ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 599 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 11961 - 11980 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11961 | ขอถอนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบตำรวจ พ.ศ. .... | ตช | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบตำรวจ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11962 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่มาเลเซีย ณ จังหวัดสงขลา (นายมูฮัมมัด ริดซวน บิน อาบู ยาซิด) | กต | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมูฮัมมัด ริดซวน บิน อาบู ยาซิด (Mr. Muhammad Ridzuan bin Abu Yazid) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่มาเลเซีย ณ จังหวัดสงขลา โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดสงขลา ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ภูเก็ต ระนอง สุราษฎร์ธานี สตูล ตรัง และยะลา สืบแทน นายโมฮัมมัด อาฟันดี บิน อาบู บาการ์ (Mr. Mohd Afandi bin Abu Bakar) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11963 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมการพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการตุลาการ) | ศย | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยให้ยกเลิกกรณีการพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการตุลาการเมื่อวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนจากตำแหน่ง และแก้ไขเพิ่มเติมให้การพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการตุลาการบางกรณี โดยให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบเท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11964 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นจำนวนไม่เกิน ๓,๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยรับงบประมาณ เป็นจำนวน ๓,๑๓๗,๒๙๐,๕๓๔,๒๐๐ บาท และเพื่อชดใช้เงินคงคลัง เป็นจำนวน ๖๒,๗๐๙,๔๖๕,๘๐๐ บาท พร้อมเอกสารประกอบงบประมาณ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11965 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อให้การได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยการได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ควรเทียบเคียงกับสิทธิการได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการประเภทอื่น ๆ ซึ่งกำหนดให้ได้รับนับแต่วันที่เข้ารับหน้าที่ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้พิจารณาในประเด็นตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มย้อนหลังไปนับแต่วันที่มีสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา แล้วแต่กรณี จะส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐที่เห็นว่า การกำหนดเกี่ยวกับการได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับหลักการ ๒ ประการ ได้แก่ การได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง และการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว โดยอาจกำหนดให้ได้รับไม่ก่อนวันเข้ารับหน้าที่ ส่วนการกำหนดสิทธิในการได้รับเงินประจำตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภา เห็นว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ยังไม่ครอบคลุมถึงสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๑๐๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งสมาชิกภาพจะเริ่มตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้ง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นเห็นควรให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ซี่งได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายรายการดังกล่าวไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11966 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงมหาดไทยฮังการี | นร14 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงมหาดไทยแห่งฮังการี (Memorandum of Understanding on Cooperation in the Field of Water Resources Management between the Office of the National Water Resources of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Interior of Hungary) ที่จะมีการลงนามในช่วงการประชุม Budapest Water Summit 2019 ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสองประเทศด้านการบริหารจัดการน้ำบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกันภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของแต่ละประเทศ ในสาขาการจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ การบริหารจัดการน้ำและน้ำเสีย และการศึกษา การวิจัยและพัฒนาในสาขาที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และหากในอนาคตมีการจัดทำข้อตกลงโครงการเฉพาะ (specific project arrangement) ตามวรรค ๖ อนุวรรค ๔ ของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ก็ควรพิจารณาส่งร่างข้อตกลงฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาในโอกาสต่อไปด้วย สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการภายหลังจากการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ เห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม แล้วแต่กรณี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11967 | ขอความเห็นชอบผลการคัดเลือกและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้าง และบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัด นนทบุรี | มท | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการคัดเลือกและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี (อบจ.นนทบุรี) สรุปได้ว่า อบจ.นนทบุรี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุน ร่างขอบเขตของโครงการ ร่างสัญญาร่วมทุน และผลคัดเลือกเอกชน ซึ่งคณะกรรมการคัดเลือกได้ประกาศผลการคัดเลือกเอกชนที่ผ่านการพิจารณาเพื่อให้ร่วมลงทุน จำนวน ๑ ราย คือ บริษัท เอสพีพี ซิค จำกัด ซึ่งร่วมลงทุนกับบริษัท ซุปเปอร์ เอิร์ธ เอนเนอร์ยี่ ๑ จำกัด โดยภายหลังการประกาศผลการคัดเลือกเอกชนดังกล่าว อบจ.นนทบุรี ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเพื่อเสนอความเห็นต่อผลการคัดเลือกเอกชน โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม เช่น การสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นอำนาจหน้าที่และการมอบหมายเอกชนดำเนินการเก็บ ขน หรือกำจัดขยะมูลฝอย และควรมีมาตรการให้ชุมชนลดปริมาณขยะมูลฝอย เป็นต้น และ อบจ.นนทบุรี ได้มีหนังสือถึงสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อตรวจพิจารณาร่างสัญญาโครงการฯ โดยมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม เช่น ควรพิจารณาขั้นตอนการดำเนินการและระยะเวลาที่กำหนดในร่างสัญญาให้มีความชัดเจน และควรหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาความชัดเจนในส่วนที่ยังไม่สามารถระบุข้อความได้ เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและ อบจ.นนทบุรี รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการระบุให้ชัดเจนระหว่างค่าตอบแทนในส่วนแรกที่เป็นค่าตอบแทนจากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และส่วนที่สองเป็นผลประโยชน์เพิ่มเติม และกำหนดให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนว่า การดำเนินโครงการฯ ในขั้นตอนต่อไป อบจ.นนทบุรีจะต้องดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือภายใต้พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11968 | การขอยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 และ 2560 | นร10 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กรณีโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน ๑๒๑-๒๔๙ คน โดยให้คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) จัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้กับโรงเรียนที่มีผลรวมของอัตราข้าราชการครูและอัตราพนักงานราชการครูไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูตามเกณฑ์ของ ก.ค.ศ. และจัดสรรให้ไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอขอรับการจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๓๐๑ แห่ง จำนวน ๓๖๒ อัตรา และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวม ๑,๕๗๘ แห่ง จำนวน ๑,๙๒๑ อัตรา ๑.๒ เห็นชอบให้ สพฐ. พิจารณาดำเนินการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กที่มีระยะทางห่างจากโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ในตำบลเดียวกันน้อยกว่า ๖ กิโลเมตร ให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน และลดภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณด้านบุคลากรและการบริหารจัดการเอง ๑.๓ กำหนดเงื่อนไขโดยไม่ให้นำอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูไปปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งให้เป็นสายงานอื่น ๒. อนุมัติในหลักการการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้กับโรงเรียนที่มีผลรวมของอัตราข้าราชการครูและอัตราพนักงานราชการครูไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูตามเกณฑ์ของ ก.ค.ศ. และจัดสรรให้ไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูที่ สพฐ. เสนอขอรับการจัดสรร ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๕๗ แห่ง จำนวน ๖๒ อัตรา และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวม ๔๔๓ แห่ง จำนวน ๔๖๓ อัตรา รวมทั้งสิ้น ๕๒๕ อัตรา ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียด ข้อมูล เหตุผลความจำเป็นในการขอรับการจัดสรรอัตรากำลังดังกล่าวให้ชัดเจนและให้ครอบคลุมถึงความจำเป็นของโรงเรียนขนาดเล็กที่คาดว่าจะไม่สามารถควบรวมได้ประมาณ ๑,๙๔๐ โรงเรียนด้วย แล้วเสนอ คปร. พิจารณาทบทวนตามขั้นตอนต่อไป ๓. ในส่วนของภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการบริหารจัดการภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐ ส่วนภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรที่จะเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเร่งรัดการจัดทำแผนการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และควรวางแผนการใช้อัตรากำลังครูทั้งระบบให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงโครงสร้างประชากรวัยเรียนที่มีแนวโน้มลดลง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11969 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2562 | นร10 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งมีประเด็นข้อสั่งการสำคัญที่มอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการรวม ๓ ประเด็น ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการเพิ่มรูปแบบการสื่อสารกับประชาชนด้วยเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูล การรับรู้ และการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการทำงานของราชการ ผลลัพธ์และประโยชน์ที่ประชาชนได้รับเป็นไปด้วยความถูกต้อง สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒. ให้ทุกส่วนราชการร่วมกันขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ รวมถึงให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน ได้แก่ พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ๓. ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเตรียมการ ติดตาม และเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) พระราชพิธีในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ (๒) การติดตามคดีความที่รัฐบาลเป็นคู่กรณีกับเอกชน (๓) การชี้แจงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (๔) การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ซึ่งจะมีผู้นำจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุมทั้งหมด ๑๘ ประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11970 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดำที่ อบ. 165/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อบ. 89/2562 ระหว่าง นายจิตเกษม แสงสิงแก้ว ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ฟ้องคณะรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี | นร05 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดำที่ อบ. ๑๖๕/๒๕๕๘ คดีหมายเลขแดงที่ อบ. ๘๙/๒๕๖๒ ระหว่าง นายจิตเกษม แสงสิงแก้ว ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน ผู้ถูกฟ้องคดี (เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง) ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองขั้นต้นให้ยกฟ้องคดี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11971 | รายงานผลการกู้เงินสำหรับรองรับการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลรุ่น LB198A ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-Bill) ที่ครบกำหนด เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 | กค | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลรุ่น LB198A ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๒ วงเงินที่เหลืออีกจำนวน ๒๑,๙๐๐ ล้านบาท (ดำเนินการ Pre-funding ไปแล้วจำนวน ๓๒,๐๐๐ ล้านบาท) และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ R-Bill ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (FIDF 3) รวมทั้งการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11972 | รายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซียประจำปี 2561 | พน | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซียประจำปี ๒๕๖๑ เป็นการรายงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และงบการเงินขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ในการประชุมครั้งที่ ๑๒๖ และการประชุมสามัญประจำปี (Annual General Meeting of MTJA, AGM) ครั้งที่ ๒๗ เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๒ แล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11973 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคี ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 8 | กต | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๘ (Agreed Minutes of the Eighth Meeting of the India-Thailand Joint Commission for Bilateral Cooperation) ที่จะมีการลงนามภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๘ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยสาระสำคัญของร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ครอบคลุมประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะแก้ไข พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้าร่วมกัน ได้แก่ ความสัมพันธ์ด้านการเมือง ความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า ความเชื่อมโยงในเรื่องต่าง ๆ ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษา และระหว่างประชาชน ความร่วมมือด้านกงสุล ประเด็นภูมิภาคและพหุภาคี และเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเกี่ยวกับการเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายให้มีการเร่งสรุปผลการเจรจาความตกลง/บันทึกความเข้าใจที่อยู่ระหว่างการพิจารณา เช่น ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ความตกลงว่าด้วยการประกันสังคม เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มเติมข้อความในร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ หมวด Science and Technology Cooperation ข้อ ๑๙ ดังนี้ “Thailand also looked forward to cooperating with India on higher education to enhance human capacity building in the area of space science, especially space exploration” เพื่อให้ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์มีความครอบคลุมต่อการพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง และให้เพิ่มความร่วมมือด้าน FinTech เป็นหนึ่งในเรื่องที่จะมีความร่วมมือระหว่างกัน เนื่องจากเป็นสาขาที่อินเดียมีความเชี่ยวชาญและน่าจะเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างประสิทธิภาพในระบบการเงินและการสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11974 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 37 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง (37th ASEAN Ministers on Energy Meeting (37th AMEM) and its Associated Meetings] ณ กรุงเทพฯ ราชอาณาจักรไทย | พน | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๗ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีแนวคิดหลักของการประชุม คือ “Advancing Energy Transition through Partnership and Innovation” โดยการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๗ (37th AMEM) ที่ประชุมได้มีการหารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือด้านโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียนของ สปป.ลาว ไทย และมาเลเซีย เป็นต้น สำหรับการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน+๓ ด้านพลังงาน ครั้งที่ ๑๖ (16th AMEM+3) ที่ประชุมได้สนับสนุนให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานถ่านหิน น้ำมัน และนิวเคลียร์เพื่อประชาชน รวมทั้งการริเริ่มความร่วมมือและแสวงหาศักยภาพความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงานผ่านโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ (๒) การประชุมรัฐมนตรีเอเชียตะวันออกด้านพลังงาน ครั้งที่ ๑๒ (12th EAS EMM) ที่ประชุมได้มีการติดตามความคืบหน้าความร่วมมือในด้านประสิทธิภาพและอนุรักษ์พลังงาน การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง พลังงานหมุนเวียน และพลังงานทางเลือก (๓) ผลการหารือทวิภาคีและพหุภาคีอื่น ๆ เช่น การประชุมหารือทวิภาคีกับ IEA เกี่ยวกับโครงการจัดทำข้อเสนอแนะด้านการส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในโครงข่ายอาเซียนซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์จากภาคเกษตรกรรมเข้ากับการพัฒนาด้านพลังงานทดแทนของไทย เป็นต้น และ (๔) ผลการจัดการประชุม ASEAN Energy Business Forum 2019 ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภาครัฐและภาคธุรกิจได้จับคู่เชิงธุรกิจเพื่อสร้างเครือข่ายควบคู่ไปกับการจัดนิทรรศการด้านพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11975 | ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) พ.ศ. .... | รง | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายกำหนดเวลากรณีนายจ้างยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและนำส่งเงินสมทบ โดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ออกไปอีก ๗ วันทำการ นับแต่วันที่พ้นกำหนดวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ โดยมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา ๒๔ เดือน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาศึกษาการกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินมาตรการส่งเสริม สนับสนุน และรองรับความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ให้ศึกษาว่า เหตุใดนายจ้างจึงไม่นิยมส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงให้นายจ้างทุกรายส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11976 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ) | นร11 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11977 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (นายวิริยะ รามสมภพ) | นร | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวิริยะ รามสมภพ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านข้อมูลข่าวสารของราชการ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11978 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษายาเสพติด พ.ศ. 2562 | ดศ | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันปราบปราม และบำบัดรักษายาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้สัมภาษณ์ประชาชนที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป จำนวน ๔๖,๐๐๐ รายทั่วประเทศ โดยสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในชุมชน/หมู่บ้าน ประชาชนร้อยละ ๕.๘ พบเห็นปัญหายาเสพติดในชุมชน/หมู่บ้านด้วยตนเอง ร้อยละ ๔๐.๙ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีปัญหายาเสพติด ขณะที่ร้อยละ ๕๓.๓ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีปัญหายาเสพติด ด้านการซื้อขายยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๒.๒ พบเห็นการซื้อขายยาเสพติดได้ง่าย ร้อยละ ๒๙.๙ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีการซื้อขาย และร้อยละ ๖๗.๖ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีการซื้อขายยาเสพติด ด้านพฤติการณ์การใช้ยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๕.๒ พบเห็น ร้อยละ ๔๐.๔ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีการซื้อขาย และร้อยละ ๕๔.๔ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และด้านความพึงพอใจและความเชื่อมั่นต่อผลการดำเนินงานของรัฐบาล พบว่า จากคะแนนเต็ม ๑๐ ประชาชนมีความพึงพอใจ ๖.๗๖ คะแนน และมีความเชื่อมั่น ๖.๖๗ คะแนน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับปรุงมาตรการในการป้องกัน แก้ไข และปราบปรามปัญหายาเสพติดให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาและโทษภัยของยาเสพติดอย่างต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11979 | รายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนสิงหาคม 2562 | นร02 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๒ ใน ๓ ประเด็น ได้แก่ สถานการณ์ภัยแล้ง เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นสถานการณ์ภัยแล้ง และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และการตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดยะลาของนายกรัฐมนตรีและคณะ และมอบหมายให้โฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวและชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงอย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11980 | รายงานผลการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2561 | กค | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี ๒๕๖๑ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๑๙ ทุน เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๘,๗๕๙.๗๕ ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้นำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเรียบร้อยแล้ว ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
|
.....