ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 768 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 15341 - 15360 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15341 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สัตวแพทยสภาเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อให้สัตวแพทยสภาและบุคลากรของสัตวแพทยสภาซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายโดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15342 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปูโยะ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก และตำบลจะแนะ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปูโยะ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก และตำบลจะแนะ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีอำนาจนำที่ดินมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล และควรต้องติดตามดูแลให้เกษตรกรสามารถรักษาที่ดินที่ได้รับให้เป็นแหล่งประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาด รวมถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่เหมาะสมกับเงื่อนไขการพัฒนาในพื้นที่ และการสนับสนุนทางเลือกในการทำเกษตรกรรมยั่งยืน โดยเฉพาะเกษตรผสมผสาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15343 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ่อไทย ตำบลวังโบสถ์ ตำบลวังท่าดี ตำบลท่าแดง และตำบลเพชรละคร อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... | กษ | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ่อไทย ตำบลวังโบสถ์ ตำบลวังท่าดี ตำบลท่าแดง และตำบลเพชรละคร อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนสำหรับใช้ก่อสร้างระบบส่งน้ำ พร้อมอาคารประกอบตามโครงการระบบส่งน้ำอ่างเก็บน้ำคลองลำกง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15344 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโพธิ์ตาก ตำบลนาทราย ตำบลนาราชควาย ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม และตำบลรามราช ตำบลเวินพระบาท อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม พ.ศ. .... | คค | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโพธิ์ตาก ตำบลนาทราย ตำบลนาราชควาย ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม และตำบลรามราช ตำบลเวินพระบาท อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๒ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๒ และสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท นพ.๓๐๐๘ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กรมทางหลวงชนบทควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางการบริหารจัดการจราจรให้เกิดความปลอดภัย ซ่อมแซมบำรุงรักษาถนนโครงการและทางจักรยานให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ และให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15345 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองกะขะ ตำบลหนองหงส์ ตำบลมาบโป่ง อำเภอพานทอง และตำบลมาบไผ่ ตำบลบ้านบึง ตำบลหนองบอนแดง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองกะขะ ตำบลหนองหงส์ ตำบลมาบโป่ง อำเภอพานทอง และตำบลมาบไผ่ ตำบลบ้านบึง ตำบลหนองบอนแดง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงชนบท ชบ.๓๐๒๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทเสนอขอบรรจุโครงการขยายทางหลวงชนบท ชบ.๓๐๒๓ ไว้ในแผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เพื่อให้การพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่ดังกล่าวสามารถรองรับปริมาณความต้องการขนส่งสินค้าและเดินทางในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15346 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง โครงการพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (โครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ) เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนในพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง โครงการพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (โครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ) เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนในพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะดังกล่าว และมีข้อสังเกตเพิ่มเติมบางประการ เช่น การตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ต้องคำนึงถึงระยะทางการขนส่งวัตถุดิบไม้ยางพาราเพื่อป้อนโรงงานสายส่งไฟฟ้าเพื่อจำหน่าย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าชีวมวล ข้อเสนอที่ให้โรงไฟฟ้าและโรงเลื่อยถือหุ้นในสหกรณ์ ขัดกับมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ เนื่องจากโรงไฟฟ้าและโรงเลื่อยไม่ได้เป็นบุคคลธรรมดาและประกอบอาชีพเกษตร ข้อเสนอที่ให้สหกรณ์ถือหุ้นในโรงไฟฟ้า ขัดกับมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15347 | รายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด สมัยที่ 61 | ยธ | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด (Commission on Narcotics Drugs : CND) สมัยที่ ๖๑ ซึ่งเป็นการประชุมที่สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒-๑๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย โดยมีสาระสำคัญ เช่น (๑) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวถ้อยแถลงในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย เพื่อรายงานความก้าวหน้าและแสดงบทบาทของประเทศไทยในการปฏิบัติตามแผนและเอกสารสำคัญต่าง ๆ ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) (๒) การพิจารณาควบคุมสาร โดยที่ประชุม CND ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) และคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (International Narcotics Control Board : INCB) ได้พิจารณาการควบคุมสารระหว่างประเทศ จำนวน ๑๒ ชนิด (๓) การร่วมพิจารณาร่างข้อมติ ซึ่งเป็นเอกสารที่ประเทศสมาชิกประสงค์จะผลักดันความร่วมมือเป็นพิเศษ โดยในการประชุม CND สมัยที่ ๖๑ มีการเสนอร่างข้อมติ จำนวน ๑๐ ฉบับ (๔) การจัดกิจกรรมคู่ขนาน รัฐบาลไทยได้จัดกิจกรรมคู่ขนาน จำนวน ๑ เรื่อง หัวข้อ “Development Oriented Drug Policies : The Future of Alternative Development” และ (๕) การประชุมหารือทวิภาคีกับผู้แทนประเทศต่าง ๆ เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15348 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2560 | ผผ | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๖๐ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการดำเนินงานตามภารกิจด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน ด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รวมทั้งตัวอย่างผลการดำเนินงานตามคำร้องเรียน ผลการปฏิบัติตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะผู้ตรวจการแผ่นดินของหน่วยงานภาครัฐ ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อเสนอแนะจากผลการศึกษาเรื่อง ผลกระทบนโยบายการให้สิทธิประโยชน์และคุ้มครองการทำงานของครูโรงเรียนเอกชนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน : ประเภทสามัญศึกษา ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กรณีที่มีผู้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเกี่ยวกับการให้เช่าพื้นที่ภายในท่าอากาศยานนานาชาติแก่เอกชน เพื่อให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร โดยให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) รับความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดินไปพิจารณาทบทวนและดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้ทุกส่วนราชการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับการร้องเรียน เพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ให้ความช่วยเหลือ และให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบตามแต่กรณี ให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15349 | รายงานสรุปผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 [19th ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council Meeting] ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคณะ | พม | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ [19th ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council Meeting] และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยระดับรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุม และมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุม ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ (19th ASCC Council Meeting) ครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การรายงานของประธานการประชุมคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ (24th Senior Officials Committee for the ASCC : SOCA) เกี่ยวกับผลการดำเนินงานในปี ๒๕๖๑ และความก้าวหน้าของเอกสารผลลัพธ์สำคัญที่จะเสนอต่อผู้นำอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๒ และครั้งที่ ๓๓ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ รับทราบแผนงานหลักประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี ๒๕๖๑ การประสานงานข้ามสาขาและข้ามเสา ความก้าวหน้าการจัดทำแผนการดำเนินงานของสถาบันอาเซียนเพื่อเศรษฐกิจสีเขียว (ASEAN Institute for Green Economy : AIGE) ๒. การประชุมแบบไม่เป็นทางการ [ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council Minister’s Retreat] เกี่ยวกับวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน (Culture of Prevention : CoP) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรเฉพาะสาขาภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนขับเคลื่อนการดำเนินงานและบูรณาการประเด็นเรื่องวัฒนธรรมแห่งการป้องกันไว้ในแผนงานของตน โดยแสวงหาความร่วมมือและการประสานงานข้ามสาขาและข้ามเสา การนำประเด็นเรื่องวัฒนธรรมแห่งการป้องกันบรรจุในระเบียบวาระการประชุมประสานงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๑๓ (13 Coordinating Conference on the ASCC : SOC-COM) ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดทำแผนปฏิบัติการอาเซียนเพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมแห่งการป้องกันในทั้งสามประชาคมอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15350 | มาตรการการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นเนื่องจากมีพฤติกรรมในทางทุจริต | ปช | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเรื่อง มาตรการการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น เนื่องจากมีพฤติกรรมในทางทุจริต ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันเกี่ยวกับการแก้ไขความไม่ชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการสอบสวนและการกระทำความผิดของสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้สามารถกระทำได้ในทุกกรณี แม้ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดจะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติม “การไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริต” กำหนดเป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ของส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15351 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดำที่ อ.1655/2555 คดีหมายเลขแดงที่ อ.153/2561 ระหว่าง นายสุรินทร์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ ฟ้องคณะรัฐมนตรีกับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี | นร05 | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.๑๖๕๕/๒๕๕๕ คดีหมายเลขแดงที่ อ.๑๕๓/๒๕๖๑ ระหว่างนายสุรินทร์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ ผู้ฟ้องคดี คณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ ๑ กับพวกรวม ๓ คน ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ ๓ เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15352 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561) | นร04 | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15353 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 17 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ดศ | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Ministers Meeting : TELMIN) ครั้งที่ ๑๗ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ระหว่างวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน-๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ รัฐมนตรีอาเซียนได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและวิสัยทัศน์การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีทีในภูมิภาค โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้หยิบยกประเด็นสำคัญ ๓ เรื่อง คือ (๑) การกำหนดทิศทางด้านดิจิทัลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน (๒) เสนอจัดตั้งเวทีเพื่อหารือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๓) การยกระดับการประสานงานประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการประชุมอาเซียนสาขาอื่น โดยเฉพาะประเด็นความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และเสนอให้มีการจัดทำแผนแม่บทด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของอาเซียน นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบการพัฒนาการด้านไอซีทีของอาเซียนในภาพรวมตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน (ASEAN ICT Masterplan 2020) และผลการดำเนินโครงการที่สำคัญในปี ๒๕๖๐ เช่น การรับรองกรอบความร่วมมืออาเซียน เรื่องค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างประเทศเพื่อสร้างความโปร่งใสและสนับสนุนการเข้าถึงบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้ามแดนอัตโนมัติในภูมิภาคอาเซียน การรับรองแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมืออาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เป็นต้น รวมทั้งรับรองปฏิญญาเสียมราฐ (Siem Reap Declaration) ว่าด้วยการเชื่อมโยงและความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อนำไปสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่และการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรวมตัวของประชาคมดิจิทัล ๒. การประชุมหารือระหว่างอาเซียนกับคู่เจรา ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) โดยในส่วนของการหารือระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ที่ประชุมเห็นชอบให้ดำเนินโครงการ ASEAN-Japan Cybersecurity Cooperation Hub ระยะที่ ๒ โดยสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของอาเซียน โดยญี่ปุ่นจะสนับสนุนงบประมาณในระยะเวลา ๔ ปี ๓. การมอบรางวัล ASEAN ICT Awards 2017 โดยในปีนี้ประเทศไทยได้รับทั้งหมด ๗ รางวัล ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ จำนวน ๑ รางวัล รองชนะเลิศอันดับ ๑ จำนวน ๒ รางวัล และรองชนะเลิศอันดับ ๒ จำนวน ๔ รางวัล ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีความเห็นว่าควรให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้ผลงานเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมทั้งต่อยอดโดยส่งผลงานเข้าประกวดในเวทีการแข่งขันอื่นต่อไป ๔. การหารือทวิภาคี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้หารือทวิภาคีกับสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (United States-ASEAN Business Council : USABC) โดย USABC พร้อมที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ และแผนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้เชิญชวนให้ USABC เข้ามาลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยในโครงการ Digital Park ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15354 | การเข้าร่วมเป็นสมาชิก The United Nations Collaborative Programme on Reducing Emissions From Deforestation and Forest Degradation in Developing Countries (UN-REDD Programme) ของประเทศไทย | ทส | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก The United Nations Collaborative Programme on Reducing Emissions From Deforestation and Forest Degradation in Developing Countries (UN-REDD Programme) ซึ่งโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นสมาชิกให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินการตามกรอบงานเรดด์พลัส (REDD+) หรือที่เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเกิดจากการทำลายป่าและการทำให้ป่าเสื่อมโทรม รวมถึงการอนุรักษ์ป่า การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่า โดยโครงการจะสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ทั้งในเชิงเทคนิค วิชาการ และการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่เป็นข้อตัดสินใจของการประชุมประเทศภาคีสมาชิกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๑.๒ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นหน่วยงานดำเนินงาน UN-REDD Programme ๑.๓ ให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามในเอกสารแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการอย่างเป็นทางการ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเป็นแนวทางดำเนินงานตามกรอบงาน REDD+ อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและทิศทางการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้ส่วนของงบประมาณในการดำเนินงานเข้าร่วมเป็นสมาชิก UN-REDD Programme ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว และ/หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15355 | การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ และอนุสัญญาร่วมว่าด้วยความปลอดภัยของการจัดการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วและความปลอดภัยของการจัดการกากกัมมันตรังสี | วท | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการภาคยานุวัติอนุสัญญาว่าด้วยความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ และอนุสัญญาร่วมว่าด้วยความปลอดภัยของการจัดการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วและความปลอดภัยของการจัดการกากกัมมันตรังสี โดยการเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาฯ แสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการใช้ประโยชน์จากการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ และแสดงถึงจุดยืนของประเทศไทยในการสนับสนุนการดำเนินการทุกวิถีทางของประชาคมโลกในการเสริมสร้างความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นการแสดงตนเป็นประเทศที่ดีขององค์การสหประชาชาติและทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องในการภาคยานุวัติอนุสัญญาฯ ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นหน่วยประสานงานหลักระดับชาติในการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ภายหลังจากที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ แล้ว ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรพิจารณาถึงความพร้อมทางด้านกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่สามารถรองรับพันธกรณีของอนุสัญญาฯ รวมถึงมีกระบวนการพิจารณาและแนวทางปฏิบัติด้านการอนุญาต การติดตามตรวจสอบความปลอดภัย และการยกระดับความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ในประเทศที่เป็นไปตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อไปให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15356 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) (ประจำเดือนมีนาคม 2561) | ดศ | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) (ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๖๑) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ประกอบด้วย (๑) การประชุมเชิงปฏิบัติการ “การขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)” (๒) หลักเกณฑ์และแนวคิดการดำเนินการ Big Data Sandbox สำหรับภาครัฐ (๓) ความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านข้อมูล และ (๔) การดำเนินการในระยะต่อไป ๒. ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) มีการดำเนินการโดยผ่านช่องทาง GovChannel ในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) การเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (๒) การเชื่อมโยงข้อมูลเปิดภาครัฐ (๓) การเชื่อมโยงศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ (๔) การเชื่อมโยงกับเว็บไซต์กลางบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ (๕) การเชื่อมโยงกับข้อมูลการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (๖) การเชื่อมโยงกับข้อมูลสถิติและสารสนเทศภาครัฐ (National Statistics) (๗) ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ (๘) ระบบอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร และ (๙) สิ่งที่จะดำเนินการต่อไป ๓. การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) ในการหารือร่วมระหว่างสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กับกระทรวงต่าง ๆ พบว่า มีหน่วยงานให้ความสนใจในการดำเนินการศูนย์ข้อมูลระดับกระทรวง (Ministry Data Center) และมีแนวโน้มจะใช้บริการ G-Services มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงพบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานด้านศูนย์ข้อมูลทั้งด้านงบประมาณ ทักษะความสามารถของบุคลากร การบริหารจัดการ รวมถึงอุปสรรคด้านสถานที่ ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถรองรับการขยายตัวของบริการในอนาคตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15357 | แผนป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเร่งด่วน ปี 2561 | ยธ | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอแผนป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเร่งด่วน ปี ๒๕๖๑ ตามคำสั่งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๖๑ ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ เพื่อเร่งรัดการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม-กันยายน ๒๕๖๑ เน้นแก้ไขปัญหาในจุดสำคัญเร่งด่วน ๓ ส่วน คือ ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ประกอบด้วยแผนย่อย ๔ แผนหลัก ดังนี้
๑. แผนความร่วมมือระหว่างประเทศเชิงรุก แก้ไขปัญหาต้นทาง คือ แหล่งผลิตและการผลิตยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน จนถึงการนำเข้ายาเสพติดที่สร้างปัญหาให้กับประเทศ โดยมีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นเจ้าภาพ ๒. แผนสกัดกั้น ปราบปรามเครือข่ายการค้ายาเสพติด แก้ไขปัญหากลางทาง คือ การลักลอบลำเลียงและการค้าทุกระดับในประเทศ รวมถึงการแพร่ระบาดยาเสพติดในพื้นที่ต่าง ๆ โดยมีกระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเจ้าภาพ ๓. แผนป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน แก้ไขปัญหาปลายทาง คือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ผู้เสพ กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนเพื่อลดการแพร่ระบาดยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ ๔. แผนการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นปัญหาเฉพาะ นอกจากแผนสำหรับแก้ไขปัญหา ๓ ส่วนข้างต้น โดยมีมาตรการพิเศษเพื่อยับยั้งมิให้ปัญหาขยายตัว ได้แก่ การแก้ไขปัญหายาเสพติดจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแก้ไขปัญหาเครือข่ายการค้าคนผิวสี และแผนการแก้ไขปัญหาเฉพาะที่มีแนวโน้มกระจายตัวมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15358 | รายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมปี 2560 | นร | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ปี ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของ SMEs มีมูลค่า ๖,๕๕๐,๐๗๕ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๕.๑ คิดเป็นสัดส่วน ๔๒.๔ ของ GDP รวมทั้งประเทศ ปัจจัยสนับสนุนคือ ภาคการท่องเที่ยวและภาคการค้าปลีกค้าส่งที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวได้ดีกว่าปีก่อน โดยภาคบริการมีบทบาทต่อการขยาย GDP ของ SMEs มากที่สุด ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ ๔๐.๙ ๒. การค้าระหว่างประเทศของ SMEs โดยมูลค่าการส่งออกรวมของ SMEs มีจำนวน ๖๒,๔๔๖.๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๕.๙๖ (YoY) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๒๔.๘ ของการส่งออกรวมทั้งประเทศ สาเหตุเกิดจากการส่งออกสินค้าบางกลุ่มลดลง ได้แก่ หมวดอัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ หมวดยางและผลิตภัณฑ์ยาง และหมวดเม็ดพลาสติก ขณะที่สินค้า SMEs ยังคงส่งออกได้ดีคือ หมวดธัญพืช และข้าว ส่วนมูลค่าการนำเข้ารวมของ SMEs มีมูลค่า ๖๘,๙๔๒.๙๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๐.๙๙ (YoY) คิดเป็นร้อยละ ๓๑.๓ ของการนำเข้ารวมทั้งประเทศ โดยสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ โดยเฉพาะทองคำ หมวดผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม และหมวดเคมีภัณฑ์อื่น ๆ ๓. จำนวนและการจ้างงานใน SMEs มีการจ้างงานทั้งประเทศจำนวนทั้งสิ้น ๑๔,๗๘๐,๐๐๑ คน เป็นการจ้างงานในวิสาหกิจขนาดใหญ่ จำนวน ๓,๐๓๒,๙๐๘ คน และการจ้างงานใน SMEs จำนวน ๑๑,๗๔๗,๐๙๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๗๘.๔๘ ของการจ้างงานวิสาหกิจรวมทั้งประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15359 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่เห็นควรเพิ่มเติมถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวบางประการและในร่างมาตรา ๙ (๔/๒) อาจไม่จำเป็นต้องระบุรูปแบบของผลประโยชน์ตอบแทน เนื่องจากผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าวอาจสามารถเป็นได้หลายรูปแบบไม่ใช่เฉพาะในรูปแบบของเงินปันผล ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ให้สมาชิกองทุนรับทราบในโอกาสแรก และในการจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำกัดจะต้องได้รับใบอนุญาตและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15360 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 11 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) | นร11 | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๑ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่งเอกสารดังกล่าวจะมีการรับรองระหว่างการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๑ แผนงาน IMT-GT ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการรับทราบและแสดงความชื่นชมกับความสำเร็จที่ผ่านมาของโครงการความร่วมมือภายใต้แผนงาน IMT-GT เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาแผนปฏิบัติการเมืองสีเขียว และการพัฒนาเครือข่ายมหาวิทยาลัย IMT-GT เป็นต้น ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับผู้นำประเทศแผนงาน IMT-GT ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๑ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
.....