๑๗๕,๔๓๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๓) การนำเข้ามีมูลค่า ๑๖๓,๒๐๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๔.๘) และการค้าเกินดุล ๑๒,๒๓๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๑ และขยายตัวได้ดีเกือบทุกรายการ โดยสินค้าที่มีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา น้ำตาลทราย ไก่ รวมถึงข้าว ที่มีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๘ รวม ๙ เดือน มีการส่งออกข้าว ๘.๒ ล้านตัน ขยายตัวสูงในตลาดแอฟริกา เอเชียใต้ สหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (The Commonwealth of Independent States : CIS) สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๗ โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ที่ส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ต่างขยายตัวระดับสูง อีกทั้งการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อการผลิตคงยังมีอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ๔. การส่งออกรายตลาด ยังคงขยายตัวได้ดีในทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะตลาดจีนที่มีอัตราการขยายตัวมากกว่า ๒ หลักต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๑ ตลาดประเทศในกลุ่มอาเซียน เอเชียใต้ และกลุ่ม CIS มีการขยายตัวในระดับสูง ที่ร้อยละ ๑๓.๙ ๓๔.๖ และ ๙๓.๒ ตามลำดับ ๕. การส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือปี ๒๕๖๐ คาดวาจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องและการจ้างงานปรับตัวดีขึ้น เศรษฐกิจจีนที่ยังคงเติบโตได้ดีอย่างมีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการส่งออก นอกจากนี้การฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และสถานการณ์ราคาน้ำมันเริ่มอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพจากการปรับตัวเข้าสู่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานน้ำมัน สำหรับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ จะช่วยลดแรงกดดันค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าของประเทศคู่ค้าหลัก และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1073 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวรอบที่ 2 ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 (ด้านการผลิต) | กษ | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวรอบที่ ๒ ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการขยายการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และโครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) ทั้ง ๓ โครงการ กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๑,๖๘๗.๑๕๕๗ ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในวงเงิน ๔๔.๐๐๕๗ ล้านบาท โดยส่วนที่เหลืออนุมัติให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ แล้ว ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๖๔๓.๑๕๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้เพื่อให้เกษตรกรได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๓.๑ ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดและเงื่อนไขของโครงการฯ ให้เกษตรกรรับทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และกำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติงานโครงการฯ ด้วย ๓.๒ กำหนดให้พื้นที่สำหรับการดำเนินโครงการฯ ในครั้งนี้ต้องไม่ใช่พื้นที่เดียวกับโครงการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวรอบที่ ๒ ปี ๒๕๖๐/๖๑ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ [เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสม ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ รวมทั้งจะต้องไม่ใช่พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไปประกอบกิจกรรมอื่นเป็นการถาวรไปแล้ว ได้แก่ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ [เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม)] โครงการโคบาลบูรพา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ (เรื่อง ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา) และโครงการปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทนนาข้าว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสม ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต)] ๓.๓ ประสานงานกับโรงงานอาหารสัตว์ที่เป็นผู้รับซื้อเมล็ดข้าวโพดตามโครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ โดยให้ภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติตามเงื่อนไขในการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ด กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า ๘ บาท ในมาตรฐานคุณภาพข้าวโพดของสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ ข้าวโพดเบอร์ ๒ ความชื้นไม่เกินร้อยละ ๑๔.๕ ณ หน้าโรงงานอาหารสัตว์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ลดทอนตามชั้นคุณภาพ และระยะทางอย่างเป็นธรรมแก่เกษตรกร ซึ่งเป็นเงื่อนไขเดียวกับเงื่อนไขโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ [เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปี ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) : การปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๙/๖๐ รอบที่ ๒ (มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปี ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) : การปรับเปลี่ยนปลูกพืชหมุนเวียน)] ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามสถานการณ์การผลิตและการค้าอาหารสัตว์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งบริหารจัดการการนำเข้าอาหารสัตว์ทั้งในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสินค้าเกษตรอื่นที่ใช้ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เช่น ข้าวสาลี และกากข้าวโพดเอทานอล (Distillers Dried Grains with Solubles : DDGS) อย่างรัดกุม ๕. ในการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้น กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. จะต้องดำเนินการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวรอบที่ ๒ ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ ไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การกำหนดพื้นที่ในการดำเนินโครงการฯ ไม่ให้ทับซ้อนกัน การตรวจสอบเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ให้ซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน การเร่งประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้เกษตรกรได้รับทราบข้อมูลอย่างทั่วถึง การพิจารณาระยะเวลาดำเนินการให้มีความเหมาะสมและสามารถดำเนินการได้ในระยะเวลาที่กำหนด การติดตามการดำเนินโครงการฯ การกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน และการประเมินผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อรายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวและคณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่เกษตรกรในการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมไปปลูกพืชอื่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1074 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 | กษ | 04/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (๑) รับทราบร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... (๒) ประธาน กนป. มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันหารือแนวทางในการบริหารจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ (๓) เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อรองรับพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... และ (๔) การครบกำหนดวาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธาน กนป. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1075 | ขอความเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 11 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ | 04/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรี (Ministerial Conference : MC) ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๑ (MC 11) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงบัวโนสไอเรส สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ซึ่งในการประชุมฯ มีประเด็นหลักในการเจรจา ได้แก่ การเจรจาสินค้าเกษตร (Agriculture) กฎเกณฑ์ทางการค้า (Rules) การค้าบริการ (Services) ประเด็นว่าด้วยการพัฒนาและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Development & LDCs issues) พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises : MSMEs) เรื่องต่อเนื่องจากการประชุม MC10 และเรื่องอื่น ๆ ที่อาจมีการหารือ และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายพิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์และความเหมาะสมในเรื่องอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุดซึ่งยังขาดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความปลอดภัยสูง และการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการในการเข้าสู่ตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนา e-Commerce Application เป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1076 | แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี | นร11 | 04/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
๑. เห็นชอบการจำแนกแผนออกเป็น ๓ ระดับ ประกอบด้วย ๑.๑ แผนระดับที่ ๑ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ (ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ) ๑.๒ แผนระดับที่ ๒ ได้แก่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนความมั่นคง (ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ) ๑.๓ แผนระดับที่ ๓ หมายถึง แผนที่จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของแผนระดับที่ ๑ และแผนระดับที่ ๒ ให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ หรือจัดทำขึ้นตามที่กฎหมายกำหนด หรือจัดทำขึ้นตามพันธกรณีหรืออนุสัญญาระหว่างประเทศ เช่น แผนของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ แผนบูรณาการ รวมถึงแผนปฏิบัติการทุกระดับ ๒. เห็นชอบวิธีการเสนอแผนและการตั้งชื่อแผนของแผนในระดับที่ ๑ และแผนระดับที่ ๒ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ซึ่งวิธีการเสนอทั้ง ๒ ระดับดังกล่าวเป็นขั้นตอนตามกฎหมายกำหนด สำหรับการเสนอแผนระดับที่ ๓ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเสนอแผนระดับที่ ๓ ไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณากลั่นกรองตามขั้นตอนที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยในการจัดทำแผนให้หน่วยงานเจ้าของแผนดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ระบุถึงความสอดคล้องของแผนที่เสนอกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนในระดับที่ ๒ ให้ชัดเจน และกำหนดองค์ประกอบของแผนที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนระดับที่ ๑ และแผนระดับที่ ๒ ให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศตามแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติ ๒.๒ มีเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม รวมทั้งกลไกการติดตามประเมินผล และควรคำนึงถึงวงเงินของประเทศ ๒.๓ กรณีที่แผนส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างกว้างขวาง ก่อนเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้รับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องและวิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้าน รวมทั้งสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ในกรณีที่แผนกำหนดให้ต้องมีการทำงานร่วมกันกับหลายหน่วยงาน ให้หน่วยงานเจ้าของแผนหารือร่วมกับหน่วยงาน/ภาคีที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการแนวทางการดำเนินการด้วย ๒.๔ กำหนดให้ใช้ชื่อแผนระดับที่ ๓ ว่า “แผนปฏิบัติการด้าน .... ระยะที่ .... (พ.ศ. ....-....)” เว้นแต่ในกรณีที่มีบทบัญญัติตามกฎหมายที่กำหนดชื่อแผนไว้แล้ว ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่า ในกรณีการจัดทำแผนบูรณาการที่ต้องมีการดำเนินการร่วมกันหลายหน่วยงานโดยไม่ได้มีข้อกำหนดตามกฎหมายให้ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี ควรพิจารณาถึงกรณีแผนที่มีการจัดทำขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในขณะนั้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องมีมติคณะรัฐมนตรีรองรับเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ และกรณีการจัดทำแผนปฏิบัติการของส่วนราชการควรคำนึงถึงระดับชั้นความลับของแผนด้วย เช่น กรณีการจัดทำแผนภายในที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ ควรกำหนดระยะเวลาของขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อเป็นกรอบในการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งควรพิจารณาทบทวน และกำหนดประเภทแผนต่าง ๆ ในระดับ ๓ ให้ชัดเจน เนื่องจากบางแผนมีคณะกรรมการระดับชาติทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองและให้ความเห็นชอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอยู่แล้ว ไปเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๐) ให้แล้วเสร็จโดยด่วน ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้แจงและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการเสนอแผนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบกับทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ถูกต้องทั่วถึง ๖. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการส่งแผนของส่วนราชการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพร้อมด้วยความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคืนหน่วยงานเจ้าของแผน เพื่อถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ต่อไป ๗. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งการเสนอร่างกฎหมายต่าง ๆ ในอนาคต เพื่อมิให้มีบทบัญญัติให้หน่วยงาน/คณะกรรมการต้องเสนอแผนต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่จำเป็น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1077 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่รัฐบาลได้บริหารจัดการและแก้ไขปัญหายางพารามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดูแลเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา นั้น เพื่อให้การบริหารจัดการยางพาราของประเทศเป็นระบบ และครบวงจรตั้งแต่ในขั้นตอนของการวางแผนการดูแลต้นทาง เช่น การลดพื้นที่การปลูกยางพารา กลางทาง เช่น การแปรรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และปลายทาง เช่น การนำยางไปใช้ประโยชน์ จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑ ให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดทำแผนการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบ โดยมีรายละเอียดของแผนการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ในแผนการบริหารจัดการดังกล่าวให้ดำเนินการให้ครบวงจรตั้งแต่การผลิต การตลาด และการแปรรูป โดยให้ครอบคลุมถึงเรื่องการบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูก การกำหนดพื้นที่เพาะปลูก การปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน มาตรการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อการเพาะปลูก รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับความเดือดร้อนหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามแผนด้วย ตลอดจนการสนับสนุนให้โรงงานเอกชนประกอบกิจการแปรรูปให้มากขึ้น โดยในการดำเนินการให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการนำข้อเสนอของเครือข่ายชาวสวนยางในหลายจังหวัดภาคใต้ไปพิจารณาดำเนินการ และหารือประสานข้อมูลร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการบูรณาการเชื่อมโยงการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งระบบ ๑.๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการลดพื้นที่เพาะปลูกยางพาราทั้งในพื้นที่สวนยางและพื้นที่บุกรุกพื้นที่ป่า โดยให้มีมาตรการในการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก ตลอดจนการปลูกพืชเสริมหรือประกอบอาชีพอื่นแทนการเพาะปลูกยางพาราที่ชัดเจน มีเป้าหมาย/ตัวชี้วัดในการดำเนินการแต่ละปีว่าครอบคลุมพื้นที่ใด วิธีใด ผลเป็นอย่างไร และประสานส่งข้อมูลดังกล่าวให้ กยท. เพื่อใช้ประกอบการจัดทำแผนการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบ ๑.๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กยท. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมให้ภาคเอกชนรับซื้อยางพาราหรือผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพารา เช่น ยางรถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ หลักกิโลเมตรบอกระยะทาง แผ่นการ์ดเรลตามแนวโค้งถนน และขับเคลื่อนให้นำยางพาราสำเร็จรูป เช่น ยางปูพื้นคอกสัตว์ ยางรองอ่างเก็บน้ำ ยางรองคอสะพาน มาใช้ในโครงการของภาครัฐ โดยกำหนดเป้าหมายให้มีการใช้ยางในภาครัฐเพิ่มขึ้น ๑ แสนตันต่อปี ทั้งนี้ ให้ กยท. นำแผนการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ๒. ด้านสังคม มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทยเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (TIP Report) ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำรายงานดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ ให้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑ ก่อนนำเสนอต่อสหรัฐอเมริกาภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑ ต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ในการแสดงผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้นำมาจัดแสดงตามสถานที่ราชการหรือการประชุมต่าง ๆ เช่น การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ให้ผู้บริหารของทุกส่วนราชการ ตั้งแต่ระดับรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ให้ความสำคัญกับผลงานดังกล่าวและนำมาพิจารณาดำเนินการให้เกิดการต่อยอดหรือการนำไปพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประโยชน์กับการดำเนินงานของส่วนราชการ เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์ การใช้น้ำมันปาล์มกับเครื่องจักรกลทางการเกษตร เกี่ยวข้องกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่นักวิจัย/นักประดิษฐ์ไทยและกระตุ้นการทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรมไทยให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการรับฟังความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคของการดำเนินการวิจัยในเรื่องต่าง ๆ เพื่อนำมาปรับใช้กับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1078 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับหลักประกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับหลักประกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเฉพาะกรณีกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวทางประชารัฐ ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ นิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อ และให้เช่าแบบลีซชิ่ง และนิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจให้สินเชื่อเป็นทางการค้าปกติ เป็นผู้รับหลักประกันเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการกำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเฉพาะกรณีกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวทางประชารัฐเป็นผู้รับหลักประกันอาจไม่เป็นไปตามกรอบโครงสร้างการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวทางประชารัฐที่สนับสนุนให้ SMEs มีเงินทุนที่จะสามารถพัฒนาธุรกิจให้มีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าสู่ระบบการเงินปกติของสถาบันการเงินเอกชนได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1079 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวง การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิตซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 พ.ศ. ....) | สธ | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการ (๑) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิตซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๓) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... และ (๔) ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ซึ่งสันนิษฐานว่าผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต การขาย การนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อะโมบาร์บิตาล (AMOBARBITAL) บูพรีนอร์ฟีน (BUPRENORPHINE) และบิวตาลบิตาล (BUTALBITAL) หรือประเภท ๔ วัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อัลโลบาร์บิตาล (ALLOBARBITAL) อัลปราโซแลม (ALPRAZOLAM) และบาร์บิตาล (BARBITAL) และกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ เช่น คาทิโนน (cathinone) อัลปราโซแลม (alprazolam) และโคลนาซีแพม (clonazepam) ที่สามารถผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองได้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... เนื่องจากปัจจุบันกรมศุลกากรและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ National Single Window (NSW) ในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร และกรมศุลกากรได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง ซึ่งได้ดำเนินการตรวจร่วมสินค้าร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง รวมทั้งได้ส่งข้อมูลใบขนสินค้าให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทราบอยู่แล้ว จึงไม่จำต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องสลักหลังสำเนาใบอนุญาตหมายเลข ๓ และส่งกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด ประกอบกับเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ไม่ได้ระบุถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวไว้แต่อย่างใด ดังนั้น ในขั้นต่อไปเมื่อมีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าว ควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐซึ่งมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการตามพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตลอดจนต้องไม่เป็นการขัดต่อหลักการค้าและข้อตกลงระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1080 | ผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2560 | นร11 | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยผลการประชุมฯ เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนและพัฒนางานด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น การใช้เทคโนโลยีในการช่วยยกระดับการบริการของภาครัฐซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปภาครัฐสู่การใช้ดิจิทัล และการที่ประเทศไทยเป็นผู้ประสานงานหลักของกลุ่มธรรมาภิบาลภาครัฐ (Public Sector Governance : PSG) จะช่วยส่งเสริมบทบาทและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่องการปฏิรูปเพื่อเพิ่มธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปคใน ๓ ด้านหลัก คือ (๑) การดำเนินงานด้านการปฏิรูปโครงสร้างภายใต้ Renewed APEC Agenda for Structural Reform : RAASR (๒) การดำเนินงานต่าง ๆ ภายใต้กลุ่มเพื่อนประธาน และ (๓) การดำเนินโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค และการจัดทำรายงานนโยบายเศรษฐกิจเอเปคปี ๒๕๖๑ โดยมีหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการดังกล่าว เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานรับผิดชอบของงานนโยบายการแข่งขันและกฎหมาย จากกรมการค้าภายในเป็นสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จึงขอแก้ไขชื่อหน่วยงาน จากกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) เป็นสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....