ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 60 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1181 - 1200 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1181 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง พ.ศ. .... | พณ | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๓๓๙ (ค.ศ. ๒๐๑๗) ว่าด้วยการต่ออายุมาตรการลงโทษทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สินต่อสาธารณรัฐแอฟริกากลางตามที่ระบุไว้ในข้อมติฯ ที่ ๒๒๖๒ (ค.ศ. ๒๐๑๖) ตลอดจนข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องออกไปอีก ๑ ปี โดยให้มีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1182 | สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 8/2560 (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการขับเคลื่อนด้านพลังงาน) | อื่นๆ | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการขับเคลื่อนด้านพลังงาน) เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เสนอ ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ และข้อสังเกตเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดังนี้ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาจากการเพิกถอนระเบียบเรื่อง การให้ความยินยอมในการนำทรัพยากรธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหา ๒.๑.๑ ระยะเร่งด่วน พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาในกิจการปิโตรเลียม และเหมืองแร่ที่ผู้ประกอบการได้รับการอนุญาตให้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายก่อนการประกาศเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. เพื่อเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไป ๒.๑.๒ พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาในกิจการพลังงานทดแทนที่ได้รับอนุญาตไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายก่อนการเพิกถอนระเบียบเรื่อง การให้ความยินยอมในการนำทรัพยากรธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยในการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะต้องยึดประโยชน์ของเกษตรกรเป็นหลัก และอาจพิจารณาหลักเกณฑ์เพิ่มเติม เช่น ขนาดพื้นที่ที่จำเป็น ความเหมาะสมของพื้นที่เปรียบเทียบระหว่างการทำเกษตรกรรมกับกิจการอื่น และผลประโยชน์ต่อท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในกรณีที่อาจจำเป็นต้องใช้พื้นที่ ส.ป.ก. สำหรับการดำเนินการด้านพลังงานทดแทนและการพัฒนาอื่น ๆ ตามนโยบายของภาครัฐในอนาคต ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขั้นตอนและแนวทางการอนุญาตการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ พื้นที่สาธารณประโยชน์ พื้นที่อนุรักษ์ การสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการตั้งและขยายโรงงานใกล้แหล่งน้ำ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานดังกล่าวด้วย ๒.๓ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพลังงานพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการร่วมการใช้ประโยชน์ด้านพลังงานในพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาและใช้ประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิ และจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทย โดยยึดแนวทางการดำเนินการในลักษณะเดียวกับพื้นที่ JDA ไทย-มาเลเซีย ๒.๔ มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลังร่วมกันพิจารณาแนวทางการใช้น้ำมันปาล์มสำหรับเป็นเชื้อเพลิงพลังงานทดแทนที่เหมาะสม โดยเน้นการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันปาล์มในส่วนที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน ๒.๕ มอบหมายกระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการคลังพิจารณาการขอยกเว้นภาษีศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับโครงการ LTM-PIP ๒.๖ มอบหมายปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงการคลัง และปลัดกระทรวงยุติธรรมร่วมกันหาข้อยุติ และพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีการชำระอากรจากการดำเนินกิจการในพื้นที่องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย และรายงานคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์โดยเร็ว ๒.๗ มอบหมายสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงอัตรากำลังของกระทรวงพลังงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1183 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (จำนวน 12 คน 1. นายสุรพงษ์ เจียสกุล ฯลฯ) | อก | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ จำนวน ๑๒ คน แทนกรรมการชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งมาครบวาระสองปีแล้ว เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุรพงษ์ เจียสกุล ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นายวรัชญ์ เพชรร่วง ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการกองกำกับและพัฒนา ระบบเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ๓. นายอิทธิพงศ์ คุณากรบดินทร์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ๔. นายพสุ โลหารชุน ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ๕. นางสาวชวนชม กิจพันธ์ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้อำนวยการกองจัดทำงบประมาณด้านเศรษฐกิจ ๑ ๖. นายสุวัชชัย ใจข้อ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย รองผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน สายนโยบายการเงิน ๗. นายธีระชัย แสนแก้ว ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๘. นายมนตรี เลาหศักดิ์ประสิทธิ์ ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๙. นายพนม ตะโกเมือง ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๑๐. นายศรายุธ แสงจันทร์ ผู้แทนโรงงาน ๑๑. นายวิณณ์ ผาณิตวงศ์ ผู้แทนโรงงาน ๑๒. นายรัฐวุฒิ แซ่ตั้ง ผู้แทนโรงงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1184 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... | สว | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วโดยเห็นว่า นิยามคำว่า “บริการ” ครอบคลุมการกำกับดูแลธุรกิจทุกประเภทอยู่แล้วและยังสอดคล้องกับหลักกฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่เป็นสากล ส่วนการให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้ามีรายได้ที่เพียงพอในการทำงานจะได้หาแนวทางที่เหมาะสมสอดคล้องกับหลักการวิธีการงบประมาณและระเบียบของทางราชการ เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเป็นอิสระตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัตินี้ครอบคลุมการกำกับดูแลพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าของผู้ประกอบการให้สิทธิ (Franchisor) กับร้านค้าที่ได้รับสิทธิประกอบการ (Franchisee) ของตน หรือกับร้านค้าปลีกขนาดเล็กหรือผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมอยู่แล้ว โดยอาจพิจารณาให้มีกฎหมายมากำกับดูแลเป็นการเฉพาะในแต่ละธุรกิจ โดยคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจการค้าในภาพรวม สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการสอบสวนในการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น คณะกรรมการแข่งขันทางการค้ามีอำนาจกำหนดระเบียบข้อบังคับในการสืบสวนสอบสวนของพนักงานเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว และการรวมธุรกิจตามร่างพระราชบัญญัตินี้มุ่งเน้นการกำกับดูแลเฉพาะการรวมธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่เพื่อป้องกันมิให้เกิดการผูกขาดทางการค้าและการมีอำนาจเหนือตลาด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1185 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2560 (ครั้งที่ 23) | พณ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒๓) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมทั้งผลการหารือทวิภาคี และการดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคปี ๒๕๖๐ โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางสรุปประเด็นสำคัญและหน่วยงานรับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนประจำปี ๒๕๖๐ ซึ่งมีประเด็นที่ควรพิจารณากำหนดท่าทีและเป้าหมายการดำเนินงานของไทยร่วมกับเอเปคอย่างใกล้ชิด เช่น การกำหนดวิสัยทัศน์เอเปคหลังปี ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) การอำนวยความสะดวกพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากต่อไปจะมีการเจรจาลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมในกรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) เห็นควรให้ไทยเข้าร่วมการเจรจาดังกล่าวก็ต่อเมื่อเป็นการเจรจาที่ให้ประเทศสมาชิกทั้งหมดของ WTO เข้าร่วมเท่านั้น โดยไม่สนับสนุนการเจรจาในแบบความตกลงหลายฝ่าย (Plurilateral Agreements) และเห็นควรส่งเสริมการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของไทย เพื่อติดตามและกำหนดท่าทีของไทยในประเด็นการค้าการลงทุนที่เอเปคให้ความสำคัญ อาทิ การค้าบริการ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เศรษฐกิจดิจิทัล และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลกของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ควรจัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานและติดตามผลที่มีความชัดเจน ครบถ้วนเหมาะสมร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจให้หน่วยงานสามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง และสนับสนุนให้มีการดำเนินการของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1186 | การให้ภาคยานุวัติเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท | ทส | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ำของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ เป็นการมุ่งเน้นการควบคุม ลด และเลิก สำหรับการผลิต การนำเข้าและส่งออก การใช้ การปลดปล่อย การปล่อยปรอทและสารประกอบปรอทจากแหล่งกำเนิด ๑.๒ เห็นชอบในการจัดทำภาคยานุวัติสารประกาศว่าการแก้ไขเนื้อหาในภาคผนวกใด ๆ ของอนุสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับกับประเทศไทยต่อเมื่อได้มอบภาคยานุวัติสารต่อการแก้ไขภาคผนวกนั้นแล้ว และมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำภาคยานุวัติสารดังกล่าว พร้อมทั้งส่งมอบให้สำนักเลขาธิการสหประชาชาติภายในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้มีการแจ้ง (๑) ยินยอมให้มีการนำเข้าปรอทจากประเทศภาคี (๒) ยินยอมให้มีการนำเข้าปรอทจากประเทศนอกภาคี (๓) ขอยกเว้นให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท จำนวน ๗ ประเภท (๔) ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการเพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ และ (๕) แต่งตั้งกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นศูนย์ประสานงานระดับชาติ (National focal point) ในการประสานการปฏิบัติตามข้อ ๑๗ (๔) ของอนุสัญญาฯ โดยให้แจ้งข้อมูลทั้งหมดไปพร้อมกับภาคยานุวัติสาร ๑.๔ อนุมัติให้นำวิธีการอนุญาโตตุลาการมาใช้ในการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากอนุสัญญาฯ ๑.๕ เห็นชอบกับแผนการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานและกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบพร้อมทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการออกอนุบัญญัติเพื่อรองรับการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดในข้อเสนอในการออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อการภาคยานุวัติในอนุสัญญาฯ และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม อาทิ การนำเข้าปรอทจากประเทศนอกภาคี ควรอนุญาตให้นำเข้าได้เฉพาะการนำเข้าเพื่อใช้ในงานที่อนุญาตให้มีการใช้ปรอทได้ตามที่ระบุในอนุสัญญาฯ ข้อ ๓ แหล่งอุปทานปรอทและการค้าปรอท และประเทศนอกภาคีที่เป็นผู้ส่งออกให้การรับรองแหล่งที่มาของปรอทตามที่กำหนดในอนุสัญญา ฯ การดำเนินการขึ้นทะเบียนเพื่อขอยกเว้น (Exemption) การใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ในระยะเปลี่ยนผ่านและจนกว่าประเทศไทยจะสามารถดำเนินการได้ตามข้อกำหนด รวมทั้งรัฐบาลควรให้การสนับสนุนการเตรียมความพร้อมและศักยภาพด้านสาธารณสุขของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดตามแผนการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เพื่อรองรับการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1187 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558 เรื่อง การทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชน | นร12 | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอเพิ่มเติม
๑. ให้องค์การมหาชนที่มีผลการปฏิบัติงานที่บรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง มีผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร และมีธรรมาภิบาล จำนวน ๓๒ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยไม่ให้มีการเพิ่มอัตรากำลังขึ้นอีก ๒. ให้องค์การมหาชนที่มีผลการปฏิบัติงานที่บรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง มีผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล จำนวน ๓ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนของแต่ละแห่ง ดังนี้ ๒.๑ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) โดยเปลี่ยนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๓ และแก้ไขในร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เห็นชอบด้วยแล้ว ๒.๒ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) โดยคงให้นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามเดิม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ ให้มีการพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมเกี่ยวกับรัฐมนตรีรักษาการในรอบการประเมินครั้งต่อไป ๒.๓ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) โดยเปลี่ยนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และแก้ไขในร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เห็นชอบด้วยแล้ว ๓. ให้องค์การมหาชน จำนวน ๒ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป แต่ต้องปรับบทบาทภารกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และแก้ไขในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนให้เหมาะสม ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๓.๑ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ทั้งนี้ ไม่ให้มีการเพิ่มอัตรากำลังขึ้นอีก และให้พิจารณาปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านการบริหารงานภายในองค์กรลงให้เหมาะสม โดยคงให้นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ ตามเดิม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เห็นชอบด้วยแล้ว ๓.๒ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (สบร.)ให้คงเหลือภารกิจสำคัญที่ต้องปฏิบัติ ๒ ภารกิจ ได้แก่ (๑) ภารกิจของอุทยานการเรียนรู้ และ (๒) ภารกิจของพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ และให้แยกศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบไปจัดตั้งเป็นสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) โดยให้เสนอคำขอจัดตั้งองค์การมหาชนตามขั้นตอนของสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป และกำหนดให้องค์การมหาชนแห่งใหม่นี้มีภารกิจสนับสนุน และช่วยแก้ไขปัญหาด้านการออกแบบสินค้าและบริการของ SME ด้วย โดยควรเน้นการออกแบบให้เกิดมูลค่าสูงเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และสังคม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ เมื่อแยกศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบออกไปแล้ว สบร. ต้องไม่เพิ่มอัตรากำลังและงบประมาณค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น ๔. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) (สพค.) และหน่วยงานภายในปรับเปลี่ยนสถานภาพ บทบาท ภารกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีไปเป็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การสวนสัตว์) และศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบพระชนมพรรษา ไปเป็นของกระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ทั้งนี้ ให้ สพค. องค์การสวนสัตว์ และกรมธนารักษ์ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน และแนวทางปฏิบัติที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1188 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยกลุ่มเกษตรกรเพิ่มเติมตามความเหมาะสม โดยให้ใช้ฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลัง และฐานข้อมูลเกี่ยวกับการช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่ดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและธนาคารออมสินมาใช้ประกอบการดำเนินการ ทั้งนี้ การกำหนดมาตรการดังกล่าวให้คำนึงถึงความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วนของการให้ความช่วยเหลือ และให้ความช่วยเหลือตกถึงมือเกษตรกรได้โดยตรงและเป็นไปอย่างทั่วถึงด้วย ๑.๒ ให้ทุกส่วนราชการที่มีความต้องการใช้ยางพารา เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข สำรวจปริมาณความต้องการใช้ยางพาราสำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หรือใช้เป็นส่วนผสมต่าง ๆ ภายในหน่วยงานให้ชัดเจน เพื่อจัดทำแผนสำหรับการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อยางพารา ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการโดยด่วนเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากผลผลิตทางการเกษตรชนิดต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมมือกับกระทรวงพลังงานเพื่อนำปาล์มน้ำมันไปใช้ในการผลิตไบโอดีเซลและส่งเสริมให้มีการใช้ไบโอดีเซลให้มากยิ่งขึ้น ๑.๔ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการกำกับดูแลและบูรณาการการทำงานของศูนย์และสถาบันที่เกี่ยวกับการวิจัยในด้านต่าง ๆ ให้มีความเป็นเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อนในการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงผลการดำเนินงานของศูนย์หรือสถาบันที่เกี่ยวกับการวิจัยในด้านต่าง ๆ ดังกล่าว ให้สามารถสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการที่รองรับนโยบาย Thailand 4.0 และ ๕ อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) ทั้งนี้ ให้ศึกษาแนวทางการดำเนินงานด้านการวิจัยของต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เพื่อการนี้ และให้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วน ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาศึกษาแนวทางในการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่และการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้มุ่งเน้นดำเนินงานในลักษณะของการเป็นผู้กำกับดูแล (Regulator) และให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ปฏิบัติ (Operator) แทน เพื่อลดภาระด้านการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจและเป็นการสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมให้มากขึ้น โดยให้พิจารณาแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสม ครอบคลุมรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง และให้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ๒.๒ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำกับติดตามการดำเนินการของส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเฉพาะในส่วนงานบริการประชาชน ทั้งในด้านการลดขั้นตอนการดำเนินงาน ลดการใช้เอกสาร การลดการใช้ทรัพยากร รวมทั้งให้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้แทน ทั้งนี้ ให้กำหนดตัวชี้วัดที่สามารถแสดงผลการดำเนินการของส่วนราชการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ชัดเจน และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะด้วย ๒.๓ ให้ทุกส่วนราชการที่มีบุคลากรในสังกัดที่ได้รับการเสนอชื่อ/แต่งตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ตามวาระ เช่น องค์การสหประชาชาติ องค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ เป็นต้น ดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรดังกล่าว โดยกำหนดตัวชี้วัดในประเด็นต่าง ๆ เช่น ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อประเทศชาติ และประชาชน ความสอดคล้องและสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาล การเผยแพร่ข้อมูล/ข้อเท็จจริง การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับประเทศไทยที่ถูกต้องแก่ต่างประเทศ ๒.๔ ให้รัฐมนตรีทุกท่านให้ความสำคัญในการลงพื้นที่เพื่อติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายอันเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนใช้โอกาสดังกล่าวในการสร้างความเข้าใจกับประชาชน ภาคเอกชน และข้าราชการในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ถึงแนวทางการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเพื่อให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างข้าราชการในส่วนภูมิภาค ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ๒.๕ มอบรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีพิจารณาแนวทางในการจัดให้มีการขึ้นทะเบียนกลุ่ม มูลนิธิ สมาคม องค์กรภาคเอกชนต่าง ๆ ที่มีการดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ยื่นขอรับรองและจดทะเบียนการเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ให้ถูกต้อง เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถอ้างอิงและตรวจสอบการดำเนินงานของกลุ่มองค์กรดังกล่าวตามหลักสากลได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1189 | รายงานผลการจัดงานสัมมนา "ความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์ระหว่างไทย - ฮ่องกง - เซี่ยงไฮ้ ภายใต้นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง: Thailand - Hong Kong - Shanghai Strategic Partnership on One Belt One Road" | อก | 13/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดงานสัมมนา “ความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์ระหว่างไทย-ฮ่องกง-เซี่ยงไฮ้ ภายใต้นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง : Thailand-Hong Kong-Shanghai Strategic Partnership on One Belt One Road” ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ได้ดำเนินการจัดงานสัมมนาฯ เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและนครเซี่ยงไฮ้ และสร้างความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development : EEC) ๒. งานสัมมนาฯ ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ๆ ได้แก่ การกล่าวปาฐกถาพิเศษของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกกับ HKTDC การหารือธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการฮ่องกง พร้อมทั้งการให้ข้อมูลด้านการค้าการลงทุน และการนำคณะนักลงทุนจากฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1190 | ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน | กษ | 13/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน จากเดิมดำเนินการในพื้นที่ ๗๘,๙๕๔ ไร่ จำนวน ๑,๙๗๓,๘๕๐ ต้น เป็นดำเนินการในพื้นที่ ๑๐๙,๔๐๙ ไร่ จำนวน ๓,๘๗๗,๑๓๔ ต้น ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถัวจ่ายงบประมาณข้ามรายการ ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ได้รับเดิมเพื่อดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน อนึ่ง หากมีเงินเหลือจ่ายในโครงการขอปรับใช้ในการดำเนินการป้องกันและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ในพื้นที่ที่อาจเกิดการระบาดเพิ่มขึ้น ๑.๓ ขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน จากเดือนเมษายน ๒๕๖๐-เดือนธันวาคม ๒๕๖๐ เป็นเดือนเมษายน ๒๕๖๐-มิถุนายน ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การเบิกจ่ายเงินสำหรับการดำเนินโครงการควรทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ตามนัยระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ และควรเร่งดำเนินการตามโครงการโดยเร็ว เพื่อป้องกันการระบาดเพิ่มขึ้นของศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) และการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการควรเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงทั้งเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวและเกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดอื่น ๆ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสารตกค้างในผลผลิต นอกจากนี้ ควรมีการตรวจสอบ รับรองพื้นที่ และจำนวนต้นมะพร้าวที่จะดำเนินโครงการให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของโครงการ การใช้สารเคมีจะต้องเป็นไปตามหลักวิชาการอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งติดตามและรายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีรับทราบตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการให้ชัดเจน ครบถ้วน และให้เร่งดำเนินการกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงก่อนเป็นลำดับแรก ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดพื้นที่เป้าหมายสำหรับการปลูกมะพร้าวของประเทศให้เหมาะสม เพื่อให้มีผลผลิตมะพร้าวเพียงพอต่อการบริโภคและการประกอบการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อทดแทนการนำเข้ามะพร้าวจากต่างประเทศในปัจจุบัน และให้เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรฟื้นฟูพื้นที่เพาะปลูกมะพร้าวและขยายพื้นที่เพาะปลูกให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1191 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา | กษ | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเป็นการส่งเสริมปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมไปเลี้ยงปศุสัตว์ (โคเนื้อและแพะ) ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว มีเป้าหมายเพื่อให้มีการเลี้ยงแม่โคเนื้อ รวม ๑๒๐,๐๐๐ ตัว และแพะพันธุ์ดี ๒๗,๒๐๐ ตัว รวมทั้งปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทนการปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลผลิตต่ำ รวม ๑๐๓,๘๒๓ ไร่ ภายในระยะเวลาโครงการ ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕) ผ่านการสนับสนุนของภาครัฐ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ แผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว ภายในกรอบวงเงิน ๙๗๐.๕๐ ล้านบาท ที่ครอบคลุมการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการเลี้ยงแม่โคเนื้อผลิตลูก กิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงแพะ และกิจกรรมส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์เฉพาะในส่วนของเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมการเลี้ยงแม่โคเนื้อผลิตลูกและเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมการเลี้ยงแพะ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การกู้ยืมเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้ร่วมในการดำเนินงาน ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. ๒๕๕๔ และควรให้มีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง ควรจัดให้มีการฝึกอบรมให้ความรู้ที่จำเป็น มีการกำหนดแผนการติดตาม กำกับดูแล ประเมินผลและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องตลอดโครงการ ควรพิจารณาการสนับสนุนเงินกู้ยืมปลอดดอกเบี้ยตามความจำเป็น ความเหมาะสม และความสามารถในการชำระเงินกู้ยืมของเกษตรกรเพื่อมิให้เป็นภาระภาครัฐ และควรมีแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับพันธกรณีของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก ควรมีกระบวนการหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการที่เหมาะสมและเป็นธรรม และควรมีการติดตามประเมินผลโครงการดังกล่าวในลักษณะถอดบทเรียน (Best Practice) ว่าประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๓.๑ เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการให้ชัดเจนและทั่วถึงเพื่อให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณไม่เกิดความล่าช้าและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการด้วย ๓.๒ ในการคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ ควรพิจารณาเลือกเกษตรกรที่มีความพร้อมและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ โดยให้ความสำคัญกับเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน (เช่น โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า) เป็นลำดับแรก และควรให้คำปรึกษาแนะนำเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนอาชีพอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงปริมาณความต้องการโคเนื้อและแพะของตลาดและจัดหาตลาดสำหรับจำหน่ายโคเนื้อและแพะของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนอาชีพตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ และเกิดความเชื่อมั่นต่อโครงการในลักษณะดังกล่าวของภาครัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1192 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2560 | อก | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๐ ซี่งมีมติเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ร่างกรอบแผนการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) (๒) เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองการบินภาคตะวันออก [Special EEC Zone : Eastern Airport City (EEC-A)] (๓) รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกกับการเชื่อมโยง ๓ สนามบิน (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา) (๔) แนวทางการเร่งรัดการอนุมัติโครงการร่วมทุนรัฐ-เอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ร่วมลงทุน (Public-Private Partnership : PPP) ในพื้นที่ EEC (๕) ความก้าวหน้าการชักจูงนักลงทุนรายสำคัญในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (๖) การจัดตั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) (๗) การจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และ (๘) แนวทางการพัฒนาเมืองฉะเชิงเทรา และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก : เมืองการบินภาคตะวันออก และการศึกษาระบบรางโครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก กับการเชื่อมโยง ๓ สนามบิน ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้เร่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขภายใต้ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ส่วนการดำเนินการโครงการในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมจะต้องให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงกันทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง และเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวทางทะเล รวมทั้งควรมีการจัดทำแผนบูรณาการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่โดยรอบ และมีการจัดทำแผน/นโยบาย/กลไก ส่งเสริมการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง EECi กับเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ : เมืองการบินภาคตะวันออก โดยเฉพาะการทำวิจัยพัฒนาและสร้างต้นแบบต่าง ๆ และการพิจารณาการจัดสร้างระบบราง หรือเพิ่มเส้นทางต่อขยาย “โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายตะวันออก กับการเชื่อมโยงระหว่าง ๓ สนามบิน” ให้สามารถเชื่อมโยงถึงพื้นที่ EECi ได้ นอกจากนี้ ควรมีการประชาสัมพันธ์ การสร้างความเข้าใจและชี้แจงผลประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับ รวมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่และบริเวณโดยรอบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1193 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เช่น การประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตของประเทศในตะวันออกกลางกับกาตาร์ อย่างใกล้ชิด และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขศึกษาปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา โดยเฉพาะปัญหาโรคระบาด การจัดบริการด้านสาธารณสุขและการศึกษา การเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าว และการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวตั้งแต่ต้นทางที่เป็นสาเหตุ ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พิจารณาแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมการลงทุนรูปแบบใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยอาจศึกษาจากรูปแบบต่าง ๆ จากต่างประเทศที่มีศักยภาพ เช่น การจัดตั้งศูนย์เพื่อวิจัยและพัฒนาด้านการลงทุนร่วมกันระหว่างประเทศจีนและมาเลเซีย และนำแนวทางต่าง ๆ ดังกล่าวมาปรับใช้เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาการลงทุนให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแผนการบริหารจัดการการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนและเป็นระบบ โดยเฉพาะโครงการที่มีกรอบระยะเวลาและพื้นที่ก่อสร้างใกล้เคียงกัน เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบต่อสภาพการจราจร ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการเพื่อให้ทุกโครงการเริ่มต้นดำเนินงานได้ทันภายในปี ๒๕๖๐ ๓.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ มอบหมายให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำ และกรมชลประทาน รับไปเตรียมการวางแผนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนำน้ำจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัมไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ภาคตะวันออก และให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัมและการนำน้ำจากโครงการฯ ไปใช้ประโยชน์ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป นั้น ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยเร็ว ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ในการดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล ให้ทุกส่วนราชการกำหนดเป้าหมาย และกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถวางแผนการประชาสัมพันธ์ การสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสามารถวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไขได้อย่างเหมาะสม เช่น โครงการด้านการเกษตร อาจแบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิต (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย) กลุ่มผู้แปรรูป (กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม) และกลุ่มการตลาด (กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ) หรือโครงการด้านคุณภาพชีวิต ที่อาจแบ่งตามกลุ่มช่วงวัยของประชาชน โดยมีหน่วยงาน เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน เกี่ยวข้องตามช่วงวัยต่าง ๆ ๔.๒ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาแผนงาน/โครงการเร่งด่วนต่าง ๆ ในความรับผิดชอบ ว่ามีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการหรือไม่ อย่างไร และให้เร่งรัดการดำเนินโครงการในส่วนที่มีความเป็นไปได้ และไม่มีปัญหาและอุปสรรคใด ๆ ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบที่ควรดำเนินการเร่งด่วน เช่น การขุดลอกคูคลอง การแก้ไขปัญหาเครื่องกีดขวางทางน้ำ การขุดคลองระบายน้ำใหม่ การส่งน้ำจากพื้นที่ที่น้ำท่วมขังไปยังพื้นที่เก็บกักน้ำหรือพื้นที่ขาดแคลนน้ำโดยใช้ทางน้ำธรรมชาติ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้โดยเร็วต่อไป ๔.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานกีดขวางทางระบายน้ำในจุดต่าง ๆ ทั่วประเทศให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นอีก นั้น ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดการสำรวจและศึกษารายละเอียดการจัดทำโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองเปรมประชากรจากคลองบางบัวลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาโดยเร็ว เพื่อใช้สำหรับการระบายน้ำในกรณีเกิดอุทกภัยและป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมืองในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร ๔.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นหน่วยงานตรวจสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมที่ขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย และให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานตรวจสอบราคาของผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติดังกล่าว รวมทั้งจัดทำและประกาศบัญชีนวัตกรรมไทย และต่อมานายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงบประมาณเร่งรัดดำเนินการแจ้งบัญชีนวัตกรรมไทยให้ทุกหน่วยงานทราบและใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมให้ตรงกับความต้องการใช้งานของแต่ละหน่วยงานตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยอย่างน้อยให้แต่ละหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในอัตราส่วนร้อยละ ๓๐ ของความต้องการใช้งานทั้งหมดของหน่วยงาน นั้น ให้ดำเนินการเพิ่มเติม ๔.๔.๑ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยให้มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ๔.๔.๒ ให้สำนักงบประมาณปรับปรุงบัญชีนวัตกรรมไทยให้มีความครบถ้วนและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ รวมทั้งจัดให้มีช่องทางในการเผยแพร่บัญชีนวัตกรรมไทยให้ทุกหน่วยงานทราบอย่างชัดเจนและทั่วถึงต่อไปด้วย ๔.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการค้าขายรายใหญ่ให้ร่วมมือกับภาครัฐในการลดการใช้ถุงพลาสติก โดยอาจพิจารณาให้มีการลดราคาสินค้าเมื่อผู้ใช้บริการไม่ใช้ถุงพลาสติกหรือการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่นเพื่อรณรงค์การลดใช้ถุงพลาสติก ทั้งนี้ ให้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และให้เร่งดำเนินการในพื้นที่ที่มีความพร้อมก่อน แล้วจึงขยายผลการดำเนินการไปยังพื้นที่อื่นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1194 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านต่างประเทศ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา รวมทั้งประเด็นอื่นที่สำคัญ เช่น กรณีผลการจัดสถานะประเทศไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐอเมริกา มาตรา ๓๐๑ พิเศษ การแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การจัดตั้งอนุกรรมการด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า เพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประกอบการหารือกับฝ่ายสหรัฐอเมริกาในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนกรกฎาคมต่อไป ทั้งนี้ ให้นำเสนอข้อมูลดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว ๒. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการรวบรวมงานวิจัยต่าง ๆ ที่สามารถนำไปต่อยอดการดำเนินการในเชิงพาณิชย์หรือนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งพิจารณาแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถนำงานวิจัยดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้ นั้น ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยด่วน เพื่อให้สามารถดำเนินการขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ และรองรับการเข้าสู่ประเทศไทย ๔.๐ ต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดมาตรการในการกำจัดขยะมูลฝอยให้สอดคล้องตามแนวทางประชารัฐ นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงมหาดไทยเร่งพิจารณากำหนดมาตรการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอนายกรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานครเร่งดำเนินการกำจัดขยะในระบบระบายน้ำในพื้นที่รับผิดชอบให้หมดไปโดยเร็วเพื่อแก้ไขปัญหาขยะอุดตันช่องทางระบายน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่เมื่อเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการสร้างความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้ความร่วมมือในการเก็บและกำจัดขยะให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามมาตรการที่กำหนดดังกล่าว ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนการอพยพประชาชนจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้ำป่าไหลหลาก รวมทั้งการเตรียมพื้นที่แก้มลิงรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลลงมาจากภาคเหนือลงสู่ตอนกลางของประเทศ ตลอดจนเตรียมการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการเกิดน้ำท่วมด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยศึกษาแผนบริหารจัดการน้ำของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในแต่ละพื้นที่ต่อไป ๓.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนให้ครอบคลุมถึงเรื่องการส่งเสริมการอ่านและการสร้างจิตสำนึก นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณานำหนังสือและสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาสาระเป็นการให้มุมมอง แง่คิด ข้อเตือนใจ หลักการในการประพฤติ ปฏิบัติ และการดำรงตนที่ถูกต้องเหมาะสม เช่น หนังสือสุภาษิต ปรัชญา มาเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการเรียนการสอนด้วย เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและการพัฒนาตนเองต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1195 | ร่างกฎกระทรวงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด พ.ศ. .... และคำประกาศ (Declarations) ของประเทศไทยในการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) | พณ | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด พ.ศ. .... และคำประกาศ (Declarations) ของประเทศไทยในการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบการทำคำประกาศ (Declarations) ภายใต้พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) และระเบียบร่วม (Common Regulations) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยหากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงพิธีสารที่มิได้เป็นสาระสำคัญ กระทรวงพาณิชย์ไม่ต้องเสนอเรื่องเพื่อขอความเห็นชอบอีก ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. เห็นชอบและมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำภาคยานุวัติสาร (Instrument of accession) ที่มีคำประกาศตามข้อ ๒ แนบท้าย เพื่อการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริดเมื่อกระทรวงพาณิชย์มีหนังสือแจ้งกระทรวงการต่างประเทศว่าได้ดำเนินการภายในต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการออกกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1196 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเยเมน | กต | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๔๒ (ค.ศ. ๒๐๑๗) เกี่ยวกับสาธารณรัฐเยเมน มีสาระสำคัญในการกำหนดและต่ออายุมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเยเมนที่จำเป็น ซึ่งรวมถึงการห้ามส่งออกและส่งผ่านอาวุธไปยังสาธารณรัฐเยเมน การห้ามการเดินทางและการอายัดทรัพย์สิน โดยมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุดถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ (United Nations : UN) ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1197 | ท่าทีไทยและการลงนามในการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ระหว่างไทย - บังกลาเทศ ครั้งที่ 4 | พณ | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-บังกลาเทศ (Joint Trade Committee : JTC) ครั้งที่ ๔ ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ ๘-๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ การตั้งเป้าหมายทางการค้าและการขยายการลงทุน ความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-บังกลาเทศ การให้สิทธิพิเศษในการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตาภายใต้ Duty Free Quota Free DFQF ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ๑.๒ หากในการประชุมฯ มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับบังกลาเทศ โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมฯ สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุมฯ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๑.๔ อนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลบังกลาเทศ เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร (food security) ของบังกลาเทศ โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิได้ทำให้สาระสำคัญในร่างบันทึกความเข้าใจฯ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ให้อยู่ในดุลยพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมายที่จะดำเนินการได้ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดจุดยืนและยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนของไทยในการจัดทำความตกลงเสรีทางการค้ากับบังกลาเทศ และการใช้ศักยภาพของบังกลาเทศเพื่อเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงไปยังกลุ่มประเทศในองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation : OIC) และควรให้ความสำคัญกับการเจรจาในประเด็นการขจัดอุปสรรคทางการค้าทั้งมาตรการทางภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษีของทั้งสองประเทศ รวมทั้งพิจารณาความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของบังกลาเทศเพื่อสนับสนุนการขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็นสองเท่าหรือประมาณ ๑.๘ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน ๕ ปี (ปี ๒๕๖๕) ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีไทย เอกสารผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระหว่างไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๔ หรือบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลบังกลาเทศ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1198 | ผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 3 | พณ | 23/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๓ (The 3rd Session of Sub-Commission on Trade and Economic Cooperation) เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของรัสเซียเป็นประธานร่วมการประชุมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมการค้าและการลงทุน การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพัฒนาความร่วมมือการค้าการลงทุนในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก การลดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และความคืบหน้าการดำเนินงานภายใต้ข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ระหว่างหน่วยงานไทยและรัสเซีย และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้เร่งรัดการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงพาณิชย์รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการหารือเพื่อแสวงหาแนวทางและลู่ทางให้แก่ผู้ประกอบการไทยในการเข้าสู่ตลาดและสามารถจำหน่ายสินค้าได้โดยตรงแก่ผู้ผลิตรถยนต์ของฝ่ายรัสเซียต่อไป ส่วนการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเชื่อมโยงระหว่างโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ของไทย และโครงการของรัสเซียที่จะสนับสนุน EEC ในชั้นนี้ ยังไม่มีข้อเสนอในรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของคณะทำงานที่ชัดเจนว่าจะร่วมดำเนินการในเรื่องใดบ้าง จึงเห็นควรให้ฝ่ายไทยหารือกับฝ่ายรัสเซียในรายละเอียดของประเด็นความร่วมมือที่ชัดเจนต่อไป เพื่อนำไปสู่การกำหนดกรอบหน้าที่ความรับผิดชอบที่สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามผลการประชุมฯ เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1199 | ขอความเห็นชอบแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม พ.ศ. 2560 - 2564 | อื่นๆ | 23/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการบูรณาการการขับเคลื่อนการพัฒนาแก้ปัญหาของเกษตรกร/ภาคเกษตรกรรมของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น รับแผนแม่บทฯ ไปบูรณาการร่วมกับแผนพัฒนาการเกษตร ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแผนของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเกษตร เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตรของประเทศมีความเชื่อมโยงและสนับสนุนซึ่งกันและกัน นำไปสู่การทำให้ภาคเกษตรมีความเข้มแข็งและเกษตรกรพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงยั่งยืนในอนาคต ตามที่สภาเกษตรกรแห่งชาติเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรก ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สภาเกษตรกรแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ อาทิ เห็นควรเร่งรัดการบูรณาการแผนแม่บทฯ กับแผนพัฒนาการเกษตร ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และแผนของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำมาเป็นแนวทางในการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑-๒๕๖๔ และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับขอบเขตของระยะเวลาของแผนแม่บทฯ และการดำเนินงาน ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดและจะส่งผลกระทบต่อผลสัมฤทธิ์ที่สภาเกษตรกรแห่งชาติคาดหวังไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1200 | พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย - นิวซีแลนด์ | พณ | 23/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership Agreement : TNZCEP) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปริมาณการนำเข้าสินค้าที่มีมาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguard : SSG) ตามบัญชีแนบท้ายภาคผนวก ๓ ของความตกลง TNZCEP โดยเพิ่มปริมาณการนำเข้า (Trigger volume) ของสินค้า ๓ รายการ (๖ พิกัดสินค้า) ของไทย ได้แก่ หางนม ไขมันเนย และเนยแข็ง โดยให้เริ่มมีผลในทางปฏิบัติภายในปี ๒๕๖๐ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และเมื่อลงนามแล้ว ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ร่างพิธีสารฯ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการค้าเสรีอันเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองและวรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงต้องได้รับความเห็นขอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งยังคงทำหน้าที่รัฐสภาตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๖๓ ของรัฐธรรมนูญฯ และเห็นควรให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาตามแนวทางที่ปฏิบัติอยู่หรือตามที่เห็นสมควร ตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญฯ ไปดำเนินการด้วย ๕. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภามีมติเห็นชอบพิธีสารดังกล่าว และกระทรวงพาณิชย์ได้มีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่าได้ดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของพิธีสารฯ เสร็จสิ้นแล้ว
|
.....