ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 766 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 15301 - 15320 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15301 | การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ | นร12 | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ ในการรองรับการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ โดยต้องพิจารณาปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงานที่มีอยู่เดิมเป็นลำดับแรกก่อน สำหรับข้อเสนอการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ไม่ควรมีผลผูกพันกับส่วนราชการในทันที และหากยังมีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพิ่ม ควรจัดตั้งเฉพาะที่มีเหตุผลความจำเป็นและคำนึงถึงค่าใช้จ่าย และนอกจากนี้ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ศึกษาเรื่องดังกล่าวในรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุผลความจำเป็นและความคุ้มค่าในการจัดตั้งให้ชัดเจนควบคู่ไปด้วย ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอของสำนักงาน ก.พ.ร. อย่างเคร่งครัดต่อไป และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทยอยดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ในประเด็นการจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานใหม่ และการยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วน เหตุผลความจำเป็น และความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต รวมถึงภาระด้านงบประมาณ กรอบนโยบายของรัฐบาล และนโยบายของแต่ละกระทรวงด้วย ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการภาครัฐในลักษณะประชารัฐให้มากขึ้นด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. เช่น ควรให้มีการผลักดันการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมอันจะช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงานภาครัฐตามแผนปฏิรูปประเทศไปสู่เป้าหมาย ทดแทนการจัดตั้งหน่วยงานเพิ่มใหม่ สำหรับหน่วยงานที่มีการจัดตั้งขึ้นใหม่ หรือหน่วยงานที่มีโครงสร้างยังไม่สมบูรณ์ อาทิ ยังมีอัตรากำลังที่ไม่เหมาะสม และไม่สามารถเกลี่ยอัตรากำลังได้ ควรให้มีการวิเคราะห์ค่างานเป็นหลัก เพื่อขอสนับสนุนอัตรากำลังที่เหมาะสมต่อไป และในการดำเนินงานตามขั้นตอนของแผนปฏิรูปประเทศดังกล่าว ควรใช้ประโยชน์จากบุคลากรทุกประเภทที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยอาจพิจารณาถึงการปรับโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐทั้งระบบ เพื่อลดความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีภารกิจรับผิดชอบดำเนินการอยู่ตามกฎหมายให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนของแผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐที่มีเป้าหมายให้ภาครัฐมีขนาดที่เล็กลง โดยจัดลำดับความสำคัญตามข้อเสนอการขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศดังกล่าว โดยมิให้ส่งผลกระทบต่อขนาดกำลังคนภาครัฐโดยรวมและภาระงบประมาณ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15302 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 6 | คค | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross-Border Transport Agreement : GMS CBTA) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๖ ซึ่งกระทรวงคมนาคมเวียดนามร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) จัดการประชุมดังกล่าวขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ยินดีต่อการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง “ระยะแรก” (Memorandum of Understanding of the “Early Harvest” Implementation of the CBTA) ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะส่งผลให้บันทึกความเข้าใจ Early Harvest มีผลบังคับใช้ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ และได้มีมติเห็นชอบการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจ Early Harvest เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ (๑) ให้ประเทศสมาชิกดำเนินการออกใบอนุญาตการขนส่งทางถนน (Permit) และเอกสารนำเข้าชั่วคราว (Temporary Admission Document : TAD) ทันที และ (๒) ให้ ADB ทำการศึกษาเพื่อหากลไกที่เหมาะสมในประเด็นการเก็บค่าผ่านทางและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ของประเทศภาคีคู่สัญญาที่ด้อยพัฒนา (The Least Developed GMS Countries) เพื่อใช้ในการบำรุงรักษาถนนให้แล้วเสร็จทันเวลาที่จะเริ่มดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจ Early Harvest ต่อไป ๒. ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าในการเจรจาหารือเพื่อขยายเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ จุดข้ามแดน ภายใต้พิธีสาร ๑ ของความตกลง CBTA และร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสดำเนินการหาข้อสรุปรายชื่อ เส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ จุดข้ามแดนฯ และร่างบันทึกความเข้าใจให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ เพื่อให้มีการรับรองแบบเวียน (ad-referendum endorsement) โดยคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลง CBTA รวมถึงให้ประเทศสมาชิกดำเนินการตามขั้นตอนภายในประเทศที่จำเป็นสำหรับการเพิ่มเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ จุดข้ามแดน ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ๓. ที่ประชุมฯ เน้นย้ำถึงความสำคัญของกลไกการติดตามผลของการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งและการค้า (Transport and Trade Facilitation) และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสปฏิบัติตามข้อผูกพันเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูล ณ จุดข้ามแดนที่ระบุไว้ในพิธีสาร ๑ รวมถึงยินดีต่อการมีส่วนร่วมของสถาบันแม่น้ำโขงเพื่อสนับสนุนการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจ Early Harvest ซึ่งจะรายงานผลการดำเนินงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลง CBTA ครั้งที่ ๗ ในปี ๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15303 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 2/2561 | นร04 | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งผลการประชุมมีความคืบหน้าการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ๕ เรื่อง ตามที่ กขร. เสนอ ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการดำเนินการร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๑ เดือน (เมษายน ๒๕๖๑) ๒. ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับกิจการสหกรณ์การเงินขนาดใหญ่ พ.ศ. .... ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓ เดือน (มิถุนายน ๒๕๖๑) ๓. การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายประสานการดำเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๑ เดือน (เมษายน ๒๕๖๑) ๔. แนวทางการบูรณาการระบบสวัสดิการภาครัฐเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนมุ่งเป้า ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเจ้าภาพหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) บูรณาการข้อมูลระบบสวัสดิการภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน (กันยายน ๒๕๖๑) โดยประสานเชื่อมโยงกับคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาวด์คอมพิวติง (Cloud Computing) ด้วย ๕. โครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการจัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เพิ่มเติม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๑ เดือน (เมษายน ๒๕๖๑)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15304 | รายงานผลการเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะการเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจระหว่างไทยและฮ่องกง เพื่อเชื่อมต่อการค้าของไทยทั้งในระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค พร้อมทั้งเพื่อให้มีการติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวนโยบายเศรษฐกิจของจีนและฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงในครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้รับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเป็นองค์ประธานโครงการส่งเสริมภาพลักษณ์ธุรกิจบันเทิงไทย (Thai Night) และเยี่ยมชมงาน Hong Kong International Film & TV Market (FILMART) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าภาพยนตร์และธุรกิจบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค รวมทั้งได้พบหารือกับรองผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและเอกชน ผู้นำเข้าและนักธุรกิจรายสำคัญของฮ่องกง โดยมีประเด็นหารือกันในเรื่องการเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุน นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เยี่ยมชมความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสะพานฮ่องกง-มาเก๊า-จูไห่ และ Cyber Port Center (แหล่งรวมนักธุรกิจ Start-Up รุ่นใหม่ของฮ่องกง) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15305 | ข้อเสนอการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เพิ่มเติม | นร12 | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (๑) ข้อเสนอหลักการ มาตรการ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เพิ่มเติม ประกอบด้วยมาตรการและวิธีการให้ส่วนราชการต้องปฏิบัติเพิ่มเติม รวม ๒ ประเด็น ได้แก่ ประเด็นที่ ๑ ระบบราชการที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกัน และประเด็นที่ ๒ ระบบราชการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย และ (๒) แผนการดำเนินการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐสู่การเป็นระบบราชการ ๔.๐ และการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ โดยแบ่งแผนการดำเนินการเป็น ๒ ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น (มีนาคม-กันยายน ๒๕๖๑) เป็นการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมให้แก่หน่วยงานรัฐดำเนินการตามหลักการ มาตรการ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เพิ่มเติม และระยะยาว (ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป) เป็นการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผน/แนวทางที่กำหนดเป็นประจำทุกปี ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรเปิดโอกาสให้ส่วนราชการซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการดำเนินการของสำนักงาน ก.พ.ร. ควรใช้มาตรการและวิธีการพัฒนาระบบราชการที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ครอบคลุมของสอดคล้องกับบริบทของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป ควรให้ส่วนราชการจัดทำระบบฐานข้อมูลสารสนเทศและภารกิจหลักก่อน โดยมีการสำรวจกฎหมายที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย ควรบูรณาการเครื่องมือการประเมินผลต่าง ๆ เพื่อลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน ควรมีความยืดหยุ่นในเรื่องของวิธีการและระยะเวลาเพื่อเปิดโอกาสให้ส่วนราชการสามารถประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับภารกิจหน้าที่ที่แตกต่างกัน ควรเพิ่มการพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์และจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Scientist) ให้แก่บุคลากรภาครัฐ ควรสนับสนุนส่งเสริมให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ พัฒนาศักยภาพและความสามารถในการให้บริการประชาชนทั้งด้านการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะระบบดิจิทัลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ควรปรับปรุงกฎระเบียบ ขั้นตอนการปฏิบัติงานให้มีความทันสมัย ควรสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันให้ทุกหน่วยงานอย่างทั่วถึงเกี่ยวกับแนวทางและวิธีการ ตลอดจนการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) รับไปดำเนินการเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องด้วย ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาศึกษา ทบทวนการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ ให้สอดคล้องกับบริบทของการบริหารราชการและการพัฒนาประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคำนึงถึงเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน และภาระของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15306 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | นร11 | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง ในด้านการใช้จ่าย มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในเกณฑ์สูง ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเร่งขึ้น การเบิกจ่ายรายจ่ายประจำของรัฐบาลขยายตัว ในขณะที่การเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลปรับตัวลดลง ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง ส่วนรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวในเกณฑ์สูงและเร่งขึ้น ในขณะที่ดัชนีราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง การขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องของเครื่องชี้เศรษฐกิจในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เมื่อรวมกับการขยายตัวในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ส่งผลให้เครื่องชี้สำคัญ ๆ ทางเศรษฐกิจในช่วง ๒ เดือนแรกของไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวสูงกว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๖๐ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ การจ้างงานลดลงเล็กน้อยแต่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุลต่อเนื่องและส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒. เศรษฐกิจโลก ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องและกระจายตัวมากขึ้นตามการปรับตัวดีขึ้นของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญ ๆ นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศยูโรโซน และญี่ปุ่น ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศและการผลิตภาคอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนซึ่งยังขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียอื่น ๆ ส่วนใหญ่ขยายตัวได้ดีตามการผลิตและการบริโภคภายในประเทศ ในขณะที่การส่งออกเริ่มชะลอตัว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15307 | รายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2559 | ทส | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) สถานการณ์การขับเคลื่อนการพัฒนา นโยบาย และยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ (๒) สถานการณ์ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง (๓) สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่ง (๔) สถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งรายจังหวัด (๕) สถานการณ์การใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (๖) การวิเคราะห์สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ โดยใช้กรอบแนวคิด DPSIR (๗) การใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ และ (๘) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15308 | สรุปผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสาธารณรัฐออสเตรีย | ยธ | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเดินทางไปราชการ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ศึกษาดูงานที่ศูนย์ฝึกทักษะด้านวิชาชีพ Meister Education Development ณ เมืองอาเคน โดยศูนย์ฝึกทักษะฯ มีการเรียนและการฝึกทักษะ ๒ รูปแบบ คือ การฝึกวิชาชีพช่างตามที่ตลาดแจ้งความต้องการมา และการฝึกครูช่างแบบเยอรมัน (German Meister) ซึ่งในปัจจุบันศูนย์ฝึกทักษะฯ มีความร่วมมือทางการศึกษากับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ภายใต้โครงการอบรมครู Thai-German Meister และการเยี่ยมชมการทำงานของศูนย์ฝึกอบรมอาชีพให้กับผู้กระทำผิดในรัฐอาเคน พร้อมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการฝึกอบรมอาชีพให้กับผู้ต้องขังด้วย ๒. การเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐออสเตรีย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์ และการวิจัย เกี่ยวกับการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือมหาวิทยาลัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับมหาวิทยาลัยในสหภาพยุโรป (ASEAN-UNNET) โดยฝ่ายออสเตรียประสงค์ที่จะจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษากับไทย เพื่อเป็นกรอบในการส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานระหว่างกัน และได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการดิจิทัลและเศรษฐกิจ เกี่ยวกับการขยายความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการค้าให้ครอบคลุมเพิ่มมากขึ้นผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการค้า การจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการค้าและดิจิทัล และการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาในลักษณะ Dual Education Program เป็นต้น ซึ่งฝ่ายไทยจะนำเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการค้าและดิจิทัล รวมทั้งแนวทางการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาดังกล่าวมาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ได้ศึกษาดูงาน Smart City ณ เขต Aspern กรุงเวียนนา พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลในหลายประเด็นเพื่อนำมาเป็นแนวทางการพัฒนาเมือง Smart City ต้นแบบของไทย เช่น การพัฒนาเมืองให้เป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจแห่งใหม่และเป็นต้นแบบในการวางผังเมืองเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต การส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว การขยายเส้นทางรถไฟใต้ดินและการวางระบบรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15309 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | พณ | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๔๑,๖๔๘,๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า) รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับ ดูแล ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูล การศึกษา วิเคราะห์ วิจัย เกี่ยวกับสินค้า บริการ และพฤติกรรมในการประกอบธุรกิจ ควรมุ่งเน้นการศึกษาเชิงลึกธุรกิจแต่ละประเภทที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดการผูกขาดตลาด ตลอดจนกำหนดแนวทางการทำงานที่ชัดเจน เป็นระบบ และให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า รวมถึงวางแนวปฏิบัติในการวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนและสอบสวนการกระทำความผิดที่สอดคล้องตามหลักสากล อีกทั้งควรมีการติดตาม ประเมินผล และเผยแพร่ผลการดำเนินงานภายใต้แผนงานการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้สาธารณชนรับทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15310 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2559/2560 | อก | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๙/๒๕๖๐ ตามมาตรา ๕๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นรายเขต ๙ เขต โดยราคาเฉลี่ยทั่วประเทศในอัตราตันอ้อยละ ๑,๐๘๓.๘๖ บาท ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๖๕.๐๓ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย เท่ากับ ๔๖๔.๕๑ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการให้เงินเพิ่มค่าอ้อยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยจากส่วนต่างของราคาอ้อยขั้นสุดท้ายกับราคาอ้อยขั้นต้น และหักเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประโยชน์ที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยจะได้รับในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำกับดูแลสถานะเงินกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มีเสถียรภาพ และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาอ้อยและน้ำตาลทราย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15311 | การปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง | นร10 | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โดยที่กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการแต่ละประเภทยังคงมีบทบัญญัติที่กำหนดให้ข้าราชการอาจได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจได้ โดยกรณีศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และองค์กรอัยการ เมื่อองค์กรดังกล่าวพิจารณากำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวแล้ว จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งในขั้นตอนการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี จะมีการสอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาเหตุผลความจำเป็นและความเป็นธรรมในภาพรวม จึงเห็นควรให้คงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวในส่วนของศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และองค์กรอัยการไว้ก่อน ๒. เห็นควรแยกการกำหนดค่าตอบแทนของประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกจากร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มากำหนดเป็นกฎหมายเฉพาะ สำหรับกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมให้มีบทบัญญัติเพื่อให้มีอำนาจพิจารณากำหนดเงินเพิ่มในลักษณะเดียวกันกับศาลยุติธรรมและศาลปกครอง เห็นควรให้พิจารณาทบทวนบทบัญญัติของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในโอกาสต่อไป ๓. เห็นควรนำการกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มากำหนดเพิ่มเติมไว้ในร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๔. เห็นควรรวมร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นฉบับเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15312 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... | รง | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะความผิดฐานใช้แรงงานบังคับ กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ กำหนดมาตรการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการใช้แรงงานบังคับ กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ และกำหนดบทลงโทษที่มีความเหมาะสมกับการกระทำความผิดฐานใช้แรงงานบังคับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เช่น การปรับปรุงถ้อยคำของคำว่า “การแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ” ให้มีความชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้กฎหมาย การกำหนดลักษณะงานของผู้ต้องขัง โดยแก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา ๓ (๓) เป็น “งานหรือบริการอันเป็นผลมาจากคำพิพากษาของศาล หรืองานหรือบริการอันอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์” เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล การกำหนดรายละเอียดให้เห็นความแตกต่างระหว่างการกระทำความผิดฐานใช้แรงงานบังคับกับการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ และการกำหนดแหล่งเงินของกองทุนฯ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้เสนอร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อได้มีการเสนอพิธีสารปี ค.ศ. ๒๐๑๔ ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๐ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15313 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 2 ฉบับ | สลธ.คสช. | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗/๒๕๖๑ เรื่อง การยกเลิกและระงับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สั่ง ณ วันที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกและระงับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ไว้ก่อน และให้กรรมการฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ ยังคงดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ตามที่จำเป็นไปพลางก่อน รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการกิจการฯ และดำเนินการให้มีการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งดังกล่าวโดยเร็วต่อไป ๑.๒ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๘/๒๕๖๑ เรื่อง ยกเลิกบทบัญญัติบางประการในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม สั่ง ณ วันที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกบทบัญญัติในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ ๑๐/๒๕๕๘ ฉบับที่ ๒๔/๒๕๕๘ และฉบับที่ ๔๒/๒๕๕๘ เพื่อมิให้มีความซ้ำซ้อนกับบทบัญญัติที่ได้นำไปกำหนดไว้แล้วในกฎหมายว่าด้วยการประมง เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้และการตีความกฎหมาย และยังเป็นการปฏิรูปกฎหมายของประเทศให้มีเอกภาพ และมีเพียงเท่าที่จำเป็นตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ ๒. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอเพิ่มเติมว่า โดยที่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗/๒๕๖๑ เรื่อง การยกเลิกและระงับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สั่ง ณ วันที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ ข้อ ๓ กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดังนั้น เพื่อให้การสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบตามข้อ ๓ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว โดยให้ประสานเพื่อทราบข้อมูลประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการสรรหาและการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวกับคณะกรรมการสรรหาและสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15314 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ขยายระยะเวลามาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล) | กค | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ขยายระยะเวลามาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล) มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาในการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล โดยให้ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สินให้แก่นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก “ตั้งแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบพระราชกฤษฎีกานี้ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑” เป็น “ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติม แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีดังกล่าวให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ และสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของมาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบของนิติบุคคลในระบบภาษีมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการยกเว้นภาษีดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงการสูญเสียรายได้ในอนาคต และกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนทางการเงินการคลัง และงบประมาณของรัฐ และกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการประเมินผลมาตรการในเรื่องนี้ และเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความชัดเจนและประสิทธิภาพต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15315 | อุทยานธรณีสตูลได้รับการรับรองจากยูเนสโกเป็นอุทยานธรณีโลก (UNESCO Global Geoparks) | ทส | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง อุทยานธรณีสตูลได้รับการรับรองจากยูเนสโกเป็นอุทยานธรณีโลก (UNESCO Global Geoparks) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุทยานธรณีสตูลได้รับการพิจารณารับรองการเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) แล้ว ในการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๒๐๔ (204th Session of the Executive Board) เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ณ องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ทั้งนี้ อุทยานธรณีโลกเมื่อได้รับการจัดตั้งแล้วจะมีสถานะเป็นอุทยานธรณีโลก ภายในระยะเวลา ๔ ปี หลังจากนั้นจะต้องได้รับการประเมินอุทยานธรณีโลกใหม่อีกครั้ง (Revalidation) เพื่อให้รักษาคุณสมบัติและคุณภาพของอุทยานธรณีโลก หากผลการประเมินผ่านเกณฑ์จะได้รับการต่ออายุเป็นอุทยานธรณีโลกอีก ๔ ปี แต่หากไม่ผ่านการประเมิน หน่วยงานผู้รับผิดชอบในการบริหารอุทยานธรณีโลกต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามขั้นตอนและข้อเสนอแนะของยูเนสโกให้แล้วเสร็จภายใน ๒ ปี หากไม่สามารถดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในกำหนดได้ จะถูกถอดถอนจากการเป็นอุทยานธรณีโลก ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรธรณี) จะประสานหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดสตูล และอุทยานธรณีโลกยูเนสโกสตูล พิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตของสมาชิกสภาอุทยานธรณีโลกต่อการพัฒนาอุทยานธรณี เช่น การดำเนินการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง การเร่งรัดการป้องกันพื้นที่ชายฝั่งทะเลและสิ่งก่อสร้างบริเวณแนวชายฝั่งที่ได้รับการกัดเซาะโดยธรรมชาติอย่างรวดเร็ว และการจัดทำแผนการดำเนินงาน ๔ ปี ของอุทยานธรณีสตูล เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานเพื่อพัฒนามาตรฐานของอุทยานธรณีสตูลและเตรียมรองรับการประเมินใน ๔ ปีข้างหน้า เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15316 | ผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม | กห | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างวันที่ ๒๑ ถึงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๑ ซี่งการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้พบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา โดยมีผลการหารือในด้านต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเล การฝึกระดับพหุภาคี โดยเฉพาะการฝึกร่วม/ผสม คอบร้าโกลด์ ความคืบหน้าในการจัดทำความตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนา (Master Information Exchange Agreement : MIEA) และการผลักดันให้มีการสนับสนุนที่นั่งศึกษาหลักสูตรทางทหารให้กับกำลังพลของกระทรวงกลาโหมภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือทางทหารให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมที่สหรัฐอเมริกาเคยให้การสนับสนุน รวมทั้งการหารือถึงสถานการณ์ในภูมิภาค ได้แก่ สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ และการเพิ่มบทบาทของไทยต่อการแก้ไขปัญหาบนคาบสมุทรเกาหลี เป็นต้น นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันในการเป็นประธานร่วมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางทะเล (Experts’ Working Group on Maritime Security : EWG on MS) ในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : ADMM-Plus) วงรอบปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15317 | การให้สัตยาบันต่อพิธีสารปี ค.ศ. 2014 ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 29 ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. 1930 | รง | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบพิธีสารปี ค.ศ. ๒๐๑๔ ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๐ มีสาระสำคัญเพื่อจัดการกับปัญหาการใช้แรงงานบังคับที่ครอบคลุม ๕ ด้าน ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมาย การป้องกัน การคุ้มครอง การชดเชยช่วยเหลือเยียวยาและเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของผู้เสียหายจากการถูกบังคับใช้แรงงาน รวมทั้งการสร้างความเข้มแข็งด้านความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งด้านกฎหมายวิชาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดี และเรียนรู้ในการต่อต้านการใช้แรงงานบังคับและแรงงานเกณฑ์ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารเพื่อให้พิธีสารฯ มีผลผูกพัน ทั้งนี้ ให้ยื่นสัตยาบันสารเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารฯ และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ได้มีการประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว เว้นแต่เป็นกรณีที่มีระยะเวลาให้รัฐสมาชิกดำเนินการภายหลังการให้สัตยาบันได้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15318 | การเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน | กค | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเรียกให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี ๒๕๖๑ ในกรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ โดยให้กระทรวงพลังงานและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประสานงานในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุนหมุนเวียนต่าง ๆ เกี่ยวกับการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการในโอกาสแรก โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15319 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดประชุม และนิทรรศการ | นร | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ แทนผู้ที่ลาออก รวม ๒ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เสนอ ดังนี้
๑. นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการ ๒. นายทาลูน เทง กรรมการผู้แทนสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15320 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ (นายนฤทธิ์ คำธิศรี) | กษ | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายนฤทธิ์ คำธิศรี ผู้แทนเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ แทน นายดิเรก สังขจันทร์ ซึ่งได้ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยให้ดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
.....