ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 53 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1041 - 1060 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1041 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) (จำนวน 5 ราย 1. นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ ฯลฯ) | พณ | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๕ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ๒. นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ๓. นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1042 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์)] | อก | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มกราคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามลำดับ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1043 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) (นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์) | พณ | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มกราคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1044 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ประกอบการและผู้ควบคุมเรือที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุการสัญจรทางน้ำ รวมทั้งพิจารณาแก้ไข ปรับปรุง กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือในน่านน้ำไทยให้มีความปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล โดยเฉพาะการกำกับดูแลผู้ประกอบการและผู้ควบคุมเรืออย่างเคร่งครัด การปรับปรุงบทลงโทษให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการพิจารณาการออกใบอนุญาตให้กับเจ้าของเรือและผู้ควบคุมเรืออย่างเข้มงวด ตลอดจนการปลูกจิตสำนึกทุกภาคส่วนทั้งผู้ประกอบการ ผู้ควบคุมเรือ และประชาชนผู้ใช้บริการในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด นั้น ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้ครอบคลุมถึงกรณีผู้ประกอบการและผู้ควบคุมเรือโดยสารและเรือที่ให้บริการนักท่องเที่ยว เช่น เรือสปีดโบ็ต เรือเฟอร์รี่ เป็นต้น และให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องนี้ให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลการกำหนดราคาจำหน่ายสินค้าและอาหารของร้านค้าต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ท่าอากาศยานทุกแห่งให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้ซื้อ รวมถึงให้พิจารณาดำเนินการจัดให้มีร้านค้าที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้มาใช้บริการท่าอากาศยาน ให้สามารถเลือกซื้อสินค้าและอาหารในราคาที่ย่อมเยากว่าได้ ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการกำหนดมาตรการส่งเสริมและจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินกิจการต่าง ๆ ที่เป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ภาคเอกชนที่ประกอบการเกี่ยวกับการจัดสถานที่ดูแลผู้สูงอายุ การส่งเสริมการประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1045 | รายงานผลการติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2559/60 | นร01 | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ๒๕๖๐ (ยกเว้นภาคใต้ดำเนินการตรวจสอบช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๖๐) ประกอบด้วย การประชาสัมพันธ์โครงการ การป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การยื่นขอสินเชื่อและการอนุมัติสินเชื่อของโครงการ การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและการปรับปรุงคุณภาพข้าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร). กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น การช่วยเหลือให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าร่วมโครงการได้เพิ่มขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการตรวจสอบคุณภาพข้าว และการเร่งรัดโอนเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกร รวมทั้งความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเฉพาะในส่วนของการประชาสัมพันธ์โครงการให้เกษตรกรทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง การดำเนินโครงการจัดหาสถานที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เพียงพอ เช่น ลานตากข้าว ยุ้งฉาง และเครื่องอบลดความชื้น เป็นต้น เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถเข้าร่วมโครงการได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ดียิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1046 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 17 ณ เมืองเดอร์บัน | กต | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ ๑๗ ณ เมืองเดอร์บัน สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้าน การอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุน ความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเล และการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยที่ประชุมฯ ได้ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเล การยกระดับสถานภาพและบทบาทของสตรี เศรษฐกิจภาคทะเล รวมถึงการค้าและการลงทุนระหว่างกันภายในภูมิภาค เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวถ้อยแถลงเน้นย้ำความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของมหาสมุทรอินเดีย โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ และความจำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือความท้าท้ายต่าง ๆ รวมถึงผลักดัน ๓ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) ความเชื่อมโยงของกรอบความร่วมมือต่าง ๆ (๒) ความยั่งยืนและการเติบโตอย่างทั่วถึง และ (๓) การประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวมทั้งได้ร่วมรับรองแถลงการณ์เดอร์บันด้วย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนและประเด็นที่ประสงค์จะให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาเพื่อจะได้ให้ความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และประเทศสมาชิก Indian Ocean Rim Association (PORA) ควรให้ความสำคัญต่อการจัดทำมาตรการหรือแนวทางการจัดการผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเลอันเนื่องมาจากการดำเนินโครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อปกป้องการสูญเสียและการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาค สำหรับการมอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเด็นผลการประชุมฯ ตามแถลงการณ์เดอร์บัน ควรแก้ไขจาก “คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เป็น “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1047 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการใช้สินค้าไทยชนิดต่างๆ ที่ได้มาตรฐานให้แพร่หลายยิ่งขึ้นฯ | พณ | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการใช้สินค้าไทยชนิดต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐานให้แพร่หลายยิ่งขึ้นฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ส่งเสริมการใช้สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยจำหน่ายสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดเพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนภายใต้กิจกรรม “ค้าส่งรวมใจ โชวห่วยไทยคู่สังคม” รวมทั้งประสานร้านโชวห่วย สหกรณ์ร้านค้าของกรุงเทพฯ เข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐเพื่อรองรับการใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อย ๒. ส่งเสริมสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและสร้างโอกาสทางการตลาด พัฒนารูปแบบการนำเสนอผลิตภัณฑ์ เช่น สมุนไพรไทย เครื่องปั้นดินเผาหมู่บ้านด่านเกวียน ผ้าไหมปักธงชัย ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ๓. ส่งเสริมศักยภาพและยกระดับการตลาดผลิตภัณฑ์ OTOP โดยพัฒนารูปแบบการตลาดและสร้างโอกาสทางการตลาดรูปแบบใหม่ นำเสนอผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์หรือเชิงนวัตกรรม จัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ชุมชน รวมทั้งจัดงานแสดงสินค้าการพัฒนาสินค้า OTOP กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรมหนัก และกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ ๔. ส่งเสริมระบบ e-Commerce ให้ผู้ประกอบการกลุ่ม SME และกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) นำไปใช้ในการขยายช่องทางการตลาด และเข้าสู่ระบบมากขึ้น รวมทั้งสร้างช่องทางการค้าผ่าน Digital platform เช่น การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติผ่าน Thaitrade.com ๕. ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความแตกต่างให้แก่สินค้าไทย โดยมุ่งเน้นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ การสร้างตราสินค้า การยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการไทย การส่งเสริมการออกแบบบรรจุภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการค้า
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1048 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2558/59 และปีการผลิต 2559/60 | พณ | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจัดสรรงบประมาณดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกได้ตรวจสอบและอนุมัติเงินชดเชยดอกเบี้ยแล้ว จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑๐๗,๒๕๑,๒๙๕.๙๙ บาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้เร่งจัดสรรและเบิกจ่ายงบประมาณชดเชยให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวที่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเก็บสต็อกแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการหากรัฐบาลมีโครงการในลักษณะเดียวกันในอนาคต นอกจากนี้ ควรทำการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น และรายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว และคณะรัฐมนตรีได้รับทราบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการตัดสินใจและวางแผนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ประกอบการในระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้มีสถานที่เก็บสต็อกสินค้าเกษตร เช่น ไซโล เพื่อให้บริการแก่เกษตรกรในการนำผลผลิตมาเก็บรักษาเพื่อชะลอการขายในช่วงที่มีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดมาก โดยให้พิจารณาดำเนินการในพื้นที่ที่ยังไม่มีสถานที่เก็บสต็อกสินค้าเกษตรในลักษณะดังกล่าวเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้พิจารณาสนับสนุนให้เกษตรกรภายในชุมชน หรือสถาบันเกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนจัดสร้างสถานที่เก็บสต็อกสินค้าเกษตรด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1049 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. .... | กค | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของชื่อร่างและความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับกฎหมายว่าด้วยเช่าทรัพย์และสัญญาเช่า ซึ่งกฎหมายหลายฉบับระบุอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานในการเช่าหรือให้เช่า แต่ไม่ได้ระบุเรื่องทรัพย์อิงสิทธิไว้ และให้พิจารณาความสอดคล้องของเนื้อหาในร่างเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการเสนอร่างกฎหมายนี้ในการทำสัญญาที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ในเรื่องนี้ และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำสิทธิการเช่ามาเป็นหลักประกันการให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิ สามารถทำได้ตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ หรือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่แล้ว และยังมีความไม่ชัดเจนว่าหากมีการทำสัญญาเช่ากันก่อนแล้วจะนำมาจดทะเบียนทรัพย์อิงสิทธิได้อีกหรือไม่ แล้วหากจดทะเบียนทรัพย์อิงสิทธิไปแล้วผลจะเป็นเช่นไร และควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขของอสังหาริมทรัพย์ที่จะนำมาจดทะเบียนทรัพย์อิงสิทธิในด้านการใช้ประโยชน์ ขนาดของพื้นที่ และลักษณะของการประกอบธุรกิจ ตลอดจนศึกษาผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อประกอบการกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เกี่ยวกับการสร้างความรับรู้และความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) และประชาชนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1050 | มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแต่ละโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ๑.๒ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คนส.) คณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คอต.) และคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำจังหวัด (คอจ.) รวมทั้งเห็นชอบในหลักการของการแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำอำเภอ (ทีม ปรจ.) ๑.๓ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้พัฒนาตนเอง โดยจะได้รับวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามแนวทางประชารัฐสวัสดิการเพิ่มเติม โดยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๕๙ จะได้รับวงเงินเพิ่มเติม จำนวน ๒๐๐ บาท/คน/เดือน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้สูงกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๕๙ จะได้รับวงเงินเพิ่มเติม จำนวน ๑๐๐ บาท/คน/เดือน ๑.๔ เห็นชอบในหลักการของมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรจะได้เสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งประสานธนาคารกรุงไทย เพื่อดำเนินการรับชำระค่าจ้างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อไป ๑.๕ เห็นชอบให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินมาตรการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม ๖ มาตรการ ๑๘ โครงการ และให้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) ๑.๖ อนุมัติงบประมาณเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๓๕,๖๗๙,๐๙๐,๗๙๑ บาท ซึ่งประกอบด้วยรายการ ดังนี้ ๑.๖.๑ งบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายของคณะกรรมการและคณะทำงาน เช่น ค่าเบี้ยประชุม ค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นต้น และค่าตอบแทนลูกจ้างชั่วคราวของธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. เพื่อปฏิบัติงานในโครงการเป็นวงเงินไม่เกิน ๒,๙๙๙,๑๖๗,๗๒๓ บาท ๑.๖.๒ งบประมาณสำหรับโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เป็นวงเงินไม่เกิน ๖,๗๗๔,๔๐๙,๘๖๗ บาท และงบประมาณสำหรับธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ในการดำเนินงานเป็นวงเงินไม่เกิน ๑๒,๐๓๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงินไม่เกิน ๑๘, ๘๐๗,๔๐๙,๘๖๘ บาท ๑.๖.๓ งบประมาณสำหรับค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด เป็นวงเงินไม่เกิน ๑๓,๘๗๒,๕๐๓,๒๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายภายใต้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ทั้งนี้ งบประมาณตามข้อ ๑.๖.๑-๑.๖.๓ ให้แต่ละหน่วยงานทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มารองรับกลุ่มเป้าหมายตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นลำดับแรกก่อน โดยควรชะลอการดำเนินการสำหรับกลุ่มเป้าหมายเดิมที่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รองรับไว้ หากไม่เพียงพอ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนพร้อมรายละเอียดประกอบให้ชัดเจน เพื่อขอทำความตกลงแหล่งเงินกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนและกระบวนการงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคฯ ให้ใช้จ่ายจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การดำเนินโครงการภายใต้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ควรให้ความสำคัญในเรื่องความพร้อมของโครงการ ระยะเวลาดำเนินโครงการ ความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมาย การติดตามและประเมินผล การสร้างความรับรู้และความเข้าใจของทุกภาคส่วนต่อการดำเนินมาตรการฯ และผลสัมฤทธิ์ที่คาดว่าจะได้รับทั้ง ๔ มิติของการดำเนินการ (มิติที่ ๑ การมีงานทำ มิติที่ ๒ การฝึกอบรมและการศึกษา มิติที่ ๓ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และมิติที่ ๔ การเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐาน) เพื่อลดความเสี่ยงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือหนี้เสียที่จะเกิดขึ้น และความซ้ำซ้อนของการดำเนินการในแต่ละโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประสานการทำงานกับคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค และร่วมกันพิจารณากำหนดนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อยในภาพรวมให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการซักซ้อมความเข้าใจและเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจของคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำอำเภอ หรือ ทีม ปรจ. รวมถึงผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer : AO) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าวได้ถูกต้อง ชัดเจน ทั้งนี้ ในการพิจารณาคัดกรองผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทีม ปรจ. จะต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่ และจะต้องจัดสรรเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอสำหรับการดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปริมาณที่เหมาะสมด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังเร่งเสนอร่างกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ๖. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1051 | ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และร่างบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถาบันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง | พณ | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย (Memorandum of Understanding on the Cooperation on Projects of the Mekong-Lancang Cooperation Special Fund) มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้างอย่างสูงสุด และร่างบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถาบันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Memorandum of Understanding between Ministry of Commerce and Mekong Institute) มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกและมีส่วนร่วมในความร่วมมือเพื่อยกระดับขีดความสามารถของภาคเอกชน รัฐบาล ชุมชนท้องถิ่น และองค์กรภาคประชาสังคม ในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจร่วมทั้งสองฉบับ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานให้ครอบคลุมประเด็นเศรษฐกิจอื่นเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่กำหนดไว้เดิม ๕ สาขา ได้แก่ (๑) โครงสร้างพื้นฐาน (๒) ความเชื่อมโยงทางดิจิทัล (๓) การพัฒนาอุตสาหกรรม (๔) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ (๕) พลังงาน เพื่อให้การพัฒนาภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1052 | ร่างแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง - ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน | พณ | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ระหว่างประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง ในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ โดยประเทศสมาชิกจะร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนและลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน และให้มีการประกาศในช่วงการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๑ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรผลักดันให้สาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะประเทศสมาชิกผู้ริเริ่มจัดตั้งกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ได้มีบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสู่ความสำเร็จของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในสาธารณรัฐประชาชนจีน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1053 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขยายขอบเขตการดำเนินมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เช่น การลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ การสนับสนุนค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยให้นำผลการดำเนินการที่ผ่านมามาพิจารณาทบทวนเพื่อให้การดำเนินการในระยะต่อไปมีความเหมาะสมและรัดกุมมากยิ่งขึ้น ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนการกำหนดเส้นความยากจน (Poverty Line) ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในปัจจุบัน เพื่อนำมากำหนดเป้าหมายในการลดความยากจนและปรับปรุงโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยต่าง ๆ ของรัฐบาลให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๑.๓ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการจดลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรให้ชัดเจน ถูกต้อง เช่น ในกรณีที่จะจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชจะต้องดำเนินการจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ก่อน รวมทั้งพิจารณากำหนดแนวทางการแบ่งปันสิทธิประโยชน์ในลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรต่าง ๆ ให้แก่ผู้ค้นพบและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้เหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อส่งเสริมให้มีการนำลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น ๑.๔ ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากจะเน้นเรื่องการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวม เช่น การส่งออกและการท่องเที่ยวเช่นที่ผ่านมาแล้ว ให้หน่วยงานดังกล่าวบูรณาการข้อมูลในการรายงานและสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้เข้าใจถึงการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจฐานรากด้วย ๑.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่มีผลกระทบต่อผู้ที่มีรายได้น้อย รวมทั้งข้าราชการชั้นผู้น้อย เช่น หมวกข้าราชการ เครื่องแบบข้าราชการทหาร ตำรวจ เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือข้าราชการชั้นผู้น้อย เช่น การจัดหาผ้าสำหรับตัดเย็บเครื่องแบบให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ เป็นต้น ๑.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือแก่ภาคการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่การทำเกษตรแบบแปลงใหญ่ เช่น พิจารณากำหนดมาตรการให้ภาคเอกชนส่งเสริมการเพาะปลูกพืชและรับซื้อผลผลิตจากพืชนั้นโดยมีการประกันราคาขั้นต่ำ เป็นต้น ทั้งนี้ ในการกำหนดแนวทางดังกล่าวควรคำนึงถึงประโยชน์ที่ภาคเอกชนและเกษตรกรจะได้รับอย่างเหมาะสม เป็นธรรม และดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส ๑.๗ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการเพิ่มรายได้ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน การพักผ่อนแบบโฮมสเตย์ (Homestay) การปรับปรุงพัฒนาเส้นทางการคมนาคมและเส้นทางการท่องเที่ยวให้มีความสะดวกและปลอดภัย ๑.๘ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมให้นักลงทุนภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) ที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก เช่น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่อยู่อาศัย ธุรกิจการค้าและบริการ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ โดยอาจพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้วิธีเปิดประมูลนานาชาติ (International Bidding) ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้เร่งรัดการดำเนินโครงการสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการด้านคมนาคมขนส่ง เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการพัฒนาท่าเรือ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ ด้วย ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สัญชาติ จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล และจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กำหนดมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในการนำลูกจ้างไปจดทะเบียนให้เป็นไปตามกรอบเวลาตามที่กฎหมายกำหนด และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาระบบการศึกษาในภาพรวมของประเทศให้มีประสิทธิภาพเพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยให้คำนึงถึงทิศทางการพัฒนาประเทศ แนวโน้มของสถานการณ์ด้านต่าง ๆ รวมทั้งความต้องการของตลาดแรงงานในระยะต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบต่อประชาชน ได้แก่ ๒.๒.๑ การพัฒนานักเรียนนักศึกษา เช่น ลดชั่วโมงเรียนด้านวิชาการ ลดปริมาณการบ้าน ลดการเรียนพิเศษเสริมจากการเรียนในห้องเรียนปกติ ประเมินผลคุณภาพการศึกษาที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ๒.๒.๒ การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา เช่น พัฒนาด้านภาษาต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านวิทยาการสมัยใหม่ การประเมินคุณภาพครูผู้สอน การนำผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศมาจัดการเรียนการสอน ๒.๒.๓ การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาในแต่ละระดับให้มีความเหมาะสม ได้แก่ (๑) การศึกษาระดับอาชีวศึกษา ส่งเสริมให้มีการศึกษาในสายวิชาชีพนี้เพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการด้านแรงงานของประเทศในระยะต่อไป เช่น ร่วมดำเนินการกับภาคเอกชนในการกำหนดหลักสูตรการศึกษาที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน กำหนดมาตรการจูงใจให้นักเรียนนักศึกษาเลือกศึกษาต่อในสาขาที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย และ (๒) การศึกษาระดับอุดมศึกษา พิจารณาทบทวนสาขาที่มีผู้ให้ความสนใจเข้าศึกษาน้อย หรือจบการศึกษาแล้วมีโอกาสว่างงานสูง หรืออาจมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ๒.๒.๔ การกำหนดมาตรการในการผลิตแรงงานเพื่อกลับไปทำงานในภูมิลำเนาของตนเอง เพื่อให้คนเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น เป็น Smart Farmer ในภาคการเกษตร ๒.๒.๕ การติดตามและประเมินผลการดำเนินการด้านการศึกษาที่ผ่านมา เช่น ผลการลดชั่วโมงเรียนด้านวิชาการ การประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ๒.๒.๖ การจัดทำฐานข้อมูลด้านการศึกษา โดยให้สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งจัดเก็บข้อมูลการมีงานทำและรายได้ของนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาและข้อมูลการจ้างงานนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ การจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานประกอบการ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับยาพาราควอด (Paraquat) และผลกระทบจากการใช้ยาดังกล่าว ซึ่งเป็นสารเคมีที่เกษตรกรนิยมนำมาใช้ในการกำจัดวัชพืชให้ชัดเจนและมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ โดยให้นำโครงการที่เกี่ยวข้องมาบูรณาการและจัดทำเป็นแผนการดำเนินการที่มีระยะเวลาเริ่มต้น-สิ้นสุด ระบุเป้าหมาย/ผลที่คาดว่าจะได้รับให้ชัดเจน เพื่อรองรับและป้องกันการเกิดอุทกภัยและภัยแล้งให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้สร้างการรับรู้ถึงความคืบหน้าของการดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำต่าง ๆ ดังกล่าวให้ประชาชนทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1054 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าทำการสำรวจพื้นที่ที่จะจัดทำเป็นโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนาที่ดิน และกระทรวงพาณิชย์ มีบทบาทร่วมกับกรมชลประทานในการสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ประโยชน์ที่ดินที่ได้รับจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและทำการเกษตรแผนใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1055 | รายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 1 | ทส | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๑ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๔-๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ ได้มีมติข้อตัดสินใจต่าง ๆ ในประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามอนุสัญญามินามาตะฯ เช่น (๑) การรับรองเอกสารสำคัญซึ่งผ่านการหารือและรับรองชั่วคราวจากที่ประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลเพื่อการจัดทำมาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว (๒) แนวทางการจัดทำรายงานของภาคี (๓) แนวทางการจัดตั้งสำนักเลขาธิการถาวรของอนุสัญญามินามาตะฯ (๔) กลไกทางการเงินในส่วนของแผนงานพิเศษระหว่างประเทศและกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก และ (๕) การกำหนดสถานที่และวันเวลาจัดการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ ๒ เป็นต้น และมีการประชุมระดับสูง (High-level Segment) ภายใต้หัวข้อ “Making Mercury History” ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะฯ และนำแนวทางไปปรับใช้ให้สอดรับกับการดำเนินงานภายในประเทศ รวมทั้งให้หน่วยงานผู้มีอำนาจในการแก้ไขกฎหมายภายในประเทศระดับอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับ (๑) แหล่งอุปทานปรอทและการค้าปรอท (๒) ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท (๓) กระบวนการผลิตที่เติมปรอท และ (๔) การปลดปล่อย เร่งดำเนินการตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1056 | รายงานผลการจัดประชุม CIBJO CONGRESS 2017 และ WORLD RUBY FORUM 2017 | พณ | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดประชุม CIBJO CONGRESS 2017 และ WORLD RUBY FORUM 2017 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศร่วมกับสมาพันธ์เครื่องประดับโลก (CIBJO) จัดการประชุมฯ ระหว่างวันที่ ๕-๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม CIBJO CONGRESS 2017 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยสนับสนุนไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับภายในอีก ๕ ปี อีกทั้งช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย สร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและเอกชนไทยกับผู้มีชื่อเสียงและนักลงทุนจากนานาชาติ ส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยมีประเด็นสำคัญจากการประชุมฯ เช่น อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับตลอดห่วงโซ่อุปทานต้องให้ความสำคัญต่อความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) และการผลิตการค้าที่ยั่งยืน (Sustainability) คุณภาพมาตรฐานสินค้าอัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่าจะต้องมีการสื่อสารที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เป็นต้น ๒. การประชุม WORLD RUBY FORUM 2017 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับทับทิมที่ถูกต้องให้ผู้คนทั่วโลก รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าและความงามของทับทิม ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ ๔ ของโลก โดยมีประเด็นสำคัญจากการประชุมฯ เช่น ไทยได้รับการยอมรับในฝีมือการปรับปรุงคุณภาพทับทิมให้สวยงามและมีคุณค่าเพิ่มขึ้น ภาคอุตสาหกรรมอาจสื่อสารคุณค่านี้ไปยังผู้บริโภค รวมถึงนำความเชื่อ ค่านิยม และวัฒนธรรมของคนในแต่ละประเทศมาเชื่อมโยงเข้ากับทับทิมเพื่อกระตุ้นความต้องการในตลาด เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1057 | สรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับ World Economic Forum | พณ | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ Workshop on Competitiveness and Inclusive Growth : Navigating Towards Thailand 4.0 ณ ประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซี่งกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ World Economic Forum (WEF) จัดการประชุมฯ ขึ้น โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การวิเคราะห์ผลการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขัน และการเจริญเติบโต อย่างทั่วถึง โดยผู้แทนจาก WEF เพื่อให้ไทยทราบจุดอ่อนจุดแข็ง และประเด็นที่ควรปรับปรุง เพื่อนำไปประกอบการกำหนดนโยบาย Thailand 4.0 (๒) การประชุมอภิปรายเพื่อระบุประเด็นการพัฒนาที่ไทยต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก (๓) การประชุมอภิปรายกลุ่มย่อยประเด็นความสามารถในการแข่งขัน ๕ กลุ่ม ได้แก่ การพัฒนาด้านสถาบันเพื่อให้มีธรรมาภิบาล การปรับ/ลดกฎระเบียบเพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพของตลาดและสินค้า การสร้างความพร้อมทางเทคโนโลยี การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาทักษะ (๔) การประชุมอภิปรายกลุ่มย่อยประเด็นด้านการพัฒนาที่ทั่วถึง และ (๕) การอภิปรายด้านเทคนิคเกี่ยวกับการประเมินความสามารถในการแข่งขัน และเกณฑ์ชี้วัดใหม่ของ WEF (GCI 4.0) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการดำเนินการตามประเด็นในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ๕ ด้าน ให้ปรากฏผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ได้แก่ ๒.๑ การพัฒนาด้านสถาบันเพื่อให้มีธรรมาภิบาล (Public Institutions) ๒.๒ การปรับ/ลดกฎระเบียบเพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพของตลาดและสินค้า (Product Market Efficiency) ๒.๓ การสร้างความพร้อมทางเทคโนโลยี (Technological readiness & adoption) ๒.๔ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม (Innovation capacity) ๒.๕ การพัฒนาทักษะ (Skills) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเน้นการพัฒนาด้านการศึกษาและบุคลากรของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการกำลังคนในประเทศในระยะ ๕-๑๐ ปีข้างหน้า
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1058 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ [รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายอุตตม สาวนายน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์)] | พณ | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ มกราคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามลำดับ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายอุตตม สาวนายน) ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1059 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) (นายวิเชียร ชวลิต) | พณ | 26/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายวิเชียร ชวลิต เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1060 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนตุลาคม 2560 | พณ | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งออกในเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๘ ที่ร้อยละ ๑๓.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๒๐,๐๘๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ (๑) การฟื้นตัวของการค้าโลกทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น (๒) ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนและทรงตัวอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ ส่งผลดีต่อราคาสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรที่เกี่ยวเนื่อง (๓) ความสามารถในการแข่งขันของไทยยังดี โดยหากเทียบการส่งออกกับประเทศในอาเซียน ไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ ๑ (ไม่รวมสิงคโปร์) และ (๔) การเปิดตลาดใหม่ ๆ ของไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ๒. มูลค่าการค้ารวมในรูปของเงินบาทเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๖๕๙,๕๑๗ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๗.๖ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๖๖๐,๖๘๐ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๗.๙ ส่งผลให้การค้าขาดดุล ๑,๑๖๓ ล้านบาท สำหรับมูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ การส่งออกมีมูลค่า ๒๐,๐๘๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๑๙,๘๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๕ ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๒๑๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การส่งออกรายสินค้า มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๒ โดยเฉพาะการส่งออกยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไก่แช่แข็งและแปรรูป ขยายตัวต่อเนื่องทั้งในด้านปริมาณและราคา ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวสูงสุดในรอบ ๕๗ เดือน การส่งออกรถยนต์กลับมาขยายตัวในระดับสูง และการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไปตลาดสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ขยายตัวในระดับสูงเช่นกัน ๔. การส่งออกรายตลาด ยังคงขยายตัวได้ดีในทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะตลาดยุโรป เอเชียใต้ และจีน ๕. แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๖๐ และปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก การฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เริ่มอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าสำคัญ อาทิ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ยางพารา นอกจากนี้ แนวโน้มการเติบโตของ Internet of Things (IoT) จะส่งผลให้การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่ความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าของประเทศคู่ค้าหลักและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม
|
.....