ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 18 จากทั้งหมด 30 หน้า แสดงรายการที่ 341 - 360 จากข้อมูลทั้งหมด 597 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
341 | การจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) | กค | 28/10/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้าง
ทางเศรษฐกิจ (SAL) เพิ่มเติม จำนวน 6 โครงการ วงเงิน 1,149,767,260 บาท ประกอบด้วย โครงการเพิ่มขีด ความสามารถในการบริหารจัดการชุมชน ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม วงเงิน 14,442,860 บาท โครงการพลัง สังคม ของสำนักงานศาลปกครอง วงเงิน 10 ล้านบาท โครงการระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ ขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้อง ถิ่น วงเงิน 106,071,600 บาท โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ของกรมศุลกากร วงเงิน 970 ล้านบาท โครงการติดตามสถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวโลก (Intranet) ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย วงเงิน 28,675,800 บาท และโครงการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ วงเงิน 20,577,000 บาท |
||||||||||||||||||||||||||||||
342 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (นายมนัส คำภักดี) | คค | 28/10/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายมนัส คำภักดี รองอธิบดีกรมศุลกากร
เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังในคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยให้แต่งตั้งตั้งแต่วันที่คณะ รัฐมนตรีมีมติ (28 ตุลาคม 2546) เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
343 | บันทึกความเข้าใจระหว่างศุลกากรไทยและศุลกากรมาเลเซียเพื่อการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการในการเคลื่อนย้ายสินค้า | กค | 14/10/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอบันทึกความเข้าใจระหว่างศุลกากรไทยและศุลกา
กรมาเลเซียเพื่อการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการในการเคลื่อนย้ายสินค้า (Memorandum of Understanding between the Government of Thailand and the Government of Malaysia on Facilitation of Procedures on Movement of Goods) โดยไทยและมาเลเซียได้ตกลงจัดทำบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่ออำนวย ความสะดวกทางการค้าโดยให้มีการตรวจสินค้า ณ จุดเดียว และปรับปรุงพิธีการศุลกากรและแบบฟอร์มต่าง ๆ ให้ เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจ ฯ ได้ถูกกำหนดให้มีการลงนามโดยอธิบดีกรมศุลกากรไทยและ อธิบดีศุลกากรมาเลเซีย ในระหว่างที่นายกรัฐมนตรีของไทยเดินทางเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการในวัน ที่ 27 กรกฎาคม 2546 |
||||||||||||||||||||||||||||||
344 | การควบคุมการใช้และการนำเข้าสารเคมี (กรณีปัญหาไวน์ปลอม) | อก | 30/09/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานเกี่ยวกับเรื่อง การควบคุมการใช้และ
การนำเข้าสารเคมี (กรณีปัญหาไวน์ปลอม) สรุปได้ว่า สารเคมีอันตรายที่นำไปบรรจุขวดไวน์เป็นสาร gamma Butyrolactone นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งสารเคมีนี้ปกติจะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมสี และอุตสาหกรรมสิ่งทอ ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้แจ้งให้กรมศุลกากรดำเนินการจัดแยกพิกัดสารเคมีนี้ให้ชัดเจน เพื่อให้ทราบ ปริมาณการนำเข้า ผู้นำเข้า เพื่อจะติดตามได้ว่านำไปใช้กิจการใดบ้าง และจะได้นำเสนอคณะกรรมการวัตถุอัน ตรายออกประกาศควบคุมเป็นวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ต่อไป และหากพบ ว่า มีสารเคมีอื่นที่ใช้ทดแทนได้ ก็จะได้พิจารณาเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายออกประกาศควบคุมเป็นวัตถุ อันตรายชนิดที่ 4 เพื่อห้ามไม่ให้มีการนำเข้า ส่งออก ผลิต ขาย หรือมีไว้ในครอบครอง ส่วนการกำหนดแนว ทางและมาตรการในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการนำเข้าสารเคมีอื่น ๆ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ กระทรวง อุตสาหกรรมได้ประสานกับส่วนราชการและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเฝ้าติดตามข้อมูลจากต่างประเทศ อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมการนำเข้าสารเคมีจากต่างประเทศให้ทันต่อเหตุการณ์ โดยพิจารณาทบทวนการควบ คุมวัตถุอันตราย เมื่อประเทศพัฒนาแล้วประกาศห้ามใช้หรือควบคุมสารเคมีใดอย่างเข้มงวด และติดตามการ ประกาศควบคุมสารเคมีของประเทศพัฒนาแล้ว และนำมาพิจารณาควบคุมการนำเข้าและการใช้สารเคมีให้ เหมาะสมกับประเทศไทย นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างดำเนินการออกประกาศควบคุมสาร เคมีอันตราย ตามข้อเสนอแนะของสหประชาชาติ (UN Recommendation) ที่กำหนดไว้ในมติคณะกรรมการ วัตถุอันตราย เรื่องการขนส่งวัตถุอันตรายทางบก จำนวนประมาณ 3,000 รายการ เป็นวัตถุอันตรายเฉพาะ การขนส่ง |
||||||||||||||||||||||||||||||
345 | มติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ครั้งที่ กทภ. 3/2546 (28 กรกฎาคม 2546) | นร | 23/09/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอมติ
คณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ครั้งที่ กทภ. 3/2546 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2546 รวม 4 เรื่อง ได้แก่ นโยบายการเก็บค่าผ่านทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) ศูนย์รถโดยสารปรับอากาศ (Airport Express) ที่อาคารผู้โดยสาร โครงการลงทุนระบบแจ้งข้อมูลผู้โดยสารล่วงหน้า (APIS : ADVANCED PASSENGER INFORMATION SYSTEM) และเครื่องเอกซเรย์กระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารของกรมศุลกากร และการให้เอกชนร่วม ลงทุนในโครงการรถไฟสายพญาไท-มักกะสัน-สนามบินสุวรรณภูมิ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อ ไปได้ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่า การดำเนินการศูนย์รถโดยสารปรับอากาศ (Airport Express) ที่อาคาร ผู้โดยสาร ควรออกแบบและดำเนินการให้เหมาะสมสอดคล้องกับแผนงานรวมของอาคารที่จอดรถทั้งระบบ และ ให้มีสภาพที่เหมาะสมกับการเป็น Airport Express ที่แตกต่าง และไม่ให้เกิดการคับคั่งเหมือนที่หยุดรถรับส่งผู้โดย สารโดยทั่วไป และจะต้องมีมาตรฐานทัดเทียมกับต่างประเทศด้วย ส่วนโครงการลงทุนระบบแจ้งข้อมูลผู้โดยสาร ล่วงหน้า (APIS) และเครื่องเอกซเรย์กระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารของกรมศุลกากร ให้ดำเนินการจัดทำเป็นระบบ ที่มีความทันสมัย สามารถให้บริการผู้โดยสารด้วยความสะดวกรวดเร็ว และรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ รวมทั้ง สามารถตรวจสอบ และป้องกันการก่ออาชญากรรมและการก่อการร้ายที่มีประสิทธิภาพได้มาตรฐานสากล เช่น เดียวกับสนามบินชั้นนำอื่น ๆ ของโลก สำหรับการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการรถไฟสายพญาไท-มักกะสัน- สนามบินสุวรรณภูมิ ให้เร่งรัดดำเนินการตามพระราชบัญญัติให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของ รัฐ พ.ศ. 2535 โดยเร็ว โดยให้หารือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวตามความเหมาะสมและจำเป็นด้วย โดยในส่วนของรูปแบบการร่วมลงทุนของเอกชน และการระดมทุน ให้ กทภ. รับไปพิจารณาโดยเร็ว ซึ่งแนวทางที่อาจทำได้ เช่น การให้สัมปทาน หรือให้เอกชน ก่อสร้างและรัฐใช้แหล่งเงินจากกองทุนเข้าไปบริหาร โดยถือหน่วยลงทุนและมีการจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น นอกจากนี้ โดยที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การบินในภูมิภาค ประกอบกับจะมีสาย การบินราคาประหยัดและจะมีการขยายและการตกลงการค้ากับต่างประเทศอีกมาก ดังนั้นการขนส่งทางอากาศ และนักท่องเที่ยว ตลอดจนการเดินทางทางอากาศจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กทภ. จึงสมควรพิจารณาวาง แผนไปในอนาคตเพื่อให้ทันกับการขยายตัว และหากจำเป็นต้องลงทุนในขณะนี้บางส่วนเพื่อให้สามารถรองรับ การขยายการดำเนินงานและการให้บริการในอนาคต ก็ให้ กทภ. พิจารณาเตรียมการไว้ตั้งแต่บัดนี้ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
346 | ปัญหาราคาปุ๋ยและปัญหาเหล็กรีดร้อน | พณ | 26/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อเท็จจริงและสถานะล่าสุดของปัญหาราคา
ปุ๋ยและปัญหาเหล็กรีดร้อน สรุปได้ดังนี้ ปัญหาราคาปุ๋ย จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของราคาปุ๋ย สภาพตลาด ทั่วไปราคาอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเกษตรกรยังมีไม่มากนัก เพราะราคาตลาดปรับขึ้นลงตาม ต้นทุนที่เกิดขึ้น และมีความเป็นธรรมพอสมควรกับทุกฝ่าย ส่วนปัญหาการนำเข้าเหล็กรีดร้อน ซึ่งได้รับผลกระทบ จากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อน จาก 14 ประเทศ โดยเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่ม ตลาดในอัตราร้อยละ 3.45-128.11 ของราคา ซี.ไอ.เอฟ. เป็นเวลา 5 ปี นั้น ทางคณะกรรมการพิจารณาการทุ่ม ตลาดและการอุดหนุน ได้พิจารณาให้ยกเว้นการใช้มาตรการกับสินค้าที่นำเข้าเพื่อการส่งออกภายใต้กฎหมายของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและกรมศุลกากร สำหรับกรณี ที่ผู้ใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนที่นำไปรีดเย็นต่อและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ร้องเรียนว่า ได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบ โต้การทุ่มตลาดดังกล่าว ทางคณะกรรมการ ฯ ได้มีมติให้ความเห็นชอบการที่อุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดเย็นตกลง ที่จะร่วมมือกันซื้อเหล็กแผ่นรีดร้อนสำหรับนำไปรีดเย็นต่อจากผู้ผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้นในแต่ละปี เป็นเวลา 5 ปี โดยจะซื้อในอัตราร้อยละ 55, ร้อยละ 63, ร้อยละ 77, ร้อยละ 91 และร้อยละ 99 ของปริมาณการใช้เหล็กแผ่น รีดร้อนเพื่อไปรีดเย็นต่อทั้ง 10 พิกัดศุลกากร ตามลำดับ รวมทั้งจะร่วมมือพัฒนาคุณภาพการผลิตเหล็กแผ่นรีด ร้อนสำหรับนำไปรีดเย็นต่อให้ได้คุณภาพตามที่ผู้ใช้ต้องการ กับยกเว้นการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสิน ค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนที่นำเข้ามาเพื่อนำไปผ่านกรรมวิธีรีดเย็นต่อ จำนวน 10 พิกัดศุลกากร สำหรับใช้ในอุตสาห กรรมต่อเนื่อง 4 ประเภท คือ ยานยนต์/ชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กเคลือบสังกะสีสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า และ เหล็กเคลือบสังกะสีที่เข้มงวดเรื่องคุณภาพขอบเหล็ก โดยกำหนดปริมาณการนำเข้าที่ได้รับการยกเว้นมาตรการไว้ เป็นปี ๆ ไป เป็นเวลา 5 ปี คือ ในอัตราร้อยละ 45, ร้อยละ 37, ร้อยละ 23, ร้อยละ 9 และร้อยละ 1 ของ ปริมาณการใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนเพื่อไปรีดเย็นต่อทั้ง 10 พิกัดศุลกากร |
||||||||||||||||||||||||||||||
347 | การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดเชียงราย | นร | 29/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดเชียงราย โดยให้ใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วของ 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กรมศุลกากร และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เพื่อจัดให้มีเขตนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป (กฎหมาย กนอ.) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์แบบเขตปลอดอากร (กฎ หมายกรมศุลกากร) พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเงินได้ (กฎหมาย สกท.) ให้ดำเนินการในรูปแบบการให้บริการ แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-Stop Services : OSS) โดยในระยะแรก กนอ. เป็นเจ้าภาพดำเนินการ ส่วนระยะ ยาวให้ กนอ. ศึกษาเพื่อจัดการบริหารในลักษณะพื้นที่เฉพาะแบบเบ็ดเสร็จมีความเป็นเอกภาพในการกำกับดูแล ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายฉบับเดียว และการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ ชายแดน โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ และกรรม การอีก 12 คน มีรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ ฯ เป็นเลขานุการ รวมทั้งการจัดสรรงบกลางปี 2546 จำนวน 7.002 ล้านบาท ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสม จัดตั้งนิคม/เขตประกอบการอุตสาหกรรมและสถานีขนถ่ายสินค้า (ICD) เชียงแสน และโครงการการเตรียมการ "พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ" ภายใต้การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และให้ดำเนินการ ต่อไปได้ โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการของการนิคมอุตสาหกรรม ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม รวม 7,002,000 บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ คณะกรรมการ ฯ ที่จะตั้งขึ้นควรให้ความสำคัญ ต่อการพิจารณากำหนดกรอบแนวทางและกลยุทธ์ในการส่งเสริมและพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดเชียงราย ทั้งระบบ ตลอดจนการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมขนส่งและการสื่อสาร นอกจากนี้ ควรพิจารณาเตรียมการ รองรับและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยให้เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการ ฯ ดังกล่าวให้ครบถ้วน และสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นอีก จำนวน 6 คน หากคณะกรรมการ ฯ เห็นควรให้เชิญบุคคล ผู้แทนส่วนราชการ หรือ หน่วยงานใดมาให้คำปรึกษา แนะนำเป็นครั้งคราว ก็ให้ดำเนินการได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
348 | โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ (ระยะที่ 1) และเรื่อง โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า (ระยะที่ 2-3) | กค | 22/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
(1) อนุมัติโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า (ระยะที่ 1) ของกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่อนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อ ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) จำนวน 1,100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจัดซื้อเครื่องเอกซ์เรย์ตู้คอนเทนเนอร์ สินค้าแบบเคลื่อนที่ได้ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) จำนวน 5 เครื่อง เป็นเงิน 1,000 ล้านบาท และ เป็นค่าบริหารจัดการสำหรับปีแรกเป็นเงิน 100 ล้านบาท สำหรับการขออนุมัติกรอบอัตรากำลังจำนวน 237 อัตรา ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร ใช้วิธีการเกลี่ยอัตรากำลังข้าราชการหรือนำตำแหน่งว่างมาทำ ความตกลงกับสำนักงาน ก.พ. เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งเป็นตำแหน่งนายตรวจศุลกากร และเมื่อมีการเกลี่ยหรือ เปลี่ยนตำแหน่งแล้ว แต่ยังขาดอัตรากำลังข้าราชการที่จะปฏิบัติงานอีก ก็ให้ขอทำความตกลงกับคณะกรรมการ กำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร. ) เพื่อขอรับการจัดสรรอัตรากำลังคืนทดแทนตำแหน่ง ที่ยุบเลิกจากการเกษียณอายุราชการในปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปดำเนินการ (2) เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้ คอนเทนเนอร์สินค้า ด้วยเครื่อง X-Ray ระยะที่ 2-3 (ปี พ.ศ. 2547-2548) ของกรมศุลกากร วงเงินรวม 2,400 ล้านบาท ประกอบด้วยการจัดซื้อเครื่อง X-Ray ประเภทติดตั้งประจำที่ จำนวน 2 เครื่อง และ ประเภทเคลื่อนที่ได้ จำนวน 6 เครื่อง รวมทั้งสิ้น 8 เครื่อง และให้ดำเนินการต่อไปได้ สำหรับการเงินให้เป็น ไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (3) มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ช่วยในการประสานและเจรจาต่อรอง การจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ระยะที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กับรัฐบาลผู้ขาย (สาธารณรัฐประชา ชนจีน) ให้ได้เงื่อนไขในการจัดซื้อและราคาที่เหมาะสมมากที่สุด โดยให้นำหลักการการค้าต่างตอบแทน (Barter Trade) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปดำเนิน การด้วย และหากเห็นสมควรที่จะจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้าแบบเคลื่อนที่ได้ในระยะที่ 3 เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 เครื่อง เพื่อให้เพียงพอแก่การปฏิบัติงาน ก็ให้ดำเนินการได้ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรี ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
349 | โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ (โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ (ระยะที่ 1) และเรื่อง โครงการจัดทำระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า (ระยะที่ 2-3) | กค | 22/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
(1) อนุมัติโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า (ระยะที่ 1) ของกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่อนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อ ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) จำนวน 1,100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจัดซื้อเครื่องเอกซ์เรย์ตู้คอนเทนเนอร์ สินค้าแบบเคลื่อนที่ได้ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) จำนวน 5 เครื่อง เป็นเงิน 1,000 ล้านบาท และ เป็นค่าบริหารจัดการสำหรับปีแรกเป็นเงิน 100 ล้านบาท สำหรับการขออนุมัติกรอบอัตรากำลังจำนวน 237 อัตรา ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร ใช้วิธีการเกลี่ยอัตรากำลังข้าราชการหรือนำตำแหน่งว่างมาทำ ความตกลงกับสำนักงาน ก.พ. เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งเป็นตำแหน่งนายตรวจศุลกากร และเมื่อมีการเกลี่ยหรือ เปลี่ยนตำแหน่งแล้ว แต่ยังขาดอัตรากำลังข้าราชการที่จะปฏิบัติงานอีก ก็ให้ขอทำความตกลงกับคณะกรรมการ กำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร. ) เพื่อขอรับจัดสรรอัตรากำลังคืนทดแทนตำแหน่งที่ ยุบเลิกจากการเกษียณอายุราชการในปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปดำเนินการ (2) เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้ คอนเทนเนอร์สินค้า ด้วยเครื่อง X-Ray ระยะที่ 2-3 (ปี พ.ศ. 2547-2548) ของกรมศุลกากร วงเงินรวม 2,400 ล้านบาท และ ประกอบด้วยการจัดซื้อเครื่อง X-Ray ประเภทติดตั้งประจำที่ จำนวน 2 เครื่อง และ ประเภทเคลื่อนที่ได้ จำนวน 6 เครื่อง รวมทั้งสิ้น 8 เครื่อง และให้ดำเนินการต่อไปได้ สำหรับการเงินให้เป็น ไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (3) มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ช่วยในการประสานและเจรจาต่อรอง การจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ระยะที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กับรัฐบาลผู้ขาย (สาธารณรัฐประชา ชนจีน) ให้ได้เงื่อนไขในการจัดซื้อและราคาที่เหมาะสมที่สุด โดยให้นำหลักการการค้าต่างตอบแทน (Barter Trade) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปดำเนินการด้วย และหากเห็นสมควรที่จะจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้าแบบเคลื่อนที่ได้ในระยะที่ 3 เพิ่มเติมอีก จำนวน 2 เครื่อง เพื่อให้เพียงพอแก่การปฏิบัติงาน ก็ให้ดำเนินการได้ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
350 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 63 ทวิ มาตรา 97 สัตต และมาตรา 97 ทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินการภายในเขตปลอดอากร) | กค | 01/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับ นี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ดังนี้ (1) กำหนดให้อธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับ ของที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อบุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำเข้ามาในราช อาณาจักร (2) กำหนดการได้รับยกเว้นไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายอื่นในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุม การนำเข้า มาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครอง หรือการใช้ประโยชน์ สำหรับของที่นำเข้า มาในเขตปลอดอากรโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร และ (3 ) แก้ไขเพิ่มเติมการควบคุมของ ที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากร โดยกำหนดให้นำบทบัญญัติในหมวด 7 ของตกค้าง และบทบัญญัติกำหนดโทษที่ เกี่ยวข้องมาใช้บังคับกับของในเขตปลอดอากรโดยอนุโลม ด้วย ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับบท กำหนดโทษ กรณีผู้นำของที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อบุคคล สัตว์ ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม เข้า มาทิ้ง ควรมีระวางโทษสูง เพราะเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงแก่ประชาชนสิ่งแวดล้อม และเกิด ความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เห็น ควรปรับปรุงเพิ่มเติมข้อความ "วัสดุนิวเคลียร์" เป็น "วัสดุนิวเคลียร์พิเศษ" ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรม การประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
351 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 984 ร. เรื่อง การยกเลิกการค้าวัตถุโบราณในประเทศไทย) | สผ | 24/06/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 984 ร. เรื่อง
การยกเลิกการค้าวัตถุโบราณในประเทศไทย ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอน แก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) รัฐบาลโดยกระทรวง วัฒนธรรม มีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครองป้องกัน อนุรักษ์ บำรุงรักษา ฟื้นฟู ส่งเสริม สร้างสรรค์ เผยแพร่ จัดการ ศึกษา ค้นคว้า วิจัย พัฒนา สืบทอดทรัพย์สินมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งหมายรวมถึงโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ โดยมีบทบัญญัติของกฎหมายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุผลตาม ภารกิจหน้าที่ และนอกเหนือจากการใช้มาตรการทางกฎหมายในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบขุดค้น หาโบราณวัตถุแล้ว รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรมยังได้ดำเนินโครงการอื่น ๆ เพื่อสร้างเครือข่ายและผนึกกำลัง การมีส่วนร่วมในการปกป้องคุ้มครองมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ (2) หลักการพระราชบัญญัติควบคุมการ ขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ. 2474 ไม่ปรากฏมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการซื้อขายวัตถุโบราณ หรือตัดสิทธิ์ผู้หนึ่ง ผู้ใดในการจำหน่ายซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนของเก่าหรือวัตถุโบราณ หากมีคุณสมบัติครบและดำเนินการให้ถูกต้อง ตรงตามข้อกำหนดของกฎหมาย ส่วนการจำหน่ายซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนของเก่าหรือวัตถุโบราณโดยการส่งออก ต่างประเทศเพื่อนำรายได้เข้าประเทศ ต้องเป็นไปตามกำหนดพิธีการ และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ โบราณสถานโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ซึ่งอยู่ในความรับผิด ชอบของกรมศิลปากรและกรมศุลกากรที่จะดำเนินการ |
||||||||||||||||||||||||||||||
352 | ความร่วมมือระหว่างศุลกากรไทยกับศุลกากรสหรัฐอเมริกาภายใต้โครงการ CSI | กค | 03/06/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (คกก.2) ที่มี
มติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างหลักปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือและการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่ศุลกากรสหรัฐอเมริกา ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ระหว่างกรมศุลกากรไทยและกรมศุลกากรสหรัฐอเมริกา และ ข้อเสนอ สำหรับการนำโครงการว่าด้วยความปลอดภัยของตู้สินค้ามาใช้ร่วมกัน ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยให้กระทรวง การคลังรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และความเห็นของ คกก.2 ซึ่งเห็นควรมีความชัดเจนเกี่ยวกับสถาน ะของเจ้าหน้าที่ศุลกากรสหรัฐ ฯ และการอำนวยความสะดวกและเอกสิทธิและความคุ้มกัน ซึ่งควรจะต้องมีสถานะ เท่าเทียมกันหากมีศุลกากรไทยไปประจำที่สหรัฐ ฯ ส่วนสินค้าที่ได้รับการตรวจในประเทศไทยแล้ว เมื่อเดินทางถึง สหรัฐ ฯ ไม่ควรถูกเปิดเพื่อตรวจสอบอีก เพื่อลดขั้นตอนและป้องกันการตรวจซ้ำซ้อน และป้องกันมิให้สหรัฐ ฯ ใช้เป็น ข้อกล่าวอ้างในการใช้เป็นมาตรการตอบโต้สินค้าส่งออกจากประเทศไทย นอกจากนี้ ควรพิจารณาต้นทุนของค่า x-ray ควรเป็นเท่าไรเพื่อจะนำรวมกับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบอย่างถูกต้องและชัดเจนสำหรับผู้ส่งออกของไทย ไป พิจารณาดำเนินการในขั้นตอนการเจรจากับกรมศุลกากรสหรัฐอเมริกาในรายละเอียดของร่างปฏิญญา ฯ ดังกล่าว ก่อนที่จะมีการลงนามต่อไป สำหรับการลงนามในหลักปฏิญญา ฯ ในระดับรัฐมนตรี เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย โดยหากมีความจำเป็น ก็ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ ลงนามฝ่ายไทยแทนได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
353 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง | พน | 26/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานผลการดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อ
เพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (12 - 24 ไมล์ทะเล) ซึ่งหน่วยงานหลักของภาครัฐ ได้แก่ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหน่วย งานสนับสนุน ประกอบด้วย กรมประมง กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี รวมทั้งภาคเอกชน ได้ประสานความ ร่วมมือและผลักดันให้การดำเนินโครงการสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี และสามารถขจัดเรือน้ำมันเถื่อนที่เคยมีอยู่จำนวนมาก ให้หมดสิ้นไป ทั้งนี้ ความสำเร็จของโครงการดังกล่าว สรุปได้ดังนี้ (1) ช่วยสกัดน้ำมันเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาทาง ทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถตัดต้นตอของการค้าน้ำมันเถื่อนให้หมดไป (2) ช่วยเหลือให้ชาวประมงได้ใช้ น้ำมันในราคาถูก มีคุณภาพดี เต็มตามจำนวนที่ซื้อ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นกับเรือที่กระทำ ผิดที่ไม่สามารถนำเรือเข้าฝั่งเพื่อซ่อมแซม (3) โรงกลั่นน้ำมันสามารถเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันดีเซลเพิ่มสูงขึ้น (4) กรมสรรพสามิตสามารถเก็บภาษีน้ำมันดีเซลได้เพิ่มขึ้น (5) ประชาชนไม่ต้องเสี่ยงกับน้ำมันเถื่อนที่มีคุณภาพไม่ได้ มาตรฐาน เพิ่มความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน (6) ประเทศชาติลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ และ (7) ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง |
||||||||||||||||||||||||||||||
354 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตร | นร | 19/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2541 เรื่อง มาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตร โดยเห็นชอบ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ซึ่งขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่ให้นำของกลางมาจำหน่ายและเพื่อไม่ ให้สินค้าเวียนกลับเข้ามาจำหน่ายในท้องตลาดได้อีก ควรให้กรมศุลกากรนำมาจำหน่ายให้องค์การคลังสินค้า เพื่อจัดจำหน่ายให้กับส่วนราชการ และองค์การสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ หรือวิธีการอื่นที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้ สามารถจำหน่ายของกลางได้ทันที เพื่อไม่ให้เป็นภาระในการเก็บรักษาและเกิดการสูญเสียน้ำหนักในระหว่างที่ คดียังไม่สิ้นสุด และให้ดำเนินการตามมติการประชุมคณะอนุกรรมการการจัดการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง ครั้งที่ 3/2541 วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2541 ซึ่งมีมติให้กรมศุลกากรดำเนินการ จำหน่ายของกลางที่จับกุมได้ทันที ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) จะต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ของ กลางที่จำหน่ายกลับเข้ามาหมุนเวียนในท้องตลาดได้อีกเพื่อมิให้ส่งผลกระทบถึงเกษตรกรผู้ผลิตภายในประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
355 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับปรุงแนวทางการดำเนินคดีของกรมศุลกากร | กค | 13/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีวันที่
21 กุมภาพันธ์ 2538 เรื่อง การปรับปรุงแนวทางการดำเนินคดีของกรมศุลกากร กรณีการลักลอบนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิง ซึ่งเป็นการปรับปรุงให้ระงับคดีตามกฎหมายศุลกากรได้ โดยไม่ต้องฟ้องดำเนินคดีทุกรายไป โดยวาง กฎเกณฑ์ระเบียบปฏิบัติในการขอทำความตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากร เพื่อให้สัมพันธ์กับโทษที่จะได้รับ เช่น มี ไว้ในครอบครองเพื่อนำไปใช้ (โดยระบุปริมาณ) มีไว้ในครอบครองเพื่อนำไปจำหน่าย เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||
356 | การปราบปรามยาเสพติดที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ | นร | 06/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากการที่รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายป้องกันและ
ปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มแข็ง จริงจังมาตลอดระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นมา ในขณะนี้ยาเสพติดแทบทุกชนิด โดยเฉพาะเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) และเฮโรอีนลดจำนวนลงอย่างมาก แต่ยังมี ยาเสพติดชนิดอื่นซึ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น โคเคอีน (โคเคน) และเคตามีน (ยาเค) เป็นต้น ยังคงแพร่ระบาด และหาซื้อได้ง่าย โดยเฉพาะในแหล่งบันเทิงและสถานบริการต่าง ๆ จึงให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้มงวดกวดขัน และเร่งรัด ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
357 | แนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ระนอง ท่าเทียบเรือเชียงแสน และท่าเทียบเรือเชียงของ | นร | 25/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติราย งานผลการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาและการบริหารจัดการท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ระนอง ท่าเทียบเรือเชียงแสน และท่าเทียบเรือเชียงของ สรุปได้ดังนี้ (1) ท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ระนอง ที่ประชุมมี มติมอบหมายให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริหารจัดการ และให้หารือกับกรมธนารักษ์ถึงอัตราค่าเช่าท่า เรือที่เหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจให้ได้ข้อยุติต่อไป (2) ท่าเทียบเรือเชียงแสนและการพัฒนาพื้นที่ หลังท่า ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้การท่าเรือ ฯ เป็นผู้บริหารจัดการจัดทำแผนปฏิบัติการการใช้พื้นที่ท่าเรือ และพื้นที่หลังท่า รวมทั้งให้หารือกับกรมธนารักษ์ถึงอัตราค่าเช่าท่าเรือที่เหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในเชิง ธุรกิจ และให้กรมศุลกากรประสานกับกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนัก งานตำรวจแห่งชาติ และกรมทางหลวง เพื่อขอใช้พื้นที่ของกรมธนารักษ์ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงงานยาสูบ ศูนย์สำรวจอุทกวิทยาเชียงแสน สถานีตำรวจน้ำ และที่สงวนกรมทางหลวง เป็นพื้นที่หลังท่าของท่าเรือเชียง แสน เพื่อพัฒนาเป็นจุดพักสินค้า คลังสินค้าทัณฑ์บน และอาคารสำนักงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ (3) ท่าเทียบเรือเชียงของ ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กรมศุลกากรประสานกับสำนักงานคณะกรรมการการประถม ศึกษาแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง หาข้อยุติการขอใช้พื้นที่ของโรงเรียนบ้านหัวเวียง เพื่อพัฒนาเป็นอาคาร สำนักงานของกรมศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ให้จังหวัดเชียงราย กรมธนารักษ์ การท่าเรือแห่งประเทศไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาสถานที่ และก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ตามความ เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
358 | การลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าว และการล่อลวงเพื่อการค้าประเวณี | นร | 18/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัจจุบันยังมีการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าว
ผิดกฎหมาย การล่อลวงหญิง รวมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อการค้าประเวณี รวมทั้งลักลอบนำออกไปต่าง ประเทศด้วย จึงขอให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน) กวดขันในเรื่องนี้เป็นพิเศษ และให้กวดขันไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้วย เช่น ผู้ประกอบกิจการรถตู้ ซึ่งมักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการประกอบการ หากตรวจพบว่า มีเจ้าหน้าที่ให้ความ ร่วมมือกับการกระทำผิดดังกล่าวให้พิจารณาลงโทษอย่างเฉียบขาด หรือแม้ไม่มีส่วนร่วมแต่ปล่อยให้มีการกระทำ ความผิดในท้องที่ที่รับผิดชอบ ก็อาจถือได้ว่าเป็นการหย่อนประสิทธิภาพ ซึ่งจะต้องดำเนินการตามบทกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||
359 | มาตรการจัดระเบียบการส่งออกผักและผลไม้ (ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งสินค้าผักและผลไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. 2546) | พณ | 04/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งสินค้า
ผักและผลไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. 2546 และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฯ มีดังนี้ ให้สินค้าผักและผลไม้ที่ส่งออกไปแต่ละประเทศตามชนิดหรือประเภทที่ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มีประกาศกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และ เงื่อนไขในการควบคุมสารตกค้าง เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองสารตกค้างของกรมวิชาการเกษตร กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ แสดงต่อกรมศุลกากรประกอบพิธีการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร |
||||||||||||||||||||||||||||||
360 | กระทู้ถามของสมาชิกวุฒิสภาเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 008 ร. เรื่อง ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์เกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายเทปและซีดี) | สว | 04/02/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 008 ร. เรื่อง
ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์เกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายเทปและซีดี ของนายสนิท จันทรวงศ์ สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดอุบลราชธานี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) กรณี การนำเข้าเครื่องจักรเป็นเครื่องฉีดพลาสติก แล้วทำการดัดแปลงเป็นเครื่องผลิตซีดี รัฐบาลโดยกรมศุลกากรได้ ดำเนินการตรวจสอบ ยึด และจับกุมเครื่องจักรผลิตแผ่นซีดีที่ผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จำนวน 13 ราย และเครื่องจักรดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้ยึดไว้ในฐานะเป็น "สิ่งอันพึงต้องริบ" ตามกฎหมายศุลกากร เมื่อยึดครบ 30 วันนับจากวันที่ยึด ของดังกล่าวจะตกเป็นของแผ่นดินโดยผลของกฎหมาย ซึ่งเครื่องจักรดังกล่าวจะตกอยู่ใน ฐานะเป็น "ของกลาง" เมื่อผู้ต้องหาขอทำความตกลงระงับคดีตามกฎหมายศุลกากร และขอซื้อคืน หรือมีการประมูล ขายทอดตลาด ของดังกล่าวพ้นสภาพจาก "ของนำเข้า" จึงไม่ต้องขออนุญาตนำเข้า ทั้งนี้ เพื่อมิให้โรงงานนำ เครื่องจักรดังกล่าวกลับมาใช้อีก กรมศุลกากรได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาทบทวนและแก้ไขประกาศกระทรวง พาณิชย์ ว่าด้วยการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 96) พ.ศ. 2536 เพื่อพิจารณาทบทวนและแก้ไขประกาศ กระทรวงพาณิชย์ดังกล่าว รวมทั้งระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการอนุญาตให้นำเครื่องจักรใช้เพื่อประโยชน์ ในการละเมิดลิขสิทธิ์เข้ามาในราชอาณาจักรให้มีความชัดเจน และครอบคลุมถึงเครื่องผลิตแผ่นซีดีทุกประเภท (2) สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกมาตรการเร่งรัดในการสืบสวน จับกุม ปราบปรามผู้กระทำผิด พร้อมกับลงโทษ เจ้าพนักงานตำรวจท้องที่ที่ปล่อยปละละเลย และได้ปรับปรุงศูนย์ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้ มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยจัดตั้งชุดปฏิบัติการปราบปรามขึ้น ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สำหรับ สถิติคดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี และส่งฟ้องไปแล้ว ในปี พ.ศ. 2543 มีคดีเกิด 1,331 คดี สอบสวนเสร็จสิ้นส่ง สำนวนให้อัยการไปแล้ว จำนวน 979 คดี และอยู่ระหว่างสอบสวน 352 คดี ปี พ.ศ. 2544 มีคดีเกิด 1,361 คดี สอบสวนเสร็จสิ้น ฯ จำนวน 369 คดี อยู่ระหว่างสอบสวน 992 คดี และ (3) รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการปราบ ปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 3 ฝ่าย เพื่อให้การดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและได้ ผลอย่างเป็นรูปธรรม |