ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 30 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 597 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
221 | การเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ 20 ปีแผนงาน GMS | นร | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) ของไทย รายงานสรุปผลการเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ ๒๐ ปีแผนงาน GMS ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ ณ สำนักงานใหญ่ธนาคารพัฒนาเอเชีย กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยงานฉลองครบรอบ ๒๐ ปีแผนงาน GMS ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศสมาชิกได้ทบทวนความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในกลุ่มในการเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้นในอนาคต และร่วมหารือเพื่อเตรียมการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ นครหนานหนิง มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยประเด็นสำคัญที่รัฐมนตรี ๖ ประเทศจะหารือร่วมกัน คือ การจัดทำกรอบการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework) เพื่อกำหนดโครงการลงทุนลำดับความสำคัญสูงของ GMS ในระยะ ๑๐ ปีข้างหน้า สำหรับการดำเนินงานของฝ่ายไทยเพื่อสนับสนุนการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ มีดังนี้
๑. การจัดทำกรอบการลงทุนของอนุภูมิภาค ในระยะที่ ๑ ซึ่งครอบคลุมการประเมินการพัฒนารายสาขา การวิเคราะห์แผนและนโยบายการพัฒนาประเทศ รวมถึงจัดทำข้อเสนอโครงการลงทุนลำดับความสำคัญสูงของแต่ละประเทศ ๒. การจัดทำร่างยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการสาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๒๐๑๓-๒๐๑๗) และการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๓. การเตรียมการลงนามในเอกสารสำคัญ ๒ เรื่อง ได้แก่ การลงนามในความตกลงเพื่อการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Railway Association : GMRA) และการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Inter-Governmental MOU for the Establishment of the Regional Power Coordination Centre in the Greater Mekong Subregion : IGM) ๔. การเร่งรัดการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อการให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจากปัจจุบันเหลือเพียงไทยและเมียนมาร์ที่ให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารฯ ไม่ครบทั้ง ๒๐ ฉบับ ทั้งนี้ ไทยอยู่ระหว่างผลักดันร่างกฎหมาย ๕ ฉบับ ประกอบด้วย ร่างกฎหมาย ๓ ฉบับ อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของรัฐสภา ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ของกระทรวงคมนาคม และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน The GMS Agreement) ของกระทรวงการคลัง และร่างกฎหมาย ๒ ฉบับ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... (ในเรื่องเกี่ยวกับข้อบทว่าด้วยการผ่านแดน) ของกรมศุลกากร และร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ของกระทรวงคมนาคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
222 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 6 คน 1. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ฯลฯ) | กค | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๖ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางเบญจา หลุยเจริญ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมศุลกากร ๔. นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดี กรมสรรพสามิต ๕. นายมนัส แจ่มเวหา ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมบัญชีกลาง ๖. นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
223 | ขอความอนุมัติหลักการดำเนินโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ และเรื่อง การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan: DPL) | กค | 21/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการดำเนินโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ (โครงการระยะที่ ๕) ของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง และอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) วงเงิน ๒,๔๕๓.๓๗๖๐ ล้านบาท สำหรับโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ (โครงการระยะที่ ๕) ของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไป ๒. ส่วนวิธีการจัดหาโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ (โครงการระยะที่ ๕) ของกรมศุลกากร ในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน นั้น เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอประกอบการพิจารณา ดังนั้น หากกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) จำเป็นต้องดำเนินการในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อมูลรายละเอียดและเหตุผลความจำเป็นที่ชัดเจนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
224 | การจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างผลอาสินในพื้นที่โครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา) | กค | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้จ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินในที่ดินโครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จ่ายเงินชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินในที่ดินให้กับผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ตกลงโดยมีบันทึกยินยอมรับราคาตามที่คณะทำงานตกลงราคาและจ่ายเงินชดเชยกำหนดโดยไม่มีเงื่อนไขทั้งหมด จำนวน ๓๖ แปลง เนื้อที่รวม ๑๘ - ๑ - ๑๓.๕ ไร่ เป็นเงินทั้งสิ้น ๓๙,๘๙๕,๐๖๙.๖๓ บาท ๑.๒ ในระหว่างรอขั้นตอนดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมส่งมอบพื้นที่ให้กรมศุลกากร อนุมัติให้กรมศุลกากรร่วมกับจังหวัดสงขลาและสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลาร่วมกันจ่ายเงินค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินในที่ดินโครงการไปก่อน ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรต้องพิจารณารายละเอียดของพื้นที่ และตรวจสอบสิทธิของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งระยะเวลาที่ประชาชนได้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐประกอบการพิจารณาจ่ายเงิน และความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กรมศุลกากรเร่งดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาตใช้พื้นที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อยเสร็จสิ้นก่อนการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎร และดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี มาตรฐาน และระเบียบแบบแผนของทางราชการที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งกำกับการตรวจสอบสิทธิ์ของบุคคลและการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ และสำหรับงบประมาณเพื่อการจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว ให้กรมศุลกากรพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับจัดสรรสำหรับเป็นค่าชดเชยผลอาสินและสิ่งก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ และได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน โดยให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
225 | โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อเพิ่มศักยภาพและส่งเสริมกิจการการขนส่งทางอากาศของประเทศ ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบบทบาทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานหลัก (Hub Airport) รองรับเที่ยวบินแบบเต็มรูปแบบ (Full Service) และเที่ยวบินที่มีการเชื่อมต่อ (Connecting Flight) เพื่อส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค และท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นท่าอากาศยานรองรับสายการบินต้นทุนต่ำ (Low Cost Carriers : LCCs) และ/หรือเส้นทางการบินในประเทศและระหว่างประเทศแบบจุดต่อจุด (Point to Point) บนหลักการของความสมัครใจของสายการบินเพื่อเป็นการใช้ท่าอากาศยานทั้ง ๒ แห่ง ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร และกรมสรรพากร) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ด่านตรวจพืช ด่านตรวจสัตว์น้ำ และด่านกักกันสัตว์) กระทรวงคมนาคม (บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ด่านตรวจสัตว์ป่า) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และสำนักอุตุนิยมวิทยาการบิน) กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) กระทรวงแรงงาน (กรมการจัดหางาน) กระทรวงสาธารณสุข (ด่านควบคุมโรคติดต่อ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สนับสนุนและเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยเร่งด่วน เพื่อการรองรับสายการบินที่จะย้ายมาให้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาจัดสรรพื้นที่ ปริมาณเที่ยวบิน และการเรียกเก็บอัตราค่าบริการสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำ และ/หรือเส้นทางบินในประเทศและระหว่างประเทศแบบจุดต่อจุดที่สมัครใจเปิดการให้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยคำนึงถึงความเท่าเทียมและเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างสายการบิน รวมทั้งจัดให้มีบริการขนส่งระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเพื่อต่อเที่ยวบินได้อย่างสะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ ให้บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด จัดทำระบบบริหารจัดการการจราจรทางอากาศและความปลอดภัยของจุดตัดการจราจรทางอากาศ เพื่อรองรับปริมาณการจราจรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
226 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางกรศิริ พิณรัตน์) | กค | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางกรศิริ พิณรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
227 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน The GMS Agreement) | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยาม “พื้นที่ควบคุมร่วมกัน” หมายความว่า พื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมร่วมกันตามกฎหมายว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน ๑.๒ กำหนดให้กรมศุลกากรมีอำนาจในทางศุลกากรทั้งปวงในพื้นที่ควบคุมร่วมกันเช่นเดียวกับในเขตศุลกากร และการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานศุลกากรในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอกราชอาณาจักร ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติงานในราชอาณาจักร ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่พนักงานศุลกากรตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันในราชอาณาจักร ๑.๔ กำหนดให้การดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่พนักงานศุลกากรตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอกราชอาณาจักรให้พนักงานศุลกากรของรัฐบาลไทยร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศภาคีตามความตกลงให้ส่งบุคคล สัตว์ พืช ของ ตลอดจนยานพาหนะ ผู้ควบคุมพาหนะ และคนประจำพาหนะที่ใช้ขนส่งสิ่งดังกล่าวกลับมายังราชอาณาจักร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปฏิบัติพิธีการศุลกากรว่าด้วยการผ่านแดน) รวม ๒ ฉบับ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
228 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตาม เร่งรัด ประเมินผลการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา เรื่อง การพัฒนาเศรษฐกิจ การเกษตร การค้าและการลงทุน | สว | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตาม เร่งรัด ประเมินผลการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา เรื่อง การพัฒนาเศรษฐกิจ การเกษตร การค้าและการลงทุน พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าวที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปผลการดำเนินการในส่วนของกระทรวงการคลัง ดังนี้
๑ ด้านการบริหารจัดการงบประมาณ ได้แก่ การทบทวนสิทธิและหลักเกณฑ์ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้ได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน และจัดให้มีระบบสวัสดิการเพิ่มเติมแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างทัดเทียมกัน ๒. ด้านมาตรการสนับสนุนสินเชื่อ ได้แก่ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ๙ โครงการ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และอนุญาตให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยขยายธุรกิจทั้งการรับฝากเงิน การร่วมลงทุนไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ และการเพิ่มช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ปัจจุบันมีสาขาใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด ๑๗ สาขา ๓. ด้านการว่างงาน ได้แก่ แผนยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนและชุมชนในพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙ เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความยากจนและคุณภาพชีวิตของประชาชนและชุมชนในพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนยกระดับฯ รวม ๑๒ โครงการ และโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ๙ โครงการ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย การอนุญาตให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยขยายธุรกิจทั้งการรับฝากเงิน การร่วมลงทุนไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ และการเพิ่มช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ลงทุนจากภายนอกพื้นที่ให้มาลงทุนในพื้นที่ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๙๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ ๔. ด้านมาตรการชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยทรัพย์สิน ได้แก่ การดำเนินมาตรการชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองภัยก่อการร้ายในอัตราระหว่างร้อยละ ๐.๕ ถึงร้อยละ ๒ ให้แก่ผู้ประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตามมติคณะรัฐมนตรี และการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบการจากภัยก่อการร้ายในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ๕. ด้านมาตรการภาษี ได้แก่ การออกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๙๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ตามมาตรา ๔๐(๗) และ (๘) เหลืออัตราร้อยละ ๐.๑ สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๘๕ ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลืออัตราร้อยละ ๓ ของกำไรสุทธิ สำหรับรายได้ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชี ๒๕๕๓-๒๕๕๕ และลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะเหลืออัตราร้อยละ ๐.๑ สำหรับรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๖. ด้านการท่องเที่ยว กรมศุลกากรรายงานว่า ปัจจุบันด่านศุลกากรที่อยู่ติดชายแดนประเทศมาเลเซียมีจำนวน ๘ ด่าน คือ ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ ด้านศุลกากรสะเดา ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ด่านศุลกากรเบตง ด่านศุลกากรตากใบ ด่านศุลกากรสตูล ด่านศุลกากรวังประจัน และด่านศุลกากรบ้านประกอบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
229 | การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเส้นไหมดิบ ปี 2555 ตามข้อผูกพันภายใต้องค์การการค้าโลก | กษ | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเส้นไหมดิบตามข้อผูกพันภายใต้องค์การการค้าโลก ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณ ๔๘๓ เมตริกตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๐ อัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๒๒๖ ตามข้อเสนอของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยไม่เห็นควรกำหนดวันสิ้นสุดของอัตราภาษีตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เนื่องจากปัจจุบันได้มีประกาศกระทรวงการคลังกำหนดอัตราภาษีโดยไม่ได้กำหนดวันสิ้นสุด เนื่องจากหากระบุวันสิ้นสุดเป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ของแต่ละปีอาจทำให้เกิดปัญหาต่อผู้นำของเข้าในกรณีกรมศุลกากรได้รับการแจ้งการกำหนดอัตราภาษีใหม่ล่าช้า ทำให้ไม่สามารถดำเนินการให้ประกาศกระทรวงการคลังมีผลบังคับใช้ได้ทันเวลาที่กำหนด จะทำให้อัตราภาษีในโควตาตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ของปีถัดไปเป็นร้อยละ ๓๐ ทันที ทั้งนี้ เห็นว่าหากอัตราภาษีทั้งในโควตาและนอกโควตาแตกต่างจากที่กำหนดไว้ในปี ๒๕๕๕ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาและให้กรมศุลกากรดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังแก้ไขอัตราภาษีต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อราคาเส้นไหมดิบของเกษตรกรในประเทศ การเร่งลดต้นทุนการผลิตไหมดิบของไทยอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาคุณภาพเส้นไหมดิบที่ผลิตในประเทศให้ได้มาตรฐาน รวมทั้งการพัฒนาเอกลักษณ์และคุณค่าของผลิตภัณฑ์จากเส้นไหมดิบของไทยให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคให้กว้างขวางมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
230 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 2/2555 | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้เป็นไปตามมติ กพต. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธาน กพต. เสนอ โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของโครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๑๓ สาย อำเภอนาทวี - บ้านประกอบ ตอน ๒ และการเชื่อมโยงการขนส่งจากด่านประกอบไปอำเภอกาบัง จังหวัดยะลา แผนพัฒนามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ โครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา)/ โครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ จังหวัดสงขลา ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ รวมทั้งโครงการทำดี มีอาชีพ โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีกในครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการเลี้ยงแพะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และโครงการพัฒนาศักยภาพการเลี้ยงแพะเนื้อเพื่อรองรับอุตสาหกรรมฮาลาล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเรื่องดังต่อไปนี้ ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ใช้จ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒ โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๙๓.๓๙๗๓ ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๕.๙๗๘ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการเชื่อมโยงโครงข่ายกับภาคเอกชน ชุมชน และท้องถิ่น เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ข้อมูลร่วมกัน โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นศูนย์กลางควบคุมกล้องวงจรปิด CCTV ๒.๓ โครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา)/โครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒.๔ โครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๑๓ สาย อำเภอนาทวี - บ้านประกอบ ตอน ๒ ให้กรมทางหลวงปรับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๕ การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมการศึกษา เยียวยาและฟื้นฟูผู้พิการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการขอจัดตั้งสำนักงานวัฒนธรรมอำเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้พิจารณาถึงภาพรวมของอัตรากำลังคนภาครัฐและภาระงบประมาณในอนาคต และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป รวมทั้งควรกำหนดเฉพาะพื้นที่พิเศษใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๖ การสนับสนุนเงินอุดหนุนพิเศษพระภิกษุสงฆ์ใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๔.๘๓ ล้านบาท และปรับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านบาท ไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
231 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้วและโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามา ในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้วและโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้ว และโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร แต่มิให้ใช้บังคับในกรณีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเข้ามาเพื่อเป็นต้นแบบในการผลิตหรือการศึกษาวิจัยในปริมาณเท่าที่จำเป็น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตดำเนินการติดตามและประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับทั้งภาครัฐ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ และผู้บริโภค ภายหลังการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าว เพื่อให้สามารถปรับมาตรการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ภาครัฐ และลดผลกระทบที่จะเกิดกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจในเรื่องประกาศห้ามนำเข้าตัวถังรถยนต์ที่ใช้แล้ว และโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันและสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
232 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดมาตรการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... | พณ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดมาตรการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดมาตรการจัดระเบียบการส่งออกและนำเข้าอย่างหนึ่งอย่างใดกับสินค้า ๑๕ กลุ่มรายการตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ดังต่อไปนี้ ๑.๑.๑ เป็นสินค้าที่ต้องแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หนังสือรับรองคุณภาพสินค้า หรือหนังสือรับรองตามความตกลงหรือประเพณีทางการค้าระหว่างประเทศต่อกรมศุลกากรในการส่งออกหรือนำเข้า ๑.๑.๒ เป็นสินค้าที่ผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าต้องขึ้นทะเบียนต่อกรมการค้าต่างประเทศหรือหน่วยงานอื่นที่กระทรวงพาณิชย์มอบหมาย ๑.๑.๓ เป็นสินค้าที่ต้องส่งออกหรือนำเข้าภายในช่วงระยะเวลาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๑.๑.๔ เป็นสินค้าที่ต้องส่งหรือนำเข้าทางด่านศุลกากรที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๑.๑.๕ เป็นสินค้าที่ผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าต้องส่งรายงานการส่งออกและการนำเข้าตามระยะเวลาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๑.๒ มาตรการส่งออกและนำเข้าในแต่ละสินค้า ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กำหนดตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เกี่ยวกับการปรับปรุงบัญชีรายชื่อสินค้าท้ายร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ควรกำหนดให้ครอบคลุมถึงสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญด้วย เช่น มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง ไปพิจารณา และหากมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มเติมสินค้าท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพิ่มเติมต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดในการส่งออกและนำเข้า เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อภาคเกษตรโดยรวมและผู้บริโภคในประเทศ และควรกำหนดปริมาณการส่งออกและนำเข้าที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรโดยรวม เกษตรกรและผู้ประกอบการแปรรูปในประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของราคาสินค้าเกษตร คุณภาพวัตถุดิบและความปลอดภัยผู้บริโภคในประเทศ รวมทั้งในการออกระเบียบของกระทรวงพาณิชย์จะต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระและความยุ่งยากให้กับผู้ส่งออกและผู้ผลิตในประเทศที่จำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบ/ชิ้นส่วนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบโดยทั่วถึง โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกหนังสือรับรอง การขึ้นทะเบียน และการตรวจสอบเพื่อการนำเข้าและส่งออก รวมถึงผู้ประกอบการนำเข้าหรือส่งออกสินค้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
233 | มาตรการในการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม | สธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการในการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกะทรวงสาธารณสุข จำนวน ๒ ฉบับ เพื่อยกระดับการควบคุมยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม ได้แก่ ๑.๑ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ (เพิ่มเติม) ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ซูโดอีเฟดรีนและยาทุกสูตรตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ และภายใน ๓๐ วันคือวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ให้สถานพยาบาลที่ไม่มีใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ และไม่ประสงค์จะมีไว้ในครอบครองยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมเพื่อการบำบัดรักษา และร้านขายยาทุกแห่งดำเนินการจัดส่งยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมคืนให้กับผู้ผลิตและผู้นำเข้า ๑.๒ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๑ หรือประเภท ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ มีสาระสำคัญคือ กรณีการมีไว้ในครอบครองซูโดอีเฟดรีนโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วไม่เกิน ๕ กรัม มีโทษตามมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนกรณีการมีไว้ในครอบครองซูโดอีเฟดรีนโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วเกิน ๕ กรัม จะได้รับโทษในอัตราที่สูงขึ้น คือ มีโทษตามมาตรา ๑๐๖ ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๕ - ๒๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ - ๔๐๐,๐๐๐ บาท ๒. กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความร่วมมือและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขยายผลสอบสวนกรณีพบการลักลอบนำยาดังกล่าวออกไปนอกระบบ เพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเข้มงวดกับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องในอัตราโทษสูงสุด และร่วมมือกับหน่วยงานด้านการปราบปรามยาเสพติดอย่างใกล้ชิด อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงาน ป.ป.ส. กรมศุลกากร สำนักงาน ป.ป.ง. ฯลฯ เพื่อบูรณาการข้อมูลและวางมาตรการในการสกัดกั้นการลักลอบนำยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมออกนอกระบบเพื่อนำไปใช้ในการผลิตยาเสพติด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
234 | ผลการประชุมการทบทวนนโยบายการค้าของไทย (Trade Policy Review) ภายใต้องค์การการค้าโลก | พณ | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมการทบทวนนโยบายการค้าของไทย (Trade Policy Review) ภายใต้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ สำนักงานองค์การการค้าโลก นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับประเด็นสำคัญที่สมาชิก WTO หยิบยกในระหว่างการประชุมฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การทบทวนนโยบายการค้าของไทยภายใต้ WTO ประเทศสมาชิก WTO หลายประเทศมีข้อกังวลต่อนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการค้าของไทยหลายประการ ได้แก่ ๑.๑.๑ ความล่าช้าในการปรับโครงสร้างในหลาย ๆ ด้าน รวมถึงด้านทรัพย์สินทางปัญญา การแปรรูปองค์กรของรัฐ (Privatization) การเปิดเสรีด้านการค้า บริการ และการลงทุน ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ และกระทบต่อปริมาณการลงทุนของต่างชาติ (Foreign Direct Investment : FDI) ๑.๑.๒ การปรับปรุงระบบโครงสร้างภาษีศุลกากร รวมถึงปัญหาการรับสินบนของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและระบบการให้รางวัลนำจับกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร ๑.๑.๓ ระบบโครงสร้างภาษีภายในประเทศของไทยที่มีความยุ่งยากซับซ้อน ๑.๑.๔ การจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีซึ่งส่งผลให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนในเรื่องกฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) ของแต่ละความตกลง โดยเรียกว่าผลกระทบผัดไทย (Pad Thai Effect) ๑.๑.๕ นโยบายด้านการลงทุนของไทยที่ต้องการคุ้มครองอุตสาหกรรมภายใน เช่น ข้อจำกัดในเรื่องการถือครองหุ้นของต่างชาติ และข้อจำกัดเรื่องกฎระเบียบในบางสาขาเฉพาะ รวมทั้งความยุ่งยากซับซ้อนในกระบวนการชำระภาษี และปัจจัยจากความไม่มั่นคงทางการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วยเช่นกัน ๑.๑.๖ ข้อจำกัดภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวและข้อจำกัดในสัดส่วนการถือครองหุ้นที่ต่างชาติถูกจำกัดไม่ให้ถือครองเกินร้อยละ ๔๙ โดยเฉพาะในสาขาโทรคมนาคม ประกันภัย และโลจิสติกส์ รวมทั้งความสอดคล้องกับพันธกรณีของไทยภายใต้องค์การการค้าโลกในกรณีการให้สิทธิพิเศษของไทยต่อสหรัฐฯ ภายใต้สนธิสัญญาไมตรี ๑.๑.๗ การละเมิดสินค้าลิขสิทธิ์และการบังคับใช้กฎหมายและบทลงโทษอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๘ ประเด็นอื่น ๆ เช่น การออกระเบียบกำหนดมาตรฐานสำหรับสินค้าชั้นกลาง การออกกฎระเบียบว่าด้วยการขึ้นทะเบียนยาขององค์การอาหารและยาด้วยการติดฉลากเตือนบนสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การให้สิทธิพิเศษกับองค์การเภสัชกรรมในการได้รับการพิจารณาจัดซื้อยาโดยโรงพยาบาลของรัฐก่อน การประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว และกรณีการให้ใบอนุญาตให้บริการ 3G ที่ล่าช้าเนื่องจากกระบวนการทางกฎหมาย เป็นต้น ๑.๒ สมาชิก WTO ได้ให้ความสนใจโดยมีคำถามกว่า ๔๐๐ คำถาม จากสมาชิกกว่า ๒๐ ประเทศ โดยประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้น เช่น ประเด็นเรื่องสนธิสัญญาไมตรีระหว่างไทย - สหรัฐฯ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ความยุ่งยากซับซ้อนและไม่โปร่งใสของระบบโครงสร้างภาษีศุลกากรและภาษีภายในประเทศ ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา และข้อจำกัดในภาคการลงทุนและบริการ เป็นต้น ซึ่งเป็นคำถามที่เคยถูกยกขึ้นมาแล้วในการประชุมทบทวนนโยบายการค้าของไทย ครั้งที่ ๕ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยสมาชิกได้จับตาดูว่าไทยจะกำหนดนโยบายเรื่องดังกล่าวไปในทิศทางใด ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศมีความเห็นว่า รัฐบาลควรถือโอกาสในการปฏิรูปโครงสร้าง และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องไปพร้อม ๆ กัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สมาชิกโดยเฉพาะในด้านการลงทุน ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับข้อเสนอจากประเทศสมาชิก WTO ในเรื่องการปรับโครงสร้างภาคการเกษตร เพื่อเปิดตลาดยกเลิกการอุดหนุนส่งออก และลดการอุดหนุนภายในที่มีผลบิดเบือนทางการค้า ซึ่งสินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่สมาชิก WTO ส่วนใหญ่มีมาตรการปกป้องไว้เช่นกัน ทั้งในด้านมาตรการภาษี มาตรการที่มิใช่ภาษี การอุดหนุนภายในที่มีผลบิดเบือนทางการค้า และการอุดหนุนการส่งออก ตลอดจนการใช้มาตรการทางการค้าต่าง ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการชะงักงันของผลการเจรจา WTO รอบโดฮา ทั้งนี้ สินค้าเกษตรของไทยในปัจจุบัน ไม่มีการดำเนินการปกป้องเกินกว่าพันธกรณีและสิทธิของไทยภายใต้กรอบ WTO แต่อย่างใด ดังนั้น ในการปฏิรูปโครงสร้างและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในประเด็นนี้ ควรต้องคำนึงถึงความอ่อนไหวของสินค้าเกษตร และควรให้ความสำคัญกับการผลักดันผลสำเร็จของการเจรจาดังกล่าว เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เสรีและเป็นธรรมต่อประเทศสมาชิก ซึ่งมีระดับการพัฒนาที่แตกต่างกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
235 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ถนนจากพรมแดนเมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวตรงหลักเขตแดนหมายเลข กม. ๘๗ - ๑๐๗ ทางหลวงหมายเลข ๒๑๗ ถึงด่านศุลกากรช่องเม็ก เป็นทางอนุมัติและตั้งด่านพรมแดนช่องเม็ก พร้อมทั้งตั้งด่านศุลกากรช่องเม็ก เป็นที่สำหรับการนำของเข้าหรือส่งของออกหรือสำหรับส่งของออกซึ่งของที่ขอคืนอากรขาเข้าหรือของที่มีทัณฑ์บนตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมศุลกากรประสานกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่น ๆ เพื่อแจ้งให้ประเทศเพื่อนบ้านทราบถึงการย้ายด่านศุลกากรจากด่านพิบูลมังสาหารไปด่านศุลกากรช่องเม็กแห่งใหม่ และร่วมกันอำนวยความสะดวกให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดำเนินการผ่านช่องทางนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
236 | รายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2012) และข้อเสนอแนวทางการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ | นร | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2012) ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ ๑๗ จาก ๑๘๓ ประเทศ ๑.๒ เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศเป็นผลสำเร็จและอันดับของประเทศไทยดีขึ้น ตามความเห็นของคณะกรรมการ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ดังนี้ ๑.๒.๑.๑ ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ให้กรมที่ดินและกรมสรรพากรเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักศึกษาความเหมาะสมในการปรับลดอัตราภาษีหรือค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนทรัพย์สินเพื่อกำหนดเป็นมาตรการถาวร หรือปรับแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และควรเชื่อมโยงฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากับกรมที่ดินให้สามารถตรวจสอบความเป็นนิติบุคคลของผู้ขอจดทะเบียนได้แบบ real time ๑.๒.๑.๒ ด้านการชำระภาษี ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมให้รัฐเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักศึกษารายละเอียดกระบวนการจัดเก็บภาษีของประเทศและปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีใหม่ให้เกิดการบูรณาการ และศึกษาแนวทางการมอบอำนาจให้หน่วยงานอื่นจัดเก็บภาษีแทนได้ เพื่อให้เกิดระบบการชำระภาษีเพียงจุดเดียว ๑.๒.๑.๓ ด้านการปิดกิจการ ให้กรมบังคับคดีและศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการเร่งปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และกำหนดมาตรการเพื่อลดระยะเวลาในกระบวนการปิดกิจการ ๑.๒.๑.๔ ด้านการค้าระหว่างประเทศ ให้กรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนำเข้า - ส่งออกสินค้าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำระบบ National Single Window ไปใช้ในการนำเข้า - ส่งออกอย่างเป็นรูปธรรม และศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางในการลดค่าใช้จ่ายและลดจำนวนเอกสารในการนำเข้า - ส่งออกให้แก่ผู้ประกอบการ ๑.๒.๑.๕ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการพัฒนาระบบการให้บริการจัดตั้งธุรกิจให้เป็นการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ๑.๒.๑.๖ ด้านการได้รับสินเชื่อ ให้กระทรวงการคลังและกรมบังคับคดีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการเร่งรัดการประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายล้มละลายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในสิทธิทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่และลูกหนี้ในการขอสินเชื่อ กฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลเครดิตเพื่อขยายขอบเขตการจัดเก็บข้อมูลเครดิต เป็นต้น ๑.๒.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงบริการตามรายงานผลการวิจัยเรื่อง Doing Business แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ และสนับสนุนงบประมาณแก่สำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อดำเนินการศึกษาวิจัยแนวทางการดำเนินงานของประเทศที่ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ (Benchmarking) เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของไทย (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการศึกษาวิจัย) ๑.๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาและปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการปรับปรุงบริการของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสนับสนุนและพัฒนาระบบการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แก่หน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๕ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบในการปรับปรุงบริการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๖ เดือน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการติดตามและประเมินผลการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศเป็นผลสำเร็จและอันดับของประเทศไทยดีขึ้น เพื่อให้ผลการดำเนินการเรื่องนี้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพด้วย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับการกำหนดให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสนับสนุนและพัฒนาระบบการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แก่หน่วยงานต่าง ๆ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการพัฒนาระบบและดำเนินการระบบอย่างต่อเนื่องด้วย ไปประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. ส่วนการมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาและปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการดังกล่าวแล้ว นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดพิจารณาปรับปรุงกฎหมาย กฎ และระเบียบ เพื่อเป็นการลดขั้นตอนและลดการขออนุญาตที่ไม่จำเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับภาคธุรกิจ เช่น การกำหนดระยะเวลา การดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ในกฎหมาย การกำหนดให้มีการพิจารณาร่วมกันระหว่างพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แล้วเสร็จในคราวเดียวกัน โดยมีมาตรฐานการพิจารณาเป็นอย่างเดียวกัน และการลดการอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
237 | รายงานการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 19/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ได้แก่ ๑.๑ การลงทะเบียนผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยเพื่อขอรับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ตามที่รัฐบาลได้มีมาตรการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยการอุดหนุนอัตราดอกเบี้ยและค้ำประกันโดยรัฐ จำแนกออกเป็น ๒ ประเภท คือ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ๓% ต่อปี โดยธนาคารออมสินนำเงินเข้าฝากธนาคารพาณิชย์ที่เข้าโครงการ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย ๐.๐๑% ต่อปี และธนาคารพาณิชย์สมทบเงินกู้อีก ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรม (บสย.) สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ๓% ต่อปี ในช่วง ๓ ปีแรก โดยรัฐชดเชยค่าธรรมเนียมและชดเชยความเสียหายไม่เกิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท จากการเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยลงทะเบียนขอความช่วยเหลือ ๒,๑๕๓ ราย มูลค่าการลงทุน ๒๘๔,๕๑๙ ล้านบาท มีแรงงาน ๑๗๖,๕๘๙ คน มูลค่าความเสียหาย ๙๕,๔๑๖ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ การอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรอุปกรณ์ วัตถุดิบไว้นอกโรงงานกรณีฉุกเฉิน การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ที่นำมาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหาย และยืดหยุ่นในเรื่องวัตถุดิบนำเข้าซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า การเร่งอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของเจ้าหน้าที่/ผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาติดตั้งซ่อมแซมเครื่องจักร การเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราว หรือลงทุนใหม่เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ ๑.๓ โครงการและมาตรการช่วยเหลือโดยทั่วไป ได้แก่ การยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมการต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เป็นเวลา ๕ ปี การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ทดแทนเครื่องจักรที่เสียหายเป็นการทั่วไปสำหรับโรงงานที่ประสบอุทกภัยและมิได้เป็นโรงงานที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน การดำเนินโครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม โดยจัดส่งทีมงานเข้าสำรวจ วินิจฉัย วางแผนการฟื้นฟูการผลิตและกระบวนการทางธุรกิจ มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ ๒,๑๘๑ ราย และได้เข้าช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว ๕๑๖ ราย มีผู้ประกอบการ ๕๕ ราย สามารถประกอบธุรกิจได้ตามปกติ และการดำเนินโครงการศูนย์พักพิงสำหรับผู้ประกอบการ โดยจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาเครื่องจักรกล สินค้าวัตถุดิบ และเป็นสถานที่เพื่อการผลิตชั่วคราว ซึ่งเบื้องต้นได้จัดพื้นที่ภายในหน่วยงานในจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น สุพรรณบุรี ชลบุรี และกรุงเทพมหานคร ให้บริการแก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยให้ใช้เป็นสถานที่ในการประกอบการผลิตและยืมเครื่องจักรในการผลิต มีผู้ประกอบการเข้ารับบริการ ๘ ราย ๒. มาตรการให้ความช่วยเหลือของการนิคมแห่งประเทศไทย ได้แก่ ๒.๑ การยกเว้นค่าบริการในการออกใบอนุญาตใหม่ กรณีใบอนุญาตเดิมสูญหาย การยกเว้นค่าบริการการต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการยกเว้นค่าบริการการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรทางอิเล็กทรอนิกส์ จนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ๒.๒ การบริการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในเขตประกอบการเสรี โดยประสานกรมศุลกากรให้ผู้ประกอบการสามารถขนย้ายเครื่องจักร วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ออกนอกเขตประกอบการเสรีโดยด่วน พร้อมจัดทำมาตรการด้านพิธีการศุลกากรให้ผู้ประกอบการแจ้งสถานที่ชั่วคราวที่ขนย้ายเครื่องจักรอุปกรณ์ หรือสถานที่ชั่วคราวที่ประกอบกิจการ และสามารถประกอบกิจการและปฏิบัติพิธีการศุลกากรปกติ รวมทั้งการอนุญาตคนต่างด้าวเข้ามาอยู่และทำงานภายใต้กฎหมายการนิคมฯ โดยกรณีหนังสือสูญหายจะจัดทำสำเนาให้ใหม่ และกรณีผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยต้องการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในระดับผู้เชี่ยวชาญ จะยกเว้นให้เข้ามาได้จนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ๓. การฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ได้แก่ การตรวจสอบเฝ้าระวังการระบายน้ำและการจัดการกากอุตสาหกรรมมิให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนใกล้เคียง โดยผลการตรวจสอบวิเคราะห์น้ำที่ระบายออกจากนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่อยู่ในมาตรฐานน้ำทิ้งอุตสาหกรรม ยกเว้นในบางพื้นที่มีคราบน้ำมันสูงกว่ามาตรฐาน ซึ่งได้ทำการล้อมให้คราบน้ำมันอยู่ในที่จำกัด และตักออกไปกำจัด และเมื่อมีการระบายน้ำแล้วเสร็จ จะส่งเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมในโรงงานไม่ให้รั่วไหลออกไปสร้างผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ ซึ่งได้ทำการตรวจสอบโรงงานไปแล้ว จำนวน ๒๓๕ แห่ง จากจำนวนทั้งหมด ๘๘๘ แห่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
238 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... | พณ | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... โดยให้ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามพิกัดอัตราศุลกากรขาเข้าประเภทย่อย ๑๐๐๕.๙๐.๙๐ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองตามที่กำหนดในประกาศนี้ แสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อประกอบการใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร ๒. กรณีองค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้า ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ และกรณีผู้นำเข้าทั่วไป ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร ในอัตราน้ำหนักสุทธิเมตริกตันละศูนย์บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
239 | ผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตอุทกภัย | นร | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) พร้อมคณะผู้แทนไทย ระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะและเข้าพบบุคคลสำคัญระดับสูงของรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อขอบคุณรัฐบาลและประชาชนญี่ปุ่นในการให้ความช่วยเหลือประเทศไทยอย่างทันท่วงทีตั้งแต่ช่วงต้นที่เกิดอุทกภัยและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจในมาตรการของไทยในการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และร่วมประชุมกับสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น (Keidanren) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลจากการเข้าเยี่ยมคารวะและเข้าพบบุคคลสำคัญระดับสูงของญี่ปุ่น โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ขอความร่วมมือรัฐบาลไทยในการพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ เพื่อนำมาทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ การจัดหาน้ำบริสุทธิ์ (purified water) และน้ำสะอาด (clean water) ที่เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดเครื่องจักรและอุปกรณ์ในช่วงของการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิต และการจัดหาระบบไฟฟ้าให้ทันเวลาในการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิต พร้อมทั้งเสนอให้มีมาตรการป้องกันระยะสั้นในปีหน้าและดำเนินการลงทุนด้านระบบบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและอุตสาหกรรมที่อยู่พื้นที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญต่อการเพิ่มบทบาทของญี่ปุ่นในการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตในระดับอนุภูมิภาคตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East - West Economic Corridor : EWEC) และแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ (North - South Economic Carridor : NSEC) ๑.๒ ผลการประชุมร่วมกับสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น (Keidanren) โดยสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่นได้เสนอขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ ให้กับบริษัทที่ได้รับและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ที่นำเข้ามาทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศทั้งของบริษัทที่ได้รับและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูระบบการผลิตในบริษัทที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ๑.๓ ผลการหารือกับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และภาคเอกชนของญี่ปุ่น ได้มีการชี้แจงสถานการณ์น้ำท่วมและความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไทย ว่าขณะนี้การฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายมีความคืบหน้าเร็วกว่าที่กำหนดไว้ ส่วนหนึ่งจากการสนับสนุนทีมผู้เชี่ยวชาญและเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น พื้นที่ชุมชนหลายแห่งเริ่มกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ โดยรัฐบาลได้เข้าไปช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน และด้านคุณภาพชีวิต รวมทั้งชี้แจงให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบถึงกลไกการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติและการฟื้นฟูประเทศทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาระยะสั้น คือ การสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและนักลงทุนว่าก่อนฤดูฝนปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีการบริหารจัดการน้ำเพื่อมิให้เกิดวิกฤตอุทกภัย ในขณะที่เป้าหมายระยะยาว จะครอบคลุมเรื่องการลงทุนด้านบริหารจัดการน้ำในระยะยาวอย่างยั่งยืน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ การวางแผนการใช้ที่ดิน การพิจารณาพื้นที่เศรษฐกิจแห่งใหม่เพื่อรองรับอุตสาหกรรม การจัดหาแหล่งเงินเพื่อการพัฒนา การพัฒนาธุรกิจประกันภัย การปรับระบบการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ รวมทั้งการปรับปรุงและบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร พิจารณาเร่งรัดการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ เพื่อนำมาทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และอำนวยความสะดวกพิธีการศุลกากรที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว เพื่อให้โรงงานที่ได้รับผลกระทบสามารถติดตั้งเครื่องจักรได้เร็วที่สุด ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค จัดหาน้ำบริสุทธิ์และน้ำสะอาดที่เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดเครื่องจักรและอุปกรณ์ในช่วงของการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๔. ให้กระทวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดเตรียมระบบไฟฟ้าให้พร้อมจ่ายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่กลับเข้าสู่ระบบการผลิต ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
240 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง | กค | 06/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๖ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไปตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมศุลกากร ๒. นางเบญจา หลุยเจริญ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมสรรพสามิต ๓. นายนริศ ชัยสูตร ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมธนารักษ์ ๔. นายสมชัย สัจจพงษ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (นักบริหารสูง) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๕. นายประสงค์ พูนธเนศ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (นักบริหารสูง) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ๖. นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
|
.....