ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 30 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 597 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
321 | การจัดตั้งสำนักงานเสริมสร้างขีดความสามารถในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิกขององค์การศุลกากรโลก | กค | 07/09/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
ที่มีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ อนุมัติในหลักการให้จัดตั้งสำนักงานเสริมสร้างขีดความสามารถใน ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกขององค์การศุลกากรโลก (WCO Asia Pacific Regional Office for Capaity Building : ROCB) รวมทั้งอนุมัติให้ใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร พ.ศ. 2541 และอนุสัญญาจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรท้ายพระราชบัญญัติ ฯ เป็นกฎหมาย คุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานและผู้ปฏิบัติงาน และให้สำนักงาน ฯ เปิดดำเนินงานก่อน โดยระหว่าง การดำเนินงานของสำนักงาน ฯ ให้มีการทำข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การศุลกากรโลกต่อไป โดย ให้รับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครอง การดำเนินงานของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร พ.ศ. 2541 และอนุสัญญาจัดตั้งคณะมนตรีความ ร่วมมือทางศุลกากรเพียงพอที่จะคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงาน ฯ โดยไม่ต้องออกกฎหมายรองรับอีก และเมื่อจัดทำความตกลงว่าด้วยสำนักงานในไทย (Host Country Agreement) ระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์ การศุลกากรโลก ก็ไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายเฉพาะรองรับอีก และเนื่องจากการดำเนินการเป็นการใช้งบ ประมาณปกติของหน่วยงาน โดยไม่ได้ของบประมาณเพิ่มเติม ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยเห็นชอบด้วย จึงเห็นควรอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอโดยให้กระทรวงการคลังจัดทำเอกสารชี้แจงรายละเอียดความ เป็นมา ประโยชน์ที่จะได้รับ และความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และ เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เร่งรัดจัดทำความตกลง ฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อ ไป |
||||||||||||||||||||||||
322 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ระดับ 10 (จำนวน 8 ราย) | กค | 31/08/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนใน
สังกัดระดับ 10 ให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ จำนวน 8 ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป ดังนี้ นายวิสุทธิ์ มนตริวัด ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร 10) สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง นางลีนา เจริญศรี ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร 10) สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง นาย ศานิต ร่างน้อย ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร 10) สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง นาย บุญศักดิ์ เจียมปรีชา ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร 10) กรมบัญชีกลาง นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ดำรง ตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร 10) กรมศุลกากร นายอุทิศ ธรรมวาทิน ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร 10) กรมสรรพสามิต นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร 10) กรมสรรพากร และนาย ชวลิต เศรษฐเมธีกุล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการ 10) สำนักงานปลัดกระทรวง การคลัง |
||||||||||||||||||||||||
323 | ขออนุมัตินำเครื่องออกรางวัลอัตโนมัติพร้อมอุปกรณ์เข้ามาในราชอาณาจักร | พณ | 24/08/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 ที่มีมติ
เห็นชอบให้นำเครื่องออกรางวัลอัตโนมัติพร้อมอุปกรณ์เข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อใช้ในกิจการออกสลากกิน แบ่งรัฐบาลเป็นกรณีเฉพาะ และมอบหมายให้กรมศุลกากรควบคุมมิให้มีการนำเข้าเครื่องออกรางวัลอัตโนมัติ เข้ามาในราชอาณาจักรในกรณีอื่นอย่างเข้มงวด |
||||||||||||||||||||||||
324 | ผลการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านครั้งที่ อพบ. 2/2547 | พณ | 10/08/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายเศรษฐ
กิจระหว่างประเทศ เสนอผลการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ครั้งที่ อพบ. 2/2547 ดังนี้ เรื่อง งบประมาณแผนงาน/โครงการเร่งด่วนภายใต้ความร่วมมือ 5 สาขา ของ ACMECS ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางดำเนินการตามตารางแผนปฏิบัติการทั้ง 5 สาขา และเห็นชอบโครงการเร่ง ด่วนปี พ.ศ. 2547-2548 ภายใต้ 5 สาขา ความร่วมมือ คือ (1) โครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณราย จ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 41 โครงการ และโครงการจำเป็นเร่งด่วนของกรมศุลกากร โดยให้ปรับลดงบประมาณโครงการทั้งหมดให้อยู่ภายในวงเงิน 100 ล้านบาท และ (2) โครงการเพื่อขอรับจัด สรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2548 จำนวน 2 โครงการ วงเงิน 25.85 ล้านบาท เรื่อง การจัดตั้ง ESC Business Council และคณะทำงานอนุญาโตตุลาการ ที่ประชุมเห็นชอบรูปแบบการจัดตั้งสภาธุรกิจ ESC (ประเทศไทย) หรือ Thailand ECS Business Council และการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการถาวร ECS Business Counci l ในปี พ.ศ. 2547 โดยรัฐบาลจะสนับสนุนเงินงบประมาณอุดหนุนการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการถาวรในระยะแรก คือ 1-2 ปีแรก สำหรับงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้ภาคเอกชนหาแหล่งเงินสนับสนุนการดำเนินการ เอง รวมทั้งเห็นชอบการจัดตั้งคณะทำงานด้านอนุญาโตตุลาการเพิ่มเติมอีกคณะหนึ่ง โดยชื่อที่เหมาะสมของคณะ ทำงานแทนชื่ออนุญาโตตุลาการ ฯ ให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมายพิจารณา โดยให้คำนึงถึงวัตถุประสงค์หลัก ของคณะทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นระหว่างภาคเอกชนของประเทศสมาชิก ACMECS เรื่องยุทธ ศาสตร์ความร่วมมือเพื่อความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและเวียดนาม ที่ประชุมเห็นชอบการจัดทำ ยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ทำความ ตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 20 ล้านบาท เพื่อจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาจัดทำยุทธศาสตร์ ฯ และเรื่อง การจัดทำกรอบความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างไทยและลาว ที่ประชุม อพบ. เห็นชอบแนวทางการ ดำเนินงานเพื่อให้บรรลุความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่า ด้วยกรอบความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย-ลาว โดยให้ สศช. ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนัก งบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 8 ล้าน บาท |
||||||||||||||||||||||||
325 | รายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของหน่วยงานราชการภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | กค | 16/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของหน่วยงานราชการภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ดังนี้ (1) กรมศุลกากร ได้นำ เรือศุลกากร (เรือเร็ว และเรือยาง) ไปใช้ในการลาดตระเวน การปันส่วนน้ำมันดีเซลและน้ำมันปาล์ม การ บริจาคเงินให้แก่โรงเรียน จำนวน 600,000 บาท และการจ้างคนในพื้นที่เป็นลูกจ้างของกรมศุลกากร (2) กรมสรรพสามิต ได้จัดอบรมและพัฒนาบุคลากรของกรมสรรพสามิตให้มีความเข้าใจในวัฒนธรรม ค่านิยม ภาษาท้องถิ่น (ยาวี) และสนับสนุนส่งเสริมสินค้า OTOP ประเภทน้ำผัก และผลไม้ (3) กรมสรรพากร ได้ เร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น (4) กรม ธนารักษ์ ได้ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารราชพัสดุ สร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างตามยุทธศาสตร์หรือตามความ ต้องการของจังหวัด และจัดหาที่อยู่อาศัยและหรือที่ทำกินให้ราษฎรผู้มีรายได้น้อย และ (5) กรมบัญชี กลาง ได้ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ดังนี้ อนุมัติสิทธิในการนับเวลาราชการทวีคูณแก่ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้า ที่อยู่ในเขตที่มีการประกาศกฎอัยการศึก, จ่ายเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้น ที่พิเศษ (สปพ.) ในอัตรา 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ปฏิบัติงาน ประจำในพื้นที่ดังกล่าว, กำหนดเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนเพิ่มเติมให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำดัง กล่าวให้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนในอัตรา 2,500 บาท ทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ นอกเหนือ จากที่กล่าวไว้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้พิจารณากำหนดบุคคลผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สมควรได้รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือน โดยให้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนใน อัตรา 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน หากเป็นผู้ปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์ ให้ได้รับเงินพิเศษเพิ่มเติม อีก 2,500 บาท นอกจากนี้ ยังได้จ่ายเงินช่วยเหลือจากโครงการเพื่อการสาธารณประโยชน์จากรายได้ โดยการออกสลากพิเศษ รวมทั้งอนุมัติการช่วยเหลือบุตรของข้าราชการหรือลูกจ้างประจำที่เสียชีวิตจาก การปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้รับสิทธิสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรตามหลัก เกณฑ์ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. 2523 และที่แก้ไขเพิ่ม เติมต่อไปจนกว่าจะหมดสิทธิ |
||||||||||||||||||||||||
326 | การดำเนินการตามผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี | กค | 06/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมของการดำเนินการ
ตามผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2546 ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ กระทรวงการคลัง ดังนี้ (1) เรื่อง การจัดทำความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับจีน ทั้งสองฝ่าย ได้ดำเนินการประกาศลดภาษีศุลกากรระหว่างกันลงเหลือร้อยละ 0 โดยกระทรวงการคลังได้ออกประกาศลด ภาษีสำหรับสินค้าตอนที่ 07-08 ให้กับจีนซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 สำหรับกรอบความตกลงการ ค้าเสรีระหว่างอาเซียน-จีน ไทยจะลดภาษีผักและผลไม้และสินค้าเกษตรในตอนที่ 01-08 ซึ่งกระทรวงการ คลังได้ออกประกาศลดภาษีในเรื่องดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2547 (2) เรื่อง มาตรการทางภาษีต่อน้ำมันปาล์ม กระทรวงการคลังได้มีหนังสือถึงคณะกรรมการนโยบายถั่วเหลืองและ พืชน้ำมันอื่น เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2546 เพื่อขอให้พิจารณายกเลิกมาตรการจำกัดปริมาณนำเข้าของสินค้า กลุ่มดังกล่าว เฉพาะการนำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งขณะนี้เรื่องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของ คณะกรรมการ ฯ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยยังไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม (3) ความร่วมมือในการ ขนส่งสินค้า และผู้โดยสารข้ามแดน ที่ประชุมคณะกรรมาธิการร่วมถาวรไทย-มาเลเซีย ได้มีการหารือและเห็น ชอบในหลักการที่จะให้ยกร่างความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายผ่านแดนไทยไปยังมาเลเซียขึ้นมา ใหม่ โดยใช้ชื่อว่า "ความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าผ่านแดนโดยทางถนน" โดยเนื้อหาให้ครอบคลุมการขน ส่งสินค้าทุกประเภทไม่เฉพาะแต่สินค้าเน่าเสียง่ายเท่านั้น และไม่จำกัดเพดานของปริมาณสินค้าที่ขนส่ง (โดย เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่จำกัดปริมาณไว้ที่ 6 หมื่นตัน) โดยฝ่ายไทยได้ยกร่างความตกลง ฯ ดังกล่าว และส่งให้ ทางฝ่ายมาเลเซียตรวจสอบในรายละเอียดแล้วซึ่งล่าสุดทราบว่ากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของมาเลเซีย และ (4) เรื่อง การลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายจากไทยไปมาเล เซีย ในช่วงไตรมาสที่ 1 (มกราคม-มีนาคม 2547) มีผลการจับกุม จำนวน 512 คดี คิดเป็นมูลค่าของกลาง ที่จับกุมได้ประมาณ 148 ล้านบาท โดยศุลกากรภาค 4 ของไทยและศุลกากรมาเลเซีย ได้มีการประชุมหารือ กันในระดับเจ้าหน้าที่เพื่อร่วมมือกันหาทางป้องกันการลักลอบนำเข้าดังกล่าวอยู่เป็นระยะ และกรมศุลกากร ไทยได้มีแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย พร้อมทั้งได้กำชับด่าน ตรวจตามแนวชายแดนให้มีความเข้มงวดในการตรวจจับ เพื่อลดจำนวนและปริมาณของสินค้าที่มีการลักลอบ นำเข้าให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
327 | การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (จำนวน 8 เรื่อง) | อส | 01/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอการพิจารณาตัดสินชี้ขาดกรณีพิพาทระหว่าง
ส่วนราชการกับเอกชน ส่วนราชการกับส่วนราชการ ส่วนราชการกับรัฐวิสาหกิจ และรัฐวิสาหกิจกับรัฐวิสาห กิจตามมติคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน การประชุมครั้งที่ 2/2547 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2547 ดังนี้ กรณีพิพาทระหว่างส่วนราชการกับเอกชน (1) เรื่องข้อพิพาทระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.ที.พี.เอ็น จิเนียริ่ง โปรเจค กับพวก กรณีสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาขอให้อุทธรณ์คำสั่งของ ศาลจังหวัดนครนายกในคดีแพ่งระหว่างกรมอาชีวศึกษา โจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.ที.พี.เอ็นจิ เนียริ่ง โปรเจค กับพวก จำเลย ฐานผิดสัญญาจ้าง เรียกให้ชำระหนี้ (2) เรื่องข้อพิพาทระหว่างกองทัพบกกับพันโท (หญิง) สมใจ มุกดาสนิท กรณีกองทัพบกขอให้ว่าต่าง ฟ้อง พันโท (หญิง) สมใจ มุกดาสนิท ฐานละเมิดเรียกค่าเสียหาย จำนวน 785,792.85 บาท พร้อมดอกเบี้ย (3) เรื่องข้อพิพาทระหว่างกรมศุลกากรกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเกียรติชัยการทอ กรณีกรมศุลกากรขอ ให้ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดเกียรติชัยการทอเรียกให้รับผิดชำระค่าภาษีอากรค้างจำนวน 268,419 บาท (ไม่รวมเงินเพิ่มตามกฎหมาย) กรณีพิพาทระหว่างส่วนราชการกับส่วนราชการ ส่วนราชการกับรัฐวิสาหกิจ และรัฐวิสาหกิจกับรัฐ วิสาหกิจ (1) เรื่องข้อพิพาทระหว่างองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์กับกรุงเทพมหานคร กรณีละเมิดเรียก ค่าเสียหายจำนวน 298,402 บาท (2) เรื่องข้อพิพาทระหว่างองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพกับการไฟฟ้านครหลวง กรณีละเมิดเรียกให้ ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 16,000 บาท (3) เรื่องข้อพิพาทระหว่างองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหา ชน)) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กรณีละเมิดเรียกค่าเสียหายจำนวน 275,447.33 บาท (4) เรื่องข้อพิพาทระหว่างกองทัพบกกับจังหวัดปราจีนบุรี กรณีขอเงินค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างที่ถูก เวนคืนเพิ่ม (5) เรื่องข้อพิพาทระหว่างกรมธนารักษ์กับกรมการศาสนา เรื่องการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ที่ดินของวัดหัว พงหรือหัวพงษ์ (วัดร้าง) |
||||||||||||||||||||||||
328 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาด่านช่องเม็ก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 | กค | 18/05/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานโครงการพัฒนา
ด่านช่องเม็ก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 โดยมีผลการดำเนินงานดังนี้ กระทรวง การคลัง กรมศุลกากร โดยด่านศุลกากรพิบูลมังสาหาร สำนักงานศุลกากรภาคที่ 2 ซึ่งเป็นหน่วยที่รับ ผิดชอบด่านพรมแดนช่องเม็กได้ประสานงานกับจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อขอใช้พื้นที่บริเวณช่องเม็กในการ ดำเนินการก่อสร้างด่านพรมแดนและด่านศุลกากร (แห่งใหม่) ขึ้นในบริเวณเดียวกันเพื่อเป็นการรองรับ การพัฒนาด่านช่องเม็ก และก่อให้เกิดความสะดวกในการดำเนินพิธีการศุลกากรและพิธีการอื่นที่เกี่ยว ข้องกับการผ่านแดนในลักษณะ ONE STOP SERVICE ตามโครงการจัดระบบเศรษฐกิจตามแนวชายแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือระดับทวิภาคีที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน จากการสร้างความมั่งคั่ง และมั่นคงทาง เศรษฐกิจ 4 ประเทศอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ด่านศุลกากรพิบูลมังสาหาร ได้จัดทำโครงการก่อสร้างด่าน พรมแดน ด่านศุลกากร และอาคารศูนย์ราชการบริเวณพรมแดนช่องเม็ก เสนอกรมศุลกากร เพื่อขอจัด สรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2548 และเสนอจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อขอให้พิจารณาการสนับสนุน และจัดสรรงบประมาณกลางปี พ.ศ. 2547 วงเงิน 229.5 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ของกรมศุลกากรและจังหวัดอุบลราชธานี
|
||||||||||||||||||||||||
329 | ขอปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบคณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย | คค | 27/04/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการแห่ง
ชาติในการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยาน และเรือที่ประสบภัย โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการชุดใหม่ มี ดังนี้ รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง) เป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมการขน ส่งทางอากาศและอธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นรองประธานกรรมการ ผู้แทนกองบัญชาการ ทหารสูงสุด ผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพอากาศ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทน กระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผู้แทน กรมอุตุนิยมวิทยา ผู้แทนกรมการปกครอง ผู้แทนกรมศุลกากร ผู้แทนกรมประมงผู้แทนสำนักฝนหลวงและการ บินเกษตร ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนการท่าเรือแห่งประเทศไทย ผู้แทนที่ทำการวิทยุเรือบริษัท กสท โทร คมนาคม จำกัด (มหาชน) ผู้แทนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ผู้แทนบริษัท วิทยุการบินแห่ง ประเทศไทย จำกัด เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานในการเดินอากาศ กรมการขนส่งอากาศ เป็น กรรมการและเลขานุการ หัวหน้าส่วนค้นหาและช่วยเหลือเรือประสบภัย กรมการขนส่งทางอากาศ ผู้แทนกอง นิติการ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้แทนกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นกรรมการและผู้ ช่วยเลขานุการ โดยให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่คงเดิม |
||||||||||||||||||||||||
330 | การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (จำนวน 12 เรื่อง) | อส | 27/04/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอมติคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติใน
การดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการประชุมครั้งที่ 8/2546 เมื่อวันที่ 22 ธันวา คม 2546 และครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2547 ซึ่งได้พิจารณาตัดสินชี้ขาดกรณีพิพาทระหว่างส่วน ราชการกับเอกชน ส่วนราชการกับส่วนราชการ ส่วนราชการกับรัฐวิสาหกิจ และรัฐวิสาหกิจกับรัฐวิสาหกิจ รวม 12 เรื่อง ดังนี้ กรณีพิพาทระหว่างส่วนราชการกับเอกชน เรื่องข้อพิพาทระหว่าง กรมตำรวจ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน) กับจ่าสิบตำรวจเทอดพงษ์ กฤษณะสุวรรณ กับพวกรวม 23 คน กรณี ละเมิด ให้ร่วมกันรับผิดชดใช้เงิน จำนวน 233,981.66 บาท เรื่องข้อ พิพาทระหว่าง สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท กับ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อิสริยะกิจ เอ็นเตอร์ไพร้ส์ กับพวก เรื่องผิด สัญญาค้ำประกัน เรียกค่าปรับ จำนวน 189,110.60 บาท เรื่องข้อพิพาทระหว่าง กรมอาชีวศึกษา กับ บริษัท เบสท์ เมทัลเวอร์ค จำกัด กับพวก เรื่องผิดสัญญาเรียกค่าปรับ จำนวน 79,439.30 บาท และเรื่องข้อพิพาท ระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์ กับ บริษัท ดับบลิว ไอซี จำกัด และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เรื่องผิด สัญญา ค้ำประกันเรียกเบี้ยปรับ จำนวน 1,036,270 บาท กรณีพิพาทระหว่างส่วนราชการกับส่วนราชการ ส่วนราชการกับรัฐวิสาหกิจ และรัฐวิสาหกิจกับรัฐ วิสาหกิจ เรื่องข้อพิพาทระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กับ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรณีกรมการค้าต่าง ประเทศขอให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยารับผิดคืนเงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับจัดสรรตามโครง การยกระดับราคาหัวมันสำปะหลังปี 2540 จำนวน 135,735 บาท เรื่องข้อพิพาทระหว่างกรมทางหลวง กับ กรมที่ดิน กรณีกรมทางหลวงขอให้กรมที่ดินเพิกถอนคำสั่งการออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดเขาน้อย เรื่องข้อพิพาท ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กรณีละเมิด และผิดสัญญาเปิดบัญชี เงินฝากกระแสรายวัน เรียกให้ชดใช้เงิน จำนวน 1,461,621.19 บาท เรื่องข้อพิพาทระหว่างการรถไฟแห่ง ประเทศไทย กับ เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา กรณีการเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน ประจำปี พ.ศ. 2542, 2543 และ 2544 เรื่องข้อพิพาทระหว่างกรมศุลกากร กับ กรมการแพทย์ (โรงพยาบาลราชวิถี) กรณีเรียกให้ ชำระเงินค่าอากรขาเข้าแก่กรมศุลกากรจำนวน 1,246,304 บาท เรื่องข้อพิพาทระหว่างกรมศุลกากร กับ การ ท่าเรือแห่งประเทศไทย กรณีเรียกให้ชำระค่าอากรขาเข้า จำนวน 7,992,172 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 11,748,488 บาท พร้อมค่าปรับและเบี้ยปรับ เรื่องข้อพิพาทระหว่างเทศบาลตำบลสำโรงใต้ กับ เทศบาล ตำบลลัดหลวง กรณีการแบ่งทรัพย์สินที่ดิน และเรื่องข้อพิพาทระหว่างเทศบาลเมืองมาบตาพุด กับ การนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรณีเรียกให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจ่ายเงินค่าตอบแทนการ ออกใบอนุญาตปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำบริเวณท่าเรือมาบตาพุด |
||||||||||||||||||||||||
331 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยศุลกากรให้สอดคล้องกับความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า 1994 และสภาวการณ์ปัจจุบัน) | กค | 20/04/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
(ฝ่ายกฎหมาย) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ ฉบับนี้เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เนื่องจากบทบัญญัติมาตรา 11 ทวิ และมาตรา 12 แห่ง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 5 และ 6 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2543 ได้บัญญัติให้อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดราคาศุลกากรในกรณีที่พิจารณาเห็นว่า ราคาสำแดงของของที่นำเข้ามีราคาต่ำอย่างปรากฏชัด หรือไม่น่าจะเป็นมูลค่าอันแท้จริง หรือในกรณีที่ไม่ ตกลงในเรื่องราคาศุลกากรสำหรับของอย่างใด ๆ และให้อำนาจอธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจรับของนั้นไว้ เป็นค่าภาษีหรือจะซื้อของนั้นไว้หรืออธิบดีและเจ้าของต่างตั้งอนุญาโตตุลาการมีจำนวนเท่ากันเป็นบทบัญญัติ ที่ขัดแย้งกับความตกลงในการนำมาตรา 7 ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า 1994 มา ถือปฏิบัติรวมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติอื่น ๆ เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ ให้รับ ประเด็นอภิปรายของ คกก.7 ที่เห็นว่า ตามร่างมาตรา 6 กำหนดให้การกระทำที่บัญญัติไว้ในมาตรา 27วรรค หนึ่งและร่างมาตรา 9 กำหนดให้การกระทำตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ. 2469 ให้ถือเป็นความผิดโดยมิพักต้องคำนึงว่า ผู้กระทำมีเจตนาหรือกระทำโดยประมาทเลิน เล่อหรือไม่นั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวตรงกับกฎหมายปัจจุบันในมาตรา 16 จึงไม่มีความจำเป็นต้องตัด ข้อความดังกล่าวแล้วนำมาบัญญัติไว้ในมาตรา 27 และมาตรา 99 แต่อย่างใด และเห็นควรให้คงมาตรา 16 ไว้เช่นเดิม และเนื่องจากกฎหมายศุลกากรเป็นกฎหมายพิเศษ ดังนั้นบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นข้อยกเว้นของ หลักการกฎหมายทั่วไป ซึ่งบัญญัติในทำนองนี้ได้มีบัญญัติในกฎหมายอื่น ๆ บ้างแล้ว เช่น กฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งหากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีการศึกษารวบรวมกฎหมายต่าง ๆ ที่ มีบทบัญญัติทำนองนี้ไว้ ก็จะเป็นข้อมูลในเชิงวิชาการด้านกฎหมายอย่างยิ่ง และข้อสังเกตของสำนักเลขา ธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับในชั้นการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ควรให้ดำเนินการทำนอง เดียวกับร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดระเบียบพิธีการ ศุลกากรการรายงานเรือเข้า ออก รายงานอากาศยานเข้า การขอคืนอากร และปรับปรุงอัตราโทษ ซึ่ง คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (17 กุมภาพันธ์ 2547) อนุมัติตามมติ คกก.7 ที่เห็นควรอนุมัติหลักการและให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 เกี่ยวกับการ แก้ไขกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ซึ่งกระทรวงการคลังได้เสนอมาเพื่อดำเนินการแล้วหลายฉบับหลายเรื่อง ซึ่ง บางฉบับอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณา และในการพิจารณาควรคำนึงถึงขั้นตอนและระยะเวลาการประกาศ ใช้บังคับเป็นกฎหมายด้วยเพื่อให้กฎหมายที่ประกาศใช้ก่อนและหลังมีความสอดคล้องกัน กรณีร่างกฎหมาย อยู่ในขั้นตอนและมีเนื้อหาที่สามารถรวมกันเป็นฉบับเดียวได้ ก็สมควรรวมเป็นฉบับเดียวหากพิจารณาแล้ว เห็นว่าเหมาะสม ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำ เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
332 | กระทู้ถามที่ 1217 ร. เรื่อง นโยบายและแนวทางการสนับสนุนกีฬา | สผ | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1217 ร.
เรื่อง นโยบายและแนวทางการสนับสนุนกีฬา ของนายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด สมุทรสาคร และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงการ ท่องเที่ยวและกีฬา ได้กำหนดนโยบายการดำเนินงานในการพัฒนากีฬาทุกระดับ เพื่อให้ประเทศเป็นหนึ่งใน กลุ่มผู้นำทางการกีฬาของเอเชีย รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมกีฬาระดับชุมชน และโรงเรียน เพื่อส่งเสริม สุขภาพและเป็นการเริ่มต้นของการพัฒนาสู่กีฬากึ่งอาชีพ และสนับสนุนบทบาทจากภาคเอกชนให้มีส่วนร่วม ในการพัฒนาการกีฬาของชาติ ส่วนเรื่องการใช้ระบบลดหย่อนภาษีให้กับภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนด้าน การกีฬา ขณะนี้กำลังพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับจ่ายเพื่อสนับ สนุนการกีฬา ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริจาคสินค้าเพื่อสนับสนุนการกีฬา ยกเว้นการหักภาษีเงิน ได้ ณ ที่จ่าย สำหรับเงินอุดหนุนหรือจ่ายค่าโฆษณาให้แก่สมาคมกีฬา และยกเว้นภาษีอากรเพื่อสนับสนุน การจัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติ โดยการยกเว้นในกรณีนี้ จะมีการพิจารณาเพื่อขอผ่อนผันกฎระเบียบของ กรมศุลกากร คือ กรณีองค์การอื่นที่มิใช่ส่วนราชการนำเข้าสินค้ามาเป็นครั้งคราว เพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬา ระดับชาติที่จัดขึ้นในประเทศ ให้สามารถนำเข้าสินค้าเป็นการชั่วคราวได้โดยมิต้องใช้ธนาคารค้ำประกัน และ กรณีโอนสินค้าที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬาระดับชาติระหว่างประเทศ ซึ่งได้รับยกเว้นอากรให้แก่องค์ การอื่นที่มิใช่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ ในลักษณะให้โอนโดยไม่มีค่าตอบแทนหรือค่าภาระติดพัน ให้ได้ รับการยกเว้นภาษีศุลกากร |
||||||||||||||||||||||||
333 | ผลการดำเนินมาตรการด้านการนำเข้า | พณ | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ
บริหารนโยบายการนำเข้า (กบน.) ครั้งที่ 1/2547 เกี่ยวกับมาตรการด้านการนำเข้า ในส่วนของมาตรการ ชะลอการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค (เครื่องหนัง รองเท้า ปากกาและอุปกรณ์ น้ำผึ้งและผลิตภัณฑ์) แนวทาง การเพิ่มศักยภาพการผลิตและใช้สินค้าในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า และโครงการรณรงค์ให้ใช้สินค้าเพื่อ ทดแทนการนำเข้า ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ กบน. อย่างเคร่งครัด จริงจัง และให้ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการด้วย ดังนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เร่งส่งเสริมสนับสนุนให้มีการผลิตและการใช้วัตถุดิบหรือชิ้น ส่วนที่ผลิตได้เองภายในประเทศ (local content) ให้มากยิ่งขั้น รวมทั้งการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าด้วย ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ควบคุมดูแลการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ ต่าง ๆ ให้มีเท่าที่จำเป็น และลดการนำเข้าสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยเพื่อลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ ให้ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบดูแลเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดสินค้า ของสินค้านำเข้าให้ถูกต้องและเป็นไปตามพันธกรณี และข้อตกลงว่าด้วยเขตการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยทำไว้กับ ประเทศต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางการค้า และรายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียมที่ถูกต้อง กับให้ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการรณรงค์ให้ใช้สินค้าไทยเพื่อทดแทนสินค้านำเข้าอย่าง ต่อเนื่องจริงจัง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) รับไปเร่ง รัดกำกับติดตามการดำเนินการรณรงค์ให้ประชาชนนิยมไทยและเลือกใช้และบริโภคสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศ (made in Thailand) โดยต้องระมัดระวังมิให้แนวทางการดำเนินการดังกล่าวขัดกับข้อตกลงทางการค้าหรือข้อ กำหนดใดขององค์การการค้าโลก (WTO) โดยให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) สำรวจตรวจสอบรายการ /ชนิดสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าสูงหรือมีปริมาณนำเข้าจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยเพื่อ ใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการ และให้รายงานข้อมูลดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย นอกจากนี้ ให้ กระทรวงพลังงานเร่งรัดดำเนินการ เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน และเชื้อเพลิงในมิติต่าง ๆ เพื่อลดปริมาณ การนำเข้าก๊าซ น้ำมัน และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง |
||||||||||||||||||||||||
334 | กรมศุลกากรตรวจยึดสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา | พณ | 27/01/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการตรวจยึดสินค้าละเมิดทรัพย์สินทาง
ปัญญาของกรมศุลกากร โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ทำการอายัดสินค้าและตรวจสอบสินค้าที่นำเข้าทางเรือ เนื่อง จากสงสัยว่าเป็นสินค้าที่นำเข้ามาโดยสำแดงเท็จหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้าม ข้อจำกัด และตามคำร้องขอของตัวแทน ของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร ซึ่งได้แก่ บริษัท สินธนโชติ จำกัด ทั้งนี้ สินค้า ดังกล่าวนำเข้ามาจากประเทศจีน โดยบริษัท ตากธนะสิน จำกัด โดยทางเรือเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่สาม ซึ่ง มีการสำแดงชนิดสินค้าเป็นเสื้อผ้า ยี่ห้อ VERSA จำนวน 138 หีบห่อ และจากการตรวจสอบร่วมกับตัวแทนเจ้า ของเครื่องหมายการค้าพบสินค้า เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต เสื้อโค้ต เสื้อแจ็คเก็ตหนัง หมวก รองเท้า เข็มขัดและผ้าพันคอ ซึ่งปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้า VERSACE, BUBRERY, CALVINKLEIN, POLO RALPHLAUREN, GUCCI และ FENDI รวมประมาณ 15,000 ชิ้น มูลค่าประมาณ 4,000,000 บาท ซึ่งทางเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรได้แจ้งข้อ กล่าวหากับบริษัท ตากธนะสิน จำกัด ว่า กระทำความผิดตามกฎมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยเครื่อง หมายการค้า พร้อมยึดของกลางส่งกรมศุลกากรเพื่อทำลายต่อไป สำหรับความผิดดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกไม่ เกิน 10 ปี หรือปรับ 4 เท่าของราคารวมค่าอากร หรือทั้งจำทั้งปรับ |
||||||||||||||||||||||||
335 | การดำเนินการตามผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลความคืบหน้าของการดำเนินการตาม
ผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรีและสถานะปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มาตรการทาง ภาษีต่อน้ำมันปาล์ม ความร่วมมือในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดน และการลักลอบนำเข้าสินค้าโดยผิด กฎหมายจากไทยไปมาเลเซีย โดยเรื่อง ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ได้มีการลงนามในความตกลงระหว่างไทย-จีน เพื่อเร่งลดภาษีผักและผลไม้ตอนที่ 07-08 จำนวน 116 รายการ โดยทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการประกาศลดภาษี ศุลกากรระหว่างกันลงเหลือ ร้อยละ 0 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ออกประกาศลดภาษีสำหรับสินค้าตอนที่ 07- 08 ให้กับจีนแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 สำหรับกรอบความตกลงการค้าเสรีระหว่างอาเซียน-จีน ไทยจะต้องลดภาษีผักและผลไม้และสินค้าเกษตรในตอนที่ 01-08 ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังจะออกประกาศลด ภาษี ให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2547 เรื่อง มาตรการทางภาษีต่อน้ำมันปาล์ม กระทรวงการคลังได้ มีหนังสือถึงคณะกรรมการนโยบายถั่วเหลืองและพืชน้ำมันอื่น เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2546 เพื่อขอให้พิจารณา ยกเลิกมาตรการจำกัดปริมาณนำเข้าของสินค้ากลุ่มดังกล่าว เฉพาะการนำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียน ขณะ นี้เรื่องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ฯ ดังกล่าว เรื่อง ความร่วมมือในการขนส่งสินค้า และ ผู้โดยสารข้ามแดน ได้มีการแก้ไขร่างความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายจากไทยผ่านมาเลเซียไปยัง สิงคโปร์ให้ครอบคลุมการขนส่งสินค้าทุกประเภท ไม่เฉพาะแต่สินค้าเน่าเสียง่ายเท่านั้น โดยมาเลเซียตกลงเพิ่ม โควตาสินค้าเน่าเสียง่ายจากไทยผ่านมาเลเซียไปยังสิงคโปร์ จาก 3 หมื่นตัน เป็น 6 หมื่นตัน และไทยอนุญาต ให้มาเลเซียสามารถขนส่งสินค้าผ่านไทยไปยังพม่า ลาว และกัมพูชา ได้ โดยคณะกรรมาธิการ ฯ ซึ่งมีกระทรวง คมนาคมเป็นเจ้าของเรื่องได้ส่งร่างความตกลงที่แก้ไขใหม่ให้ฝ่ายมาเลเซีย เพื่อพิจารณาตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2546 ขณะนี้ทางฝ่ายมาเลเซียยังไม่ได้ตอบกลับมาแต่อย่างใด และเรื่อง การลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย จากไทยไปมาเลเซีย ได้มีการประสานความร่วมมือในทางปฏิบัติระหว่างศุลกากรไทยและมาเลเซีย โดยได้มีการ ประชุมร่วมกันระหว่างอธิบดีกรมศุลกากรไทยและอธิบดีกรมศุลกากรมาเลเซีย ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงจะประสาน ร่วมมือกันปฏิบัติงานในหลาย ๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องการลักลอบนำเข้าสินค้าโดยผิดกฎหมาย โดยมาเลเซียขอให้ ไทยช่วยดูแลการลักลอบนำข้าวเข้าประเทศมาเลเซีย ซึ่งการนำเข้าข้าวไม่ต้องเสียภาษี แต่เป็นของต้องจำกัด ซึ่ง ต้องมีใบอนุญาตจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงขอให้ไทยช่วยเข้มงวดในการตรวจสอบใบอนุญาตนำเข้า ข้าวให้ด้วย โดยไทยได้เสนอให้มาเลเซียช่วยดูแลการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มมายังไทยเช่นกัน |
||||||||||||||||||||||||
336 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง ผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี) | มท | 20/01/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
ของกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี ดังนี้ เรื่อง ปัญหาบุคคลสองสัญชาติ เห็น ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการกงสุล กระทรวง การต่างประเทศ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น ประชุมหารือร่วมกันเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางในการ ดำเนินงานต่อไป และเห็นควรให้มีการประชุมหารือในระดับหน่วยงานระหว่างกรมการปกครอง กับ NATIONAL REGISTRATION DEPARTMENT OF MALAYSIA เพื่อเตรียมการจัดทำบันทึกข้อตกลงในการดำเนินการแก้ไขปัญหา บุคคลสองสัญชาติร่วมกันต่อไป ส่วนเรื่อง การขยายเวลาเปิดทำการด่านผ่านแดน ตามที่ไทยได้เสนอการขยาย เวลาการเปิดจุดผ่านแดน รวมทั้งได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือตามแนวชายแดนไทย- มาเลเซีย (Sub-JC) และคณะทำงานร่วมเพื่อติดตามความคืบหน้าเรื่องการขยายเวลาทำการจุดผ่านแดน การ ยกระดับจุดผ่านแดน และการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่ม และเรื่องอื่น ๆ รวม 9 เรื่อง นั้น สถานะล่าสุด ฝ่ายไทยได้มี การประชุม Sub-JC เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน และวันที่ 9 ธันวาคม 2546 โดยที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ กรมศุลกากรเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบคณะทำงานขยายเวลาเปิดจุดผ่านแดน มีผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธาน ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ เป็นเลขานุการ นอกจากนี้ คณะทำงานขยายเวลาเปิดจุดผ่านแดนของ ฝ่ายไทยจะหารือร่วมกับฝ่ายมาเลเซีย และนำข้อยุติเบื้องต้นเสนอต่อ Sub-JC ซึ่งกำหนดประชุมร่วมกันครั้งแรก ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ณ ประเทศมาเลเซีย |
||||||||||||||||||||||||
337 | การห้ามนำเข้าสัตว์สงวนของต่างประเทศ | นร | 13/01/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับการเข้มงวด
ในการควบคุมการจับสัตว์ป่าและการบังคับใช้กฎหมาย โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไป ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาการนำสัตว์ป่าออกมาจำหน่ายและนำมา เลี้ยง นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขยายขอบเขตการดำเนินการ โดยประสานกับกระทรวง การคลัง (กรมศุลกากร) ที่จะกำหนดแนวทางในการห้ามนำเข้าสัตว์ป่าที่เป็นสัตว์สงวนของต่างประเทศด้วย |
||||||||||||||||||||||||
338 | สรุปผลการประชุมของนายกรัฐมนตรีกับภาคเอกชน | นร | 30/12/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง
ชาติเสนอสรุปผลการประชุมของนายกรัฐมนตรีกับภาคเอกชน รวม 3 เรื่อง ได้แก่ การฟื้นฟูและพัฒนาธุรกิจอสังหา ริมทรัพย์อย่างบูรณาการ การทบทวนการจัดเก็บภาษีย้อนหลังเหล็กซิลิคอนอิเล็กทริค และการขอผ่อนผันการใช้ น้ำบาดาลสำหรับภาคอุตสาหกรรม และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยคณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ การ ฟื้นฟูและพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างบูรณาการ ที่ประชุม ฯ ได้มีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รับเป็นเจ้าภาพในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยให้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องพิจารณาแนวทางสนับสนุนและการแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ นั้น ขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุ ศรีพิทักษ์) รับไปประสานกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาทบทวนแนวทางการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกรณี ที่อยู่อาศัยบ้านมือสองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยให้นำประสบการณ์ของต่างประเทศที่ธุรกิจด้านนี้ประสบความสำเร็จ มาประกอบการพิจารณาด้วยเช่น กรณีประเทศสหรัฐอเมริกาใช้วิธีคำนวณภาษีสำหรับที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่และที่ อยู่อาศัยบ้านมือสองที่ต้องการขายต่อในอัตราที่แตกต่างกัน แต่สำหรับไทยยังใช้วิธีคำนวณภาษีสำหรับที่อยู่อาศัย ทั้งสองประเภทเช่นเดียวกัน หรือกรณีบ้านมือสองที่ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ หากราคาตลาดเพิ่มสูงขึ้น ก็ ควรเปิดโอกาสให้เจ้าของหลักทรัพย์ดังกล่าวสามารถขอขยายวงเงินกู้เพิ่มขึ้นจากเดิมได้ด้วย เป็นต้น สำหรับการ ทบทวนการจัดเก็บภาษีย้อนหลังเหล็กซิลิคอนอิเล็กทริค มอบให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) รับไปเร่งรัด ดำเนินการตามที่ได้หารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมไว้แล้วให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยในหลักการกรณีการเก็บภาษี ย้อนหลัง สมควรพิจารณายุติเรื่อง และให้กำหนดพิกัดอัตราศุลกากรและอัตราอากรขาเข้าของเหล็กประเภทดัง กล่าวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้ถูกต้องชัดเจนต่อไป ส่วนการขอผ่อนผันการใช้น้ำบาดาลสำหรับภาคอุตสาหกรรม มอบ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อยุติ โดยในหลักการให้ผ่อนผันการใช้น้ำบาดาล ในอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำบาดาลในการผลิตและกระบวนการผลิตอย่างแท้จริง ซึ่งยังไม่สามารถใช้ น้ำประปาแทนได้ หรือระบบน้ำประปายังเข้าไม่ถึงเท่านั้น ทั้งนี้ ให้พิจารณาผ่อนผันแก่ผู้ประกอบการเป็นราย ๆ ในแต่ละพื้นที่เท่าที่จำเป็น โดยกำหนดระยะเวลาผ่อนผัน และแผนการแก้ไขปรับปรุงที่ชัดเจนแน่นอน เพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์สำคัญในอันที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหาแผ่นดินทรุด อันเนื่องมาจากการนำน้ำใต้ดินมาใช้มากจนเกิน ไป และให้หน่วยงานต่าง ๆ รายงานผลความคืบหน้าของการดำเนินการที่เกี่ยวข้องให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๆ 3 เดือน และในระหว่างการดำเนินการ หากมีประเด็นข้อขัดแย้งที่เกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากร ให้หารือกับรอง นายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) โดยตรงต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
339 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและขยายเวลาก่อหนี้ผูกพัน (โครงการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานศุลกากร) | กค | 18/11/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้กรมศุลกากรเปลี่ยนแปลงรายการและขยาย
ระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายการจัดซื้อระบบคอมพิวเตอร์ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร งานศุลกากรด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2548 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2549 สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็น ชอบวงเงินงบประมาณจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ ฯ ระยะที่ 1 ส่วนที่ 1 ในวงเงิน 228,500,000 บาท โดยใช้จ่าย จากงบประมาณปี พ.ศ. 2546 จำนวน 66,180,000 บาท ส่วนที่เหลือใช้จ่ายจากงบประมาณปี พ.ศ. 2547 -พ.ศ. 2549 จำนวน 162,320,000 บาท และส่วนที่ 2 ในวงเงิน 11,990,000 บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณ ปี พ.ศ. 2547 |
||||||||||||||||||||||||
340 | ขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์ม การจัดการกับของกลาง และเป็นเงินรางวัลและเงินสินบน | พณ | 11/11/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอขอเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน 40,000,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์ม การจัดการกับของกลาง และเป็นเงินรางวัลและสินบน และให้กระทรวงพาณิชย์ขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้ รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรให้จ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลกรณีลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มจาก เงินงบกลางได้เฉพาะกรณีที่ไม่สามารถจำหน่ายของกลางและไม่มีค่าปรับเท่านั้น โดยให้จ่ายตามหลักเกณฑ์และ อัตราที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และระเบียบกรมศุลกากรว่าด้วย การจ่ายเงินสินบนและรางวัล พ.ศ. 2517 ในส่วนของค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ซึ่งไม่ได้แสดงรายละเอียดว่าเป็นค่าใช้ จ่ายรายการใดและจ่ายในอัตราเท่าไร หากปรากฏว่ารายการค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดเป็นรายการและอัตราที่ทางราช การกำหนดให้เบิกจ่ายได้ก็ให้เบิกจ่ายจากเงินงบกลางได้เช่นเดียวกัน สำหรับค่าใช้จ่ายหมวดค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและ สิ่งก่อสร้าง การพิจารณารายละเอียดรายการเป็นอำนาจของสำนักงบประมาณ จึงเห็นควรให้เป็นไปตามที่สำนัก งบประมาณพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปดำเนินการด้วย |
.....