ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1714 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34261 - 34280 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34261 | ขออนุมัติให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงนามใน Letter of Agreement (LOA) และดำเนินการโครงการ UNEP-GEF Conservation and Sustainable Use of Cultivated and Wild Tropical Fruit Diversity: Promoting Sustainable Livelihoods,Food Security and Ecosystem Services (GLF-2328-2712-4A24) | กษ | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติมว่า ร่าง Letter Of Agreement (LOA) ไม่ก่อให้เกิดโอกาสในการถ่ายทอดพันธุ์พืชไปจากประเทศไทย จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพัน ๒. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการโครงการ UNEP-GEF Conservation and Sustainable Use of Cultivated and Wild Tropical Fruit Diversity : Promoting Sustainable Livelihoods, Food Security and Ecosystem Services (GLF-2328-2712-4A24) ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศ (ประเทศไทยดำเนินโครงการร่วมกับอินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๗) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการอนุรักษ์เชื้อพันธุกรรมไม้ผลและการใช้ประโยชน์ของความหลากหลายของเชื้อพันธุกรรมไม้ผลในการเพิ่มรายได้แก่ชุมชนท้องถิ่น และเพื่อช่วยส่งเสริมการป้องกันและลดสภาวะโลกร้อนในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งเพื่อเพิ่มสมรรถนะและพัฒนาบุคลากรของกรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ เห็นชอบให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรลงนามใน LOA สำหรับโครงการฯ ๒.๓ อนุมัติในหลักการว่าก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีการแก้ไข LOA ในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้อยู่ในดุลพินิจของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
34262 | การก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับการจัดสรรเงิน (โครงการพัฒนาศักยภาพสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว กิจกรรมมหกรรมท่องเที่ยวปัตตานี) | นร | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า การบริหารงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยอนุโลม ดังนั้น จึงขอให้นำเรื่องนี้เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พิจารณาก่อน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
34263 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2553 | นร | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการก่อสร้างในเขตพื้นที่จังหวัดที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ช่วงระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตามที่สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เสนอ และให้กรมบัญชีกลางพิจารณารายละเอียดข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ชัดเจนอีกครั้ง โดยเฉพาะเงื่อนไขระยะเวลาสัญญาจ้างก่อสร้างที่จะมีผลบังคับใช้ พร้อมทั้งเร่งรัดการจัดประชุมคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สมาคมฯ เสนอ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ตามที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสนอ โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณาปรับปรุงใน (ร่าง) แผนการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และเห็นชอบให้ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเขาร่วมเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ภายใต้ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาในขั้นของการตรวจ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาทบทวนความเหมาะสมและจำเป็นของมาตรการจูงใจด้านภาษีที่ใช้เพื่อการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองว่า สมควรดำเนินการต่อไปหรือไม่ ๓. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย และสมาคมวิชาชีพ/กลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพเชิงบูรณาการ เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาระและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน และเป็นที่ยอมรับของแรงงานและผู้ประกอบการ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งพิจารณา (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย สำรวจจำนวนคนพิการที่สามารถเข้าสู่ภาคแรงงานเพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการร่วมกัน รวมทั้งให้สำนักงาน ก.พ. เร่งประสานหน่วยงานภาครัฐในการรับคนพิการเข้าทำงานตามสัดส่วนที่กำหนดสำหรับหน่วยงานภาครัฐด้วย ๕. รับทราบข้อเสนอภาคเอกชนเกี่ยวกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด กรณีให้มีการนำมาตรการปรับลดตามหลักการ ๘๐ : ๒๐ มาใช้กับสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) การนำแนวคิด Emission Trading ระหว่างโครงหารหรือระหว่างบริษัทในพื้นที่มาบตาพุดมาใช้ และการกำหนดให้มีมาตรการจูงใจและลดขั้นตอนของระเบียบปฏิบัติสำหรับโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดมลพิษให้มีความรวดเร็วมากขึ้น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการศึกษาเรื่องศักยภาพของพื้นที่มาบตาพุดในการรองรับอุตสาหกรรมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๖. รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้า วัตถุอันตราย ตามที่ประธานผู้แทนการค้าไทยรายงาน และให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณารายละเอียดของปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขให้ได้ข้อยุติต่อไป ๗. รับทราบรายงานผลการจัดอันดับ Doing Business 2011 ของธนาคารโลก ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ ๑๙ จาก ๑๘๓ ประเทศ ลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ ๑๖ (เดิมประกาศให้ไทยอยู่อันดับที่ ๑๒ เมื่อมีการปรับฐานการคำนวณใหม่โดยยกเลิกตัวชี้วัดด้านการจ้างงานออกไป ทำให้เทียบเท่ากับอันดับที่ ๑๖) จาก ๑๘๓ ประเทศ คิดเป็นการปรับลดอันดับลง ๓ อันดับ โดยสาขาที่มีอันดับปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ การขอใบอนุญาตก่อสร้าง และการปิดกิจการ และสาขาที่อันดับปรับลดลง ได้แก่ การเริ่มต้นธุรกิจ การจดทะเบียนทรัพย์สิน การได้รับสินเชื่อ และการชำระภาษี โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการจัดทำการวิเคราะห์ในระดับดัชนีของการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลก รวมทั้งความสามารถในการแข่งขันที่จัดทำโดย International Institute of Management Development (IMD) และ World Economic Forum (WEF) พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการให้การสนับสนุนข้อมูลด้านการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ในการให้ความรู้ความเข้าใจกับภาคเอกชนเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการให้ข้อมูลแก่หน่วยงานจัดอันดับต่าง ๆ ที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
34264 | มาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ที่ประสบอุทกภัยปี 2553 | กค | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการให้ความช่วยเหลือที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เสนอ และอนุมัติเงินงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ของเกษตรกรให้แก่ ธ.ก.ส. ๑.๒ เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และจัดสรรเงินงบประมาณให้กรมส่งเสริมสหกรณ์รับไปดำเนินการ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ตรวจสอบรายละเอียดจำนวนเกษตรกร/สมาชิกสหกรณ์ และวงเงินที่ต้องชดเชยให้กับเกษตรกรแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
34265 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน 2553 | อก | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและการส่งออกคาดว่า จะชะลอตัวลงจากเหตุการณ์อุทกภัย ประกอบกับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งกระทบต่อการผลิตโดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูป รวมถึงปัญหาราคาฝ้ายที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศและส่งออกคาดว่า จะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยเริ่มคลี่คลายและเข้าสู่เทศกาลต่าง ๆ ในช่วงปลายปี ๒. อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ แนวโน้มการผลิตและการจำหน่ายในประเทศคาดว่า จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากในไตรมาสที่ ๔ เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูกาลก่อสร้าง รวมทั้งการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และปรับปรุงสาธารณูปโภคที่เสียหายจากปัญหาน้ำท่วม สำหรับการส่งออกคาดว่า จะยังขยายตัวได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลาดส่งออกหลักของไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนายังมีความจำเป็นต้องใช้ปูนซีเมนต์ในกิจกรรมการก่อสร้าง เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
34266 | การทบทวนและวิเคราะห์สถานการณ์โครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล | นร | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินโครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจลไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ ๒. อนุมัติให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับเงินประจำงวดและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
|
|||||||||||||||||||||||||||
34267 | แนวทางการบริหารการคลังในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2554 | กค | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอผลการคาดการณ์การจัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคาดว่าจะจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิจำนวน ๑,๗๗๐,๐๐๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๓ สูงกว่าที่จัดเก็บได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ไม่รวมรายได้พิเศษ (๑,๖๔๗,๓๒๕ ล้านบาท) จำนวน ๑๒๒,๖๗๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗.๔ โดยคาดว่าการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจจะสูงกว่าประมาณการ ภาษีที่คาดว่าจะจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และอากรขาเข้า ๒. เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพิ่มเติม (งบกลางปี) เพื่อชดใช้เงินคงคลังที่ได้มีการใช้ไปในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๘๔,๑๔๒.๕๖ ล้านบาท จัดสรรเพิ่มเติมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านบาท และจัดสรรเป็นงบประมาณช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ จำนวนประมาณ ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งหมดไม่เกิน ๑๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย รับไปพิจารณารายละเอียดของงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้สำนักงบประมาณนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
34268 | การขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจัดสรรทุนการศึกษาตามความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ ระยะที่ 3 (ปีงบประมาณ 2549 - 2553) | กต | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๑.๑ ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจัดสรรทุนการศึกษาตามความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ ระยะที่ ๓ ออกไปอีก ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘) เนื่องจากยังมีทุนการศึกษาฯ ภายใต้โครงการฯ ที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรอีก จำนวน ๔๐ ทุน ๑.๒ จัดสรรทุน จำนวน ๔๐ ทุน ซึ่งเป็นทุนที่เหลืออยู่ภายใต้กรอบ ๑๐๐ ทุนเดิม ๑.๓ ใช้เงินงบประมาณที่เหลืออยู่ประมาณ ๓๐๓ ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่อยู่ภายใต้กรอบงบประมาณ ๗๐๐ ล้านบาทเดิม ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว ๑.๔ จัดสรรทุนปีละประมาณ ๘ ทุน เป็นทุนสำหรับบุคคลทั่วไปและทุนพัฒนาข้าราชการ (โดยหากในปีใดหาผู้รับทุนได้ไม่ครบ ให้ยกจำนวนทุนที่เหลือไปสมทบกับทุนในปีถัดไปได้) ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการพิจารณารายละเอียดทุนตามโครงการจัดสรรทุนการศึกษาตามความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ ระยะที่ ๓ เป็นผู้พิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับสัดส่วนความต้องการทุนการศึกษาแต่ละประเภท ระดับการศึกษา สาขาวิชา และประเทศที่ไปศึกษาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยในแต่ละปีต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับแผนการดำเนินการจัดสรรทุน ๕ ปี เห็นควรให้มีการประเมินผลการจัดสรรทุนในระยะที่ผ่านมาเพื่อกำหนดสัดส่วนจำนวนทุนที่จัดสรรในแต่ละประเภท (ทุนบุคคลทั่วไปและทุนพัฒนาข้าราชการ) ระดับการศึกษา สาขาวิชาที่ศึกษาอย่างเหมาะสมและสามารถบริหารจัดสรรทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
34269 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ครั้งที่ 1/2554) | นร | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เสนอผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้
๑. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนครัวเรือนที่ ปภ. ระงับ และส่งให้จังหวัดตรวจสอบใหม่ จำนวน ๓๙,๗๕๘ ครัวเรือน ให้เสร็จเรียบร้อย หากถูกต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ให้ ปภ. ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือตามขั้นตอนแก่ผู้ประสบภัยโดยเร็วต่อไป สำหรับกรณีที่จังหวัดขอเพิ่มเติมจำนวนครัวเรือน ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้ ปภ. ตรวจสอบจำนวนครัวเรือนและรายชื่อที่ถูกต้องชัดเจน แล้วเสนอ คชอ. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒. อนุมัติในหลักการให้ ปภ. จัดซื้อเครื่องสูบน้ำขนาด ๑๒ นิ้ว โดยให้ ปภ. หารือตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และเลขานุการ คชอ. เพื่อปรับลดจำนวนเครื่องสูบน้ำที่จะจัดซื้อเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังประสบอุทกภัยในช่วงระยะเวลานี้ และเสนอให้ประธาน คชอ. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๓. คชอ. ได้พิจารณาเห็นว่า ขณะนี้เงินงบกลางประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เหลืออยู่เพียงประมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท หากนำเงินงบกลางไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยตามที่หน่วยงานต่าง ๆ เสนอมาทั้งหมดประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท จะไม่มีเงินเพียงพอไว้ใช้จ่ายสำหรับความจำเป็นในกรณีอื่น ๆ จนสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งที่คาดว่าจะมีพื้นที่ประสบภัยแล้งเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในส่วนของแผนงาน/โครงการที่ขอใช้เงินงบกลาง จะต้องเป็นโครงการที่ไม่สามารถใช้เงินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการฯ ได้และต้องมีความจำเป็นเร่งด่วนและพร้อมที่จะดำเนินการได้ในทันทีและแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนงาน โครงการและงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายจากอุทกภัยพิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๔ เพื่อนำเสนอให้ คชอ. พิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการฯ รับข้อเสนอแนะของประธาน คชอ. เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือ ๕,๐๐๐ บาท ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และปัตตานี โดยควรแยกเป็นรายพื้นที่ ถ้าพื้นที่ใดข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมมีความชัดเจนว่าเป็นพื้นที่น้ำท่วมและผู้ประสบภัยยังไม่ได้รับความช่วยเหลือให้ดำเนินการตามขั้นตอนไปได้ก่อน แต่ในพื้นที่ใดหากมีข้อสงสัยว่าประสบภัยจริงหรือไม่ หรือมียอดจำนวนครัวเรือนผิดปกติให้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นรายพื้นที่ สำหรับกรณีวาตภัยและน้ำป่าไหลหลากซึ่งไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมได้ อาจต้องใช้วิธีการลงพื้นที่ตรวจสอบแทน รวมทั้งตรวจสอบรายชื่อผู้ลงนามรับรองให้รอบคอบ เนื่องจากในบางพื้นที่ท้องถิ่นไม่ลงนามรับรองจำนวนครัวเรือนที่ประสบอุทกภัย ไปดำเนินการต่อไป ๕. คชอ. มีมติเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบภัย ดังนี้ ๕.๑ กรณีการขอใช้เงินงบกลางเพิ่มเติมในส่วนของความเสียหายภายหลังดำเนินการสำรวจจริงรวมทั้งประมาณการความเสียหายในภาคใต้ เนื่องจากเป็นการให้ความช่วยเหลือตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ และ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ จึงเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปทำความตกลงวงเงินกับสำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับการขอขยายระยะเวลาการช่วยเหลือเกษตรกร เห็นควรรอให้สิ้นสุดการเกิดภัยพิบัติก่อน และเมื่อสิ้นสุดการเกิดภัยพิบัติแล้ว หากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่า ควรจะต้องมีการช่วยเหลือเกษตรกรเพิ่มเติม จึงให้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป ๕.๒ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่สวนยางเสียหายแต่ไม่เสียสภาพส่วน จำนวน ๑,๕๒๐,๕๘๓ ต้น ในอัตราต้นละ ๙๐ บาท วงเงินทั้งสิ้น ๑๓๖,๘๕๒,๔๗๐ บาท และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่สวนยางที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนหรือหวงห้ามอื่น ๆ จำนวน ๑๐,๒๒๔.๕๕ ไร่ ตามที่รายงานให้ คชอ. ทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ๕.๔ ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรชาวสวนปาล์มที่เป็นสมาชิกสหกรณ์เกี่ยวกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ๕.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานนายวิทเยนทร์ มุตตามระ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการในเรื่องของการประชาสัมพันธ์การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านการเกษตรให้สาธารณชนได้รับทราบอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
34270 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 14 มกราคม 2554 | กค | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๖๐๗ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๑,๓๑๔ โครงการ วงเงิน ๑๓,๓๑๙.๙๕ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๑,๒๙๓ โครงการ วงเงิน ๓๓๖,๖๔๐.๔๙ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๓๗๘ โครงการ วงเงิน ๑๖,๑๔๖.๒๕ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๙๐ โครงการ วงเงิน ๕,๙๖๖.๗๖ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๒๘๘ โครงการ วงเงิน ๑๐,๑๗๙.๔๙ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๘,๙๑๕ โครงการ วงเงิน ๓๒๐,๔๙๔.๒๔ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๘,๙๑๕ โครงการ วงเงิน ๓๑๐,๔๑๖.๒๙ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๒,๐๕๓ โครงการ วงเงิน ๕๑,๙๙๖.๔๖ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๓๒,๓๙๓ โครงการ วงเงิน ๒๑๖,๓๑๔.๗๓ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๔,๔๖๙ โครงการ วงเงิน ๔๒,๑๐๕.๑๐ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๖,๘๖๒ โครงการ วงเงิน ๒๕๘,๔๑๙.๘๓ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
34271 | ข้าราชการการเมืองลาออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข) | นร | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้งนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
|
|||||||||||||||||||||||||||
34272 | การประชุมรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ครั้งที่ 13 | กต | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation - BIMSTEC) ครั้งที่ ๑๓ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
34273 | การปฏิบัติการคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ | รง | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานและระบบการให้บริการประชาชนของสำนักงานประกันสังคม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ พ.ศ. .... (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒) ออกจากชั้นการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้ใช้ร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ ๑ แทน ๓. อนุมัติในหลักการการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และอนุมัติในหลักการการจัดสรรกรอบอัตรากำลังเพิ่มเติมให้แก่สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และให้สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และกรอบอัตรากำลังเพิ่มเติมให้แก่หน่วยงานดังกล่าวให้สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลตามแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย ในการสร้างระบบความคุ้มครองและหลักประกันทางสังคมให้แก่แรงงานนอกระบบ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบราชการ) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
34274 | ระเบียบปฏิบัติเรื่องคุณภาพน้ำ (Procedures of Water Quality) | ทส | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างระเบียบปฏิบัติ เรื่อง คุณภาพน้ำ (Procedures of Water Quality) ตามผลการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑๘ - ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๒ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ที่มีมติให้จัดทำระเบียบปฏิบัติเรื่องคุณภาพน้ำ (Procedures of Water Quality : PWQ) เพื่อสร้างกรอบความร่วมมือในการรักษาคุณภาพน้ำที่ดี/ยอมรับได้ อันจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มแม่น้ำโขง โดยร่างระเบียบปฏิบัติฯ เป็นเอกสารแสดงคำมั่นของประเทศภาคีสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงที่จะร่วมมือกันสร้างสรรค์และได้รับประโยชน์ร่วมกันจากการใช้น้ำของลุ่มแม่น้ำโขงอย่างสมเหตุสมผลและเป็นธรรมในอาณาเขตประเทศตน ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างระเบียบปฏิบัติดังกล่าวในนามรัฐบาลไทย โดยสามารถปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
34275 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 (มกราคม - มีนาคม 2553) ไตรมาสที่ 3 (เมษายน - มิถุนายน 2553) และไตรมาสที่ 4 (กรกฎาคม - กันยายน 2553) ปีงบประมาณ 2553 | กค | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ (มกราคม - มีนาคม ๒๕๕๓) ไตรมาสที่ ๓ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๓) และไตรมาสที่ ๔ (กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๓) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ดังนี้
๑. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ (มกราคม - มีนาคม ๒๕๕๓) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๔๓๑.๑๗๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๐๓.๕๐๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓๑.๕๙ และเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้ารวม ๔๒,๖๔๖.๓๙๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๐๑ ของมูลค่านำเข้ารวม ๒. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๓) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๓๘๙.๙๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๘๓.๙๓๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๗.๔๓ และเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้ารวม ๔๔,๖๑๘.๖๙๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๐.๘๗ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๔ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ (กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๓) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๔๘๖.๗๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๘๔.๙๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๑.๑๔ และเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๔ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้ารวม ๔๗,๓๐๖.๙๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๐๓ ของมูลค่านำเข้ารวม
|
|||||||||||||||||||||||||||
34276 | รายงานผลการดำเนินงานในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพประจำไตรมาส 2 ปี 2552 และไตรมาส 2 ปี 2553 | กค | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพประจำไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๒ และไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๓ ของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ประจำไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๒ ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๒ โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๒ บสท. ได้บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจนได้ข้อยุติทั้งหมดแล้ว จำนวน ๑๕,๒๑๒ ราย มูลค่าทางบัญชี๗๗๕,๒๐๔ ล้านบาท สำหรับการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย บสท. ได้รับโอนทรัพย์สินจากการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (“ทรัพย์สินรอการขาย”) มูลค่ารวม ๑,๕๗๓ ล้านบาท โดยสามารถจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายได้ทั้งสิ้นมูลค่า ๑,๐๗๔ ล้านบาท จากมูลค่าตีโอนชำระหนี้ และรับโอนตามมาตรา ๗๖ จำนวน ๙๔๑ ล้านบาท และจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๒ บสท. ได้รับโอนทรัพย์สินรอการขายด้วยมูลค่าตีโอนชำระหนี้และรับโอนตามมาตรา ๗๖ รวมทั้งสิ้น ๑๒๘,๔๗๕ ล้านบาท แบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์มูลค่า ๑๐๖,๓๒๗ ล้านบาท และสังหาริมทรัพย์มูลค่า ๒๒,๑๔๘ ล้านบาท โดยได้จำหน่ายทรัพย์สินรอการขายตามราคาจำหน่ายตามสัญญาไปแล้วทั้งสิ้นในราคา ๓๖,๕๑๒ ล้านบาท จากมูลค่าตีโอนชำระหนี้ และรับโอนตามมาตรา ๗๖ ประมาณ ๓๔,๐๔๒ ล้านบาท คงเหลือทรัพย์สินรอการขายที่จะต้องบริหารจัดการอีกจำนวน ๙๔,๔๓๓ ล้านบาท ๒. รายงานผลการดำเนินงานในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ประจำไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๓ ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๓ บสท. ได้บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจนได้ข้อยุติทั้งหมดแล้ว จำนวน ๑๕,๒๐๔ ราย มูลค่าทางบัญชี ๗๗๕,๐๒๖ ล้านบาท สำหรับการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย บสท. ได้รับโอนทรัพย์สินจากการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (“ทรัพย์สินรอการขาย”) มูลค่ารวม ๓,๓๕๒ ล้านบาท และจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ บสท. ได้รับโอนทรัพยิ์สินรอการขายด้วยมูลค่าตีโอนชำระหนี้ และรับโอนตามมาตรา ๗๖ รวมทั้งสิ้น ๑๓๗,๓๑๕ ล้านบาท แบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์มูลค่า ๑๑๓,๕๐๔ ล้านบาท และสังหาริมทรัพย์มูลค่า ๒๓,๘๑๑ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๒.๖๖ และร้อยละ ๑๗.๓๔ ตามลำดับ ซึ่ง บสท. ได้จำหน่ายทรัพย์สินรอการขายตามราคาจำหน่ายตามสัญญาไปแล้วทั้งสิ้นในราคา ๕๑,๕๖๘ ล้านบาท คงเหลือทรัพย์สินรอการขายที่จะต้องบริหารจัดการอีกจำนวน ๙๐,๙๐๘ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
34277 | โครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร | นร | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง โครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง หลักเกณฑ์การดำเนินโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร) กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรไว้แล้วนั้น ขณะนี้ได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกรเป็นจำนวนมากถึงความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว หากล่าช้าไปมากอาจเกิดปัญหาบานปลายนำไปสู่การชุมนุมเรียกร้องของเกษตรกรอีกได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปประสานและเร่งรัดการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||
34278 | การจัดเก็บภาษีโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ | นร | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจและดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เหมาะสมสอดคล้อง ๑.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดให้มีระเบียบข้อบังคับในการตรวจสอบและปรับปรุงในเรื่องความปลอดภัยของอาคารสถานที่ก่อนการอนุมัติอนุญาตให้ใช้เป็นสถานที่สำหรับการเรียนกวดวิชาของโรงเรียนสอนกวดวิชา ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาแนวทางดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับโรงเรียนสอนกวดวิชาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ การกำหนดแนวทางการควบคุมดูแลโรงเรียนสอนกวดวิชาไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะที่แสวงหากำไรจนเกินควร และให้ดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ การกำหนดมาตรการดำเนินการเพื่อกำกับดูแลครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐให้ปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนอย่างเต็มตามหลักสูตรเพื่อนักเรียนจะไม่ต้องไปเรียนเพิ่มเติมในโรงเรียนสอนกวดวิชา ๒.๓ การพิจารณาออกระเบียบข้อบังคับในเรื่องการตรวจสอบและปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยของอาคารสถานที่ก่อนการอนุมัติอนุญาตให้ใช้เป็นสถานที่สำหรับการเรียนกวดวิชาของโรงเรียนสอนกวดวิชา ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
34279 | โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข 2090 และเรื่อง รายงานผลกระทบและความเสียหายกรณีการตัดไม้จากการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2090 (ถนนธนะรัชต์) | นร | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายวิเชียร กีรตินิจกาล ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการก่อสร้างขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ระหว่าง กม. ที่ ๒+๐๐๐ - กม. ๑๐+๑๐๐ (ถนนธนะรัชต์) อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และผลกระทบจากการตัดไม้บนไหล่ทาง เสนอรายงานผลการพิจารณาความเห็นของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นักวิชาการ และผู้แทนภาคประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข ๒๐๙๐ และเรื่อง รายงานผลกระทบความเสียหายกรณีการตัดไม้จากการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ (ถนนธนะรัชต์) สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนได้ข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปถึงผลกระทบจากการตัดไม้บนไหล่ทางของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ระหว่าง กม. ที่ ๒ ถึง กม. ที่ ๑๐ (ถนนธนะรัชต์) พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะในการฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าว โดยในการพิจารณาตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ดำเนินการด้วยความรอบคอบโดยเฉพาะในประเด็นปัญหาตามมติคณะรัฐมนตรี (๘ มิถุนายน ๒๕๕๓) ว่า กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง ต้องยุติการดำเนินโครงการฯ ทั้งหมดทันทีหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้พิจารณาตรวจสอบแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า กระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือขอหารือมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือตอบข้อหารือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว ๒. ผู้แทนกรมทางหลวงแจ้งเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกรมทางหลวงได้ดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในช่วง กม. ๒+๐๐๐ - กม. ๑๐+๑๐๐ (ถนนธนะรัชต์) เป็นถนน ๔ ช่องจราจร พร้อมช่องทางรถจักรยานและไหล่ทางตามแผนฟื้นฟูสภาพภูมิทัศน์และระบบนิเวศน์ที่ได้พิจารณาร่วมกับกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจังหวัดนครราชสีมา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการปลูกต้นไม้ตามแผนฟื้นฟูต่อไป โดยการดำเนินโครงการฯ ของกรมทางหลวงดังกล่าวประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินการของกรมทางหลวงโดยไม่มีการต่อต้านแต่อย่างใด
|
|||||||||||||||||||||||||||
34280 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมง IUU | กษ | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมง IUU ครั้งที่ ๓ ในช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๓ โดยข้อมูลผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. ออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ จำนวน ๓,๒๗๔ ฉบับ (ใบรับรองการจับสัตว์น้ำ จำนวน ๒,๔๗๕ ฉบับ และใบรับรองการจับสัตว์น้ำแบบง่าย ๗๙๙ ฉบับ) ออกเอกสารรับรองสินค้าประมงจับก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓ จำนวน ๖,๕๑๕ ฉบับ และออกเอกสารรับรองการแปรรูปสัตว์น้ำ (สำหรับวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศ) จำนวน ๘๓๔ ฉบับ ๒. แจกจ่ายสมุดบันทึกการทำประมง (Logbook) ให้แก่เรือประมง จำนวน ๕,๖๒๓ ฉบับ ได้รับ Logbook กลับคืน จำนวน ๑๗,๖๕๓ ฉบับ และบันทึกข้อมูลลงระบบ จำนวน ๑๗,๔๘๑ ฉบับ ส่วนการออก Mobile Unit เพื่อเร่งรัดการจดทะเบียนเรือประมงและอาชญาบัตร ดำเนินการจดทะเบียนเรือได้ จำนวน ๖,๗๖๔ ลำ และบริการรับคำขอจดอาชญาบัตร จำนวน ๒,๒๔๔ ลำ ๓. ทำการตรวจสอบสุขอนามัยท่าเรือประมง จำนวน ๖๔ แห่ง ในจังหวัดชายทะเลครบตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมทั้งทำการคัดเลือกท่าเทียบเรือที่มีศักยภาพในการปรับปรุงปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๐ ท่า รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบและประเมินสุขอนามัยเรือประมงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ จำนวน ๗๕๐ ลำ นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจประเมินสุขอนามัยเรือประมงในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ อบรมชาวประมง/เจ้าของเรือประมง และอบรมด้านสุขอนามัยให้แก่ผู้ประกอบการแพปลา องค์การสะพานปลา และท่าเทียบเรือ เจ้าหน้าที่สำนักงานประมงจังหวัด ๔. ดำเนินการประกวดราคาและจัดทำสัญญาเพื่อจ้างจัดทำระบบข้อมูลและการสร้างเครือข่ายข้อมูลการทำประมงของเรือประมงไทย ในวงเงินจัดจ้าง ๑๒,๗๙๐,๐๐๐ บาท โดยผู้รับจ้างดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ กำหนดแล้วเสร็จ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๕. จัดชุดเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องจากส่วนกลางเพื่อเดินสายชี้แจงแก่เจ้าหน้าที่สำนักงานประมงจังหวัดและสำนักงานประมงอำเภอ รวมทั้งดำเนินการจัดการประชาสัมพันธ์โดยส่วนกลางเป็นสารคดีทางโทรทัศน์ ๔ ตอน ทำสื่อสิ่งพิมพ์ในรูปของโปสเตอร์ต่าง ๆ แผ่นพับ Roll up เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและแนวทางปฏิบัติให้แก่ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ๖. จัดตั้งศูนย์ประสานงานการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ (ศปส.) หรือศูนย์ IUU ภายในบริเวณกรมประมง กรุงเทพฯ เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโครงการ
|
.....