ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 761 จากทั้งหมด 6236 หน้า แสดงรายการที่ 15201 - 15220 จากข้อมูลทั้งหมด 124707 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 15201 | ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๒,๒๕๑.๖๔๔ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๓,๓๓๓.๓๗๑ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และให้ ขสมก. และ รฟท. รายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) ทราบ เพื่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ ขสมก. และ รฟท. เร่งดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สิน การพลิกฟื้นฐานะองค์กร และการลงทุนโครงการต่าง ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ตามนัยมาตรา ๒๘ และดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งจัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการให้แล้วเสร็จโดยด่วน เพื่อให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ ขสมก. และ รฟท. ให้เหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจที่ต้องขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้มีความชัดเจน เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำข้อตกลงการให้บริการสาธารณะและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้แล้วเสร็จโดยเร็วยิ่งขึ้น เพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจและภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาให้บริการสาธารณะ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15202 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่สามารถดำเนินกิจการได้เพียงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น อันเป็นการเพิ่มรูปแบบการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองและขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสารของท่าอากาศยานในภูมิภาค ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ควรกำหนดแผนบริหารความเสี่ยงหากเกิดกรณีที่ผลการดำเนินงานด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ ควรพิจารณารูปแบบการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ และควรพิจารณาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ การกำหนดโครงสร้างการบริหารกิจการระบบขนส่งทางรางภายหลังที่มีการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว และการกำหนดรูปแบบของหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองในส่วนภูมิภาค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15203 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก | กต | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๐๗๘ (ค.ศ. ๒๐๑๒) ที่ ๒๑๓๖ (ค.ศ. ๒๐๑๔) ที่ ๒๑๙๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ที่ ๒๒๙๓ (ค.ศ. ๒๐๑๖) ที่ ๒๓๖๐ (ค.ศ. ๒๐๑๗) และที่ ๒๔๒๔ (ค.ศ. ๒๐๑๘) เพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งประกอบด้วยมาตรการทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สิน และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nations : UN) https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1533 และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15204 | ร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... | กค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล การกำหนดผู้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานของระบบการพิสูจน์ตัวตนและยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ตลอดจนการกำหนดแนวทางการคุ้มครองประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลและผู้ใช้บริการระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ปรับแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ [เรื่อง แนวทางในการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (มาตรา ๒๖ และมาตรา ๘๑ ประกอบกับมาตรา ๒๖๓)] ประกอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ [เรื่อง แนวทางการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เพิ่มเติม)] และให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการกำหนดนิยามและบทบัญญัติของกฎหมายในร่างฉบับนี้ ควรมีความชัดเจนมากที่สุดเพื่อป้องกันการตีความกฎหมาย และเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดหน้าที่ของสมาชิก และการทำหน้าที่ผู้ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (AS) ของหน่วยงานรัฐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามกระบวนการและขั้นตอนของการเสนอกฎหมายต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15205 | ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงาน | ปง | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ในการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวได้เฉพาะปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๗๐ อัตรา โดยใช้เงินจากกองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาภาระงานและจำนวนอัตราลูกจ้างชั่วคราวที่จะจ้างเท่าที่จำเป็น อย่างเหมาะสมและไม่ซ้ำซ้อน เพื่อมิให้เป็นภาระเงินกองทุนในระยะยาว รวมทั้งเร่งดำเนินการบรรจุข้าราชการในอัตราที่ได้รับจัดสรรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และกำหนดมาตรการเพื่อมิให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์จ้างจากเงินนอกงบประมาณดังกล่าว เป็นการบรรจุเป็นข้าราชการ โดยใช้เงินงบประมาณในภายหลังด้วย นอกจากนี้ ในสัญญาต้องระบุเงื่อนไขการจ้างให้ชัดเจนว่าจะไม่มีการบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการในภายภาคหน้า และเมื่อภารกิจด้านกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว ควรลดการจ้างลูกจ้างชั่วคราวในปีต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ปปง. เร่งดำเนินการบรรจุข้าราชการในอัตราที่ได้รับการจัดสรร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙) และอัตราว่างที่เหลืออยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมทั้งยกเลิกการจ้างลูกจ้างชั่วคราว (ตามข้อ ๑) ตามนัยความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ๓. ให้สำนักงาน ปปง. เร่งปรับปรุงการบริหารจัดการและกระบวนการปฏิบัติงาน โดยใช้ประโยชน์จากอัตรากำลังข้าราชการและพนักงานราชการที่มีอยู่ทั้งหมดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเร่งจัดทำแผนอัตรากำลังที่เหมาะสมร่วมกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงาน) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15206 | การรับรองร่างปฏิญญาคำมั่นร่วมกันเกี่ยวกับปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (Declaration of Shared Commitments on UN Peacekeeping Operations) | กต | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาคำมั่นร่วมกันว่าด้วยปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (Declaration of Shared Commitments on UN Peacekeeping Operations) เพื่อกระทรวงการต่างประเทศจะได้แจ้งสหประชาชาติทราบภายในวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๑ ก่อนที่จะมีการรับรองอย่างเป็นทางการในระหว่างการประชุม High-level Meeting on Action for Peacekeeping (HLM on A4P) ซึ่งร่างปฏิญญาฯ ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การส่งเสริมการแก้ไขความขัดแย้งโดยวิธีทางการเมืองและการยกระดับผลทางการเมืองของการรักษาสันติภาพ (๒) การเสริมสร้างการคุ้มครองพลเรือนโดยปฏิบัติการรักษาสันติภาพ (๓) การพัฒนาความปลอดภัยและความมั่นคงของเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ (๔) การสนับสนุนการทำงานที่มีประสิทธิภาพและการตรวจสอบได้ของทุกภาคส่วนในการรักษาสันติภาพ (๕) การเสริมสร้างผลของการรักษาสันติภาพต่อการทำให้สันติภาพยั่งยืน (sustaining peace) (๖) การพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนในการรักษาสันติภาพ และ (๗) การเสริมสร้างการปฏิบัติของปฏิบัติการและบุคลากรในการรักษาสันติภาพ ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่ส่งบุคลากรเข้าร่วมภารกิจของสหประชาชาติในพื้นที่ต่าง ๆ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15207 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 เฉพาะที่ให้กระทรวงคมนาคม ดำเนินการเสนอร่างกฎกระทรวงเพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบการขนส่งระหว่างประเทศต้องจัดทำประกันภัย และขอถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดเงื่อนไขในการจัดให้มีประกันไว้ในใบอนุญาตประกอบการขนส่งระหว่างประเทศ พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดเงื่อนไขในการจัดให้มีการประกันไว้ในใบอนุญาตประกอบการขนส่งระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรพิจารณาแนวทางในการประกันภัยสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศที่สามารถปฏิบัติและบังคับใช้ตามกฎหมายได้ และกำหนดให้ผู้ประกอบการขนส่งจัดทำประกันภัยสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ เพื่อให้การคุ้มครองการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15208 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักเกณฑ์และวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องคดี) | ศย | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยกำหนดให้ก่อนยื่นฟ้องคดีแพ่ง ผู้ที่จะเป็นคู่ความสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้แต่งตั้งผู้ประนีประนอมยอมความทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนที่ข้อพิพาทดังกล่าวจะเป็นคดีขึ้นสู่ศาล และหากตกลงกันได้ก็อาจขอศาลให้มีคำพิพากษาตามยอมได้ทันที ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชุมชน พ.ศ. .... ในรายละเอียดเกี่ยวกับกลไกหรือกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้สอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15209 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน พ.ศ. .... | อส | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายในและต่างประเทศในการแก้ไขปัญหาการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานและคุ้มครองสิทธิของผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่ถูกลักลอบขน เพื่อให้กฎหมายไทยสอดคล้องกับพันธกรณีตามพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นโดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรมที่ประเทศไทยได้ลงนามเป็นภาคีไว้ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น ประเด็นการกำหนดบทนิยามคำว่า “ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน” ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างพระราชบัญญัติฯ ประเด็นความชัดเจนของมาตรการดำเนินการต่อเรือที่ต้องสงสัยว่ามีการกระทำความผิดตามร่างพระราชบัญญัติฯ ประเด็นผู้รักษาการของร่างพระราชบัญญัติฯ และประเด็นความซ้ำซ้อนกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้เสนอร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่ก่อนการเสนอพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นโดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรมต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ๓. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับความเห็นของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการเตรียมความพร้อมในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการให้สัตยาบันพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นโดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรมต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15210 | ผลการพิจารณาคำร้อง (กรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายทุนผู้เลี้ยงหอยแครงกับกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านอ่าวปัตตานี) | กษ | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15211 | รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ | นร10 | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) แนวทางการดำเนินการเพื่อรองรับการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น และ (๒) ผลการดำเนินการบรรจุและแต่งตั้งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ และการกำหนดแนวทางปฏิบัติให้แก่ส่วนราชการ ตามมติ คปร. ครั้งที่ ๓/๒๔๖๑ วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ ตามที่ คปร. เสนอ ทั้งนี้ ให้ คปร. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่ขอให้พิจารณายกเว้นการยุบเลิกตำแหน่งประเภททั่วไป โดยให้เป็นตำแหน่งที่อาจไม่จำเป็นต้องทดแทนด้วยอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น ไปพิจารณาต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ส่วนราชการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผลใช้บังคับแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้ส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็นตามภารกิจ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยงบประมาณเพื่อการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามความจำเป็นและทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมตามความสามารถในการใช้จ่าย ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ คปร. เร่งรัดการกำหนดมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐระยะถัดไปให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับประเด็นการปฏิรูปและร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15212 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ | นร07 | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ จากเดิมจำนวน ๒๘,๓๒๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๔๐,๖๘๖,๕๐๐ บาท (เพิ่มขึ้นจำนวน ๑๒,๓๖๖,๕๐๐ บาท) โดยผูกพันงบประมาณปี ๒๕๕๗-๒๕๖๒ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15213 | การเพิ่มทุนแบบสามัญและเฉพาะเจาะจงของกลุ่มธนาคารโลก ปี 2561 | กค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบสามัญ และการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ของธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและวิวัฒนาการ (International Bank for Reconstruction and Development : IBRD) และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (The International Finance Corporation : IFC) ในวงเงินจำนวน ๗๗.๙๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา ๕ ปี หรือประมาณ ๒,๖๕๒ ล้านบาท (คำนวณ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ ๓๔ บาท ต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ) โดยแบ่งออกเป็นส่วนของ IBRD จำนวน ๓๘.๔๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๑,๓๐๗ ล้านบาท และส่วนของ IFC จำนวน ๓๙.๕๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๑,๓๔๕ ล้านบาท และมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบสามัญและการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงของ IBRD และ IFC ให้กระทรวงการคลังจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนและวิธีการงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15214 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนสิงหาคม 2561 | นร11 | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ โดยมีความก้าวหน้าในการจัดทำแผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ชาติ การขับเคลื่อนตามกิจกรรม/โครงการเร่งด่วน (Quick Win) ของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ การเร่งรัดการตรากฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ และการสร้างการรับรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งการดำเนินการในระยะต่อไป เช่น การจัดแปลร่างยุทธศาสตร์ชาติ (ฉบับเต็ม) เป็นภาษาอังกฤษ และการจัดพิมพ์ร่างยุทธศาสตร์ชาติ (ฉบับย่อ) ฉบับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เพื่อใช้เผยแพร่ให้กับประชาชนทั่วไป และองค์กรระหว่างประเทศ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15215 | การขอรับเงินจัดสรรเป็นทุนประเดิมและเงินอุดหนุนให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาปีงบประมาณ 2561 | กสศ | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๑,๑๙๙,๑๘๗,๔๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย (๑) ทุนประเดิมงวดแรกให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จำนวน ๗๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ (๒) เงินรายปีสำหรับดำเนินภารกิจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จำนวน ๔๙๙,๑๘๗,๔๐๐ บาท ตามนัยพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น และให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาใช้จ่ายตามแผนการใช้เงินที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาแล้ว โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมถึงการใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินภารกิจดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ให้ถูกต้องครบถ้วน ประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการกองทุนฯ อย่างยั่งยืน ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15216 | ขออนุมัติผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามในข้อตกลงซื้อสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน 2 ชุด | กห | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ผู้บัญชาการทหารบกหรือผู้แทน (เจ้ากรมการทหารช่าง) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามในข้อตกลงการจัดซื้อสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน ๒ ชุด ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงการลงนามในเอกสารการแก้ไขข้อตกลงในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญโดยไม่เพิ่มวงเงินจากที่ได้รับอนุมัติไว้ในภายหลัง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15217 | การทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/62 | พณ | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงสัดส่วนการแบ่งค่ารักษาข้าวเปลือก และรับทราบการปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกรในการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเกษตรกรฝากเก็บข้าวไว้ที่สหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกร ให้ปรับปรุงให้ค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกตันละ ๑,๕๐๐ บาท จากมติคณะรัฐมนตรี (๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑) เดิมให้สหกรณ์ตันละ ๑,๐๐๐ บาท และเกษตรกรได้รับตันละ ๕๐๐ บาท ปรับเป็น “ให้เกษตรกรได้รับตันละ ๑,๐๐๐ บาท และสหกรณ์ได้รับตันละ ๕๐๐ บาท” ๑.๒ เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเองเท่านั้น ๑.๓ ปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกโดยบรรจุข้าวเปลือกในกระสอบป่านหรือถุง Big bag และวางเรียงในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บเพื่อสะดวกในการตรวจสอบ หรือเก็บข้าวในยุ้งฉางที่ยกพื้นสูง หรือไซโล (SILO) ยกเว้นกรณีเทกองจะต้องมีระบบการระบายอากาศเพื่อการรักษาคุณภาพข้าวเปลือกไม่ให้เสื่อมสภาพ ตลอดระยะเวลาโครงการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการเพื่อรองรับให้เกษตรกรในภาคกลางมีพื้นที่ในการเก็บข้าวด้วย เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และควรมีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้มีการทบทวนใหม่อย่างทั่วถึงและก่อนการดำเนินโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15218 | ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 | คค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญารัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐานอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑ (Draft Ministerial Declaration of the First ASEAN-ROK Infrastructure Ministers’ Meeting) มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งดำเนินความร่วมมือเชิงนโยบายในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะที่เกี่ยวข้องในด้านการขนส่งและการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการสร้างเมืองที่มีการบูรณาการทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในด้านพลังงานสะอาด สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการสร้างประชาคมอาเซียน รวมถึงส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลี ทั้งนี้ จะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมรัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑ และการประชุม Global Infrastructure Cooperation Conference (GICC) 2018 ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ กันยายน ๒๕๖๑ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ๑.๒ อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคมร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15219 | การรับรองร่างแนวปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายโลกที่ปราศจากการก่อการร้าย (Code of Conduct:Towards Achieving a World Free of Terrorism) | กต | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการรับรองร่างแนวปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายโลกที่ปราศจากการก่อการร้าย (Code of Conduct : Towards Achieving a World Free of Terrorism) และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยร่างแนวปฏิบัติฯ มีเนื้อหาครอบคลุมประเด็นด้านการต่อต้านการก่อการร้ายในทุกมิติ เช่น (๑) การปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการก่อการร้าย (๒) การยับยั้งมิให้ผู้ก่อการร้ายดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายภายในดินแดนของตน (๓) การเสริมสร้างความร่วมมือที่ครอบคลุมและรอบด้านเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย และ (๔) การสนับสนุนการทำงานด้านการต่อต้านการก่อการร้ายของสหประชาชาติ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอเพิ่มเติมว่า คาซัคสถานในฐานะเป็นผู้ริเริ่มจัดทำร่างแนวปฏิบัติฯ ในห้วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๓ ในระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ กันยายน ๒๕๖๑ จะเปิดให้รัฐสมาชิกสหประชาชาติร่วมลงนามรับรองร่างแนวปฏิบัติฯ โดยร่างแนวปฏิบัติฯ ไม่ถือเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐผู้ลงนามในการร่วมมือกันป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายให้หมดไป จึงขอความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาลงนามรับรองร่างแนวปฏิบัติฯ ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแนวปฏิบัติฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15220 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายสมหมาย ลักขณานุรักษ์ และนางพิมพร โอวาสิทธิ์) | นร07 | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. นายสมหมาย ลักขณานุรักษ์ ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ๒. นางพิมพร โอวาสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
