ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 52 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1021 - 1040 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1021 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรีย | กต | 13/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๘๕ (ค.ศ. ๒๐๑๗) เกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรีย ที่ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โดยข้อมติ UNSC มีสาระสำคัญเพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษทางอาวุธและข้อยกเว้นต่าง ๆ สำหรับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรีย ออกไปจนถึงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทยถือปฏิบัติ พร้อมทั้งปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรียให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nations : UN) (
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1022 | การพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าภาระโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย | คค | 13/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบอัตราค่าภาระขั้นต่ำ-ขั้นสูงในอัตรา ๓๗๖ บาท และ ๘๓๕ บาท ตามลำดับ ต่อตู้สินค้าทุกขนาดและทุกสถานภาพ สำหรับโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยเรียกเก็บในอัตรา ๓๗๖ บาท เมื่อเริ่มเปิดดำเนินการ และให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยสามารถปรับอัตราค่าภาระในการยกขนตู้สินค้าได้ภายในกรอบอัตราค่าภาระขั้นต่ำ-ขั้นสูงที่ขอความเห็นชอบไว้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ หากในอนาคตจะมีการปรับอัตราค่าภาระยกขนตู้สินค้าสำหรับโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนผู้ให้บริการยกขนตู้สินค้ามาเป็นการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้ประกอบการรายเดียวนั้น อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการให้บริการยกขนตู้สินค้าเอกชนที่ให้บริการอยู่เดิม กระทรวงคมนาคมควรพิจารณาถึงผลกระทบในด้านการประกอบกิจการของภาคเอกชนที่ให้บริการยกขนสินค้าอยู่เดิมด้วย และในกรณีที่จะมีการปรับอัตราค่าภาระยกขนตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบังตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในอนาคต การท่าเรือแห่งประเทศไทยควรพิจารณากำหนดอัตราค่าภาระที่ใช้ในการยกขนตู้สินค้าทางรถไฟในภาพรวมและคำนึงถึงต้นทุนทางการเงินที่ครอบคลุมการให้บริการของโครงการ รวมถึงนำอัตราค่าภาระของอุตสาหกรรม (Industry Norm) ที่เทียบกับภาคเอกชนและต่างประเทศและความเห็นของผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาปรับอัตราค่าภาระ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณากำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมมิให้รถบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นไปด้วยความเคร่งครัด ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่งสินค้าจากถนนมาสู่ระบบราง ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1023 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | พณ | 13/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๕๐๙.๙๙ ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อบรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า) จัดส่งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ดังกล่าว ให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการตามปฏิทินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดตัวชี้วัด เป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ ภายใต้แผนการปฏิบัติงานปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ในเชิงคุณภาพควบคู่กับตัวชี้วัดเชิงปริมาณ มีการถ่ายทอดตัวชี้วัดเชิงยุทธศาสตร์ลงสู่โครงการ/กิจกรรม และมีการวางระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องทั้งในระหว่างดำเนินโครงการและหลังสิ้นสุดโครงการ รวมทั้งการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทน ค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ และสิทธิประโยชน์อื่น สำหรับคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะกรรมการสรรหา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1024 | การแจ้งวันที่แน่ชัด (Definitive Dates) ของบทบัญญัติที่ไทยต้องการระยะเวลาปรับตัว (Category B) ของความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (TFA) ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) | พณ | 13/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการดำเนินการตามบทบัญญัติที่ต้องการระยะเวลาปรับตัวก่อนการปฏิบัติ (Category B) จำนวน ๓ บทบัญญัติ จากทั้งหมด ๑๒ บทบัญญัติ และให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งวันที่แน่ชัด (Definitive Dates) ของมาตรการภายใต้บทบัญญัติ Category B ไปยังองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมศุลกากร กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กำหนดแผนการดำเนินงานตามบทบัญญัติใน Category B ที่ชัดเจน สามารถบรรลุเป้าหมายได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งมีการติดตามและรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานให้คณะทำงานเพื่อติดตามการปฏิบัติด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า และคณะอนุกรรมการด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า รับทราบเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1025 | ทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) | นร11 | 06/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ซึ่งมีแนวทางการพัฒนา ๕ แนวทาง ได้แก่ (๑) พัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีความทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน (๒) พัฒนาภาคตะวันออกให้เป็นแหล่งผลิตอาหารที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล (๓) ปรับปรุงมาตรฐานสินค้าและธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว (๔) พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนให้เป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และ (๕) แก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและจัดระบบการบริหารจัดการมลพิษให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในขั้นตอนการดำเนินงานตามทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น พิจารณาจัดทำแผนแม่บทการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรม/โครงการให้มีความชัดเจนและยึดโยงกับทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก โดยให้จัดลำดับความสำคัญของแต่ละกิจกรรม/โครงการตามความจำเป็นเหมาะสมและคำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคในพื้นที่ดำเนินงานด้วย เพื่อให้การพิจารณาขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม/โครงการเป็นไปอย่างมีระบบ และช่วยให้การบริหารงบประมาณในภาพรวมของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถลดภาระงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวนำแผนแม่บทและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเสนอคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคตะวันออกพิจารณาก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1026 | โครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor) | อก | 06/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor) มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับภาคตะวันออกเป็นมหานครผลไม้ของโลก รวมทั้งมีส่วนในการเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตร แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรผันผวนตามปริมาณการผลิต สนับสนุนเทคโนโลยีการเก็บรักษาผลไม้และการขนส่งให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด โดยลดความเสี่ยงด้านการผลิต และส่งเสริมให้เกิดการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมบูรณาการการดำเนินโครงการฯ นี้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้โครงการฯ มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร ของกระทรวงพาณิชย์ แล้วให้นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Detail Design) และประกาศการทดสอบความในของนักลงทุน (Market Sounding) มอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับการเสริมสร้างประสิทธิภาพการค้าเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานและการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งรายละเอียดเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์นำโครงการฯ บรรจุในแผนยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร เพื่อให้ภาพรวมการขับเคลื่อนการค้าผลไม้ไทยมีความครบถ้วนยิ่งขึ้น ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ให้นำผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ มากำหนดรูปแบบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) ซึ่งหากมีความจำเป็นที่จะต้องขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อการก่อสร้างและติดตั้งระบบ ให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรวมถึงการพิจารณาจากแหล่งเงินอื่นตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการในอดีต เช่น โครงการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรจังหวัดตราด และโครงการสร้างห้องเย็นแช่เยือกแข็งผลไม้เพื่อเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและส่งออกผลไม้ภาคตะวันออก เป็นต้น เพื่อให้การออกแบบโครงการฯ ได้โครงการที่เป็นประโยชน์และคุ้มค่าในการลงทุน ควรมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายสินค้าให้ชัดเจน อาทิ ผลไม้สด ผลไม้แปรรูป สารสกัดจากผลไม้ โดยพิจารณาความสอดคล้องกับพฤติกรรมและความสามารถในการผลิตผลไม้สดในพื้นที่ รวมถึงประเภทและรูปแบบของการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) ร่วมด้วย ควรพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับชาวสวนผลไม้และผู้ประกอบการในพื้นที่ร่วมด้วย รวมทั้งควรพิจารณาทางเลือกในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความร่วมมือของกลุ่มคลัสเตอร์ผลไม้ภาคตะวันออกที่มีอยู่ในปัจจุบันในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้และผู้ประกอบการในพื้นที่ และภายหลังจากการศึกษาและออกแบบโครงการฯ ที่มีความครบถ้วนของข้อมูลต่าง ๆ แล้ว ควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณารายละเอียโครงการฯ และกรอบวงเงินงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1027 | ยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร | พณ | 06/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นชาติมหาอำนาจด้านการค้าผลไม้เมืองร้อนของโลก” และประเด็นยุทธศาสตร์ ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) พัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตผลไม้เมืองร้อนสดและแปรรูปให้มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล (๒) สร้างและพัฒนาช่องทางการจำหน่ายและกระจายผลไม้ไทยให้มีการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ (๓) สนับสนุนการพัฒนาสมรรถนะด้านการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการผลไม้ไทย และ (๔) ประชาสัมพันธ์สินค้าผลไม้เมืองร้อนของไทยให้เป็นที่ต้องการของตลาด ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อบูรณาการการดำเนินการขับเคลื่อนภารกิจตามยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ให้เป็นระบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยให้กำหนดแผนการดำเนินงานและผู้รับผิดชอบในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน รวมทั้งคำนึงถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น (๑) การกำหนดและจัดลำดับความสำคัญชนิดของผลไม้ที่จะส่งเสริม (๒) การสร้างมูลค่าเพิ่มของผลไม้แต่ละชนิดโดยการสร้างเรื่องราว (Story Marketing) ซึ่งระบุถึงความเป็นมา ถิ่นกำเนิด รสชาติ เอกลักษณ์ของผลไม้ชนิดนั้น ๆ ความพิเศษของกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ (๓) การพิจารณาศักยภาพการผลิตและการตลาดในทุกระดับทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ (๔) การรับรองคุณภาพสินค้าและการป้องกันโรคติดต่อในผลไม้ (๕) การจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมในการคัดกรองผลไม้ (๖) การแก้ไขปัญหาผู้ประกอบการชาวต่างชาติ (ล้ง) และ (๗) การเตรียมการรับรองมาตรการกีดกันทางการค้าด้านผลไม้ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะมาตรการตรวจสอบย้อนกลับ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1028 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออก (ผลการลงพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี) | นร11 | 06/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในขั้นตอนการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออก ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น พิจารณาจัดทำแผนแม่บทการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรม/โครงการให้มีความชัดเจนและยึดโยงกับทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก โดยให้จัดลำดับความสำคัญของแต่ละกิจกรรม/โครงการตามความจำเป็นเหมาะสมและคำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคในพื้นที่ดำเนินงานด้วย เพื่อให้การพิจารณาขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม/โครงการเป็นไปอย่างมีระบบ และช่วยให้การบริหารงบประมาณในภาพรวมของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถลดภาระงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวนำแผนแม่บทและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเสนอคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคตะวันออกพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1029 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี [ข้อมติฯ ที่ 2397 (ค.ศ. 2017)] | กต | 30/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๙๗ (ค.ศ. ๒๐๑๗) เกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) โดยยกระดับและเพิ่มมาตรการลงโทษ เช่น (๑) เพิ่มเติมรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษ (๒) ขยายมาตรการทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมการห้ามส่งออกทรัพยากรพลังงาน (๓) กำหนดรายการสิ่งของที่ห้ามนำเข้าและส่งออกเพิ่มเติม (๔) ห้ามซื้อหรือรับโอนสิทธิการทำประมง (๕) กำหนดมาตรการตรวจค้นและมาตรการทางเรือเพิ่มเติม และ (๖) กำหนดมาตรการด้านแรงงานเพิ่มเติม ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ถือปฏิบัติตามข้อมติ UNSC ปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องพึงระวังและดำเนินการให้เป็นไปตามข้อมติ UNSC และแจ้งการดำเนินการเกี่ยวกับข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1030 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดระยะเวลา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคัดเลือกกรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... | พณ | 30/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดระยะเวลา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคัดเลือกกรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระยะเวลา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการสรรหาบุคคลเป็นกรรมการการแข่งขันทางการค้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้พิจารณาในประเด็นความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การอ้างบทอาศัยอำนาจตามมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๒ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๖๐ การกำหนดบทนิยามคำว่า “คณะกรรมการ” “กรรมการ” และ “สำนักงาน” รวมทั้งหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหาหรือสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เป็นต้น และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประกาศรายชื่อผู้สมัครคัดเลือกเป็นกรรมการแข่งขันทางการค้าผ่านสื่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนทั่วไปรับทราบอย่างแพร่หลาย รวมทั้งควรพิจารณาขยายระยะเวลาการคัดค้านคุณสมบัติของผู้สมัคร จากที่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงฯ ออกไปเป็นจะต้องดำเนินการภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันประกาศรายชื่อผู้สมัคร ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1031 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนธันวาคม 2560 และภาพรวมปี 2560 และแนวโน้มปี 2561 | พณ | 30/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนธันวาคม และภาพรวมปี ๒๕๖๐ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งออกในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ มีมูลค่า ๑๙,๗๔๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขยายตัวที่ร้อยละ ๘.๖ (YoY) โดยมีปัจจัยสนับสนุน ๓ ประการ คือ (๑) การฟื้นตัวของการค้าโลกที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุปสงค์ในหลายสินค้าปรับตัวดีขึ้น (๒) ราคาส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นตามแนวโน้มราคาน้ำมัน และ (๓) ความสามารถในการเปิดตลาดใหม่และกระจายประเภทสินค้าส่งออกไทยตามแนวทางการส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๒๐,๐๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขยายตัวที่ร้อยละ ๑๖.๖ (YoY) ส่งผลให้การค้าขาดดุล ๒๗๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒. การส่งออกรายสินค้า มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๔ ที่ร้อยละ ๖.๖ จากการส่งออกข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๐ ที่ร้อยละ ๑๐ จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ๓. การส่งออกรายตลาดยังคงขยายตัวได้ดีในทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะตลาดเอเชียใต้และตลาดของกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (The Commonwealth of Independent States : CIS) ๔. ภาพรวมการส่งออกปี ๒๕๖๐ (เดือนมกราคม-ธันวาคม ๒๕๖๐) มีมูลค่า ๒๓๖,๖๙๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขยายตัวที่ร้อยละ ๙.๙ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ ๖ ปี โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญโดยเฉพาะข้าวมีปริมาณส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งสิ้น ๑๑.๖ ล้านตัน ขณะที่การส่งออกไปตลาดสำคัญขยายตัวต่อเนื่องเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป อาเซียน และจีน ส่งผลให้ดุลการค้าปี ๒๕๖๐ เกินดุล ๑๓,๙๓๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๕. แนวโน้มการส่งออกของไทยปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นตามอุปสงค์โลก อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าของประเทศคู่ค้าหลัก ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และปัญหาขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1032 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กค | 30/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๒๙๐,๕๙๓,๒๔๖ บาท เพื่อให้กรมบัญชีกลางใช้ในการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการโดยคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐในปี ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา รวมทั้งประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ รวบรวมปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ พร้อมทั้งแนวทางการแก้ไขปรับปรุง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลร้านธงฟ้าประชารัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดำเนินกิจการตามมาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดอย่างเคร่งครัด และให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการธงฟ้าประชารัฐให้ทราบถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการเข้าร่วมโครงการฯ อย่างชัดเจนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1033 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 11 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ | 30/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๑ (The Eleventh Ministerial Conference : MC11) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญา เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุม MC11 ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงบัวโนสไอเรส สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีข้อสังเกตและความเห็นสรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม MC11 ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากมีหลายประเด็นที่สมาชิกยังไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจาก WTO ใช้ระบบฉันทามติ โดยสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยเพียงประเทศเดียวก็ทำให้การเจรจาหยุดชะงักไปได้ จึงต้องมีการดำเนินการต่อไปใน WTO หลังการประชุม MC11 เพื่อให้สมาชิกหาข้อสรุปที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายได้โดยเร็ว ๒. ประเด็นใหม่ ๆ เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ MSMEs และบทบาทของสตรี เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในเวที WTO โดยประเด็นเหล่านี้อาจถูกนำมาถ่วงให้การเจรจาประเด็นที่คงค้างอยู่ช้าลงยิ่งขึ้น อีกทั้งมีการใช้โอกาสจากการประชุม MC นำเสนอประเด็นเชิงสังคมในมิติที่เชื่อมโยงกับการค้า เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ พร้อมทั้งผลักดันให้สมาชิกที่สนใจร่วมรับรองในหลักการ ซึ่งภายใต้บริบท WTO ถือเป็นเรื่องใหม่ และอาจเปิดช่องให้มีการนำประเด็นเชิงสังคมในมิติอื่น ๆ มาเป็นเงื่อนไขในการเจรจาทำกฎระเบียบทางการค้าต่อไปได้ ๓. ไทยผลักดันการหารือประเด็นคงค้างภายใต้การเจรจารอบโดฮา โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การเปิดตลาดสินค้าเกษตรเพิ่มเติมโดยลดภาษีสินค้าเกษตรระหว่างกัน รวมทั้งการผลักดันไม่ให้สมาชิกที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าเกษตรใช้มาตรการปกป้องสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกับสินค้าข้าว น้ำตาล และมันสำปะหลัง อันจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในระยะยาวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1034 | ร่างพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศย | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในกรณีที่คู่พิพาทประสงค์จะให้อนุญาโตตุลาการและผู้รับมอบอำนาจซี่งเป็นคนต่างด้าวเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยได้ ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวและกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง โดยให้มีสิทธิปฏิบัติหน้าที่ได้ตามข้อบังคับนั้น ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และได้รับอนุญาตให้ทำงานในฐานะผู้เชี่ยวชาญตามตำแหน่งหน้าที่ของตนในกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นปัญหาและความสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดไปประกอบการพิจารณาด้วยว่า การแก้ไขให้ประธานศาลฎีการักษาการตามพระราชบัญญัตินั้น มีความจำเป็นหรือไม่ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ๓. มอบหมายให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการรับรองการดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ จะต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1035 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. 2561 ถึง พ.ศ. 2563 พ.ศ. .... | พณ | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี ๒๕๖๑ ถึงปี ๒๕๖๓ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร สำหรับปี ๒๕๖๑ ถึงปี ๒๕๖๓ ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน [ASEAN Free Trade Area (AFTA)] เพื่อประกอบการใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรระบุบทอาศัยอำนาจเป็น “อาศัยอำนาจตามความใน (๕) และ (๖) ของมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒” เพื่อให้การระบุบทอาศัยอำนาจเป็นไปโดยชัดเจนและครบถ้วน และตัดวันใช้บังคับในร่างข้อ ๒ นอกจากนี้ การกำหนดมาตรการต่าง ๆ ในร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ เช่น การกำหนดช่วงเวลานำเข้าสำหรับผู้นำเข้าทั่วไป ต้องพิจารณาถึงความสอดคล้องกับความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน [ASEAN Trade in Goods Agreement (ATIGA)] และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลการปฏิบัติตามร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ในการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดเพื่อควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยอาหารของสินค้า รวมทั้งควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทราบนโยบายการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ที่กำหนดระยะเวลานำเข้าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม ของแต่ละปี (ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓) เพื่อให้ผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าได้ทันตามกฎหมายกำหนดและได้รับประโยชน์สูงสุดตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1036 | การปรับสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐอเมริกา มาตรา 301 พิเศษ (Special 301) จากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ (Priority Watch List: PWL) เป็นบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List: WL) | พณ | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐอเมริกา มาตรา ๓๐๑ พิเศษ (Special 301) จากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ (Priority Watch List : PWL) เป็นบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List : WL) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์สร้างจิตสำนึก เคารพสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาคู่ขนานกับการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง และให้ความสำคัญกับการปกป้องคุ้มครองและการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการสร้างสรรค์พัฒนา ตระหนักถึงคุณค่าและการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. มอบหมายหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้คณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่มีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ดำเนินการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจังและต่อเนื่องต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามแผนที่นำทางด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IP Roadmap) รวมถึงแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IP Work Plan) อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว สามารถยกระดับการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศให้มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานสากลต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1037 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 23 (COP 23) การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 13 (CMP 13) การประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ 1.2 (CMA 1.2) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทส | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of the Parties to the UNFCCC : COP) สมัยที่ ๒๓ (COP 23) การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต (Conference of the Parties serving as the Meeting of the Parties to the Kyoto Protocol : CMP) สมัยที่ ๑๓ (CMP 13) การประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส (Conference of the Parties serving as the Meeting of the Parties to the Paris Agreement) สมัยที่ ๑.๒ (CMA 1.2) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น ดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ หน่วยงานภายใต้คณะทำงานเจรจาสำหรับการประชุมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติด้านการประสานท่าทีเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ จัดเตรียมบุคลากรและงบประมาณสำหรับเข้าร่วมการประชุมภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พิธีสารเกียวโตและความตกลงปารีสอย่างต่อเนื่อง ทั้งการประชุมปกติประจำปี ได้แก่ การประชุมองค์กรย่อยในช่วงกลางปี และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ในช่วงปลายปี รวมถึงการประชุมสมัยพิเศษเพิ่มเติม โดยเฉพาะกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว หากไม่เพียงพอ ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ หรือโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินงานที่บรรลุวัตถุประสงค์หรือจากการจัดซื้อจัดจ้างแล้วไปดำเนินการในลำดับแรกก่อน ส่วนปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในประเด็นการดำเนินการในกรอบด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมทั้งการกำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุนการพัฒนาแบบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำและมีความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบูรณาการเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1038 | แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นายอภิจิณ โชติกเสถียร และนางสาวรัตนา เธียรวิศิษฎ์สกุล) | อก | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้แทนส่วนราชการเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนผู้ที่พ้นจากตำแหน่ง จำนวน ๒ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ มกราคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายอภิจิณ โชติกเสถียร ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ๒. นางสาวรัตนา เธียรวิศิษฎ์สกุล ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1039 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทาง มาตรการในการดำเนินการ หรือการเจรจาความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์สินค้าไทยของต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดต่าง ๆ ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย) เร่งรัดการดำเนินการรวบรวมปริมาณความต้องการใช้ยางพาราของส่วนราชการให้ครบถ้วนภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ และดำเนินการต่อไปให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ๑.๓ ให้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าที่หลีกเสี่ยงภาษี เช่น กากถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม หรือสินค้าที่ผิดกฎหมายเข้าประเทศตามแนวชายแดน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ให้หน่วยงานต้นสังกัดดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดด้วย ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมและจูงใจให้แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาต่างประเทศในประเทศไทยเลือกไปสอนที่โรงเรียนในต่างจังหวัด ซึ่งขาดแคลนครูชาวต่างชาติทั้งในสายสามัญศึกษาและสายอาชีวศึกษา ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรครูชาวไทยในต่างประเทศให้มีความรู้ความสามารถด้านภาษาต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม [สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] เป็นเจ้าภาพในการรวบรวมข้อมูลจากส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของทุกหน่วยงานเพื่อจัดทำเป็นภาพรวมและแผนการขับเคลื่อนและการใช้ประโยชน์เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐภายใน ๓ เดือน และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน นั้น เพื่อให้การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว จึงให้ดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยให้ดำเนินการ (๑) เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนหรือจากต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาในการดำเนินการ และ (๒) ติดตามและเร่งรัดการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยให้รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย ๓.๑.๒ ให้ทุกส่วนราชการที่เป็นเจ้าของข้อมูลรับผิดชอบความถูกต้อง ครบถ้วน และความเป็นปัจจุบันของข้อมูล โดยให้ความสำคัญกับการจัดกลุ่มข้อมูลเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ ข้อมูลที่เป็นการให้บริการประชาชน และข้อมูลที่เป็นเรื่องความมั่นคงหรือเรื่องที่มีชั้นความลับ ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เร่งรัดการรายงานความคืบหน้าในการจัดทำแผนก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินและการพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๑ เดือน นั้น ๓.๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยให้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคมเพื่อร่วมดำเนินการด้วย และให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๑ เดือน ๓.๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศลงทุนในโครงการก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินในจุดต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับจอดรถยนต์และช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่มีรถยนต์และประชาชนสัญจรเป็นจำนวนมาก เช่น ศูนย์การค้า สถานีรถไฟฟ้า สถานที่ราชการ สถานศึกษา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1040 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี ๒๕๖๑ จำนวน ๕๓ รายการ จำแนกเป็น ๔๘ สินค้า และ ๕ บริการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าและบริการ รวมทั้งประชาชนทั่วไปรับทราบอย่างทั่วถึง และให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการต่อยอดและใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและพัฒนาการแปรรูปยางพาราอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มปริมาณความต้องการ ตลอดจนเพิ่มมูลค่าและยกระดับราคายางพาราภายในประเทศได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....