ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 761 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 15201 - 15220 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15201 | การลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก | พณ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก โดยเห็นชอบการยกเลิกบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมซึ่งลงนามเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างสองประเทศครอบคลุมสาขาต่าง ๆ เช่น การสำรวจทรัพยากรแร่ การส่งเสริมการลงทุนในการใช้ประโยชน์ การค้าและการสร้างมูลค่าเพิ่มทรัพยากรแร่ การวิจัยและเทคโนโลยี รวมถึงการจัดตั้งคณะทำงานว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างไทยและโมซัมบิก เป็นต้น โดยให้กระทรวงพาณิชย์สามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ ในระหว่างการเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิกของคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนการค้า ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เพื่อขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศในภูมิภาคแอฟริกา รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว และหลังจากการลงนามแล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งผลการรับรองผูกพันความตกลงของราชอาณาจักรไทยต่อสาธารณรัฐโมซัมบิกอย่างเป็นทางการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการเจรจาเกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจดังกล่าวให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจากการดำเนินกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพื่อให้การกำหนดกิจกรรม โครงการ และกระบวนการการดำเนินการต่าง ๆ ของทั้งสองประเทศสามารถดำเนินการได้ในทางปฏิบัติและนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาทรัพยากรแร่ของทั้งสองประเทศในระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15202 | ร่างยุทธศาสตร์ชาติ | นร11 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกำหนดให้วิสัยทัศน์ของประเทศไทย คือ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายได้ภายในระยะเวลา ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ด้วยยุทธศาสตร์ ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความมั่นคง กำหนดให้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการักษาความสงบภายในประเทศและมีความพร้อมในการเผชิญภัยคุกคามในอนาคต (๒) ด้านความสามารถในการแข่งขัน กำหนดให้มีการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวและบริการ (๓) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ กำหนดให้มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทางด้าน ใจ สติปัญญา กาย และสภาพแวดล้อม ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เพื่อให้เป็นคนคุณภาพของสังคม (๔) ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาค กำหนดให้มีกลไกการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี (๕) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำหนดให้มีการใช้ รักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนบนหลักการของการมีส่วนร่วมและธรรมาภิบาล และ (๖) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ กำหนดให้มีการปรับปรุงกลไกภาครัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมร่างยุทธศาสตร์ชาติอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมร่างยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคำนึงถึงสภาวการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่อาจเปลี่ยนแปลงไปและอยู่นอกเหนือการควบคุม และอาจส่งผลต่อร่างยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ เช่น สถานการณ์การเมืองโลก ภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด เป็นต้น และให้พิจารณาแนวทางหรือกำหนดกลไกที่ทำให้ร่างยุทธศาสตร์ชาติสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำร่างยุทธศาสตร์ชาติที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามขั้นตอน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15203 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2561 | อื่นๆ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วย รับทราบแนวทางการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะน่าอยู่ และแผนการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะตัวอย่างในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) การให้ความเห็นชอบการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ และรับทราบการแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหาร ๒. รับทราบ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยกำหนดให้การดำเนินการใด ๆ ที่คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้อนุมัติให้ความเห็นชอบ หรือดำเนินการไปแล้ว ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๐ เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ลงวันที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๘/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไปจนกว่าคณะกรรมการนโยบายตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ จะได้มีมติให้ยกเลิกหรือกำหนดเป็นอย่างอื่น ๓. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องและรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกทราบต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการฯ เห็นควรดำเนินการตามกระบวนการด้วยความละเอียดรอบคอบตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง อย่างถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะได้รับ เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่าของการลงทุนเป็นสำคัญ และในการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะน่าอยู่ ควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงพื้นที่โดยรอบ ผลประโยชน์ของชุมชนและสังคมโดยรวม รวมทั้งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15204 | รายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ 2 | มท | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ ๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การลงพื้นที่ ครั้งที่ ๒ (วันที่ ๒๑ มีนาคม-๑๐ เมษายน ๒๕๖๑) มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม ๗,๙๘๑,๑๔๕ คน และครั้งที่ ๓ (วันที่ ๑๑ เมษายน-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑) มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม ๗,๖๒๐,๕๐๑ คน และขณะนี้ทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตำบลอยู่ระหว่างลงพื้นที่ ครั้งที่ ๔ (วันที่ ๑๖ พฤษภาคม-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑) โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงพื้นที่ที่เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกับประชาชนแทนการบรรยายเพียงอย่างเดียว และเพิ่มประเด็นในการลงพื้นที่ ๒ เรื่อง คือ (๑) ให้ข้อมูลแก่เกษตรกรเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการปลูกข้าวให้มีมูลค่าสูงขึ้น และมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น การลดต้นทุนการผลิต และ (๒) ให้ตอบแบบสอบถามความเข้มแข็งและศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน ๑.๒ การวิเคราะห์แผนงาน/โครงการที่คาดว่าหมู่บ้าน/ชุมชนจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ณ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ มีโครงการที่คาดว่าจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณฯ รวม ๘๘,๔๐๐ โครงการ จาก ๗๘,๖๒๕ หมู่บ้าน/ชุมชน (คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๐๒ ของหมู่บ้าน/ชุมชนทั้งหมด) จำแนกได้ ๖ ประเภทโครงการ คือ (๑) สร้างอาชีพ สร้างรายได้ จำนวน ๑๒,๕๓๓ โครงการ (๒) แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร จำนวน ๔,๘๑๑ โครงการ (๓) สาธารณูปโภค จำนวน ๖๙,๒๒๔ โครงการ (๔) สาธารณสุข จำนวน ๑๑ โครงการ (๕) สิ่งแวดล้อม จำนวน ๖๕๓ โครงการ และ (๖) อื่น ๆ จำนวน ๑,๑๖๘ โครงการ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาและการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่หมู่บ้าน/ชุมชนเสนอขอภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนและความพร้อมของหมู่บ้าน/ชุมชนแต่ละแห่งเป็นสำคัญ เพื่อให้ประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตนอย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15205 | รายงานมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ไตรมาสที่ 2 | นร07 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น รวมทั้งสิ้น ๖ กระทรวง ๑๔ หน่วยงาน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๔๗๙.๙๐ ล้านบาท โดยดำเนินการจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และ/หรือโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๔๒๖.๒๖ ล้านบาท และดำเนินการจากการโอนเปลี่ยนแปลงรายการเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๕๓.๖๔ ล้านบาท มีประชาชนและเกษตรกรได้รับการช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟู จำนวน ๓๐๕,๗๕๐ ราย พื้นที่การเกษตรได้รับการฟื้นฟู จำนวน ๑,๐๖๕,๙๕๑ ไร่ เส้นทางคมนาคม ถนนได้รับการปรับปรุง ซ่อมแซม จำนวน ๒๕๑ สายทาง ระบบส่งน้ำ พนัง ฝาย และแหล่งน้ำได้รับการซ่อมแซม ฟื้นฟู จำนวน ๓๑๑ แห่ง รวมทั้งอาคารสถานที่ ทรัพย์สินทางราชการได้รับการซ่อมแซม ปรับปรุง จำนวน ๒๗๕ รายการ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินการตามมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยให้ประชาชนทราบโดยทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15206 | รายงานผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ไตรมาสที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๔๗๐,๕๕๘.๘๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๐.๗๑ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๑.๕๘ (เป้าหมายกำหนดไว้ ร้อยละ ๕๒.๒๙) โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๑ จำนวน ๕๗๒,๗๙๐.๗๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๗๕ สำหรับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน เช่น รายการค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างประสบปัญหาเรื่องความพร้อมของพื้นที่ กรรมสิทธิ์ที่ดิน และราคาที่ดิน ทำให้การดำเนินการล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด มีการประกวดราคาหลายครั้งเนื่องจากผู้รับจ้างขาดคุณสมบัติ ไม่มีผู้ยื่นเสนอราคา หรือมีผู้เสนอราคารายเดียว ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ และเป็นรายการที่มีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะหรือจัดหาจากต่างประเทศ เป็นต้น ๑.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งรัดการปฏิบัติงานและการเบิกจ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน รวมทั้งกำกับดูแลการใช้จ่ายและการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด มีความโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับ ผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพของหน่วยงานเป็นสำคัญ ตลอดจนหารือหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาโดยเร็วต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว รวมทั้งให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของการดำเนินงานต่าง ๆ และให้นำเสนอแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมมาดำเนินการเป็นลำดับแรก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15207 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... | ดศ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หลักการเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีฐานะเป็นนิติบุคคล และไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานศาลยุติธรรม เกี่ยวกับความชัดเจนของคำนิยาม การบังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐ การนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ การกำหนดวิธีการเกี่ยวกับการทำลายข้อมูลการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี ลักษณะต้องห้ามของประธาน กรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการ เบี้ยประชุมอนุกรรมการและกรรมการผู้เชี่ยวชาญ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่มีมาตรฐานในการบังคับใช้เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การเตรียมความพร้อมรองรับของทุกภาคส่วนและประชาชน สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิอุทธรณ์ที่ไม่รับเรื่องร้องเรียนของเจ้าของข้อมูลต่อศาล และปัญหาการใช้สิทธิร้องเรียนตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไปดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. แล้วให้แจ้งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เห็นว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่เคยมีกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับเป็นการทั่วไป จึงควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่มีมาตรฐานในการบังคับใช้ดังกล่าว โดยในระยะเริ่มแรกจะต้องมีการเพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมรองรับของทุกภาคส่วนและประชาชนให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่มุ่งหวังจะแก้ไขปัญหาที่เกิดจากเรื่องดังกล่าวที่เพียงพอและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15208 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (จำนวน 10 ราย 1. นายณัฐชาติ จารุจินดา ฯลฯ) | คค | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กรรมการที่ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพพ้นจากตำแหน่งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ [มาตรา ๑๘ (๓)] และอนุมัติให้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานกรรมการ ๒. พลเอก วราห์ บุญญะสิทธิ์ กรรมการ ๓. นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๔. นายสมศักดิ์ ห่มม่วง กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๕. รองศาสตราจารย์ธำรงรัตน์ มุ่งเจริญ กรรมการ ๖. นายยุกต์ จารุภูมิ กรรมการ ๗. นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ กรรมการ ๘. นายชัยชนะ มิตรพันธ์ กรรมการ ๙. รองศาสตราจารย์วันชัย รัตนวงษ์ กรรมการ ๑๐. นายวิชิต จรัสสุขสวัสดิ์ กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15209 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ (จำนวน 9 คน 1. นายประกิต วาทีสาธกกิจ ฯลฯ) | สธ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ จำนวน ๙ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายประกิต วาทีสาธกกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ ๒. นางนันทวรรณ วิจิตรวาทการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสาธารณสุข ๓. นายปกป้อง ศรีสนิท กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๔. นางทิชา ณ นคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองสิทธิสตรีหรือสิทธิเด็ก ๕. นายจิรชัย มูลทองโร่ย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสื่อสาร/ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ๖. นางสมศรี เผ่าสวัสดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์มิใช่เป็นการแสวงหากำไร และดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับด้านการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชน ๗. นายอิศรา ศานติศาสน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์มิใช่เป็นการแสวงหากำไร และดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับด้านการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชน ๘. นางสาวลักขณา เติมศิริกุลชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์มิใช่เป็นการแสวงหากำไร และดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับด้านการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชน ๙. นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรเอกชนที่มี วัตถุประสงค์มิใช่เป็นการแสวงหากำไร และดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15210 | ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) พ.ศ. .... | รง | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายกำหนดเวลากรณีนายจ้างยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและนำส่งเงินสมทบ โดยวิธีการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ออกไปอีก ๗ วันทำการนับแต่วันที่พ้นกำหนดวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ โดยให้มีผลใช้บังคับสำหรับค่าจ้างตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป เป็นระยะเวลา ๑๒ เดือน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้กระทรวงแรงงานเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างมาตรการจูงใจเพื่อให้นายจ้างเกิดความเชื่อมั่นในการชำระเงินผ่านระบบ e-Payment และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้จ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มากยิ่งขึ้น อันเป็นการส่งเสริมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของนายจ้าง ซึ่งจะส่งผลที่ดีขึ้นในการจัดอันดับความยากง่ายในการเข้าไปประกอบธุรกิจของประเทศไทย (Doing Business) ในการประเมินของธนาคารโลกครั้งต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15211 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2561 และแนวโน้มปี 2561 | นร11 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวร้อยละ ๔.๘ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๔.๐ ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ ๒๐ ไตรมาส และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๒.๐ (QoQ_SA) โดยการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๓.๖ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ ๑.๙ การลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๔ การส่งออกสินค้ามีมูลค่า ๖๑,๗๘๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๙.๙ การนำเข้าสินค้ามีมูลค่า ๕๕,๑๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๖.๓ การผลิตสาขาอุตสาหกรรม และสาขาการขายส่ง การขายปลีก และการซ่อมแซมขยายตัวเร่งขึ้น สาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาการขนส่งและการคมนาคมขยายตัวดีต่อเนื่อง ในขณะที่สาขาเกษตรกรรมและสาขาก่อสร้างกลับมาขยายตัวและเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ ๑.๒ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖ บัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑๗.๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (๕๓๙.๗ พันล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๓.๓ ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ อยู่ที่ ๒๑๕.๖ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ มีมูลค่าทั้งสิ้น ๖,๔๕๔.๒ พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๒ ของ GDP ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๒-๔.๗ (ค่ากลางการประมาณการร้อยละ ๔.๕) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกและระดับราคาสินค้าในตลาดโลก แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาลและการลงทุนภาครัฐยังอยู่ในเกณฑ์สูง การฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการปรับตัวดีขึ้นและการกระจายตัวมากขึ้นของฐานรายได้ประชาชนในระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๘.๙ การบริโภคภาคเอกชน และการสะสมทุนถาวรรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๗ และร้อยละ ๔.๗ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ ๐.๗-๑.๗ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๘.๔ ของ GDP
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15212 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 4/2561 | นร | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ และตรวจราชการ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ในพื้นที่ภาคเหนือ (กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร และจังหวัดอุทัยธานี) โดยนายกรัฐมนตรีกำหนดตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดพิจิตร และจังหวัดนครสวรรค์ และจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ จังหวัดนครสวรรค์ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15213 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรณรงค์ให้มีการปลูกต้นไม้ ทั้งที่เป็นไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก ไม้ดอก และไม้หายากชนิดต่าง ๆ เช่น ต้นรวงผึ้ง ต้นยางนา ต้นไม้ประจำจังหวัด เป็นต้น ในพื้นที่ต่าง ๆ ในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานทั่วประเทศให้เพิ่มมากขึ้น เช่น บริเวณพื้นที่ว่างของหน่วยงาน สวนสาธารณะ ริมทางหลวงแผ่นดิน ริมถนนสายรอง เพื่อเป็นการพัฒนาและปรับปรุงทัศนียภาพของพื้นที่ให้เกิดความร่มรื่น สวยงาม และมีเอกลักษณ์ รวมทั้งพื้นที่ดังกล่าวหลายแห่งสามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนต่อไปได้ ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างต่อเนื่อง โดยใช้การเจรจาประนอมหนี้หรือลดหนี้ เปลี่ยนหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ และให้มีมาตรการดูแลเพื่อไม่ให้เกิดหนี้นอกระบบขึ้นอีกในระยะยาว รวมทั้งให้เร่งแก้ไขปัญหาและปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ด้วยนั้น ให้ กอ.รมน. ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน ๑ เดือน ทั้งนี้ ให้ประสานงานกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำบัญชีสถานภาพหนี้ โดยมีข้อมูลต่าง ๆ ที่สำคัญให้ชัดเจนด้วย เช่น แหล่งที่มาของหนี้ ข้อมูลเจ้าหนี้/ลูกหนี้ จำนวนหนี้ที่เกิดขึ้น เป็นต้น เพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานต่อไป ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการของกลุ่มลูกจ้างเหมาบริการของส่วนราชการ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์และสวัสดิการแก่กลุ่มลูกจ้างเหมาดังกล่าว ให้กระทรวงแรงงานพิจารณาดำเนินการบนพื้นฐานของความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเท่าเทียมกันด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งจัดทำข้อมูลผลการดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยมีรายละเอียดของการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญอย่างชัดเจน เช่น การจัดทำ/ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน การสอบและการวัดผลการศึกษา และประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินการดังกล่าว เป็นต้น เพื่อใช้ในการชี้แจงและสร้างการรับรู้ให้แก่สาธารณชนให้ถูกต้องต่อไป ทั้งนี้ ให้รายงานข้อมูลผลการดำเนินการดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบภายใน ๑ เดือน ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกับรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ให้ได้ข้อยุติโดยเร็วเกี่ยวกับความจำเป็นเหมาะสมและแนวทางในการจัดตั้งกระทรวงใหม่ด้านนวัตกรรมและการวิจัยของประเทศที่เกิดจากการควบรวมกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ากับหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการบางส่วน ทั้งนี้ ให้พิจารณาถึงภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15214 | การติดต่อทำความตกลงกับต่างประเทศ การทำอนุสัญญา และสนธิสัญญาต่าง ๆ | นร05 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติว่า เพื่อให้การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ/ความตกลงกับองค์การระหว่างประเทศในรูปแบบต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้อง ชัดเจน จึงให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดังต่อไปนี้
๑. ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องต้องเจรจาหารือกับคู่ภาคีเกี่ยวกับร่างความตกลงฯ ให้ได้ข้อยุติ/ความเห็นชอบร่วมกันก่อน ๒. ส่วนราชการ/หน่วยงานเจ้าของเรื่องต้องส่งเรื่องที่จะจัดทำความตกลงกันดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีทุกครั้งตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง การติดต่อทำความตกลงกับต่างประเทศ การทำอนุสัญญา และสนธิสัญญาต่าง ๆ) รวมทั้งให้ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) พิจารณาเสนอความเห็นด้วยเช่นเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15215 | ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดและร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ) | นร05 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15216 | ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดและร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ | ยธ | 15/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ ของกระทรวงยุติธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการปรับปรุงบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และควบคุมยาเสพติด รวมทั้งการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ซึ่งกระจายอยู่ในกฎหมายหลายฉบับ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่มีความสอดคล้องกัน โดยได้รวบรวมและปรับปรุงบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวมาจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... และร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ บางประการ เพื่อให้สอดคล้องกับร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดในประเด็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของกรรมการ ป.ป.ส. เลขาธิการ ป.ป.ส. รองเลขาธิการ ป.ป.ส. และเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. รวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับยาเสพติดที่ถูกยึดไว้ตามกฎหมาย และการอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยในคดียาเสพติด และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างพระบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15217 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแรงงานกลาง พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลแรงงานภาค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ศย | 15/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแรงงานกลาง พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลแรงงานภาค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแรงงานกลาง และศาลแรงงานภาค ๑ และศาลแรงงานภาค ๗ โดยให้ศาลแรงงานกลาง มีเขตอำนาจตลอดท้องที่กรุงเทพมหานคร ศาลแรงงานภาค ๑ มีเขตอำนาจรวมถึงจังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดสมุทรปราการ และศาลแรงงานภาค ๗ มีเขตอำนาจรวมถึงจังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรสาคร ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแรงงานกลาง พ.ศ. .... มาตรา ๔ ที่กำหนดบทเฉพาะกาลให้โอนคดีทั้งปวงที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลแรงงานกลางให้ไปศาลแรงงานภาคที่มีเขตอำนาจเหนือคดีดังกล่าวพิจารณาพิพากษาต่อไปนั้น ต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการกำหนดบทบัญญัติดังกล่าว เนื่องจากอาจกระทบต่อความสะดวกในการมาศาลของคู่ความเดิมที่คดีค้างการพิจารณาอยู่ในศาลแรงงานกลาง ซึ่งอาจกำหนดให้เป็นดุลพินิจของศาลแรงงานกลางที่จะโอนคดีที่ค้างพิจารณาอยู่เดิมไปยังศาลแรงงานภาคที่มีเขตอำนาจเหนือคดีดังกล่าว โดยพิจารณาเป็นรายคดีก็ได้ โดยเทียบกับบทบัญญัติมาตรา ๖ แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลแรงงงานภาค พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่บัญญัติในนัยเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15218 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองขลุง จังหวัดจันทบุรี พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. ....) | มท | 15/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองขลุง จังหวัดจันทบุรี พ.ศ. ....รวม ๓ ฉบับ สาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ และคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำ รวมทั้งควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคกับการระบายน้ำในพื้นที่ นอกจากนี้ ควรมีการเพิ่มประเภทโรงงาน และให้กรมโยธาธิการและผังเมืองสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดิน ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผังเมืองรวมอย่างเข้มงวด เพื่อให้สามารถรองรับการพัฒนาและการขยายตัวของชุมชนได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับภูมิสังคมของพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15219 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สภาพปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจนเมือง ของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจนเมือง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 15/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจนเมือง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง สภาพปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจนเมือง ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้พิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้วเห็นว่า ข้อเสนอแนะดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) โดยในชั้นกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิจารณาให้ความเห็น ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) เห็นชอบในหลักการ โดยให้ปรับชื่อเป็น “แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) และได้มีการดำเนินการ เช่น กำหนดให้มี “คณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ” ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ พ.ศ ๒๕๕๑ เพื่อขับเคลื่อนแผนแม่บทดังกล่าว ให้มีคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายและแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน การจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยของการเคหะแห่งชาติ การสนับสนุนกองทุนสินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยแก่องค์กรชุมชน ภายใต้โครงการบ้านมั่นคง ของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15220 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 15/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยปรับปรุงวาระการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชน โดยกำหนดให้มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักทั่วไปของสถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
.....