ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1719 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34361 - 34380 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34361 | ขอใช้ที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าหนองสนม" สำหรับก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดระยองหลังใหม่ พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ | ศย | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานศาลยุติธรรม รับไปตรวจสอบสภาพพื้นที่และความจำเป็นเหมาะสมของการใช้ที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าหนองสนม” ตำบลเนินพระ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ที่จะใช้สำหรับก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดระยอง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ รวมทั้งให้พิจารณาถึงทางเลือกในการใช้พื้นที่แห่งอื่นแทนด้วย แล้วให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34362 | แผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย พ.ศ. 2554 - 2558 | ทก | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ เพื่อให้การบริหารจัดการข้อมูลสถิติของประเทศเป็นระบบ โดยกำหนดกรอบความรับผิดชอบของหน่วยสถิติในการจัดทำข้อมูลสถิติให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อนและตรงกับความต้องการ และสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยในส่วนของการจัดตั้งกลไกการบริหารจัดการสถิติที่จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการ/อนุกรรมการ เห็นชอบให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดร่วมเป็นกรรมการ/อนุกรรมการในคณะกรรมการ/อนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง และให้เพิ่มปลัดกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทน เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการจัดระบบสถิติประเทศไทย ด้านสังคม ด้วย ตามความเห็นของกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการพิจารณาความพร้อมของแต่ละหน่วยงานในการจัดเก็บ รวบรวมข้อมูล ปัญหา อุปสรรค และความเป็นไปได้ในการผลิตข้อมูล การสนับสนุนด้านวิชาการในการจัดอบรมผู้ได้รับมอบหมายให้สามารถปรับปรุงวิธีการจัดเก็บข้อมูลให้มีมาตรฐานและคุณภาพสูง การประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการริเริ่มผลิตข้อมูลที่จำเป็นและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะสถิติด้านเศรษฐกิจระยะสั้นและสถิติทางด้านสังคมเพื่อประกอบการตัดสินใจและกำหนดนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งผลิตข้อมูลด้านภัยพิบัติต่าง ๆ ให้มากขึ้น เช่น เรื่องอุทกภัย เพื่อประกอบการจัดทำมาตรการป้องกัน โดยนำเทคโนโลยีระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (Global Positioning System : GPS) หรือระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS) มาใช้ร่วมกับข้อมูลสถิติทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีการพัฒนาและปรับปรุงให้ทันสมัย และทำการประเมินผลความก้าวหน้าและความสำเร็จของแผนแม่บทฯ เป็นประจำทุกปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดการประชุมเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันต่อไป ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการจัดทำแนวทางการเผยแพร่และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการนำข้อมูลทางสถิติในด้านต่าง ๆ ไปใช้ในการศึกษา ค้นคว้า อ้างอิง และนำเสนออย่างเหมาะสม ถูกต้อง ตรงตามข้อมูลจริงต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34363 | แนวทางการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในประเทศไทย | วท | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในประเทศไทย ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดตั้งโรงงานนำร่อง (pilot plants) ขนาดกำลังผลิต ๑,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ ตัน/ปี ให้สามารถดำเนินการผลิตได้ภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖) ๑.๒ เร่งดำเนินการตามแผนที่นำทางแห่งชาติการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘) ควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดการลงทุนเชิงพาณิชย์ในระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘) ๑.๓ ดำเนินมาตรการเสริมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเชิงพาณิชย์ในระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘) ประกอบด้วย ๕ มาตรการย่อย ได้แก่ มาตรการด้านความพร้อมของวัตถุดิบชีวมวล มาตรการสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา มาตรการด้านการจัดทำมาตรฐานพลาสติกชีวภาพในระดับสากล มาตรการสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนและการประกอบธุรกิจ และมาตรการด้านการส่งเสริมตลาดและจัดการสิ่งแวดล้อม ๒. สำหรับงบประมาณดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นในการดำเนินการ (Pre-Feasibility Study) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งโรงงานนำร่องที่ต้องได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐและควรแสดงผลประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐ (Cost/Benefit Ratio) ตลอดระยะเวลาการดำเนินการ และควรมีแผนในการเตรียมปริมาณ คุณภาพ และแหล่งที่ตั้งของวัตถุดิบเพื่อให้มีความเป็นไปได้ในเชิงโลจิสติกส์ และไม่ให้เกิดการขาดแคลนในระหว่างกระบวนการผลิตต่อไปในอนาคต รวมทั้งควรมุ่งเน้นการส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่มีความคุ้มค่ากับการลงทุน และมีมาตรการหรือเทคโนโลยีที่สามารถคัดแยกขยะรีไซเคิล นอกจากนี้ เห็นควรจัดทำแผนความต้องการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรสำหรับอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพที่ชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับภาคเกษตรว่าเมื่อมีการเพิ่มผลผลิตแล้วจะมีตลาดรองรับ และควรมีการระบุขอบเขตการดำเนินงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนไว้ในแผนที่นำทางแห่งชาติฯ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘) โดยกำหนดให้ภาคเอกชนต้องเป็นผู้ลงทุนในส่วนของการจัดตั้งโรงงานผลิตทั้งหมด ส่วนภาครัฐทำหน้าที่ในการให้การสนับสนุน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34364 | รายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | นร | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับไปดำเนินการเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม การพิจารณาแนวทางดำเนินการยกเว้นค่าเปลี่ยนถ่ายระบบในการเดินทางระหว่างโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ และการเร่งพิจารณาเสนอโครงสร้างบริหารจัดการตั๋วร่วมและการจัดตั้งศูนย์การบริหารจัดการรายได้ (Central Clearing House System) เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีของระบบจัดเก็บค่าโดยสาร (AFC) และระบบบัตรโดยสารร่วม โครงสร้างอัตราค่าโดยสาร รวมทั้งการบริหารจัดการส่วนแบ่งรายได้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าในแต่ละสายทางให้สอดคล้องกับแผนการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ๕ สายทางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตรวจสอบความเหมาะสมของวงเงินลงทุนในรายละเอียดในส่วนของโครงการลงทุนที่ใช้เงินกู้ในการดำเนินการ พร้อมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอเพิ่มเติมขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร ๑๑๑๕/๔๓๙๕ ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ หน้า ๗ ข้อ ๓.๑ เป็น ดังนี้ “เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ ในรูปแบบ PPP Gross Cost ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยภาครัฐลงทุนค่างานโยธาทั้งหมด และเอกชนลงทุนค่างานระบบไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า รวมทั้งบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงตามมาตรฐานการให้บริการที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขของสัญญา โดยรัฐจะมอบให้เอกชนเป็นผู้จัดเก็บรายได้ค่าโดยสารและส่งมอบให้รัฐและรัฐเป็นผู้จัดเก็บรายได้เชิงพาณิชย์จากการใช้ประโยชน์โครงสร้างงานโยธาและรถไฟฟ้าทั้งหมด และรัฐจะจ่ายคืนเอกชนในลักษณะค่าจ้างบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุง โดยให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยเคร่งครัดต่อไป” ๓. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน - ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ - เตาปูน ให้สอดคล้องกันตามวัตถุประสงค์เดิมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย สำหรับการขอปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาพิเศษ (ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า จำนวน ๔๔๘ ล้านบาท) ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาความเหมาะสมร่วมกับสำนักงบประมาณ และหากกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณมีความจำเป็นจะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ความเห็นทางด้านเทคนิคเฉพาะประกอบการพิจารณาดังกล่าว ก็ให้สามารถดำเนินการได้ และให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนที่ รฟม. จะดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34365 | ขออนุมัติขยายวงเงินและกู้เงินสำหรับค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ขยายวงเงินและกู้เงินสำหรับค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ จำนวน ๑,๕๐๐ ล้านบาท ซึ่งมีประมาณการเบิกจ่ายในแต่ละปี คือ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นเงินประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านบาท และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นเงินประมาณ ๕๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาแหล่งเงินกู้ วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินที่เหมาะสมตลอดจนเป็นผู้ค้ำประกันการกู้เงิน และให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณเพื่อชำระค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายทางการเงิน ดอกเบี้ยและเงินต้นสำหรับการกู้เงินดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้ กทพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับแนวทางการลงทุนของ กทพ. ในอนาคต ควรพิจารณาแนวทางการลงทุนโครงการพิเศษในรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPPs) เป็นแนวทางหลัก เพื่อลดภาระทางการคลังแก่ภาครัฐ รวมทั้งพิจารณาแผนการลงทุนในอนาคตให้สอดคล้องกับแผนการลงทุนระบบขนส่งรูปแบบอื่น ๆ เพื่อบูรณาการระบบการขนส่งต่าง ๆ ของประเทศให้มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่งของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34366 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕,๐๗๘.๒๑ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่หน่วยงานพิจารณาทบทวนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ วงเงิน ๑,๕๕๔.๖๗ ล้านบาท สำหรับโครงการกลุ่มที่ ๑ (โครงการที่ปรับกิจกรรมเพื่อใช้แก้ไขปัญหาน้ำท่วม) และโครงการกลุ่มที่ ๒ (โครงการที่ยืนยันโครงการเดิม และเสนอปรับแผนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูปัญหาน้ำท่วมทดแทนแล้ว) ส่วนโครงการกลุ่มที่ ๓ (โครงการที่ยืนยันโครงการเดิม แต่ไม่เสนอการปรับแผนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔) อนุมัติโครงการและจัดสรรเงินเหลือจ่ายตามผลการพิจารณาทบทวนของหน่วยงาน และให้หน่วยงานดำเนินการได้ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานดังกล่าวที่ได้รับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้ และพิจารณาปรับแผนการดำเนินการโครงการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเพื่อนำไปฟื้นฟูแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเป็นการทดแทนตามความเหมาะสมต่อไป สำหรับโครงการกลุ่มที่ ๔ (โครงการภายใต้แผนพัฒนา ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้) ให้คณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นผู้พิจารณาอนุมัติการปรับแผนการดำเนินโครงการเพื่อนำไปฟื้นฟูแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรวงเงินเหลือจ่าย ส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ๓. อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ วงเงิน ๒,๖๑๙.๖๘ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายดังกล่าวส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ สำหรับโครงการของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วงเงิน ๑๓๘.๐๐ ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมาการการอาชีวศึกษา วงเงิน ๕๖๒.๐๐ ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน วงเงิน ๓๗๘.๐๐ ล้านบาท ให้หน่วยงานจัดส่งรายละเอียดโครงการให้สำนักงบประมาณพิจารณานำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เห็นชอบก่อน ๔. อนุมัติให้ดำเนินโครงการก่อสร้างหอประชุมเอนกประสงค์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ ให้แก่โครงการก่อสร้างหอประชุมเอนกประสงค์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน ๑๖๑.๖๖ ล้านบาท โดยให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาหอประชุมเอนกประสงค์ในอนาคต ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลหอประชุมเอนกประสงค์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการบำรุงรักษาดังกล่าว ๕. อนุมัติการขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินและการพิจารณาของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติโครงการแล้วไม่สามารถดำเนินการโครงการได้ทันภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป ๖. อนุมัติการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาตามที่หน่วยงานเสนอ โดยในส่วนของโครงการ/รายการที่หน่วยงานขอขยายระยะเวลาการลงนามถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ นั้น เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการลงนามเป็นภายในวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป ๗. รับทราบการยกเลิกโครงการชุมชนเข้มแข็งด้วยพลังงานทดแทน วงเงิน ๕๖.๕๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ห่างไกลด้วยเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ วงเงิน ๑๐๕.๖๘ ล้านบาท ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ๘. อนุมัติเป็นหลักการให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการลงนามในสัญญาเงินกู้ล่วงหน้าก่อนสำนักงบประมาณจัดสรรเงิน สำหรับโครงการที่ได้รับการอนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ภายในวงเงิน ๑๒,๑๐๑.๓๓ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังต้องลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการดังกล่าวได้ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ทั้งนี้ สำหรับรายการที่สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรก่อนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินภายในวงเงินที่สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรแล้ว และอนุมัติให้ยกเลิกวงเงินเหลือจ่ายคงเหลือ จำนวน ๑,๐๒๐.๓๕ ล้านบาท ๙. อนุมัติและรับทราบการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ โดยให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้วหน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ |
||||||||||||||||||||||||
34367 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ ร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กห | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้แก้ไขความในบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งข้าราชการทหาร ท้ายพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๕๑ จากความว่า “๔. ประเภทวิชาการในโรงเรียนทหาร” เป็น “๔. ประเภทวิชาการในสถาบันการศึกษาสังกัดกระทรวงกลาโหม” (มาตรา ๓) ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้แก้ไขความในพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทหาร พ.ศ. ๒๕๕๓ จากความว่า “ประเภทวิชาการในโรงเรียนทหาร” ทุกแห่ง เป็น “ประเภทวิชาการในสถาบันการศึกษาสังกัดกระทรวงกลาโหม” (มาตรา ๓) ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นำร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และประกาศใช้บังคับในราชกิจจานุเบกษาพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับความในมาตรา ๓ ของร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับ ควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็นประเภทวิชาการในสถาบันการศึกษาที่จัดการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป เพื่อให้มีความหมายที่ชัดเจนและไม่หมายรวมถึงสถาบันการศึกษาในสังกัดกระทรวงกลาโหมที่จัดการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญา ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๔. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการได้รับเงินประจำตำแหน่งโดยให้ครอบคลุมสถาบันการศึกษาสังกัดกระทรวงกลาโหม อาจมีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายด้านบุคคลที่เพิ่มสูงขึ้น จึงควรพิจารณาวางแผนกำหนดกรอบอัตรากำลังของตำแหน่งประเภทวิชาการดังกล่าว เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคคลไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34368 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... | มท | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลคลองโยง ตำบลมหาสวัสดิ์ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล ตำบลหอมเกร็ด ตำบลทรงคะนอง และตำบลบางเตย อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
34369 | รายงานการเงินกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2549 และรายงานการเงินกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2550 | คค | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ดังนี้
๑. รายงานผลการสอบบัญชีของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและงบการเงินกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ และ ๒๕๔๙ ดังนี้ ๑.๑ งบแสดงฐานะการเงิน มีสินทรัพย์รวม ๑,๓๑๖,๖๘๘,๔๒๑.๘๖ บาท มีหนี้สินรวม ๑๔,๓๔๐,๔๗๘.๙๖ บาทและมีสินทรัพย์สุทธิ ๑,๓๐๒,๓๔๗,๙๔๒.๙๐ บาท ๑.๒ งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน มีรายได้จากการดำเนินงานรวม ๖๔๗,๖๔๒,๕๘๓.๒๗ บาท มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวม ๔๕๖,๐๘๖,๑๔๔.๙๘ บาท และมีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ ๑๙๑,๕๕๖,๔๓๘.๒๙ บาท ๑.๓ งบกระแสเงินสด มีเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงานรวม ๑๖๒,๙๗๔,๒๒๘.๓๘ บาท มีเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุนรวม ๓๔๖,๐๕๔,๑๙๙.๒๙ บาท และมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันสิ้นงวด ๗๔๑,๗๓๘,๗๖๒.๖๗ บาท ๒. รายงานผลการสอบบัญชีของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและงบการเงินกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ และ ๒๕๕๐ ดังนี้ ๒.๑ งบแสดงฐานะการเงิน มีสินทรัพย์รวม ๑,๔๑๓,๐๐๒,๗๐๙.๗๖ บาท ๒.๒ งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน มีรายได้จากการดำเนินงานรวม ๖๒๓,๗๗๖,๒๙๖.๔๘ บาท มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวม ๕๓๕,๔๕๓,๘๖๑.๒๖ บาท และมีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ ๘๘,๓๒๒,๔๓๕.๒๒ บาท ๒.๓ งบกระแสเงินสด มีเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงานรวม ๑๔๔,๘๕๕,๗๑๘.๑๘ บาท มีเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุนรวม ๔๔,๑๐๒,๘๔๑.๒๕ บาท และมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันสิ้นงวด ๔๘๒,๔๙๑,๖๓๙.๖๐ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
34370 | ร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. .... | นร | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยความเท่าเทียมระหว่างเพศ เพื่อให้มีมาตรการคุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34371 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสกลนคร พ.ศ. .... | มท | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสกลนคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลธาตุนาเวง ตำบลฮางโฮง ตำบลธาตุเชิงชุม ตำบลงิ้วด่อน ตำบลพังขว้าง ตำบลดงมะไฟ และตำบลห้วยยาง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
34372 | รายงานประจำปีของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 และ 2551) | ศธ | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๒ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ประกอบด้วย ผลงานต่าง ๆ ประจำปี ๒๕๕๒ แผนในการดำเนินการในปีต่อไป และงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34373 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ 8 | ทก | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ (APEC Ministerial Meeting on the Telecommunications and Information Industry : APEC TELMIN) ครั้งที่ ๘ โดยที่ประชุมได้รับรอง “ปฏิญญาโอกินาวา” (Okinawa Declaration) และ “แผนปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ของคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ” ปี ๒๕๕๓ - ๒๕๕๘ (APEC TEL Strategy Action Plan : 2010-2015) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิญญา รวมทั้งให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงปลอดภัยบนไซเบอร์ (Cybersecurity) เพื่อปกป้องภัยคุกคามออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่เป็นเด็กและเยาวชน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาในสาขาที่สำคัญ ได้แก่ การศึกษา สาธารณสุข พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการเข้าถึงบรอดแบนด์อย่างทั่วถึงภายในปี ๒๕๕๘ และกำหนดเป้าหมายท้าทายในการเข้าถึงบรอดแบนด์ความเร็วสูงยุคหน้า ภายในปี ๒๕๖๓ ๒. ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่เป็นเจ้าของโครงข่ายพิจารณาปรับปรุงยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงาน รวมถึงสนับสนุนงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นการสนับสนุนประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายของเอเปคต่อไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ ควรมีมาตรการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เหมาะสมของเยาวชน และเห็นควรเร่งรัดจัดทำแผนปฏิบัติการของนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ โดยประสานงานกับภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์และแผนการลงทุนทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทานของบริการบรอดแบนด์ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34374 | รายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี 2552 และแนวโน้ม ปี 2553 | อก | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี ๒๕๕๒ และแนวโน้ม ปี ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนและการจ้างงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี ๒๕๕๒ มีการจ้างงานในกิจการทุกขนาดรวมทั้งสิ้น ๑๒,๔๐๕,๕๙๗ คน โดยเป็นการจ้างงานในวิสาหกิจขนาดใหญ่ ๒,๗๐๔,๒๔๓ คน และเป็นการจ้างงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวน ๙,๗๐๑,๓๕๔ คน หรือร้อยละ ๗๘.๒๐ ของการจ้างงานรวมทั้งหมด ๒. มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีมูลค่า ๓,๔๑๗,๘๖๐.๗ ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๓๗.๘ ของ GDP รวมทั้งประเทศ โดยมูลค่า GDP ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหดตัวลงร้อยละ ๒.๔ ต่อปี ชะลอลงจากร้อยละ ๒.๐ ในปีก่อน ๓. การค้าระหว่างประเทศของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น ๑,๕๘๙,๑๙๙.๘๗ ล้านบาท หดตัวลงร้อยละ ๖.๐๓ จากปี พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีการส่งออกไปยังตลาดหลักที่สำคัญของประเทศคือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง จีน สำหรับสินค้าที่มีการส่งออกสูงที่สุดคือ อัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและของทำด้วยพลาสติก ยางและของทำด้วยยาง ๔. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น โดยมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกและความเชื่อมั่นในศักยภาพของแรงงานทักษะของไทย ทำให้มีคำสั่งซื้อจอเากประเทศคู่ค้าเพิ่มมากขึ้น อัตราการใช้กำลังการผลิตของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าภาพรวมของประเทศพอสมควร โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในช่วง ๖ เดือนแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น โดยมีทิศทางด้านบวกอยู่ในระดับเฉลี่ยระหว่างร้อยละ ๒.๕๐ - ๘.๐๐ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการด้านยอดจำหน่ายของกิจการพบว่า ความเชื่อมั่นโดยรวมด้านยอดจำหน่ายของผู้ประกอบการในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ อยู่ในเกณฑ์ไม่ดีนัก เนื่องจากผู้ประกอบการไม่มีความเชื่อมั่นด้านยอดขายของตน อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่ใกล้เทศกาลปีใหม่ ดัชนีความเชื่อมั่นด้านยอดจำหน่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงตามการบริโภคของประชาชนทั้งในส่วนของภาคการค้าและภาคการบริการที่เพิ่มขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
34375 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน (เมษายน 2553 - กันยายน 2553) | กษ | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน (กชก.) โดยสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ กชก. รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน ในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ (เมษายน ๒๕๕๓ - กันยายน ๒๕๕๓) ดังนี้
๑. การอนุมัติเงินกู้ ในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ (เมษายน ๒๕๕๓ - กันยายน ๒๕๕๓) กองทุนหมุนเวียนฯ ได้อนุมัติเงินกู้ให้แก่เกษตรกรจำนวน ๖๘๕ ราย จำนวนเงินที่อนุมัติ ๑๙๐.๙๔ ล้านบาท จำนวนที่ดินที่ขอไถ่ถอน/ซื้อคืน ๕,๓๓๑ - ๐ - ๐๙.๙ ไร่ ๒. การรับชำระหนี้เงินกู้คืน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ กองทุนหมุนเวียนฯ มียอดต้นเงินกู้คงเหลือจำนวน ๑,๕๘๗.๐๕ ล้านบาท เป็นหนี้ปกติจำนวน ๑,๐๓๐.๔๐ ล้านบาท และหนี้ค้างชำระจำนวน ๕๕๖.๖๕ ล้านบาท ๓. สถานะการเงินของกองทุนหมุนเวียนฯ ในช่วง ๖ เดือนหลัง (เมษายน ๒๕๕๓ - กันยายน ๒๕๕๓) มีรายรับทั้งสิ้นจำนวน ๑๐๙.๔๒ ล้านบาท และรายจ่ายทั้งสิ้นจำนวน ๒๔๐.๕๔ ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการจ่ายเงินกู้ให้เกษตรกรที่ได้รับอนุมัติจำนวน ๑๙๐.๙๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๙.๓๘ ของรายจ่ายทั้งหมด และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๔๓.๐๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๙๐ ของรายจ่ายทั้งหมด และ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ กองทุนหมุนเวียนฯ มียอดเงินคงเหลือรวมทั้งสิ้น ๓๒๕ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
34376 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐเปรู และสหรัฐเม็กซิโก (ระหว่างวันที่ 21 - 30 กันยายน พ.ศ. 2553) | นร | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐเปรู และสหรัฐเม็กซิโก ระหว่างวันที่ ๒๑ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ของผู้แทนการค้าไทย (นายวัชระ พรรณเชษฐ์) และคณะผู้แทนจากส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานส่งเสริมการลงทุน และภาคเอกชนไทย ได้แก่ หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจไทย-ลาตินอเมริกา กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร อุตสาหกรรมไหมไทย กลุ่มผู้ค้าอะไหล่วรจักร และกลุ่มเครื่องจักรและอุตสาหกรรมหนัก สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๖ กันยายน ๒๕๕๓ ผู้แทนการค้าไทยและคณะได้เข้าพบและหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีข้อหารือเกี่ยวกับการยืนยันถึงเจตนารมณ์ในการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ตลอดจนความร่วมมือต่าง ๆ โดยฝ่ายเปรูได้เชิญไทยไปลงทุนด้านประมงน้ำลึก อุตสาหกรรมการสกัดสารจากทรัพยากรทางทะเล อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมการเกษตร รวมทั้งการผลักดันให้กระบวนการแก้ไขพิธีสารเพื่อเร่งเปิดเสรีทางการค้าแล้วเสร็จโดยเร็ว โดยฝ่ายเปรูแสดงความสนใจและเสนอจัดทำความตกลงเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการศุลกากร (Agreement on Customs Cooperation) กับไทยเพื่อส่งเสริมและรองรับปริมาณการค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ในส่วนของการหารือของภาคเอกชนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาคเอกชนทั้งสองประเทศ ได้แก่ การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาธุรกิจไทย-ลาตินอเมริกากับสมาคมผู้ประกอบการค้าต่างประเทศเปรู (COMEXPERU) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับหอการค้าแห่งกรุงลิมา (Chamber of Commerce in Lima) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาธุรกิจไทย-ลาตินอเมริกา กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารภายใต้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับบริษัท แม็คโคร ซุปเปอร์มายอริสต้า จำกัด (Makro Supermayorista S.A.) และการลงนามบันทึกความเข้าใจของกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กับบริษัท แม็คโคร ซุปเปอร์มายอริสต้า จำกัด (Makro Supermayorista S.A.) และบริษัท Perufarma จำกัด ๒. ผลการเยือนสหรัฐเม็กซิโก ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ ผู้แทนการค้าไทยและคณะได้เข้าพบและหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีข้อหารือเกี่ยวกับการพัฒนาการในภูมิภาคที่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ๑๑ ประเทศในกรอบ Pacific Cast Initiative เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับภูมิภาคเอเชีย การเชิญไทยเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ การเสนอให้มีความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและช่วยเหลือด้านศุลกากรระหว่างกัน และการพัฒนาความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและการอำนวยความสะดวกด้านศุลกากรกับประเทศคู่ค้าสำคัญของเม็กซิโก ในส่วนของการหารือของภาคเอกชนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาคเอกชนทั้งสองประเทศ ได้แก่ การลงนามบันทึกความเข้าใจของหอการค้าไทยกับสภาหอการค้าแห่งชาติประจำเมืองเม็กซิโก (Mexico City National Chamber of Commerce) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับหอการค้าแห่งรัฐนูโวลีออน (Camara de la Industria de la Transformacion de Nuevo Leon : CAINTRA) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาธุรกิจไทย - ลาตินอเมริกากับสภาธุรกิจเม็กซิโกด้านการค้าต่างประเทศ การลงทุน และเทคโนโลยี (COMCE) การลงนามบันทึกความเข้าใจของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับบริษัท คูเม่ (KUME) ผู้นำเข้าอาหารชั้นนำของเม็กซิโก และการลงนามบันทึกความเข้าใจของกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมสปาลาติน (Asociacion Latinoamericana de Spa)
|
||||||||||||||||||||||||
34377 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 (ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2553) | กค | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓ มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๒,๐๑๘,๗๕๙.๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๙.๑๖ ของวงเงิน จำนวน ๒,๒๖๔,๓๐๗.๘๔ ล้านบาท ประกอบด้วย
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๑,๖๒๗,๘๒๑.๑๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๕.๗๕ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๙๔.๐๐) และสูงกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ร้อยละ ๓.๓๓ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๔๔๔,๗๐๗.๒๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๘.๓๗ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๘๓,๑๑๓.๘๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๙.๑๕ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๗๕.๐๐) และสูงกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ร้อยละ ๓.๓๗ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ - ๒๕๕๒ สามารถเบิกจ่ายได้จำนวน ๑๕๖,๕๓๗.๖๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๔.๒๗ ของวงเงินงบประมาณเหลื่อมปี จำนวน ๒๔๓,๕๔๖.๙๖ ล้านบาท ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท มีการจัดสรรแล้ว (ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓) จำนวนทั้งสิ้น ๓๒๐,๗๖๐.๘๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๒๓๔,๔๐๐.๘๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๓.๐๘
|
||||||||||||||||||||||||
34378 | การแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบร้านสหกรณ์ | พณ | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบร้านสหกรณ์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ และอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นกรรมการและเลขานุการ รวมกรรมการทั้งสิ้น ๑๑ คน มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบร้านสหกรณ์ และอำนาจหน้าที่อื่นอีก ๓ ประการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้เพิ่มผู้อำนวยการสำนักพัฒนาธุรกิจสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
34379 | การกู้เงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 18,000 ล้านบาท | กค | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินในประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การกู้เงินเป็นเงินทุนหมุนเวียน จำนวน ๑๑,๐๐๐ ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่ครบกำหนด จำนวน ๗,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน และการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ๑.๓ เห็นชอบให้ ธอส. จัดให้มีแผนงานและแนวทางในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) อย่างเป็นระบบ รวมทั้งมีมาตรการในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดอย่างระมัดระวังเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดปัญหา NPL ในอนาคต นอกจากนี้ ธอส. ควรศึกษาแนวทางการลดการพึ่งพาการค้ำประกันพันธบัตรของกระทรวงการคลัง โดยการพิจารณาหาทางเลือกอื่นในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน เช่น การทำ Securitization สินเชื่อที่อยู่อาศัยในระยะยาวที่เหมาะสม ๒. ให้ ธอส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเร่งจัดการ NPL ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมก่อน เพื่อให้มีทางเลือกในการระดมทุนโดยวิธีอื่นนอกเหนือจากการออกพันธบัตรได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งควรคำนึงถึงต้นทุนทางการเงินในแต่ละทางเลือกและช่วงเวลาในการใช้แหล่งเงินทุนใหม่ประกอบการพิจารณาด้วย เพราะการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินรวมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ขอสินเชื่อ โดยเฉพาะผู้ขอสินเชื่อรายย่อย (วงเงินสินเชื่อต่ำกว่า ๑ ล้านบาท) ที่มีมากกว่าร้อยละ ๖๔.๓๙ ของสินเชื่อรวมของธนาคาร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34380 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการ กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผล | กค | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการ กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผล มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้บริษัทมีการควบรวมกิจการหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างกิจการตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย และช่วยให้การจัดเก็บภาษีจากเงินปันผลเป็นมาตรฐานเดียวกันกับกรณีที่ไม่ได้มีการควบรวมกิจการหรือโอนกิจการทั้งหมดซึ่งสอดคล้องกับหลักการดำเนินกิจการต่อเนื่อง ตลอดจนช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับบริษัท และทำให้ฐานภาษีของรัฐบาลเพิ่มขึ้นในระยะยาว ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผลที่ได้จากบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้แก่ ๒.๑ บริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัดใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือเป็นผู้รับโอนจากการโอนกิจการทั้งหมดให้กัน เป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับ ๒.๒ บริษัทตาม ๒.๑ ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนหรือเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง โดยบริษัทจำกัดผู้จ่ายเงินปันผลไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทนั้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เป็นจำนวนเท่ากับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับ ทั้งนี้ บริษัทตาม ๒.๑ และ ๒.๒ ได้ถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนที่ก่อให้เกิดเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรไม่น้อยกว่า ๓ เดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นมาจนถึงวันที่มีเงินได้ดังกล่าว และยังคงถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่า ๓ เดือนนับแต่วันที่มีเงินได้ โดยให้นับระยะเวลาระหว่างที่บริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัดเดิมอันได้ควบกันหรือเป็นผู้โอนกิจการที่ต้องจดทะเบียนเลิกได้ถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นรวมด้วย
|
.....